news30/08/07
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ส.ค. 30, 2007 2:13 pm
วิจัยแสงอาทิตย์ปูทางสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสง
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2550 13:13 น.
ระบบผลิตไฟฟ้าแบบหอคอย ซึ่งแผ่นสะท้อนแสงทุกแผ่นจะสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังยอดหอคอยเพียงจุดเดียวที่เป็นจุดรวมแสงและมีตัวนำความร้อนอยู่ (ภาพจาก www.thaisolarpower.com)
ระบบผลิตไฟฟ้าแบบพาราโบลา แผ่นรูปทรงพาราโบลาจะสะท้อนแสงไปยังท่อที่อยู่เหนือแผ่นสะท้อนและมีตัวนำความร้อนบรรจุอยู่ข้างใน (ภาพจาก www.thaisolarpower.com)
ระบบผลิตไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์สเตอร์ลิง จะคล้ายระบบพาราโบลา เพียงแต่ไม่ใช้ตัวนำความร้อน ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นตัวรับความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้าขณะนั้นเลย (ภาพจาก www.thaisolarpower.com)
ผศ.ดร.จรุงแสง ลักษณะบุญส่ง กับรายงานผลการวิจัยศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ระบบความร้อนแบบรวมแสงในประเทศไทย
น้ำมันก็แพง เชื้อเพลิงก็ใกล้จะหมดจากโลก พลังงานทดแทนจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่มนุษย์ต้องเร่งสรรหา ในหลายประเทศก็นำมาใช้กันอย่างจริงจังบ้างแล้ว โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ไทยมีเกือบตลอดปีน่าจะเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องนี้ นักวิจัยไทยจึงศึกษาศักยภาพแสง เพื่อเตรียมความพร้อมสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคต
ทีมวิจัยจากหน่วยวิจัยพลังงานแสงอาทิตย์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร ศึกษาถึงศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ระบบความร้อนแบบรวมแสงในประเทศไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศไทยในอนาคต
ผศ.ดร.จรุงแสง ลักษณะบุญส่ง คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร กล่าวว่า นับวันเชื้อเพลิงจากฟอสซิลก็เหลือน้อยลงทุกที ฉะนั้นจึงต้องหาแหล่งพลังงานทดแทน ซึ่งพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพสูงและจะเข้ามามีบทบาทมากในอนาคต ทางทีมวิจัยจึงได้ศึกษาถึงศักยภาพของรังสีดวงอาทิตย์ในบริเวณประเทศไทยกับความเป็นไปได้ที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระบบความร้อนแบบรวมแสง ซึ่งขึ้นตรงกับรังสีตรงของดวงอาทิตย์ (direct normal irradiance)
ระบบความร้อนแบบรวมแสงอาทิตย์จะต้องมีแผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ให้ไปรวมกัน ณ จุดเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนอย่างมหาศาลตรงบริเวณนั้น และจะต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำพลังงานความร้อนไปยังโรงไฟฟ้าเพื่อต้มน้ำให้เดือดต่อไป ระบบนี้จะมีศักยภาพสูงเมื่อตั้งอยู่ในบริเวณที่มีค่ารังสีตรงของดวงอาทิตย์สูง แต่ข้อมูลดังกล่าวในประเทศไทยยังไม่ชัดเจน ที่มีอยู่ก็เพียงแค่ในกรุงเทพเท่านั้น พื้นที่อื่นในประเทศยังไม่มีข้อมูล จึงจำเป็นต้องศึกษา เพื่อจะได้ทราบแน่ชัดว่าแสงอาทิตย์ในประเทศไทยมีศักยภาพหรือไม่ อย่างไร ผศ.ดร.จรุงแสง หนึ่งในทีมวิจัยอธิบาย
ทีมวิจัยได้ศึกษาความเข้มของรังสีตรงโดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมประกอบกับข้อมูลอุตุนิยมวิทยาภาคพื้นดินในช่วงปี 2538-2545 และจัดทำเป็นแผนที่ความเข้มรังสีตรงที่บริเวณต่างๆ พบว่าบริเวณที่มีความเข้มรังสีตรงสูงจะเป็นพื้นที่บางส่วนในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งมีค่าอยู่ในช่วง 1,350-1,400 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี (kWh/m2-yr)
ผศ.ดร.จรุงแสง อธิบายว่า หลังจากนั้นก็จำลองการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้า 3 แบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ และพื้นที่ใน จ.อุบลราชธานี เพราะมีค่ารังสีตรงสูงกว่าจังหวัดอื่นๆ ผลที่ได้คือ ระบบผลิตไฟฟ้าแบบพาราโบลา แบบหอคอย และแบบเครื่องยนต์สเตอร์ลิง สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เฉลี่ย 18.0, 25.1 และ 10.7 กิกะวัตต์ต่อปี (GWh/yr) และเมื่อเปรียบเทียบต้นทุน พบว่าแบบพาราโบลามีต้นทุนการผลิตต่ำสุด คือ 9.77 บาทต่อกิโลวัตต์ (บาท/kWh) ซึ่งนับว่ารังสีดวงอาทิตย์ในบริเวณประเทศไทยมีศักยภาพมากพอกับการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยวิธีนี้
อย่างไรก็ดี การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงพลังงานต้องพิจารณาต่อไปอีก ส่วนผลงานวิจัยดังกล่าวนั้น ผศ.ดร.จรุงแสง บอกว่ายินดีเผยแพร่ หากหน่วยงานไหนหรือบุคคลใดสนใจก็สามารถติดต่อได้ที่ หน่วยวิจัยพลังงานแสงอาทิตย์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ โทรศัพท์ 034-270761
http://www.manager.co.th/science/ViewNe ... 0000098544
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2550 13:13 น.
ระบบผลิตไฟฟ้าแบบหอคอย ซึ่งแผ่นสะท้อนแสงทุกแผ่นจะสะท้อนแสงอาทิตย์ไปยังยอดหอคอยเพียงจุดเดียวที่เป็นจุดรวมแสงและมีตัวนำความร้อนอยู่ (ภาพจาก www.thaisolarpower.com)
ระบบผลิตไฟฟ้าแบบพาราโบลา แผ่นรูปทรงพาราโบลาจะสะท้อนแสงไปยังท่อที่อยู่เหนือแผ่นสะท้อนและมีตัวนำความร้อนบรรจุอยู่ข้างใน (ภาพจาก www.thaisolarpower.com)
ระบบผลิตไฟฟ้าแบบเครื่องยนต์สเตอร์ลิง จะคล้ายระบบพาราโบลา เพียงแต่ไม่ใช้ตัวนำความร้อน ใช้เครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นตัวรับความร้อนและผลิตกระแสไฟฟ้าขณะนั้นเลย (ภาพจาก www.thaisolarpower.com)
ผศ.ดร.จรุงแสง ลักษณะบุญส่ง กับรายงานผลการวิจัยศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ระบบความร้อนแบบรวมแสงในประเทศไทย
น้ำมันก็แพง เชื้อเพลิงก็ใกล้จะหมดจากโลก พลังงานทดแทนจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่มนุษย์ต้องเร่งสรรหา ในหลายประเทศก็นำมาใช้กันอย่างจริงจังบ้างแล้ว โดยเฉพาะพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ไทยมีเกือบตลอดปีน่าจะเป็นข้อได้เปรียบในเรื่องนี้ นักวิจัยไทยจึงศึกษาศักยภาพแสง เพื่อเตรียมความพร้อมสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในอนาคต
ทีมวิจัยจากหน่วยวิจัยพลังงานแสงอาทิตย์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร ศึกษาถึงศักยภาพของการผลิตไฟฟ้าด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ระบบความร้อนแบบรวมแสงในประเทศไทย ซึ่งได้รับความร่วมมือและการสนับสนุนจากกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน เพื่อเป็นแนวทางสำหรับพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของประเทศไทยในอนาคต
ผศ.ดร.จรุงแสง ลักษณะบุญส่ง คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร กล่าวว่า นับวันเชื้อเพลิงจากฟอสซิลก็เหลือน้อยลงทุกที ฉะนั้นจึงต้องหาแหล่งพลังงานทดแทน ซึ่งพลังงานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพสูงและจะเข้ามามีบทบาทมากในอนาคต ทางทีมวิจัยจึงได้ศึกษาถึงศักยภาพของรังสีดวงอาทิตย์ในบริเวณประเทศไทยกับความเป็นไปได้ที่จะสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ระบบความร้อนแบบรวมแสง ซึ่งขึ้นตรงกับรังสีตรงของดวงอาทิตย์ (direct normal irradiance)
ระบบความร้อนแบบรวมแสงอาทิตย์จะต้องมีแผ่นสะท้อนแสงอาทิตย์ให้ไปรวมกัน ณ จุดเดียว ซึ่งจะทำให้เกิดความร้อนอย่างมหาศาลตรงบริเวณนั้น และจะต้องมีน้ำมันเป็นตัวนำพลังงานความร้อนไปยังโรงไฟฟ้าเพื่อต้มน้ำให้เดือดต่อไป ระบบนี้จะมีศักยภาพสูงเมื่อตั้งอยู่ในบริเวณที่มีค่ารังสีตรงของดวงอาทิตย์สูง แต่ข้อมูลดังกล่าวในประเทศไทยยังไม่ชัดเจน ที่มีอยู่ก็เพียงแค่ในกรุงเทพเท่านั้น พื้นที่อื่นในประเทศยังไม่มีข้อมูล จึงจำเป็นต้องศึกษา เพื่อจะได้ทราบแน่ชัดว่าแสงอาทิตย์ในประเทศไทยมีศักยภาพหรือไม่ อย่างไร ผศ.ดร.จรุงแสง หนึ่งในทีมวิจัยอธิบาย
ทีมวิจัยได้ศึกษาความเข้มของรังสีตรงโดยใช้ข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียมประกอบกับข้อมูลอุตุนิยมวิทยาภาคพื้นดินในช่วงปี 2538-2545 และจัดทำเป็นแผนที่ความเข้มรังสีตรงที่บริเวณต่างๆ พบว่าบริเวณที่มีความเข้มรังสีตรงสูงจะเป็นพื้นที่บางส่วนในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งมีค่าอยู่ในช่วง 1,350-1,400 กิโลวัตต์ต่อตารางเมตรต่อปี (kWh/m2-yr)
ผศ.ดร.จรุงแสง อธิบายว่า หลังจากนั้นก็จำลองการทำงานของระบบผลิตไฟฟ้า 3 แบบโดยใช้คอมพิวเตอร์ และพื้นที่ใน จ.อุบลราชธานี เพราะมีค่ารังสีตรงสูงกว่าจังหวัดอื่นๆ ผลที่ได้คือ ระบบผลิตไฟฟ้าแบบพาราโบลา แบบหอคอย และแบบเครื่องยนต์สเตอร์ลิง สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เฉลี่ย 18.0, 25.1 และ 10.7 กิกะวัตต์ต่อปี (GWh/yr) และเมื่อเปรียบเทียบต้นทุน พบว่าแบบพาราโบลามีต้นทุนการผลิตต่ำสุด คือ 9.77 บาทต่อกิโลวัตต์ (บาท/kWh) ซึ่งนับว่ารังสีดวงอาทิตย์ในบริเวณประเทศไทยมีศักยภาพมากพอกับการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยวิธีนี้
อย่างไรก็ดี การสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงพลังงานต้องพิจารณาต่อไปอีก ส่วนผลงานวิจัยดังกล่าวนั้น ผศ.ดร.จรุงแสง บอกว่ายินดีเผยแพร่ หากหน่วยงานไหนหรือบุคคลใดสนใจก็สามารถติดต่อได้ที่ หน่วยวิจัยพลังงานแสงอาทิตย์ ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ ม.ศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์ โทรศัพท์ 034-270761
http://www.manager.co.th/science/ViewNe ... 0000098544