หุ้นประกันชีวิต!!! กับทัศนคติชาวTVI และสอบถามเรื่องสงสัย?
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.พ. 25, 2010 7:29 pm
ขอบคุณ คุณmiracle นะครับ
ผมเห็นด้วยกับในเรื่องของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเงินฝากลดลง
ในเมื่อพันธบัตรรัฐบาลถูกกำหนดอัตราผลตอบแทนแบบ fix แต่ดันขึ้นอัตราดอกเบี้ย
และในเรื่องต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจที่ต้องมีการกู้เงินอาจได้รับผลกระทบ
แต่สำหรับประกันชีวิตก็ไม่ได้ไปกู้ใครมาดำเนินธุรกิจ เงินที่เอามาก็จะมีเบี้ยประกันที่เก็บจากผู้เอาประกัน + เงินทุนสำรองซึ่งอาจจะมาจากผลการดำเนินงานก็ได้
หรือว่าในส่วนของเงินทุนสำรองที่ว่านี้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้น
ผมก็จะมองอย่างนี้ได้ไหมว่า บริษัทไหนที่ยังไม่เติบโตพอที่จะมีเงินในส่วนของทุนมาก ๆ ก็น่าจะได้รับผลกระทบไปก่อนเพื่อนเลย
ทีนี้ไม่ทราบว่าเงินในส่วนนี้ต้องมีประมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ
(บริษัทโตขึ้น ยังต้องการเงินส่วนนี้มากขึ้นหรือเปล่าครับ)
ส่วนถ้าจะมองเรื่องการได้คืนภาษีนั้นผมว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับเศรษฐีจะได้รับผลอย่างมาก (อยู่ๆ เงินก็โตขึ้น)
ส่วนคนที่จะซื้อประกันก็อาจจะต้องซื้อเหมือนเดิม เลยไม่น่าจะเกี่ยวนี่นา
เขียนมาถึงตรงนี้เมื่อกลับไปดูที่เริ่มเอาไว้เหมือนกับว่าพอจะได้คำตอบคือ
การที่ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยกับพันธบัตรลดลง ทำให้คนที่จะซื้อประกันใหม่(ไม่รวมเรื่อมภาษี) ตัดสินใจซื้อได้ยากขึ้น เพราะการที่นำเงินไปอยู่กับประกัน
จะมีสภาพคล่องน้อยกว่า ระยะเวลายาวนานกว่า ซึ่งเมื่ออัตราการเพิ่มของกรมธรรม์ใหม่ลดลง อาจส่งผลให้บริษัทต้องมีการกู้เงิน ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
อย่างนี้นี่เอง.......................ใช้หรือเปล่าครับ
ผมเห็นด้วยกับในเรื่องของผลตอบแทนเมื่อเทียบกับเงินฝากลดลง
ในเมื่อพันธบัตรรัฐบาลถูกกำหนดอัตราผลตอบแทนแบบ fix แต่ดันขึ้นอัตราดอกเบี้ย
และในเรื่องต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น ทำให้ภาคธุรกิจที่ต้องมีการกู้เงินอาจได้รับผลกระทบ
แต่สำหรับประกันชีวิตก็ไม่ได้ไปกู้ใครมาดำเนินธุรกิจ เงินที่เอามาก็จะมีเบี้ยประกันที่เก็บจากผู้เอาประกัน + เงินทุนสำรองซึ่งอาจจะมาจากผลการดำเนินงานก็ได้
หรือว่าในส่วนของเงินทุนสำรองที่ว่านี้จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น ดังนั้น
ผมก็จะมองอย่างนี้ได้ไหมว่า บริษัทไหนที่ยังไม่เติบโตพอที่จะมีเงินในส่วนของทุนมาก ๆ ก็น่าจะได้รับผลกระทบไปก่อนเพื่อนเลย
ทีนี้ไม่ทราบว่าเงินในส่วนนี้ต้องมีประมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ
(บริษัทโตขึ้น ยังต้องการเงินส่วนนี้มากขึ้นหรือเปล่าครับ)
ส่วนถ้าจะมองเรื่องการได้คืนภาษีนั้นผมว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสำหรับเศรษฐีจะได้รับผลอย่างมาก (อยู่ๆ เงินก็โตขึ้น)
ส่วนคนที่จะซื้อประกันก็อาจจะต้องซื้อเหมือนเดิม เลยไม่น่าจะเกี่ยวนี่นา
เขียนมาถึงตรงนี้เมื่อกลับไปดูที่เริ่มเอาไว้เหมือนกับว่าพอจะได้คำตอบคือ
การที่ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยกับพันธบัตรลดลง ทำให้คนที่จะซื้อประกันใหม่(ไม่รวมเรื่อมภาษี) ตัดสินใจซื้อได้ยากขึ้น เพราะการที่นำเงินไปอยู่กับประกัน
จะมีสภาพคล่องน้อยกว่า ระยะเวลายาวนานกว่า ซึ่งเมื่ออัตราการเพิ่มของกรมธรรม์ใหม่ลดลง อาจส่งผลให้บริษัทต้องมีการกู้เงิน ซึ่งได้รับผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น
อย่างนี้นี่เอง.......................ใช้หรือเปล่าครับ