กระทิง ????
โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 24, 2010 1:20 pm
เจพีมอร์แกนยกตลาดหุ้นไทยดีสุดในเอเซีย
เจพี มอร์แกน มองตลาดหุ้นไทยมีผลประกอบการดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อ 6 เดือนหน้า ดัชนีทะยานร่วม 10%
เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค วาณิชธนกิจชั้นนำของสหรัฐ ออกรายงานวานนี้ (23 มี.ค.) ว่า ดัชนีหุ้นไทย ซึ่งมีผลประกอบการดีที่สุดของเอเชียในเดือนนี้ จะมีผลประกอบการแซงหน้าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จะช่วยหนุนรายได้ไตรมาสแรกของบริษัท และการแข็งค่าของเงินบาทจะทำให้ตลาดหุ้นมีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งปัจจัยนี้ ประกอบกับความกังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศบรรเทาลง ดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น
ข้อมูลจากทางการ แสดงให้เห็นว่า ในเดือนนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.2% ถือเป็นค่าเงินที่มีผลตอบแทนดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย ขณะเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ขยายตัว 5.8% เป็นการเติบโตครั้งแรกในรอบปี และในปีนี้ อาจขยายตัวมากถึง 4.5% จากการหดตัว 2.3% เมื่อปีที่แล้ว
นักวิเคราะห์ของเจพี มอร์แกน รวมถึง นายศรียาน พีทเตอร์ส และ นายเอเดรียน โมวัท ชี้ว่า แรงขับเคลื่อนจากปัจจัยพื้นฐานจะช่วยหนุนให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างคึกคักต่อไป ซึ่งเจพี มอร์แกน แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นไทย
ข้อมูลต่างๆ แสดงให้เห็นว่า ในเดือนก.พ. ตัวเลขส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สี่ ติดต่อกัน จากการที่ประเทศกำลังเริ่มฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ดำเนินมาร่วมปี หลังจากในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว เศรษฐกิจขยายตัวขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างชาติ ซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องมา ตั้งแต่ 22 ก.พ. 2553 จนถึงวันที่ 23 มี.ค. รวมจำนวน 4.2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าหุ้นที่เทขายออกไป
หุ้นที่วาณิชธนกิจรายนี้แนะให้ลงทุนในอันดับต้นๆ รวมถึง หุ้นธนาคาร อย่าง ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงไทย ท่ามกลางโอกาสถึงการเติบโตด้านการปล่อยกู้ โดยธนาคารทั้ง 2 รายนี้ เป็น 2 ใน 3 ธนาคารขนาดใหญ่สุดของประเทศในแง่สินทรัพย์
ก่อนหน้านี้ นายธนศักดิ์ วัฒนานิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนักวิเคราะห์ทางเทคนิค บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยอาจทะยานขึ้นสูงสุดถึง 10% ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มายืนอยู่ที่ระดับ 850 จุด
ขณะที่วานนี้ (23 มี.ค.) ตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปิดตลาด ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นที่ระดับสูงสุดของวันที่ระดับ 782.48 จุด บวก 10.23 จุด ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 1 ปี 9 เดือน ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 3.07 หมื่นล้านบาท โดยวานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิ 1,879 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 328 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,721 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 486 ล้านบาท
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นค่อนข้างผันผวนตลอดระยะเวลาซื้อขาย และมีแรงขายทำกำไรจนเกือบทำให้ดัชนีฯ ติดลบหลายครั้ง แต่สุดท้ายดัชนียังปรับเพิ่มขึ้นตามแรงซื้อสำคัญจากนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากก่อนหน้านี้ที่มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างมาก
"ยังคงมีกระแสเงินทุนต่างชาติเข้ามาหนุนดัชนี ไว้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้นระหว่างวันได้มากขึ้น" นายรักพงศ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่เกิดระเบิดที่กระทรวงสาธารณสุข และอีกหลายจุดทั่วประเทศ แม้จะสร้างความวิตกบ้าง แต่ในระดับสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้รุนแรงถึงขั้นมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ประกอบกับนักลงทุนได้รับรู้และคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจมีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้ในระยะนี้ ดังนั้นอาจจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่มีผลกระทบเลย
สำหรับทิศทางในการเคลื่อนไหวของดัชนีในวันนี้ (24 มี.ค.) คาดว่าจะยังคงผันผวน โดยเกิดขึ้นจากสองปัจจัย ได้แก่ การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100 จุด ขณะเดียวกันทิศทางปัจจัยภายนอกค่อนข้างเหวี่ยงตัว ทั้งประเด็นการยื่นมือเข้าช่วยเหลือกรีซและประเด็นที่ยังไม่มีความชัดเจนทางด้านเศรษฐกิจของจีน ส่งผลให้หุ้นในแถบภูมิภาคเอเชียแกว่งตัว และมีความเกี่ยวข้องทางอ้อมกับตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนต่างชาติน่าจะยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ทิศทางดัชนีฯ ภาพรวมอยู่ในเชิงขาขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นจึงแนะนำให้ถือหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน และนักลงทุนต้องการซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มสามารถซื้อได้เมื่อดัชนีฯ อ่อนตัว ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 777 จุด และ 769 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 787 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านที่สำคัญ
พ.ร.บ.มั่นคงไม่กระทบหุ้น
ด้าน นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์กล่าวว่า นักลงทุนไม่ได้วิตกกังวลกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ขยายเวลาการใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ออกไปอีก 7 วัน จนถึงวันที่ 30 มี.ค. นี้ รวมถึงเหตุการณ์ระเบิดในจุดต่างๆ ก็ไม่ได้มีผลอะไร
วานนี้ ครม.เห็นชอบให้ขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงฯ ออกไปอีก 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 24-30 มี.ค. นี้ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.), 2 อำเภอใน นนทบุรี และ 5 อำเภอในสมุทรปราการ เพื่อดูแลการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
นางภัทรียา กล่าวว่า นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ เนื่องจากตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการปรับตัวลดลง ขณะที่ปัจจัยภายใน ไม่ได้มีผลกระทบกับการลงทุนมากนัก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน โดยประเมินว่า เป็นเงินทุนในภูมิภาคที่เข้ามาลงทุน เพื่อหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงและพร้อมจะเคลื่อนย้ายออก ดังนั้นการลงทุนจึงควรพิจารณาพื้นฐานของเศรษฐกิจและบริษัทรวมถึงติดตามการลงทุน ของนักลงทุนต่างชาติว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ส่วนกรณีที่เงินบาทแข็งค่า เป็นผลมาจากพื้นฐานเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการในบางอุตสาหกรรมอย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียน จะต้องพัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็งเพื่อรองรับกับปัจจัยที่เข้ามากระทบ และการแข็งค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค
เจพี มอร์แกน มองตลาดหุ้นไทยมีผลประกอบการดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อ 6 เดือนหน้า ดัชนีทะยานร่วม 10%
เจพี มอร์แกน เชส แอนด์ โค วาณิชธนกิจชั้นนำของสหรัฐ ออกรายงานวานนี้ (23 มี.ค.) ว่า ดัชนีหุ้นไทย ซึ่งมีผลประกอบการดีที่สุดของเอเชียในเดือนนี้ จะมีผลประกอบการแซงหน้าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
แนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จะช่วยหนุนรายได้ไตรมาสแรกของบริษัท และการแข็งค่าของเงินบาทจะทำให้ตลาดหุ้นมีมูลค่ามากขึ้น ซึ่งปัจจัยนี้ ประกอบกับความกังวลเรื่องสถานการณ์การเมืองในประเทศบรรเทาลง ดึงดูดให้นักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น
ข้อมูลจากทางการ แสดงให้เห็นว่า ในเดือนนี้ เงินบาทแข็งค่าขึ้น 2.2% ถือเป็นค่าเงินที่มีผลตอบแทนดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ของเอเชีย ขณะเศรษฐกิจในไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว ขยายตัว 5.8% เป็นการเติบโตครั้งแรกในรอบปี และในปีนี้ อาจขยายตัวมากถึง 4.5% จากการหดตัว 2.3% เมื่อปีที่แล้ว
นักวิเคราะห์ของเจพี มอร์แกน รวมถึง นายศรียาน พีทเตอร์ส และ นายเอเดรียน โมวัท ชี้ว่า แรงขับเคลื่อนจากปัจจัยพื้นฐานจะช่วยหนุนให้เกิดการเคลื่อนไหวอย่างคึกคักต่อไป ซึ่งเจพี มอร์แกน แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักลงทุนในหุ้นไทย
ข้อมูลต่างๆ แสดงให้เห็นว่า ในเดือนก.พ. ตัวเลขส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่สี่ ติดต่อกัน จากการที่ประเทศกำลังเริ่มฟื้นตัวจากภาวะเศรษฐกิจซบเซาที่ดำเนินมาร่วมปี หลังจากในไตรมาสที่ 4 ของปีที่แล้ว เศรษฐกิจขยายตัวขึ้น ซึ่งนักลงทุนต่างชาติ ซื้อหุ้นไทยต่อเนื่องมา ตั้งแต่ 22 ก.พ. 2553 จนถึงวันที่ 23 มี.ค. รวมจำนวน 4.2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าหุ้นที่เทขายออกไป
หุ้นที่วาณิชธนกิจรายนี้แนะให้ลงทุนในอันดับต้นๆ รวมถึง หุ้นธนาคาร อย่าง ธนาคารกสิกรไทยและธนาคารกรุงไทย ท่ามกลางโอกาสถึงการเติบโตด้านการปล่อยกู้ โดยธนาคารทั้ง 2 รายนี้ เป็น 2 ใน 3 ธนาคารขนาดใหญ่สุดของประเทศในแง่สินทรัพย์
ก่อนหน้านี้ นายธนศักดิ์ วัฒนานิกร ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนักวิเคราะห์ทางเทคนิค บลจ.ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) คาดการณ์ว่า ดัชนีหุ้นไทยอาจทะยานขึ้นสูงสุดถึง 10% ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า มายืนอยู่ที่ระดับ 850 จุด
ขณะที่วานนี้ (23 มี.ค.) ตลาดหุ้นยังคงเดินหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยปิดตลาด ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นที่ระดับสูงสุดของวันที่ระดับ 782.48 จุด บวก 10.23 จุด ซึ่งถือว่าสูงสุดในรอบ 1 ปี 9 เดือน ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 3.07 หมื่นล้านบาท โดยวานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังซื้อสุทธิ 1,879 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 328 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 1,721 ล้านบาท เช่นเดียวกับนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 486 ล้านบาท
นายรักพงศ์ ไชยศุภรากุล ผู้จัดการฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจและกลยุทธ์ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นค่อนข้างผันผวนตลอดระยะเวลาซื้อขาย และมีแรงขายทำกำไรจนเกือบทำให้ดัชนีฯ ติดลบหลายครั้ง แต่สุดท้ายดัชนียังปรับเพิ่มขึ้นตามแรงซื้อสำคัญจากนักลงทุนต่างชาติ ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มพลังงาน จากก่อนหน้านี้ที่มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างมาก
"ยังคงมีกระแสเงินทุนต่างชาติเข้ามาหนุนดัชนี ไว้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักลงทุนสามารถเก็งกำไรระยะสั้นระหว่างวันได้มากขึ้น" นายรักพงศ์ กล่าว
ส่วนกรณีที่เกิดระเบิดที่กระทรวงสาธารณสุข และอีกหลายจุดทั่วประเทศ แม้จะสร้างความวิตกบ้าง แต่ในระดับสถานการณ์ดังกล่าวไม่ได้รุนแรงถึงขั้นมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ประกอบกับนักลงทุนได้รับรู้และคาดการณ์ไว้แล้วว่าอาจมีสถานการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นได้ในระยะนี้ ดังนั้นอาจจะมีผลกระทบเพียงเล็กน้อย หรือแทบไม่มีผลกระทบเลย
สำหรับทิศทางในการเคลื่อนไหวของดัชนีในวันนี้ (24 มี.ค.) คาดว่าจะยังคงผันผวน โดยเกิดขึ้นจากสองปัจจัย ได้แก่ การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่เพิ่มขึ้นเกือบ 100 จุด ขณะเดียวกันทิศทางปัจจัยภายนอกค่อนข้างเหวี่ยงตัว ทั้งประเด็นการยื่นมือเข้าช่วยเหลือกรีซและประเด็นที่ยังไม่มีความชัดเจนทางด้านเศรษฐกิจของจีน ส่งผลให้หุ้นในแถบภูมิภาคเอเชียแกว่งตัว และมีความเกี่ยวข้องทางอ้อมกับตลาดหุ้นไทย
อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินลงทุนต่างชาติน่าจะยังคงเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้ทิศทางดัชนีฯ ภาพรวมอยู่ในเชิงขาขึ้นต่อเนื่อง ดังนั้นจึงแนะนำให้ถือหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงาน และนักลงทุนต้องการซื้อหุ้นเข้าพอร์ตเพิ่มสามารถซื้อได้เมื่อดัชนีฯ อ่อนตัว ทั้งนี้ประเมินแนวรับอยู่ที่ 777 จุด และ 769 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 787 จุด ซึ่งเป็นแนวต้านที่สำคัญ
พ.ร.บ.มั่นคงไม่กระทบหุ้น
ด้าน นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์กล่าวว่า นักลงทุนไม่ได้วิตกกังวลกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ขยายเวลาการใช้พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ออกไปอีก 7 วัน จนถึงวันที่ 30 มี.ค. นี้ รวมถึงเหตุการณ์ระเบิดในจุดต่างๆ ก็ไม่ได้มีผลอะไร
วานนี้ ครม.เห็นชอบให้ขยายเวลาประกาศใช้ พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงฯ ออกไปอีก 7 วัน ตั้งแต่วันที่ 24-30 มี.ค. นี้ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.), 2 อำเภอใน นนทบุรี และ 5 อำเภอในสมุทรปราการ เพื่อดูแลการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดง
นางภัทรียา กล่าวว่า นักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนอย่างรอบคอบ เนื่องจากตลาดหุ้นยังมีความผันผวนจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะตลาดหุ้นต่างประเทศที่มีการปรับตัวลดลง ขณะที่ปัจจัยภายใน ไม่ได้มีผลกระทบกับการลงทุนมากนัก อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรติดตามความเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติที่เข้ามาลงทุน โดยประเมินว่า เป็นเงินทุนในภูมิภาคที่เข้ามาลงทุน เพื่อหาแหล่งที่ให้ผลตอบแทนสูงและพร้อมจะเคลื่อนย้ายออก ดังนั้นการลงทุนจึงควรพิจารณาพื้นฐานของเศรษฐกิจและบริษัทรวมถึงติดตามการลงทุน ของนักลงทุนต่างชาติว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร
ส่วนกรณีที่เงินบาทแข็งค่า เป็นผลมาจากพื้นฐานเศรษฐกิจ ที่แข็งแกร่ง และการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะมีผลกระทบกับผู้ประกอบการในบางอุตสาหกรรมอย่างไรก็ตาม บริษัทจดทะเบียน จะต้องพัฒนาศักยภาพให้เข้มแข็งเพื่อรองรับกับปัจจัยที่เข้ามากระทบ และการแข็งค่าของเงินบาทที่เกิดขึ้น ก็ถือว่าเป็นไปในทิศทางเดียวกับภูมิภาค