หน้า 3 จากทั้งหมด 3

Re: แนวโน้ม ราคา LPG ใช้ในรถ เป็นอย่างไรคับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 06, 2012 9:50 am
โดย pak
'ยิ่งลักษณ์'ลอยตัว LPG 'เฮียเพ้ง'ลั่นกลางก.พ.ปีหน้าเอาแน่ /ครัวเรือนขยับ 7 บาทต่อกก. รัฐบาลอั้นไม่ไหว5ปีละเลงเกลี้ยงแสนล้าน
Source - ฐานเศรษฐกิจ (Th), Wednesday, December 05, 2012

"ยิ่งลักษณ์" ไฟเขียวปล่อยลอยตัวก๊าซหุงต้ม "เฮียเพ้ง" ยืนยันกลางกุมภาพันธ์ปีหน้า ทยอยปรับขึ้นทุกภาคส่วน ครัวเรือนขยับ 7 บาทต่อกก.อั้นไม่ไหว หลังชดเชยสะสมมานาน 5 ปี ทะลุกว่า 1 แสนล้านบาท ยันมีแนวทางช่วยเหลือคนจน ผู้มีรายได้น้อยกว่า 4 ล้านราย ทั้งหาบเร่ แผงลอย ใช้เดือนละ 69 ล้านบาท อุดหนุนต่อ แลกประหยัดเงินชดเชยได้เดือนละ 3 พันล้านบาท

จากถ้อยแถลงของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต่อรัฐสภา ที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างราคาพลังงานให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ถือเป็นความพยายามของรัฐบาลทุกยุคทุกสมัย แต่ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ เมื่อรัฐบาลห่วงว่าจะเสียคะแนน และกระทบไปถึงฐานคะแนนเสียง จึงกลายเป็นปัญหาที่หมักหมมสะสมมานานยากจะแก้ไข โดยเฉพาะปัญหาโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี แม้รัฐบาลชุดนี้ได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นนายพิชัย นริพทะพันธุ์ และนายอารักษ์ ชลธาร์นนท์ เข้ามาแก้ไข แต่ก็ต้องสะดุดจากนโยบายประชานิยม ที่ไม่ต้องการให้เป็นภาระต่อค่าครองชีพ

แต่เมื่อถึงเวลา นายกรัฐมนตรีก็ไม่สามารถทัดทานจากการอุ้มแอลพีจีไว้ได้ โดยเฉพาะการเปิดประชาคมเศรษฐ กิจอาเซียนหรือเออีซีใกล้เข้ามาทุกขณะ หากไม่เร่งแก้ปัญหาแล้วประเทศไทยจะกลายเป็นผู้อุดหนุนราคาพลังงานให้กับเพื่อนบ้านแทน

"พงษ์ศักดิ์" อ้างนายกฯไฟเขียว

ล่าสุดนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาเปิดเผยว่า จากการหารือกับนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในช่วงที่ผ่านมา ถึงการปรับโครงสร้างราคาพลังงาน โดยเฉพาะการยกเลิกการอุดหนุนราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ทางนายกรัฐมนตรี มีความเห็นชอบที่จะให้มีการปล่อยลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มทุกภาคส่วนขึ้นไป ภายหลังจากสิ้นสุดมาตรการตรึงราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนสิ้นปีนี้

ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ในเดือนธันวาคมนี้ กระทรวงพลังงานจะเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มทุกภาคส่วนขึ้นไปให้ใกล้เคียงกับต้นทุนที่เป็นจริง ซึ่งจะเริ่มมีผลประ มาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า โดยในส่วนราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนจะปรับขึ้นไปไม่เกิน 25.30 บาทต่อกิโลกรัมหรือปรับขึ้นไป 7.17 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบันตรึงอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม โดยอ้างอิงตามราคาก๊าซที่มาจากโรงแยกก๊าซภายในประเทศ

ขณะที่ภาคขนส่งตรึงราคาอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม และภาคอุตสาห กรรม 30.13 บาทต่อกิโลกรัม จะปรับราคาขึ้นไปตามราคาตลาดโลก จากปัจจุ บันอยู่ที่ 986 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตันหรือตกประมาณ 38 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งการปรับครั้งนี้จะเป็นลักษณะทยอยปรับขึ้นไปเดือนละประมาณ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม

ยันลดภาระกองทุนน้ำมันฯ

ทั้งนี้ การปล่อยลอยตัวราคาดังกล่าว เนื่องจากเวลานี้ประเทศนำเข้าแอลพีจีค่อนข้างมาก หากย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ประเทศต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มมียอดถึง 5.64 ล้านตัน ต้องใช้เงินในการอุดหนุนราคาส่วนต่างนำเข้ากว่า 9.3 หมื่นล้านบาท และต้องชดเชยราคาหน้าโรงกลั่นไปแล้วกว่า 2.4 หมื่นล้านบาท รวมแล้วต้องชดเชยราคาแอลพีจีกว่า 1.17 แสนล้านบาท หรือต้องใช้เงินในการอุดหนุนราคาเดือนละราว 3 พันล้านบาท หากไม่ปรับราคาจะส่งผลให้ต้องนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงมาอุดหนุนมากขึ้น จากปัจจุบันที่ติดลบอยู่ประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท และเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีแล้ว ประเทศไทยจะกลายเป็นผู้อุดหนุนราคาพลังงานให้กับเพื่อนบ้านแทน ซึ่งการปรับราคาขึ้นไปครั้งนี้กระ ทรวงพลังงานมีเป้าหมายที่จะให้กองทุนน้ำมันฯ มีฐานะกลับมาเป็นบวกภายในปี 2556

ช่วยผู้มีรายได้น้อย 4 ล้านราย

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวยืนยันว่า การปล่อยลอยตัวราคาแอลพีจีครั้งนี้ ทางรัฐบาลจะมีมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย โดยในสัปดาห์นี้กระทรวงพลังงานจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาหารือมาตรการช่วยเหลือ ซึ่งเบื้องต้นจะเร่งนำบัตรเครดิตพลังงานมาใช้ โดยจะช่วยเหลือครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือน คาดว่าจะมี 3.7 ล้านครัวเรือน ครัวเรือนที่ไม่ได้ใช้ไฟ ฟ้า คาดว่าจะมี 1.9 แสนครัวเรือน และหาบเร่แผงลอย จำนวน 4 แสนราย รวมผู้ที่จะได้รับการช่วยเหลือทั้งสิ้นคาดว่าจะอยู่ที่กว่า 4 ล้านราย ทั้งนี้จะให้ผู้ที่เข้าข่ายได้รับการช่วยเหลือดังกล่าวมาลงทะเบียน เพื่อรับบัตรเครดิตพลังงาน

โดยกระทรวงพลังงานจะเร่งให้ผู้มีรายได้น้อยดังกล่าว มาลงทะเบียนในส่วนของผู้ที่เข้าข่ายขอรับเงินอุดหนุนราคาแอลพีจี ซึ่งน่าจะเริ่มได้ภายในเดือนธันวาคมนี้ และจะเสร็จภายในกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2556 หลังจากนั้นจะประกาศขึ้นราคาแอลพีจีทันที ซึ่งในส่วนของผู้ที่มีรายได้น้อย จะไม่มีผลกระทบ เพราะมีบัตรเครดิตพลังงานช่วยแบกรับภาระนี้ไว้ แต่ผู้ที่ไม่เข้าข่ายจะต้องใช้ก๊าซหุงต้มในราคาที่เป็นจริง

"ปริมาณความต้องการใช้แอลพีจีในภาคครัวเรือนของผู้มีรายได้น้อยจะอยู่ที่ประมาณ 3-4 กิโลกรัมต่อเดือน แต่กระทรวงจะให้การอุดหนุนอยู่ที่ 6 กิโล กรัมต่อเดือน ส่วนร้านค้าหาบเร่แผงลอย มีความต้องการใช้แอลพีจีอยู่ที่ประมาณ 150 กิโลกรัมต่อเดือน หากราคาแอลพีจีที่ปรับขึ้น 1 บาทต่อกิโลกรัม คาดว่าจะใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุด หนุนประมาณ 69 ล้านบาทต่อเดือน"

สำหรับตัวเลขความต้องการใช้แอลพีจีภาคครัวเรือนในปี 2555 อยู่ที่ 2.5 แสนตันต่อเดือน คิดเป็น 42%, ภาคขนส่งอยู่ที่ 8.9 หมื่นตันต่อเดือน คิดเป็น 15%, ภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่ 5.1 หมื่นตันต่อเดือน คิดเป็น 8% และภาคปิโตร เคมีอยู่ที่ 2.12 แสนตันต่อเดือน คิดเป็น 35% ของปริมาณการใช้ทั้งหมด รวมปริมาณการใช้แอลพีจีทั้งสิ้น 6.01 แสนตันต่อเดือน

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า นอก จากนี้ยังสั่งการให้กรมธุรกิจพลังงาน(ธพ.) เร่งหามาตรการป้องกันการลักลอบใช้ผิดประเภท และลักลอบขายข้ามประเทศ เบื้องต้นได้สั่งการให้ติดมิเตอร์ที่โรงแยกก๊าซ โรงบรรจุก๊าซ และสถานีบริการแอลพีจี เพื่อตรวจสอบการเคลื่อน ไหวของแอลพีจี โดยผู้ที่รับแอลพีจีจากผู้ค้ามาตรา 7 จะต้องรายงานอย่างละเอียด การเคลื่อนย้ายแอลพีจี หากพบว่ามีการลักลอบใช้ผิดประเภท หรือขายข้ามเขต แดน ก็จะมีมาตรการลงโทษตามกฎ หมาย นอกจากนี้ได้พิจารณาเพื่อเพิ่มบทลงโทษดังกล่าวด้วย

ครัวเรือนจ่ายเพิ่ม 105 บาทต่อเดือน

แหล่งข่าวจากกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หากรัฐบาลสามารถปรับราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนขึ้นไปได้ 7 บาทต่อกิโลกรัม จะช่วยลดเงินจากการอุด หนุนของกองทุนน้ำมันฯ ได้ประมาณเดือนละ 1.75 พันล้านบาท ซึ่งยังไม่รวมในส่วนของภาคขนส่ง หากปรับราคาขึ้นไปเต็มเพดานที่ 16 บาทต่อกิโลกรัม จะลดภาระเงินอุดหนุน 1.424 พันล้านบาท และในส่วนของอุตสาหกรรมปรับขึ้นอีก 7-8 บาทต่อกิโลกรัม ลดเงินอุดหนุนได้ประมาณ 357-408 ล้านบาท รวมแล้วลดการอุดหนุนได้ประมาณ 3.5พันล้านบาทต่อเดือน

ในขณะที่ภาคครัวเรือนปกติจะใช้ก๊าซหุงต้มถังขนาด 15 กิโลกรัม เฉลี่ยเดือนละ 1 ถัง หากราคาปรับเพิ่มขึ้นไป 7 บาทต่อกิโลกรัม จะทำให้มีภาระเพิ่มขึ้นประมาณ 105 บาทต่อเดือน จากปัจจุบันราคาก๊าซหุงต้ม 15 กิโลกรัมของบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อยู่ที่ประมาณ 280-290 บาทต่อถัง

ทุกฝ่ายรับลูกปรับราคา

นายมนูญ ศิริวรรณ ผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงาน กล่าวให้ความเห็นว่า เห็นด้วยกับนโยบายปรับขึ้นราคาแอลพีจีเพื่อสะท้อนกับราคาตลาดโลก เพราะปัจจุบันราคาโรงแยกก๊าซถูกตรึงไว้ที่ 333 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน หรือ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับราคาตลาดโลกที่ 986 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อตัน หรือที่ประมาณ 38 บาทต่อกิโลกรัม นอกจากนี้จะช่วยลดภาระกองทุนน้ำมันฯ ที่ต้องอุดหนุนราคานำเข้าแอลพีจีด้วย

อย่างไรก็ตาม ราคาแอลพีจีควรมาจากโครงสร้างเดียวกัน ซึ่งควรมีราคาเดียวเพื่อลดความยุ่งยากซับซ้อน โดยมาจากราคานำเข้าบวกราคาโรงแยกก๊าซ จากนั้นก็นำมาเฉลี่ยกัน และขายแอลพีจีเป็นราคาเดียว หลังจากนั้นก็ใช้บัตรเครดิตพลังงานเพื่อช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม เพื่อลดผลกระทบสำหรับผู้มีรายได้น้อย ขณะเดียวกันเชื่อว่าราคาแอลพีจีที่ไม่แตกต่างกันมากนัก จะทำให้ความจูงใจลักลอบใช้ผิดประเภทเกิดขึ้นน้อยลง

สอดรับกับนายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) ที่ระบุว่า เห็นด้วยกับนโยบายการทยอยปรับขึ้นราคาแอลพีจีดังกล่าว แต่ควรทยอยปรับขึ้นเดือนละ 0.50 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อไม่ให้กระทบต่อผู้บริโภคมากเกินไป โดยเฉพาะกลุ่มขนส่ง อาทิ กลุ่มแท็กซี่ จะต้องหารือร่วมกันว่าราคาแอลพีจีที่เพิ่มขึ้นจะกระทบต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเท่าไร แต่เชื่อว่าหากราคาแอลพีจีเป็นราคาตลาดโลก หรือประมาณ 16-17 บาทต่อลิตร ก็เป็นราคาที่ยังต่ำกว่าน้ำมันเบนซิน เชื่อว่าเป็นระดับราคาที่ภาคขนส่งรับได้

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาคครัว เรือน กระทรวงจะใช้บัตรเครดิตพลังงานเพื่อช่วยเหลือเฉพาะกลุ่ม แต่สิ่งที่ยังกังวลคือ การใช้บัตรเครดิตพลังงานจะใช้รูปแบบใด เนื่องจากพฤติกรรมการใช้แอลพีจีของประชาชนจะสั่งผ่านร้านค้าชุมชนขนาดเล็ก ที่มีบริการส่งถึงบ้าน ดังนั้นการใช้บัตรจะเป็นปัญหายุ่งยากหรือไม่

ทั้งนี้ จากการรายงานของกระ ทรวงพาณิชย์ พบว่า หากมีการทยอยปรับราคาก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนขึ้นไปกิโลกรัมละ 50 สตางค์ต่อเดือนหรือประ มาณ 6 บาทต่อปี จะมีผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น 0.0094% ต่อเดือนและสูงขึ้น 0.1228% ต่อปี ซึ่งต้นทุนที่เพิ่มขึ้นยังไม่มีผลต่อราคาสินค้ามากนัก

--จบ--

Re: แนวโน้ม ราคา LPG ใช้ในรถ เป็นอย่างไรคับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 11, 2012 11:33 am
โดย pak
'เพ้ง'เล็งขึ้นราคาLPG
Source - ข่าวหุ้น (Th), Tuesday, December 11, 2012


ขาย24.82บาทต่อกก.

ทั้งภาคขนส่ง-ครัวเรือน

นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางกระทรวงพลังงานได้ศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างราคา LPGทั้งระบบ โดยราคาแอลพีจีครัวเรือนและภาคขนส่งปี 2556 จะปรับขึ้นไปอยู่ที่ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม

สำหรับภาคครัวเรือนจะปรับขึ้นอีก 6.69 บาทต่อกิโลกรัม จากปัจจุบันราคาอยู่ที่ 18.13 บาทต่อกิโลกรัม ด้านภาคขนส่งจะปรับขึ้น 3.44 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 21.38 บาทต่อกิโลกรัม ส่วนภาคอุตสาหกรรมจะคงอยู่ในอัตราไม่เกิน 30.13 บาทต่อกิโลกรัม

นอกจากนี้ ยังได้เตรียมจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ หรือ กพช. ที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานก่อนสิ้นเดือน ธ.ค.2555 กรณีการปรับขึ้นราคาก๊าซ เพียงแต่จะเริ่มทยอยปรับเมื่อใดนั้นคงต้องขึ้นกับการพิจารณาความเหมาะสมจากคณะกรรมการที่กระทรวงพลังงานจัดตั้งขึ้นเพื่อเสนอความเห็นให้ กพช.พิจารณาเห็นชอบ

นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ในเบื้องต้นราคา LPG ภาคขนส่งและครัวเรือนอยู่ที่ราคาประมาณ 24.82 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่คำนวณมาจากการผลิตจากโรงแยกก๊าซธรรมชาติ ที่ระดับราคาราว 550 ดอลลาร์ต่อตัน ซึ่งสูงกว่าราคาควบคุมหน้าโรงแยกก๊าซฯในปัจจุบันที่อยู่ระดับ 333 ดอลลาร์ต่อตัน ทำให้การปรับราคา LPG ภาคครัวเรือนต้องปรับขึ้นอีกประมาณ 6 บาทต่อกิโลกรัม โดยทยอยปรับขึ้นเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม เป็นเวลา 12 เดือน

ส่วนการปรับราคา NGV นั้น ยืนยันว่า จะยังไม่มีการปรับขึ้นราคาจนกว่าบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้จัดทำแผนสร้างสถานีบริการ NGV ให้เพียงพอกับความต้องการเสียก่อน ซึ่งอาจให้ PTT ลงทุนเองหรืออาจร่วมทุนกับเอกชนรายอื่นๆ ซึ่งหากมีแผนลงทุนที่ชัดเจนจึงจะอนุมัติให้มีการปรับขึ้นราคา NGV ดังนั้น ในช่วงระหว่างที่ยังไม่ได้ทำแผนก็จะต้องแบกรับภาระขาดทุนไปก่อน

นอกจากนี้ ยังพร้อมที่หาข้อสรุปมาตรการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว โดยการชดเชยไม่เกิน 6 กิโลกรัมต่อเดือน ซึ่งผู้ที่จะได้รับการสนับสนุนจะเป็นผู้มีรายได้น้อยประมาณ 4 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็นครัวเรือนที่มีการใช้ไฟไม่เกิน 50 หน่วยต่อเดือนจำนวน 3,673,610 ครัวเรือน และครัวเรือนที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ 194,907 ครัวเรือน ขณะที่กลุ่มหาบเร่ แผงลอย และร้านค้า รัฐบาลจะมีการชดเชยให้ โดยจะอุดหนุนไม่เกิน 150 กิโลกรัม/เดือน หรือถัง 15 กิโลกรัม 10 ถัง โดยผลการสำรวจพบว่ามีปริมาณการใช้เพียงเดือนละ 130 กิโลกรัมเท่านั้น

--จบ--

Re: แนวโน้ม ราคา LPG ใช้ในรถ เป็นอย่างไรคับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 14, 2012 9:25 am
โดย pak
คอลัมน์: Alternative Life: เห็นด้วยไม่เห็นด้วย(2)
Source - โพสต์ ทูเดย์ (Th), Friday, December 14, 2012
ภาสกร พุทธิชีวิน



มาดูกันต่อนะครับ เรื่องขึ้นราคาก๊าซLPG ที่มีทั้งผู้เห็นด้วยและผู้ที่ไม่เห็นด้วย ผู้ที่เห็นด้วยว่ากันไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วสัปดาห์นี้ว่ากันด้วยผู้ที่ไม่เห็นด้วยเขาให้เหตุผลดังนี้ครับ

กระทรวงพลังงานได้มีการแบ่งประเภทผู้ใช้ก๊าซLPG ออกมาเป็น 4 ประเภท คือ ภาคครัวเรือน ภาคยานยนต์ ภาคอุตสาหกรรม และภาคสุดท้าย คือ ภาคปิโตรเคมี ซึ่งเขาบอกว่าภาคปิโตรเคมีก็ของ ปตท. นั่นแหละ

ตัวเลขในปี 2554 ภาคครัวเรือนมีอัตราการใช้สูงสุด คือ 39% ภาคปิโตรเคมีตามมาติดๆ 35% ภาคยานยนต์ใช้ 13% และภาคอุตสาหกรรมใช้น้อยสุดคือ10%

อัตราการใช้เพิ่มกลับเป็นของภาคปิโตรเคมีที่มีอัตราการเพิ่มเมื่อเทียบกับปี2553 ถึง 34% ในขณะที่ภาคครัวเรือนใช้เพิ่มขึ้น 9%

การใช้ LPG ที่มีการขยายตัวขึ้น ทำให้ LPG ที่ผลิตได้ในประเทศไทยไม่เพียงพอ จากการที่เราเป็นผู้ส่งออก LPG กลายเป็นว่าเราเป็นผู้นำเข้าในปี 2551 คือปีแรกที่เรานำเข้า เรานำเข้ามา 4.5 แสนตัน คิดเป็นสัดส่วน 9.4% ของปริมาณการใช้ทั้งหมดในประเทศ

ในปี 2554 เรานำเข้าก๊าซ LPG ถึง 1.4 ล้านตันดูตัวเลขให้ดีนะครับ เขาบอกว่า เฉพาะภาคปิโตรเคมีอย่างเดียวใช้ไป 2.1 ล้านตัน นั่นหมายถึงภาคปิโตรเคมีมาแย่งก๊าซ LPG ในประเทศไป รัฐต้องอุดหนุนให้กับปิโตรเคมีไปด้วยในราคากิโลกรัมละ 13 บาท เพราะต้นทุน 31 บาท

ตรงนี้แหละครับที่เป็นปัญหาของพวกที่ไม่ยอมให้ขึ้นราคา เพราะเขาบอกว่าถ้าไม่มีภาคปิโตรเคมีเข้ามาใช้เฉพาะ 3 ส่วน LPG ในประเทศพอใช้แน่นอน

กลุ่มนี้ให้เหตุผลว่า ตอนตั้งกองทุนน้ำมันฯ ขึ้นมาในปี 2552 วัตถุประสงค์ชัดเจนก็คือ เพื่อใช้เป็นกลไกของรัฐในการป้องกันการขาดแคลนน้ำมัน และใช้ในการรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงของประเทศโดยไม่มีส่วนไหนเลยที่ให้อุดหนุนราคา LPG

การอุดหนุน LPG เริ่มขึ้นในปี 2542 ในราคากิโลกรัมละ 5 บาทกว่าๆ และขายก๊าซราคาเดียวกันทุกภาคส่วน ไม่ว่าครัวเรือน ขนส่ง อุตสาหกรรม และปิโตรเคมี และที่แปลกมากๆ ก็คือ ในส่วนของ LPG รัฐไม่เคยเก็บเงินเข้ากองทุนเลย เพิ่งจะมาเริ่มเก็บเอาเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2555 นี่เอง โดยภาคครัวเรือนยังไม่เก็บเก็บในภาคยานยนต์กิโลกรัมละ 0.7 บาท และภาคอุตสาหกรรมและภาคปิโตรเคมีเก็บกิโลกรัมละ 8.4 บาท

กลุ่มนี้อธิบายต่อว่า ตลอดเวลาจากปี 2542 จนถึงปี 2554 ภาคปิโตรเคมีใช้ก๊าซ LPG เป็นล้านตันในการผลิตเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ รวมกันทั้งสิ้น 12.37 ล้านตัน มูลค่าส่งออกจากเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ของกลุ่มปตท. ประมาณ 5 แสนกว่าล้านบาท

กลุ่มนี้บอกว่ามันไม่ควรจะจบตรงที่รัฐบาลเก็บเงินLPG เข้ากองทุน แต่มันต้องมีการคำนวณกลับไปด้วยว่า ตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปี 2554 ปตท.ได้รับผลประโยชน์จากการอุดหนุนของรัฐบาลไปเท่าไหร่ และต้องเอาส่วนนั้นคืนให้กับรัฐบาล

เขาคำนวณว่า ปตท.ใช้ LPG ไป 12.37 ล้านตันเขาคิดเงินที่รัฐอุดหนุนไปสักกิโลกรัมละ 8 บาทพอ ไม่ต้องถึง 13 บาทในปัจจุบัน งานนี้ ปตท.ต้องใช้เงินคืนรัฐบาลประมาณ 1 แสนล้านบาท มันควรจะต้องเป็นของคนไทยทุกคน มิใช่ของ ปตท.แค่เพียงผู้เดียว

กลุ่มนี้เขาเสนอต่อว่า ในเมื่อตอนนี้กลุ่มปิโตรเคมีเป็นกลุ่มใหญ่ที่ใช้ก๊าซ LPG และเป็นการใช้ LPG เพื่อธุรกิจของ ปตท.เอง ปตท.ควรจะเป็นผู้นำเข้าก๊าซ LPG เองในราคากิโลกรัมละ 31 บาท และรัฐไม่ต้องไปชดเชยให้ ปตท. กำไรของ ปตท.อาจจะลดลงไปบ้าง แต่ภาคส่วนอื่นไม่ว่าครัวเรือนยานยนต์ หรืออุตสาหกรรมรอดหมด

เป็นไปอย่างนี้ก็คือ ปตท.เป็นผู้นำเข้าเอง นั่นหมายถึงว่าเราก็สามารถตรึงราคาก๊าซ LPG อยู่ที่ 18 บาท ได้โดยไม่ต้องนำเข้าก๊าซ LPG เพราะว่าในประเทศพอใช้

การมีต้นทุนพลังงานที่ต่ำกว่าคนอื่นๆทำให้เราแข่งขันได้ แต่มันทำให้เข้มแข็งด้วยหรือเปล่า มันทำให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ ไม่ว่าเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ไปมากน้อยเพียงใด

การประหยัดพลังงานจะรณรงค์กันอย่างไร? ในขณะที่รัฐยังต้องมีการสนับสนุนอยู่ การเขี่ยภาคปิโตรเคมีให้รับผิดชอบตัวเอง จะทำให้การลักลอบส่งก๊าซไปขายประเทศเพื่อนบ้านลดลงหรือไม่

ลองเอาผลประโยชน์ของตัวเองออกไปทิ้งไว้ข้างทาง แล้วพิจารณาดีๆ ว่า ถ้าขึ้นราคา LPG แล้วประเทศได้อะไร? ไม่ขึ้นแล้วประเทศได้อะไร? บางทีคำตอบของทั้งสองฝ่ายอาจจะเป็นคำตอบเดียวกันก็ได้

--จบ--

Re: แนวโน้ม ราคา LPG ใช้ในรถ เป็นอย่างไรคับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 14, 2012 9:26 am
โดย pak
สำรองLPGเริ่มเสี่ยง ปตท.หนุนลอยตัวปีหน้า
Source - ASTV ผู้จัดการรายวัน (Th), Friday, December 14, 2012

ASTVผู้จัดการรายวัน - ปตท.หนุน ก.พลังงานลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มปีหน้า เผยขณะนี้ปริมาณสำรองเหลือแค่ 1-2 วัน มีความเสี่ยงเนื่องจากแหล่งซัปพลายใหญ่อยู่ตะวันออกกลาง และยังลดภาระการอุดหนุนของ ปตท.และประเทศชาติ ด้านรมว.พลังงานหนุนเกษตรกรปลูกหญ้าเลี้ยงช้างเพื่อหมักทำก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้า มั่นใจต้นปีหน้าออกกฎระเบียบชัดเจน

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากราคาขายก๊าซหุงต้ม (LPG)ในประเทศที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลกถึง 3 เท่าตัว ทำให้ไทยต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความสามารถของคลังและท่าเรือไม่เพียงพอที่จะรองรับการนำเข้าก๊าซหุงต้มได้เพิ่มขึ้นและปริมาณสำรองก๊าซหุงต้มในประเทศเหลือแค่ 1-2 วันซึ่งถือว่ามีความเสี่ยง ด้านความมั่นคงและการขนส่งเนื่องจากแหล่งซัปพลายใหญ่มาจากตะวันออกกลาง

ดังนั้นนโยบายรัฐที่จะปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงในปีหน้า ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศไม่ต้องอุดหนุน ขณะเดียวกันภาระการอุดหนุนราคาก๊าซฯของ ปตท.ก็จะลดลงด้วย แต่จะลดภาระเท่าใดยังต้องรอดูความชัดเจนของการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มก่อน

ส่วนกรณีที่กระทรวงพลังงานให้ ปตท.จัดทำแผนขยายเพิ่มสถานีบริการ NGV ให้ชัดเจนเพื่อแลกกับการปรับขึ้นราคาก๊าซฯนั้นขณะนี้ ปตท.อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผนเพื่อเสนอต่อกระทรวงพลังงาน โดยยอมรับว่าการขยายสถานียังมีปัญหาหลายด้าน

สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 100-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบน่าจะอยู่ที่ 105-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองค่อนข้างมาก โดยล่าสุดทางอิสราเอลจะเลื่อนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเป็นต้นปี 56 และปัญหาข้อพิพาทหมู่เกาะสเปรตลีย์ แถบทะเลจีนใต้คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด

ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานสัมมนา Green Energy Forum :พลังงานสีเขียว ดุลยภาพสู่ความยั่งยืน ว่ากระทรวงพลังงานมีนโยบายสนับสนุนพลังงานสีเขียวอย่างจริงจังโดยเฉพาะก๊าซชีวภาพเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า อาทิ หญ้าเนเปียร์หรือหญ้าเลี้ยงช้างนำมาหมักเพื่อให้ก๊าซชีวภาพ ซึ่งพบว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากหญ้าดังกล่าวไม่สูงมากอยู่ที่ 100 ล้านบาท/เมกะวัตต์ โดยอัตราค่าไฟฟ้าแบบFeed in Tariff จะอยู่ที่ 4.50 บาท/หน่วย ตลอดอายุสัญญา 25 ปี ซึ่งต่ำกว่าราคาค่าไฟที่ซื้อจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงถึง 9.70 บาท/หน่วย(รวมแอดเดอร์ 6.50 บาท) ทำให้ค่าเอฟทีไม่สูงมากนัก

ดังนั้น กระทรวงพลังงานจะส่งเสริมโครงการผลิตไฟฟ้าจากหญ้าเลี้ยงช้างให้ได้7,000 เมกะวัตต์ภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 1% เนื่องจากไฟฟ้าส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ 67% ถ่านหิน 20%พลังน้ำ 5% เนื่องจากหญ้าเลี้ยงช้างเพาะปลูกในที่ดอน ทนแล้งได้ดี โดยสร้างรายได้ให้เกษตรกรตันละ 300 บาทสูงกว่าการปลูกมันสำปะหลัง

โดยกระทรวงพลังงานจะออกประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนและแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานชีวภาพที่ผลิตจากหญ้าเลี้ยงช้างได้ในช่วง ม.ค.-ก.พ.56 คาดว่าจะเห็นการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพนี้ในปี 2558 ขณะนี้โครงการดังกล่าวมีการนำร่องที่จังหวัดเชียงใหม่และนครราชสีมา--จบ--



ที่มา: หนังสือพิมพ์ASTVผู้จัดการรายวัน

Re: แนวโน้ม ราคา LPG ใช้ในรถ เป็นอย่างไรคับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 16, 2012 8:22 am
โดย naphas12
ต่อให้ลอยตัวไปถึง 30 บาท คนก็ใช้อยู่ดี เพราะยังถูกกว่าเบนซิน

Re: แนวโน้ม ราคา LPG ใช้ในรถ เป็นอย่างไรคับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 21, 2012 9:39 am
โดย pak
พิษสงรถคันแรก คาดนำเข้าก๊าซ ปี56ซด2ล้านตัน
Source -ไทยโพสต์ (Th), Friday, December 21, 2012

กรมธุรกิจพลังงานหวั่นรถใหม่ตามโครงการรถยนต์คันแรกแห่ติดเอ็นจีวีและแอลพีจีหนีราคาน้ำมันแพง ทำยอดใช้ก๊าซแอลพีจีปี 2556 พุ่ง คาดต้องนำเข้าเพิ่มอาจทำลายสถิติสูงสุดรวมกว่า 2 ล้านตัน ขณะยอดใช้เอ็นจีวี พ.ย.2555 ทุบสถิติสูงสุดแล้ว 8,100 ตันต่อวัน ลุ้น ธ.ค.มีสิทธิ์ใช้สูงสุดอีกครั้ง 8,500 ตันต่อวัน ชี้ตั้งแต่ปี 2551 ไทยชดเชยส่วนต่างราคาแอลพีจีสูญเงินแล้วกว่า 1.4 แสนล้านบาท

นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน เปิดเผยสถานการณ์การใช้พลังงานไทยในปี 2555 ว่า ยอดการใช้พลังงานเกือบทุกชนิดในปี 2555 ปรับตัวสูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) มียอดการใช้เพิ่มขึ้น 11% อยู่ที่ 6.5 แสนตันต่อเดือน ซึ่งเท่ากับมีการใช้เพิ่มขึ้นถึง 6 หมื่นตันต่อเดือน โดยเป็นการใช้เพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือนและภาคขนส่งเป็นหลัก ทั้งนี้ แม้รัฐบาลจะปรับขึ้นราคาแอลพีจีภาคขนส่งจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 21.38 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อต้นปี 2555 แต่ราคายังถูกกว่าน้ำมัน ทำให้ประชาชนยังคงนิยมใช้แอลพีจีในภาคขนส่ง จนยอดการใช้ในภาคดังกล่าวเพิ่มขึ้นถึง 15% เมื่อเทียบกับปี 2554

อย่างไรก็ตาม ตลอดปี 2555 จึงต้องมีการนำเข้าแอลพีจีจากต่างประเทศรวมแล้วกว่า 1.7 ล้านตัน หรือเฉลี่ยนำเข้า 1.4 แสนตันต่อเดือน คิดเป็นมูลค่านำเข้ากว่า 5.3 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ รัฐบาลต้องชดเชยส่วนต่างราคาที่ซื้อจากต่างประเทศแพงและมาขายถูกในประเทศไปแล้วกว่า 3.25 หมื่นล้านบาท และหากนับการชดเชยตั้งแต่ปี 2551 ที่ไทยเริ่มนำเข้าแอลพีจีเป็นครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน ต้องนำเงินไปชดเชยแล้วกว่า 1.4 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ หากรัฐบาลไม่มีการปรับขึ้นราคาแอลพีจีในปี 2556 จะส่งผลให้ยอดการใช้ภาคครัวเรือนและขนส่งเติบโตเฉลี่ย 10% และต้องนำเข้าแอลพีจีเฉลี่ย 1.7 แสนตันต่อเดือน หรือนำเข้ารวมสูงสุดทำลายสถิติที่เคยนำเข้ามาในไทยถึง 1.9-2 ล้านตัน

สำหรับยอดการใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (เอ็นจีวี) ในปี 2555 มีการใช้พุ่งสูงสุดทำลายสถิติแล้วถึง 8,100 ตันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น 20.6% เมื่อเทียบกับปี 2554 แม้จะมีการปรับราคาจาก 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อต้นปี 2555 เป็น 10.50 บาทต่อกิโลกรัม ในปัจจุบัน แต่ยังถูกกว่าราคาน้ำมันมาก ทำให้ยอดการใช้ยังสูงต่อเนื่อง

ส่วนยอดการใช้น้ำมันในปี 2555 นั้น กลุ่มน้ำมันแก๊สโซฮอล์ได้พลิกกลับมาเพิ่มสูงขึ้นเป็นสัดส่วน 60% ขณะที่ยอดการใช้เบนซินคิดเป็นสัดส่วน 40% ซึ่งสูงกว่าปี 2554 ที่การใช้เบนซินมีสัดส่วน 60% น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 40% เนื่องจากในปี 2554 รัฐบาลมีนโยบายปรับลดกองทุนน้ำมันครั้งใหญ่ ทำให้ราคาเบนซินถูกลง 7-8 บาทต่อลิตร และดีเซลถูกลงกว่า 3 บาทต่อลิตร ทำให้คนแห่มาใช้เบนซินถึง 10 ล้านลิตรต่อเดือน แต่ปัจจุบันกลับสู่ภาวะปกติที่ 5-7 ล้านลิตรต่อเดือน

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการยกเลิกจำหน่ายเบนซิน 91 ในวันที่ 1 ม.ค.2556 จะทำให้ยอดการใช้แก๊สโซฮอล์อี-20 และเบนซิน 95 ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งจากการหารือค่ายน้ำมันต่างๆ พบว่า หลายค่ายเตรียมหันมาจำหน่ายเบนซิน 95 โดยเฉพาะค่ายน้ำมัน ปตท.ที่มีโลโก้จิฟฟี่ ยืนยันจะขายเบนซิน 95 แน่นอนแล้ว ซึ่งขณะนี้มีเพียงปั๊มของคาลเท็กซ์และซัสโก้เท่านั้นที่ขายเบนซิน 95 รวมประมาณ 95 ปั๊ม ส่วนค่ายอื่นๆ กำลังพิจารณายอดขายเบนซิน 95 ก่อนตัดสินใจเพิ่มการขายน้ำมันเบนซิน 95 หรือไม่

แหล่งข่าวกรมธุรกิจพลังงานกล่าวว่า กรมฯ มีความเป็นห่วงจำนวนรถยนต์ออกใหม่ตามโครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลว่า ผู้ซื้อรถจะมีการนำไปติดตั้งถังแอลพีจีหรือเอ็นจีวี และบางค่ายได้ผลิตรถยนต์ที่ติดตั้งถังเอ็นจีวีมาแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้ยอดการใช้แอลพีจีและเอ็นจีวีในปี 2556 พุ่งสูงสุด และมีความเป็นไปได้ว่าในเดือน ธ.ค.2555 ยอดใช้เอ็นจีวีอาจสูงสุดถึง 8,500 ตันต่อเดือนได้ เนื่องจากเป็นฤดูท่องเที่ยวและรถยนต์ออกใหม่เริ่มทยอยมาใช้เอ็นจีวีเพิ่มขึ้นแล้ว ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับนโยบายปรับโครงสร้างราคาแอลพีจีและเอ็นจีวีของรัฐบาล จะส่งผลต่อยอดการใช้ให้ลดลงได้หรือไม่ต่อไป

วันเดียวกันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ว่า เห็นชัดเจนว่าขณะนี้นโยบายของรัฐบาลกำลังเพิ่มหนี้สาธารณะอย่างไร แล้วตอนนี้ที่น่าสนใจก็คือว่าเมื่อรัฐบาลขยับเรื่องนโยบายภาษีด้วย แต่ว่ามันมาบวกเลข บวกลบคูณหารแล้วมันไม่ลงตัว มันไม่บรรจบกันในแง่ของผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในแง่ของฐานะการคลังของประเทศ ก็อยากจะเตือนรัฐบาลว่าคงต้องดูกันให้เป็นระบบครับ.