หน้า 3 จากทั้งหมด 30
Re: นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 30, 2009 11:52 am
โดย naris
[quote="pongo"]
ผมเปิดก่อนก็ได้ อยากถามว่า
บทเรียนจากการที่ตลาดปรับตัวลงอย่างถล่มทลายเมื่อปีที่แล้ว
มีผลต่อแนวคิดการลงทุนของพี่นริศอย่างไรบ้าง
ทราบมาคร่าวๆ ว่าพี่นริศกระจายตัวลงทุนมากขึ้น
แล้วผลเป็นอย่างไรบ้าง
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 30, 2009 12:48 pm
โดย pro_dee13
ขอบคุณมากเลยครับ ที่แบ่งปันความรู้ครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 30, 2009 5:28 pm
โดย naris
ลูกอิสาน เขียน:อยากเรียนถามพีนริศว่า
แนวทางการลงทุนหุ้นต่างประเทศของพี่เป็นอย่างไรบ้างครับ
ตอนนี้เป็นมือใหม่หัดขับครับน้องโจ แถมภาษาไม่กระดิกเอาซะเลย แต่เป็นข้อดีอย่างหนึ่งคือ ทำให้อย่างน้อยๆก็ตั้งเป้าได้ศึกษาอะไรเพิ่มเติมครับ
ขอตอบโดยเอาที่โพสท์ในห้องลงทุนต่างประเทศมาตอบนะครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=38835
ไม่รู้เพื่อนๆมีหลักในการคัดเลือกหุ้นที่ต่างประเทศอย่างไรบ้างครับ ลองเอามาแชร์กันดูนะครับ
สำหรับตัวผมเอง ถ้าเป็นหุ้นในประเทศ ส่วนมากผมจะโฟกัสการลงทุนในหุ้นสามสี่ตัวแรกที่มั่นใจมากๆ และอย่างมากอีกสัก5-6ตัวที่ถือตัวละ3-5%ไว้ติดตาม แต่ผมว่าการคัดหุ้นต่างประเทศ ผมมีแนวคิดที่แตกต่างจากการเลือกหุ้นในไทยพอสมควร อาจเป็นเพราะเหตุผลอยู่สองข้อดังนี้
ข้อแรกคือ ผมคิดว่าข้อมูลข่าวสารที่จะทำให้เรารู้จริง สัมผัสถึงตัวตนจริงๆของบริษัทนั้นๆยากพอสมควร เราจึงเป็นรองเขาในด้านข้อมูลข่าวสารนี้ การโฟกัสในสิ่งที่ไม่รู้จริงจึงเสี่ยงเกินไป
ข้อสองคือ ในไทยการที่ผมจะหาหุ้นที่จะโตต่อเนื่องปีละ10-20%ตลอดสัก10-20ปีคงจะเป็นเรื่องยากกว่ามาก แต่ในตลาดอเมริกา ผมเห็นหุ้นประเภทนี้อยู่เยอะพอสมควร
โดยเฉพาะในข้อสองที่ทำให้ผมไม่ต้องไปรู้ลึกในแต่ละธุรกิจมากๆ แต่มีกระจกมองหลังที่ยาวเป็นสิบปีให้เห็นว่าที่ผ่านมาเขาทำได้ดีเพียงใด และหน้าที่เราคือ มองภาพใหญ่ๆคาดเดาว่าธุรกิจนั้นๆในอนาคตยังจะดีต่อเนื่องหรือไม่อย่างไรมากกว่า
ถ้าจะยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นท่านสามารถซื้อBIGC CPALL MINT BH BGH และอีกหลายๆตัวที่ไม่ต้องไปยุ่งกับรายละเอียดกลยุทธ์ของเขาสักเท่าใด
(แล้วทำไมผมไม่เลือกหุ้นสี่ห้าตัวข้างบนที่ว่าหล่ะ ทำไมต้องไปเลือกหุ้นที่ไกลตัวมากขนาดนี้..............คำตอบคือ ราคาที่เทรดตอนนี้ของหุ้นต่างประเทศหลายตัว มีการเทรดต่ำกว่าที่มันควรจะเป็น เช่น ราคา ณ.ตอนนี้เชื่อไหมว่า วอลมาร์ต เทรด PE เท่าๆกับ บิ๊กซี หรือหุ้นที่โตเฉลี่ย10-15%ต่อปีย้อนหลังเกือบ10ปี กำไรช่วงนี้ก็ไม่ตก แต่เทรดPEที่ประมาณ15เท่า จากในอดีตที่25เท่าเป็นต้น เมื่อเทียบกับเมืองไทย หุ้นsuper brand บ้านเราจะติดปัญหาในการเติบโตที่จำกัดมากกว่า)
ทำให้ผมใช้การกระจาย โดยคัดเลือกจากงบการเงินย้อนหลัง(คัดเลือกเชิงปริมาณ)ก่อนการคัดเลือกเชิงคุณภาพ โดยกระจายอยู่ในสี่กลุ่มอุตสาหกรรมและคิดว่าเงินที่แบ่งไป(สมมุติ10%ของพอร์ต)เป็นหุ้นในนามหุ้นต่างประเทศเพียง1ตัว(ที่จริงตอนนี้มีอยู่16ตัว และมีที่ติดตามดูอีกประมาณ15ตัวที่ต่อราคาอยู่)
วิธีนี้อาจจะทำให้เหนื่อยมากขึ้น แต่ผมว่าความเครียดจะลดลงพอสมควรเลยครับ
และขอเพิ่มเติมข้อเสียและข้อด้อยสำหรับการลงทุนต่างประเทศนะครับ
1.เราไม่รู้จริงและอย่าคิดว่าเรารู้ดี
2.การเสียภาษี ถึงแม้นกำไรส่วนต่างราคาหุ้นจะไม่ถูกหักที่เมกา แต่ถ้ามีการนำเงินนั้นเข้ามาในไทยจะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเช่นกัน เพราะฉะนั้นถ้าขี้เกียจทำรายละเอียดส่งท่านสรรพ.ก็จงถือยาวๆสัก10-20ปีค่อยมาวางแผนเสียครั้งเดียว
3.ความเสี่งเรื่องค่าเงิน
4.ความเสี่ยงเรื่องฟิลลิปยกเลิกการทำโบรกในไทยหรือฟิลลิปที่สิงค์โปร์เกิดเจ๊ง เราต้องไปตามหุ้นคืนที่กลต.สิงค์โปร์เอาเอง :lol:
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 30, 2009 6:45 pm
โดย romee
สวัสดีครับพี่นริศ
ปกติพี่เล่นพวก warrant มั้ย...ถ้าเคย พี่มีวิธีการซื้อขายหุ้นพวกนี้ยังไง มันต้องดูอะไรบ้างครับ
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 30, 2009 9:43 pm
โดย vi_tal signs
ความรู้มากมายจริงๆ พี่นริศ
ทุกคนใน thaivi สุดยอดจริงๆ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 12:33 am
โดย tanapol
มาแอบแซวพี่นริศ
เห็นข่าว...yahoo กับ microsoft ร่วมมือกันจะเปิด search engine ใหม่แล้วครับ
google ต้องรับศึกหนักแน่...
ผมรู้สึกแหม่งๆ ตั้งแต่จะไปแข่งกะ microsoft โดยตรงแล้ว...
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 12:24 pm
โดย naris
killyz เขียน:สงสัยต้องไปอันเชิญจากห้องที่พี่นริศชอบสิงสถิตย์ในร้อยคนร้อยหุ้น
ผมอยากรู้ประวัติของพี่ ตั้งแต่ก่อนเข้าตลาด
เหตุผลอะไรทำให้พี่สนใจในแนวทางของ VI
หนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเล่มไหนที่พี่โปรดปรานที่สุด (ขอสักสามเล่ม)
พี่จบคณะเกษตร มข.สาขาพืชสวน เมื่อปี37ครับ และได้มาทำสวนผลไม้ของครอบครัวจากวิชาที่ตนเองเรียนมา(พ่อของพี่มีที่สวนประมาณ1000ไร่) ใจจริงของพี่ที่เรียนเกษตร เพราะรักในอาชีพที่สงบเงียบไม่วุ่นวาย(เพราะต้นไม้มันเถียงไม่เป็น 555) แต่ด้วยอาชีพที่ไม่มั่นคงในด้านจำนวนที่จะผลิตออกมาได้ และการควบคุมราคาไม่ได้อย่างที่เราคิดไว้ ทำให้ปัญหาใหญ่ของเกษตรกรคือ ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต การทำอาชีพ เพื่อเพียง หากิน ไม่ใช่หาเก็บ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันสักปีสองปี ก็อาจหมดตัวได้ง่ายๆ
พ่อของพี่เลยคิดริเริ่มเปิดซุปเปอร์เมื่อปี2540 ในช่วงวิกฤตนั่นเอง(โดยบ้านพี่ก็โดนวิกฤตนั้นเหมือนกัน) เพื่อเป็นหนทางเพิ่มรายได้อีกทางหนึ่งให้กับครอบครัว ครอบครัวพี่เลยได้ผันตัวมาเริ่มทำซุปเปอร์ตั้งแต่ช่วงนั้น แต่ในช่วงแรกๆพี่ยังอยู่สวนกับพ่อเป็นหลัก โดยมีแม่และแฟนพี่เป็นแคชเชียร์อยู่ซุปเปอร์เล็กๆในตัวเมืองเลย
ต่อมาเมื่อพี่เริ่มเห็นว่ารายได้และผลกำไรทางซุปเปอร์ดีกว่าการทำการสวน
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 1:28 pm
โดย newbie_12
ละได้มาทำสวนผลไม้ของครอบครัวจากวิชาที่ตนเองเรียนมา(พ่อของพี่มีที่สวนประมาณ1000ไร่)
โอ้โหๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ 1000 ไร่
แต่ด้วยอาชีพที่ไม่มั่นคงในด้านจำนวนที่จะผลิตออกมาได้ และการควบคุมราคาไม่ได้อย่างที่เราคิดไว้ ทำให้ปัญหาใหญ่ของเกษตรกรคือ ไม่มีอะไรแน่นอนในชีวิต การทำอาชีพ เพื่อเพียง หากิน ไม่ใช่หาเก็บ ถ้าเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันสักปีสองปี ก็อาจหมดตัวได้ง่ายๆ
ใช่ครับ อาชีพทำสวนในประเทศไทย มันน่าน้อยใจจริงๆ มีแต่ทางตาย พ่อแม่ผม เลยไม่ส่งเสริมให้ผมทำสวน แต่ส่งให้เรียนวิศวะคอมพิวเตอร์ จนเดี๋ยวนี้เลี้ยงพ่อแม่ได้แล้วครับ ไม่ต้องเหนื่อยทำสวนเหมือนเดิม
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 1:53 pm
โดย Linzhi
สุดยอดเลยครับ
ขอบคุณพี่นริศมาก
ต้องหาเวลาอ่านอีกรอบ เม็ด ๆ จริง ๆ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 2:36 pm
โดย pump
คุณ naris คิดว่าแนวทาง Funds Flow เหมาะกับตลาดหุ้นไทยไหมครับ
ปีที่แล้วหุ้นถูกแต่ Funds Flow ไหลออกต่อเนื่อง
คุณ naris มีความเห็นอย่างไรครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 3:50 pm
โดย investment biker
อ่านแล้วรู้สึกว่าพี่นริศเป็นตัวอย่างที่ดี คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้ถ้ามีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ไม่ย่อท้อต่อความลำบาก และแนวทางการลงทุนแบบ VI เพื่อให้ได้อิสระภาพทางการเงิน ใช้ได้กับคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ใครจะคิดว่าลูกชาวสวนและเจ้าของซุปเปอร์เล็ก ๆ ในเลย จะมีเงินเป็นร้อยล้าน (ในอนาคตอันใกล้)
ส่วนเรื่องที่ดิน 1,000 ไร่ ปลูกอะไรอยู่ครับ ผมว่าน่าจะลองปลูกต้นยางดูน่าจะดี เพราะอนาคตราคายางน่าจะ ok ตามราคาน้ำมัน แถมต้นยางตอนแก่สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว ถ้าตัดไม้ยางขาย 1,000 ไร่น่าจะได้เงิน 60-70 ล้าน ณ ราคาปัจจุบัน (ราคาในอนาคตคงมากกว่านี้อีก)
อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนจากการเป็นชาวสวนยางก็ไม่สามารถเทียบกับการลงทุนในหุ้น เป็นแค่ทำเพราะชอบมากกว่าและมีที่ดินอยู่แล้ว
ปล บังเอิญผมเป็นลูกชาวสวนยาง (กำพืดเดิมเป็นคนระยอง :lol: ) เลยมองว่าพวกพืชพลังงานทดแทนน่าจะเป็นทางเลื่อกที่ดีกว่าพืชสวนอย่างอื่น
ว่าไปแล้วไม่แน่ใจว่ากำลังสอนหนังสือพระสังฆราชอยู่รึเปล่า :lol:
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 4:06 pm
โดย newbie_12
ส่วนเรื่องที่ดิน 1,000 ไร่ ปลูกอะไรอยู่ครับ ผมว่าน่าจะลองปลูกต้นยางดูน่าจะดี เพราะอนาคตราคายางน่าจะ ok ตามราคาน้ำมัน แถมต้นยางตอนแก่สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว ถ้าตัดไม้ยางขาย 1,000 ไร่น่าจะได้เงิน 60-70 ล้าน ณ ราคาปัจจุบัน (ราคาในอนาคตคงมากกว่านี้อีก)
ที่จังหวัดเลย สภาพอากาศไม่เหมาะกับยางพาราครับ เพราะยางต้องการปริมาณน้ำที่เยอะ ถึงจะเติบโตดี และให้น้ำยางดี
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 4:16 pm
โดย naris
[quote="investment biker"]อ่านแล้วรู้สึกว่าพี่นริศเป็นตัวอย่างที่ดี คนเราสามารถประสบความสำเร็จได้ถ้ามีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง ไม่ย่อท้อต่อความลำบาก และแนวทางการลงทุนแบบ VI เพื่อให้ได้อิสระภาพทางการเงิน ใช้ได้กับคนธรรมดาอย่างเรา ๆ ท่าน ๆ ใครจะคิดว่าลูกชาวสวนและเจ้าของซุปเปอร์เล็ก ๆ ในเลย จะมีเงินเป็นร้อยล้าน (ในอนาคตอันใกล้)
ส่วนเรื่องที่ดิน 1,000 ไร่ ปลูกอะไรอยู่ครับ ผมว่าน่าจะลองปลูกต้นยางดูน่าจะดี เพราะอนาคตราคายางน่าจะ ok ตามราคาน้ำมัน แถมต้นยางตอนแก่สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว ถ้าตัดไม้ยางขาย 1,000 ไร่น่าจะได้เงิน 60-70 ล้าน ณ ราคาปัจจุบัน (ราคาในอนาคตคงมากกว่านี้อีก)
อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนจากการเป็นชาวสวนยางก็ไม่สามารถเทียบกับการลงทุนในหุ้น เป็นแค่ทำเพราะชอบมากกว่าและมีที่ดินอยู่แล้ว
ปล บังเอิญผมเป็นลูกชาวสวนยาง (กำพืดเดิมเป็นคนระยอง
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 5:15 pm
โดย por_jai
นริศ เขียน:แต่พี่ก็ถือว่าพี่พอใจในระดับที่คนไม่ได้เรียนในด้านการบริหารนี้มาจัดการงานที่มีพนักงานประมาณ30คนช่วยดูแลกันเอง
นริศโพสเรื่องตัวเองก็โพสไป
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 31, 2009 5:47 pm
โดย naris
เพื่อน เขียน:ขออนุญาติ ตั้งคำถามคุณนริศเลยครับ
คุณนริศ เลือกลงทุน AHC ไม่กังวลเรื่องสภาพคล่องต่ำเหรอครับ...?
เวลาหุ้นขึ้นถึงจุดที่คากหวังแล้ว จะทำยังไงต่อ ในฐานะที่เป็นหุ้นสภาพคล่องต่ำมากๆครับ
รอฟังครับ รอฟัง
หุ้นที่พี่ได้กำไรมากๆ หลายตัวมาจากหุ้นสภาพคล่องต่ำในเวลาซื้อเสมอๆครับ ส่วนเวลาขายเมื่อถึงจุดที่ความต้องบการซื้อและขายเหมาะสมต่อกันและกัน สภาพคล่องจะมากขึ้นเองครับ
พี่เข้าใจว่าหุ้นที่สภาพคล่องต่ำหลายตัวนั้นเกิดจากข้อมูลข่าวสารของผู้ที่จะซื้อและขายไม่ตรงกัน ทำให้ผู้ขายอยากขายราคาสูงกว่านั้นมาก และผู้ซื้อข้อมูลไม่เพียงพอสำหรับเขา ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเคาะขวาหลายๆช่อง
สมมุตินะครับสมมุติ สมมุติว่าผลประกอบการของAHCออกปีนี้ที่7.4บาทต่อหุ้น ปีหน้าออกที่11บาทต่อหุ้น และมีโบรกออกมาบอกว่าโอกาสที่ปี54ผลประกอบการน่าจะได้14บาทต่อหุ้น
ถามว่าราคาเหมาะสมเมื่อถึงตอนนั้นPEอาจจะไปอยู่ที่6-8เท่า(ขึ้นกับสภาพตลาด)และสภาพคล่องจะเริ่มมาจากเริ่มมีคนไล่ราคาไปเรื่อยๆ พอถึงจุดที่คนอยากขายและคนอยากซื้อเจอกัน โวลุ่มมันมาเองครับ
ส่วนพี่ตอนที่ซื้อไม่ได้คิดอะไรมากเวลาซื้อ(ถ้าเจอหุ้นที่มันถูกจริงๆ)
เพียงแต่พี่ประเมินปัจจัยเชิงปริมาณจากงบการเงินของAHCจาก2วิธี
วิธีแรก ประเมินจาก การสร้างทดแทนของคู่แข่งขัน ประเมินคร่าวๆด้วยสายตาและจากผู้รู้ที่อยู่ในวงการรับเหมา ได้คำตอบว่า ถ้าจะสร้างAHC1-2 ทั้งสองแห่งในปัจจุบัน และ ซื้อที่ดินให้ได้ทำเลใกล้เคียงกัน จะใช้เงินลงทุนราวๆ 1500ล้านบาทขึ้นไป แต่มาร์เก็ตแคปของบริษัท(จำนวนหุ้นทั้งหมดคูณราคาหุ้น)ตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ600ล้านบาท
วิธีที่สอง ประเมินจากอัตราการใช้บริการที่น่าจะเป็นไปได้ในอนาคต พี่ประเมินได้ว่าเขาจะได้กำไรราวๆ200-250ล้านบาทภายใน5ปี จากมาร์เก็ตแคปที่600ล้านบาท(วิธีคำนวนคร่าวๆอยู่ใน100คน100หุ้น) จะตกPEที่2.4-3.0เท่า หรือผลตอบแทน33-41%ต่อปีอีก5ปีข้างหน้าและได้ต่อๆไปอีกทุกๆปี พี่เลยยอมเก็บAHCก่อนล่วงหน้าสัก1ปีเพื่อต้องการ200000หุ้น(แต่ได้แค่160000 :lol: )เพราะราคาขึ้นมาก่อน
ถามว่าเมื่อถึงจุดๆนั้นพี่คงไม่ต้องไปประเมินว่าพี่จะต้องขายหรือไม่ เพราะผลตอบแทนจากเงินลงทุนของพี่มันสูงพอที่จะไม่ต้องไปกังวลในอนาคต
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น จุดตายของพี่คือ เราประเมินมูลค่ามันอย่างที่มันจะเป็นหรืออย่างที่เราอยากให้มันเป็น พูดง่ายๆว่า จุดตายของพี่อยู่ที่พี่คิดถูกหรือผิด เท่านั้นเองครับ
ปล.อย่าหลงเชื่อในข้อมูลที่คำนวน เพราะนั่นยังเป็นความเห็น ไม่ใช่ความจริง ความจริงต้องรอเวลาพิสูจน์
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 11:04 am
โดย sattaya
[quote="naris"][quote="investment biker"]
ส่วนเรื่องที่ดิน 1,000 ไร่ ปลูกอะไรอยู่ครับ ผมว่าน่าจะลองปลูกต้นยางดูน่าจะดี เพราะอนาคตราคายางน่าจะ ok ตามราคาน้ำมัน แถมต้นยางตอนแก่สามารถขายได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว ถ้าตัดไม้ยางขาย 1,000 ไร่น่าจะได้เงิน 60-70 ล้าน ณ ราคาปัจจุบัน (ราคาในอนาคตคงมากกว่านี้อีก)
อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนจากการเป็นชาวสวนยางก็ไม่สามารถเทียบกับการลงทุนในหุ้น เป็นแค่ทำเพราะชอบมากกว่าและมีที่ดินอยู่แล้ว
ปล บังเอิญผมเป็นลูกชาวสวนยาง (กำพืดเดิมเป็นคนระยอง
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 11:37 am
โดย Vunny
แจ่มเลยครับ
ผมลูกเกษตรกรเหมือนกันครับแต่ว่า ปลูกอ้อย นะครับ
ขอบคุณประสบการณ์และความรู้ที่พี่มาแบ่งปันให้นะครับ แถมได้แรงบันดาลด้วยครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 1:06 pm
โดย konkaikong
ถ้าผมได้มีโอกาสไปเมืองเลยก็อยากขอไปแวะทักทายคุณนริศสักที่
ขอบคุณที่ขยันโพสท์เรื่องหารลงทุนให้อ่านกัน
ลูกจ้างอย่างผมจะปลีกตัวไปไหนก็ยาก อยากไปเดินป่าเดินเขาก็ยังไม่มีเวลา
คอย่างคุณนริศ คุณลูกอีสานนี่โชคดีจริง :D
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 4:00 pm
โดย naris
[quote="konkaikong"]ถ้าผมได้มีโอกาสไปเมืองเลยก็อยากขอไปแวะทักทายคุณนริศสักที่
ขอบคุณที่ขยันโพสท์เรื่องหารลงทุนให้อ่านกัน
ลูกจ้างอย่างผมจะปลีกตัวไปไหนก็ยาก อยากไปเดินป่าเดินเขาก็ยังไม่มีเวลา
คอย่างคุณนริศ คุณลูกอีสานนี่โชคดีจริง
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 4:48 pm
โดย naris
newbie_12 เขียน:เรียนถามพี่นริศครับ
supermarket ของพี่ กับกระแส Modern trade ที่รุกกินพื้นที่เข้ามาเรื่อยๆ (Lotus BigC) พี่มองธุรกิจตัวเองอย่างไรครับ สุดท้ายจะโดนยักษ์ใหญ่กลืนไปหรือเปล่าครับ
ด้วยโครงสร้างธุรกิจของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ต้องเหนื่อย ไม่มีเวลา และระบบยังไม่ดีพอ ทำให้ซุปเปอร์รุ่นเก่าๆและเก๋าๆทั้งหลายไม่เป็นที่นิยมแก่คนรุ่นใหม่(ถ้าคนรุ่นใหม่อยากจะทำธุรกิจแนวนี้คงจะมองหาแฟรนไชส์มากกว่าครับ) พอเมื่อคนรุ่นเก่าๆล้มหายตายจากจากธุรกิจนี้ อัตราการทดแทนอาชีพต่อคนรุ่นใหม่ก็น้อยลงเรื่อยๆ และอำนาจการต่อรองของคนรุ่นใหม่ที่มาทำก็น้อยกว่าคนรุ่นเก่า(ช่องว่างราคายิ่งมากขึ้น) ทำให้ด้วยโครงสร้างของซุปเปอร์มาร์เก็ต ปลาใหญ่จะกินปลาเล็กครับ นอกจากเขาจะไปในที่ๆโมเดรินเทรดยังไปไม่ถึง หรือไม่แข็งแรงพอ
ด้วยที่พี่มองอย่างนั้น ปี2543ที่เข้ามาจับธุรกิจนี้เต็มตัว พี่มองว่าเมืองเลยถึงแม้นจะเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่คงไม่รอดพ้นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ได้แน่นอน และตอนนั้นเมืองเลยมีห้างเจ้าถิ่นอยู่แล้ว3ราย ของพี่เป็นที่เล็กๆ ประสบการณ์ก็น้อยกว่า ฐานการเงินก็ไม่แน่น จึงไม่คิดจะไปขายชนในสินค้าไลน์เดิม
พี่เลยพยายามมองหาสินค้าที่เขาไม่เน้น โดยการไปเดินสำรวจ BIGC LOTUS ว่ามีสินค้ากลุ่มใดที่เขาไม่มี เขาไม่เน้น และมีราคาแพง โดยไม่ได้มองmakroในขณะนั้น เพราะคิดว่าเขาคงไม่มาเมืองเลยภายใน10ปีนี้แน่นอน เนื่องจากmakroไม่เน้นตลาดเชิงรุกเหมือนทั้งสองที่ๆกล่าวมาแล้ว
พอไปสำรวจและมาประเมินเจอกลุ่มสินค้าอยู่กลุ่มหนึ่งที่ทางห้างค้าปลีกไม่เน้น นั่นคือกลุ่ม ผู้ประกอบการร้านอาหารคาวหวาน-ร้านน้ำ-เบเกอรี่ และแพ็คเก็จจิ้งใช้แล้วทิ้ง ด้วยอาจจะเป็นเพราะลูกค้ากลุ่มๆนี้มีพฤติกรรมที่ไม่ใช่ลูกค้าตลาดแมสที่ห้างเขาเน้นกัน ทั้งด้วยตัวสินค้าและลักษณะการบริการก็คนละแบบ
ผมจึงหันหัวเรือมุ่งไปยังกลุ่มผู้ประกอบการในด้านต่างๆครับ โดยเจอว่าตลาดมีขนาดใหญ่พอสมควร และในจังหวัดเลยก็ยังไม่มีเจ้าถิ่นที่ทำครบวงจรในด้านนี้(โดยสินค้าหลายๆตัวยังต้องไปเอาถึงขอนแก่น อุดร)
จากถ้าเทียบยอดขายเมื่อ10ปีที่แล้วของที่ร้าน สินค้าที่เป็นกลุ่มลูกค้าทั่วไป 100% ตอนนี้ยอดขายของที่ร้านจะเป็นสินค้าที่กลุ่มลูกค้าทั่วไปสัก20% อีก80%เป็นของผู้ประกอบการอาชีพในด้านต่างๆครับ
ถ้าจะเทียบลักษณะการขายสินค้า พอจะบอกได้ว่าคล้ายๆกับHORECAของMAKROครับ แต่ที่ร้านพี่จะแบ่งsegmentย่อยกว่าเพื่อที่จะได้เข้าไปเจาะสินค้าในแต่ละกลุ่มที่เขาต้องการ เช่น
กลุ่ม เบเกอรี่
กลุ่ม ขนมหวาน
กลุ่มน้ำหวานน้ำปั่นและชาไข่มุก
กลุ่มร้านก๋วยเตี๋ยว
กลุ่มร้านข้าวราดแกง
กลุ่มร้านอาหารตามสั่ง
กลุ่มร้านเนื้อย่าง
กลุ่มร้านอาหารจีน
กลุ่มร้านอาหารเจ
เป็นต้น
ทำให้ตอนนี้พี่มั่นใจว่า ถึงBIGC LOTUS จะมาที่เลย พี่ก็คงเป็นซุปเปอร์ที่คงพอจะสู้กับห้างค้าปลีกขนาดยักษ์ได้ครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 7:26 pm
โดย newbie_12
สุดยอดครับพี่
ขอคารวะซักหลายๆจอก
ด้วย skill ผูู้ประกอบการที่สุดยอด ผมว่าช่วยให้เป็น VI ที่ประสบความสำเร็จครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 8:32 pm
โดย กุหลาบงามหลังฝน
naris เขียน:
ด้วยโครงสร้างธุรกิจของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ต้องเหนื่อย ไม่มีเวลา และระบบยังไม่ดีพอ ทำให้ซุปเปอร์รุ่นเก่าๆและเก๋าๆทั้งหลายไม่เป็นที่นิยมแก่คนรุ่นใหม่(ถ้าคนรุ่นใหม่อยากจะทำธุรกิจแนวนี้คงจะมองหาแฟรนไชส์มากกว่าครับ) พอเมื่อคนรุ่นเก่าๆล้มหายตายจากจากธุรกิจนี้ อัตราการทดแทนอาชีพต่อคนรุ่นใหม่ก็น้อยลงเรื่อยๆ และอำนาจการต่อรองของคนรุ่นใหม่ที่มาทำก็น้อยกว่าคนรุ่นเก่า(ช่องว่างราคายิ่งมากขึ้น) ทำให้ด้วยโครงสร้างของซุปเปอร์มาร์เก็ต ปลาใหญ่จะกินปลาเล็กครับ นอกจากเขาจะไปในที่ๆโมเดรินเทรดยังไปไม่ถึง หรือไม่แข็งแรงพอ
ด้วยที่พี่มองอย่างนั้น ปี2543ที่เข้ามาจับธุรกิจนี้เต็มตัว พี่มองว่าเมืองเลยถึงแม้นจะเป็นจังหวัดเล็กๆ แต่คงไม่รอดพ้นห้างค้าปลีกขนาดใหญ่ได้แน่นอน และตอนนั้นเมืองเลยมีห้างเจ้าถิ่นอยู่แล้ว3ราย ของพี่เป็นที่เล็กๆ ประสบการณ์ก็น้อยกว่า ฐานการเงินก็ไม่แน่น จึงไม่คิดจะไปขายชนในสินค้าไลน์เดิม
พี่เลยพยายามมองหาสินค้าที่เขาไม่เน้น โดยการไปเดินสำรวจ BIGC LOTUS
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 01, 2009 9:55 pm
โดย vi_tal signs
โอ... ผู้บริหาร modern trade จะเข้า
มาจังหวัดเลย ต้องคิดหนักมากๆเลยนะเนี่ย :lol: :shock:
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 02, 2009 8:12 am
โดย naris
[quote="vi_tal signs"]โอ...
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 02, 2009 8:24 am
โดย naris
sattaya เขียน:รอรับความรู้จากพี่นริศด้วยคนครับ
ขอความกรุณาให้พี่นริศช่วยชี้แนะด้วยครับ เพื่อที่จะได้นำไปพัฒนาธุรกิจตัวเองบ้าง
พี่ก็ไปได้ไอเดียนี้จากผู้บริหารSiSที่เขามีระบบการจ่ายเงินให้พนักงานเป็นสองส่วนแรกคือเงินเดือนประจำ ที่ทางSiSจ่ายน้องกว่าคู่แข่งในกลุ่มธุรกิจเดียวกัน
ส่วนที่สองคือ หน้าที่ความรับผิดชอบและผลงานในแต่ละเดือน/ไตรมาส/ปี ที่การให้คะแนนจะแตกต่างกันไปในแต่ละตำแหน่งครับ
โดยของพี่จะเอามาดัดแปลง(ขืนไปลดเงินเดือน พนักงานคงไม่พอใจเป็นแน่)
โดยเอาเงินที่จะให้พิเศษในสิ้นปี มาซอยเป็นจ่ายไตรมาสละครั้ง(และเพิ่มให้เขาเห็นว่าเราจ่ายเพิ่มนะ ไม่ได้ต้องการเอาเปรียบเขา)โดยมีการตรวจและให้คะแนนทุกๆเดือน จากการกำหนดรายละเอียดการให้คะแนนในแต่ละตำแหน่ง จากหน้าที่งานและเป้าที่เขาต้องรับผิดชอบ โดยมีทั้งคะแนนเป้ารวมยอดขายของร้าน30-50คะแนน(แล้วแต่ตำแหน่ง)และมีคะแนนภาพรวมของงานแต่ละทีม(ประมาณ30%)และที่เหลือเป็นความสัมพันธ์และความรับผิดชอบของตนเองครับ คงให้ได้แค่คร่าวๆเพราะรายละเอียดมันค่อนข้างมากครับ
หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 02, 2009 9:04 pm
โดย Alastor
ขอถามเป็นความรู้ครับ
ถ้ามีที่ดินเปล่าเยอะๆเอาไปปลูกต้นสักแล้วรออีก 1xปี เพื่อตัดไปขายจะกำไรดีไหมครับ?
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 2:14 am
โดย akekarat
Alastor เขียน:ขอถามเป็นความรู้ครับ
ถ้ามีที่ดินเปล่าเยอะๆเอาไปปลูกต้นสักแล้วรออีก 1xปี เพื่อตัดไปขายจะกำไรดีไหมครับ?
ขอตอบแทนหน่อย กำไรดีรึเปล่าไม่ทราบเหมือนกันครับ
แต่ระวังมอดไม้ขึ้นไร่นะครับ ขึ้นทีเดียวแทะเหลือแต่ตอให้ช้ำใจ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 9:51 am
โดย killyz
ขอบคุณสำหรับคำตอบครับ
รบกวนอีกคำถาม พี่ช่วยเล่าประสบการณ์หุ้นที่พี่นริศตีแตกกับหุ้นตีพี่นริศแตก อะไรที่ทำให้พี่มองขาดและทำให้พี่มองพลาดไป
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 10:07 am
โดย BABY TERMITE
naris เขียน:
พี่จบคณะเกษตร มข.สาขาพืชสวน เมื่อปี37ครับ [/quote
ผมคงต้องรู้จักพี่เป็นแน่ แต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออก พี่ KU 50 ผม KU 52 เมเจอร์ส่งเสริมครับ
นริศสอนน้อง
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 03, 2009 11:06 am
โดย newbie_12
BABY TERMITE เขียน:
KU นี่ม. เกษตรศาสตร์นะครับ
ขอนแก่นน่าจะ KKU ครับ อิอิ