Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมเชื่อว่า คนเราศรัทธาสิ่งใด มุ่งมั่นในสิ่งใด ก็จะได้ผลลัพธ์เช่นนั้น

คนที่ดูถูกสิ่งใด ขาดศรัทธาในสิ่งใด ก็จะได้ผลลัพธ์เช่นนั้นเช่นกันครับ

ประเด็นเรื่องนักลงทุนเต็มเวลากับคุณค่าของชีวิตกลับมาอีกรอบ ประเด็นนี้จะโผล่มาเป็นระยะ ๆ พร้อมกับความเห็นที่แตกต่าง

ผมว่าใครจะทำอย่างไรก็ตามสบายเถอะครับ จะเห็นแกสังคมมากหรือน้อยก็แล้วแต่ท่านจะเลือกที่จะทำอย่างไร

ขอเพียงแต่ทำอะไรที่สุจริต ทั้งการลงทุนและการใช้ชีวิตครับ อย่าได้เอาเปรียบคนอื่นเพียงเพราะความโลภ เงิน

นานาจิตตังน่าคับ พอเถอะคับ

drsp เขียน:นักลงทุนเหมือนกันเดินฝ่าทุ่นระเบิดเหมือนกัน
จะระบายอารมณ์ใส่กันเพื่ออะไร

เห็นด้วยครับ

บางครั้งการพิมพ์ และเขียนตัวหนังสือให้อ่านนั้น อาจจะสื่อความหมายของผู้เขียนได้ไม่ชัดเจน
จึงก่อให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้บ่อยๆครับ (ผมก็เป็นบ่อยครับเพราะก่อนที่ผมจะมาสิงสถิตที่ tvi
นี่ ผมเคยไปอยู่บอร์ดที่อื่นมาก่อน มีทั้งเราเข้าใจผิดเค้า และเค้าเข้าใจผิดเราครับ 555+ ...^^)

ผมขอแชร์เรื่องที่ผมเคยเรียนรู้มาละกันนะครับ มีพี่ที่ผมนับถือคนนึงเขาเล่าให้ฟังว่า
เขาไปเจอป้าคนนึงทำงานเป็นแม่บ้าน แต่สามารถส่งลูกเรียนจบป.โท ป.เอกได้
เขาถามว่าทำได้ยังไง ป้าเขาบอกว่า ป้ามีอสังหาฯให้เช่า และมีที่ทางหลายแห่ง
ถ้าจำไม่ผิดคิดว่าอยู่ได้สบายๆจนตายยังเหลือให้ลูกหลานได้อีกครับ แล้วพี่เขาก็
ถามป้าว่าทำไมถึงยังมาทำงานเป็นแม่บ้านอีก ป้าแกบอกว่าป้าแกรักงานนี้ครับ
(น่าจะรักเจ้านายด้วยนะผมว่า..^^) ป้าถึงยังทำอาชีพนี้ครับ

เรื่องต่อมา อันนี้ผมได้เจอมากับตัวผมเริ่มสร้างธุรกิจของตนเอง(นอกจากของที่บ้านนะคับ)
ทั้งวางแผน ชวนคน หาทุน ทำงบประมานต่างๆ ผมรู้ซึ้งเลยครับว่าการจะเริ่มทำธุรกิจ
สักอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้น ผมจึงไม่เคยดูถูกคนขายข้าวแกง แม่ค้าข้างถนน
หรือคนเข็นรถเข็นขายของอีกเลยครับ

เรื่องสุดท้าย ผมชอบนั่งคุยกับแท็กซี่ ผมเจอคนขับแท็กซี่แต่ละคนไม่ธรรมดาเลยครับ
เขาบอกได้กำไรวันนึง 1-2 พันบาทต่อวัน(ไม่ได้เช่ารถขับนะครับ) แล้วพวกที่ไม่ได้เงิน
จริงๆคือได้แล้วเอาไปเล่นการพนันหมด หรือไม่ก็ขี้เกียจหาลูกค้า ผมเจอบางคนก็ขับแท็กซี่
ส่งลูกเรียนจบ ทหาร นายร้อย บางคนส่งลูกเรียนจบต่างประเทศ ที่เด็ดสุดที่ผมเคยเจอคือ
ที่บ้านมีธุรกิจเรือประมงให้เช่า มีน้องเปิดอู่รถยนต์ แต่มาขับแท็กซี่เพื่อศึกษาว่าจะเปิดอู่ให้
เช่าแท็กซี่บ้าง!!!!!

ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยดูถูกใครในสังคมไทยอีกเลยครับ...^^)

อดทนหน่อยครับ ตอนนี้มันตลาดขาขึ้น หลาย ๆ คนก็ออกมาฟูลไทม์กัน คนอื่นก็อาจจะมองแบบไม่เชื่อว่าเราจะไปรอดไม๊ หากอีกสัก 3-5 ปีข้างหน้าตลาดถล่ม ผมหรือเพื่อนหลายท่านอาจต้องกลับไปหางานทำใหม่ หากวันนั้นคุณยังอยู่ได้ คราวนี้ทุกคนก็จะทึ่ง และยอมรับเอง

แต่จะว่าไปแล้ว มันไม่สำคัญเลยว่าใครจะยอมรับเราหรือไม่ จะวันนี้หรือว่าไหน ตราบเท่าที่เรารู้แก่ใจว่า มูลค่าที่แท้จริงมันอยู่ตรงไหน มันเป็นนิสัยพื้นฐานของคนมีอาชีพซื้อของในราคาที่คนอื่นเขาไม่เห็นคุณค่าอย่างเราอยู่แล้ว จริงป่าวครับ

"แรกๆเขาจะสบประมาทคุณ แล้วเขาจะเฝ้ามองคุณ และท้ายสุดเขาจะอยากเป็นแบบคุณ"
จำไม่ได้ละ ว่าเอามาจากใหน

สังคมไทย ทุกอย่างวัดกันด้วยเงิน
คนรวย และมีอำนาจได้รับความเคารพนับถือ
คนทุกคนจึงต้องทำตัวรวยๆเข้าไว้
ใส่ทอง ใส่ของแบรนด์เนม ใช้รถแพงๆ
ไม่มีใครสนใจว่าใครทำอะไร เค้าสนใจว่าคุณรวยแค่ไหน
ประเมินความรวยก่อน แล้วค่อยประเมินสิ่งที่ทำ

ถ้าสามารถแชร์ได้

เล่าสไตล์การลงทุนของพี่ Mastang ให้ฟังได้มั๊ยครับ อาชีพ Fulltime trader เป็นยังไงหรอคับ
ประเมินรายได้จากการเทรดยังไงครับ

Power Investor เขียน:

แล้วคุณรู้ได้ยังงัยครับว่าผมเก่งหรือไม่เก่ง เอาอะไรเปนตัววัดหรอครับ?

มาจากประโยคที่ว่า"ผมไม่สนใจหรอกครับเปน fund manager ไปทำงานวิเคราะห์เงินให้คนอื่น ทำดีเสมอตัว ทำพลาดโดนด่า"ครับ คนที่เป็นผู้จัดการกองทุนเค้าคงหัวเราะ
ว่าแต่Warren Buffetก็เป็น Fund Managerคนนึงเหมือนกันนะครับ

อ๋อ ผมก้อนึกว่าเรื่องอื่นซะอีกครับ ฮ่าๆๆ ผมคงไม่สามารถไปถึงขั้นนั้นได้หรอกครับ ผมรู้ performance ผมเองดีเลยครับ ว่าไม่ถึงขั้นจิงๆ มีพี่ที่รุจักก้อชวนผมไปสอบ CFA ไปลองลุยสายนี้ ผมก้อบอกเค้าไปเลยว่าผมทำไม่ได้จิงๆ

ส่วนมุมมองจิงๆของผมก้อตามนั้นแหละครับ ผมอาจจะทำงานอย่างอื่นควบคู่กับการเป็น fulltime trader (ถ้าวันนั้นมันมาจิงๆนะ) แต่ไม่ใช่เปนงานประจำที่ต้องตื่นแต่เช้า ไปทำงานงกๆเงิ่นๆ กลับบ้านแบบนั้นน่ะครับ เหอะๆ

ไม่ต้องกังวลหรอกครับว่าใครจะคิดอย่างไร เราเป็นอย่างที่เราเป็น เรารวยอย่างที่เรารวย
และ เจ๊งอย่าที่เราเจ๊ง ไม่เห็นต้องสนใจใครเลยว่าใครจะคิดกับเราอย่างไร
เราเกิดมาเพื่อเลือกวิถีชีวิตของเราเอง อิ่มบ้าง อดบ้าง หิวบ้างมันก็เรื่องของเราเอง
เวลาเราขาดทุนเราก็ไม่ได้ไปขอเงินใคร เวลาเรากำไรเราก็ไม่ได้แบ่งใคร(ยกเว้นครอบครัวเรา)
ผมว่าถ้าคุณแคร์กับคนรอบข้างมากไปจะทำให้คุณไม่เป็นอิสระในการลงทุนนะ เช่น ช่วงนี้หุ้นลง
คนอื่นคงคิดว่าเราคงขาดทุนเยอะละซิ (จริงๆแล้วคุณอาจจะขาดทุนเยอะจริงๆ)จิตใต้สำนึกของเราอาจจะนำ
ข้อมูลเหล่านี้เข้าไปรวมอยู่ในการตัดสินใจด้วยโดยเราไม่รู้ตัว

แต่เมื่อไรที่เราทำสำเร็จ เราก็ควรแบ่งความรู้และความหวังดี เพื่อแนะแนวทางคนรุ่นหลังต่อไป

ขอให้ประสพแต่ความสำเร็จนะครับ

ปล. ถึงแม้เราจะไม่ประสพความสำเร็จ แล้วต้องกลับมาทำงานเดิม มันก็เรื่องของเราอีกนั่นแหละ

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆอีกเป็นครั้งที่3นะครับ อย่างที่บอกตอนนี้ผม เป็นทั้ง Fulltime Trader และเป็น นายหน้าในการติดต่องานให้กับหลายที่นะครับ ไม่ได้อย่บ้านทั้งวันดูหุ้นอย่างเดียว ไงไว้เพื่อนๆพี๋มีไรจะแนะนำก็ไปเจอกันที่งานสังสรรค์ได้นะครับ ยังไงผมขอโทษด้วยนะครับที่อาจจะเป็นต้นเหตุให้บางคนในนี้ทะเลาะกัน

ผมเข้าใจในความหมายที่ คุณ power investor ได้บอกไว้ครับ เพราะผมเองก็เคยคิดจะออกมาลงทุนอย่างเดียวเหมือนกัน
แต่ประกอบกับด้วยปัจจัยหลายอย่างรวมทั้งขนาดของพอร์ตของผมเองที่ยังไม่เทพพอ และหลักการที่คอยเตือนตัวเองอยู่เสมอถึงแนวทางการลงทุนแบบ VI คือการลงทุนในธุรกิจที่เราจะเข้าไปเป็นส่วนร่วม เลยทำให้ไม่สามารถไปคาดหวังกับส่วนต่างของราคาได้ในเวลาที่จำกัดได้ ประกอบกับในข้อเท็จจริงหน้าที่การงานของผมค่อนข้างเป็นที่ยอมรับมากในสังคมแม้ผลตอบแทนจะไม่สูงมาก ก็เลยเลิกคิดที่จะเป็นนักลงทุนแบบ Full Time แม้ใจจริงหวังว่าซักวันหนึ่งจะได้เป็นบ้าง เมื่อเห็นตัวอย่างจากรุ่นพี่ในเวปนี่ที่ประสบความสำเร็จ เพราะลมหายใจเข้าออกของผมคือการลงทุนเช่นเดียวกับหลายท่านนี่ครับ แต่ก็เข้าใจในสัจธรรมครับว่าคนเรานั้นเกิดมาแตกต่างกัน และเก่งกันไปคนละแบบ

ความสุขของคนส่วนใหญ่
มักไม่เป็นอิสระ
เพราะต้องไปพึ่งพาวัตถุ
ต้องไปพึ่งพิงสายตาของคนอื่น
แล้วสิ่งเหล่านี้ เป็นของไม่เที่ยง
ถ้าคุณเอาความสุข
ไปผูกติดกับสิ่งเหล่านี้
คุณก็จะไม่มีความสุขอย่างแท้จริง

พระไพศาล วิสาโล

หากคุณใส่ใจเสียงรอบข้างมากกว่าเสียงในใจของคุณ การที่ตื่นมาแล้วไม่ได้รีบร้อนเหมือนคนอื่น การที่นั่งร้านกาแฟแล้วคุณใส่กางเกงขาสั้นนั่ง trade หุ้นอยู่ในขณะที่รอบข้างคุณกลับใส่ชุดทำงานประจำบริษัท มันทำให้ลึกๆในใจคุณยังกลัวที่จะโดนคนอื่นนินทาในสิ่งที่คุณทำแล้วชอบอยู่

การเป็น fulltime trader อาจจะไม่เหมาะสำหรับคุณก็ได้

ได้ข้อคิดดีๆมากมายจากกระทู้น้ ขอบคุณครับ

CARPENTER เขียน:สังคมไทย ทุกอย่างวัดกันด้วยเงิน
คนรวย และมีอำนาจได้รับความเคารพนับถือ
คนทุกคนจึงต้องทำตัวรวยๆเข้าไว้
ใส่ทอง ใส่ของแบรนด์เนม ใช้รถแพงๆ
ไม่มีใครสนใจว่าใครทำอะไร เค้าสนใจว่าคุณรวยแค่ไหน
ประเมินความรวยก่อน แล้วค่อยประเมินสิ่งที่ทำ

จริงครับ สังคมไทยส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นจริงๆ

แต่ลองมานั่งนึกดู ถึงผมมีเงินซื้อ ผมก็คงไม่ใส่ทอง ไม่ใช้ของแบรนด์เนม. ไม่ใช้รถแพงๆแน่ๆ. คิดว่าหลายๆคนในนี้ก็คงเหมือนกัน

อย่าไปใส่ใจคนอื่นเลยเนาะ

pullmeunder เขียน:หากคุณใส่ใจเสียงรอบข้างมากกว่าเสียงในใจของคุณ การที่ตื่นมาแล้วไม่ได้รีบร้อนเหมือนคนอื่น การที่นั่งร้านกาแฟแล้วคุณใส่กางเกงขาสั้นนั่ง trade หุ้นอยู่ในขณะที่รอบข้างคุณกลับใส่ชุดทำงานประจำบริษัท มันทำให้ลึกๆในใจคุณยังกลัวที่จะโดนคนอื่นนินทาในสิ่งที่คุณทำแล้วชอบอยู่

การเป็น fulltime trader อาจจะไม่เหมาะสำหรับคุณก็ได้

พอดีผมก็ตื่นเช้าปรกติ เพื่อไปส่งลูกแล้วก็กลับมา หาข้าวปลา ให้พ่อแม่กินแล้วก็นั่งดูหุ้นและก็นั่งทํางานในห้องทํางาน และก็อาจจะต้องออกไปประชุมบ้างหรือติดต่องานข้างนอกบ้าง และตอนเย็นก็ไปรับลูกเมียกลับบ้าน ผมคงไม่ได้มีเวลาใส่ขาสั้นไปนั่งกินกาแฟตามร้านนะครับ นี่คือกิจวัตรที่ทําอยู่ทุกวัน ผมคงไม่เอาเงินไปจ้างคนรับใช้ หรือพยาบาลมาดูแลพ่อแม่ผมเองนะครับ ผมเป็นลูกที่ กตัญญูครับ ผมทําหน้าที่ลูกให้ดีที่สุดในขณะที่ท่านอยู่ดีกว่าครับ นี่คือหน้าที่และกิจวัตรที่ทําอยู่เป็นประจําทุกวันของ FULLTIME TRADER คนนี้ครับ

ผมคิดว่าจริงๆแล้ว คนที่อยากเล่นหุ้นอย่างเดียว ชอบดูหุ้นทั้งวัน
ผมว่ามีสัญชาติญานชอบเล่นการพนันอยู่แล้ว และผมก็คิดว่า
ไม่ว่าจะเป็นลงทุนแนวไหน ก็มีเป็นการพนันอยู่แล้วอยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยแค่นั้น
เราเพียงแต่หาคำมาเรียกให้ดูดีแค่นั้นเอง

MASTANG เขียน:

pullmeunder เขียน:หากคุณใส่ใจเสียงรอบข้างมากกว่าเสียงในใจของคุณ การที่ตื่นมาแล้วไม่ได้รีบร้อนเหมือนคนอื่น การที่นั่งร้านกาแฟแล้วคุณใส่กางเกงขาสั้นนั่ง trade หุ้นอยู่ในขณะที่รอบข้างคุณกลับใส่ชุดทำงานประจำบริษัท มันทำให้ลึกๆในใจคุณยังกลัวที่จะโดนคนอื่นนินทาในสิ่งที่คุณทำแล้วชอบอยู่

การเป็น fulltime trader อาจจะไม่เหมาะสำหรับคุณก็ได้

พอดีผมก็ตื่นเช้าปรกติ เพื่อไปส่งลูกแล้วก็กลับมา หาข้าวปลา ให้พ่อแม่กินแล้วก็นั่งดูหุ้นและก็นั่งทํางานในห้องทํางาน และก็อาจจะต้องออกไปประชุมบ้างหรือติดต่องานข้างนอกบ้าง และตอนเย็นก็ไปรับลูกเมียกลับบ้าน ผมคงไม่ได้มีเวลาใส่ขาสั้นไปนั่งกินกาแฟตามร้านนะครับ นี่คือกิจวัตรที่ทําอยู่ทุกวัน ผมคงไม่เอาเงินไปจ้างคนรับใช้ หรือพยาบาลมาดูแลพ่อแม่ผมเองนะครับ ผมเป็นลูกที่ กตัญญูครับ ผมทําหน้าที่ลูกให้ดีที่สุดในขณะที่ท่านอยู่ดีกว่าครับ นี่คือหน้าที่และกิจวัตรที่ทําอยู่เป็นประจําทุกวันของ FULLTIME TRADER คนนี้ครับ

ถ้าเจตนาทำเช่นนี้จริง ผมเชื่อว่าคุณจะเจริญในชีวิตขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ดำ เขียน:

MASTANG เขียน:

pullmeunder เขียน:หากคุณใส่ใจเสียงรอบข้างมากกว่าเสียงในใจของคุณ การที่ตื่นมาแล้วไม่ได้รีบร้อนเหมือนคนอื่น การที่นั่งร้านกาแฟแล้วคุณใส่กางเกงขาสั้นนั่ง trade หุ้นอยู่ในขณะที่รอบข้างคุณกลับใส่ชุดทำงานประจำบริษัท มันทำให้ลึกๆในใจคุณยังกลัวที่จะโดนคนอื่นนินทาในสิ่งที่คุณทำแล้วชอบอยู่

การเป็น fulltime trader อาจจะไม่เหมาะสำหรับคุณก็ได้

พอดีผมก็ตื่นเช้าปรกติ เพื่อไปส่งลูกแล้วก็กลับมา หาข้าวปลา ให้พ่อแม่กินแล้วก็นั่งดูหุ้นและก็นั่งทํางานในห้องทํางาน และก็อาจจะต้องออกไปประชุมบ้างหรือติดต่องานข้างนอกบ้าง และตอนเย็นก็ไปรับลูกเมียกลับบ้าน ผมคงไม่ได้มีเวลาใส่ขาสั้นไปนั่งกินกาแฟตามร้านนะครับ นี่คือกิจวัตรที่ทําอยู่ทุกวัน ผมคงไม่เอาเงินไปจ้างคนรับใช้ หรือพยาบาลมาดูแลพ่อแม่ผมเองนะครับ ผมเป็นลูกที่ กตัญญูครับ ผมทําหน้าที่ลูกให้ดีที่สุดในขณะที่ท่านอยู่ดีกว่าครับ นี่คือหน้าที่และกิจวัตรที่ทําอยู่เป็นประจําทุกวันของ FULLTIME TRADER คนนี้ครับ

ถ้าเจตนาทำเช่นนี้จริง ผมเชื่อว่าคุณจะเจริญในชีวิตขึ้นเรื่อยๆ ครับ

ขอบคุณครับ ที่อวยพร ผมเจตนาทําเช่นนี้จริงเพราะว่าทํามานานแล้วครับ ผมยอมทิ้งเงินเดือนหลายแสนจากอังกฤษ เพราะว่าต้องกลับมาดูแลพ่อแม่ เพราะว่ายายเสียในขณะที่เรามีเริ่มมีเงินแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่รับไม่ได้ ผมจึงต้องกลับมาและมาเริ่มต้นทํางานที่ไทยใหม่และไม่กี่ปี ผมก็ออกมา เพราะว่าพ่อแม่เริ่มไม่สบายแล้วนะครับ ยังไงผมก็หวังว่า ผมคงจะได้ตอบแทนท่านมากๆในขณะที่ท่านอยู่นะครับ ถึงได้ซื้อที่ดินและจะเริ่มปลูกบ้านใหม่ที่ต่างจังหวัดนะครับ เพราะว่าที่นั่นอากาศดี สิ่งแวดล้อมดีจะได้ทําให้ท่านแข็งแรงขึ้น ยังไงผมเชื่อว่า ความกตัญญูจะทําให้เรา เจริยยิ่งๆขึ้นครับ

ผมไม่ได้อวยพรหรอกครับ

คนทำกรรมดี โดยเฉพาะตอบแทนผู้มีพระคุณ ย่อมสมควรรับผลดีอยู่แล้วครับ

คุณสร้างของคุณเองต่างหาก ผมเพียงร่วมยินดีด้วยเท่านั้นครับ

ดำ เขียน:ผมไม่ได้อวยพรหรอกครับ

คนทำกรรมดี โดยเฉพาะตอบแทนผู้มีพระคุณ ย่อมสมควรรับผลดีอยู่แล้วครับ

คุณสร้างของคุณเองต่างหาก ผมเพียงร่วมยินดีด้วยเท่านั้นครับ

ไงก็ขอบคุณและกัน ที่เข้าใจผิดคิดว่าคุณอวยพร ไงก็ถ้าคิดว่ามันกีดีก็ทำเหมือนผมบ้างนะครับผมจะได้ร่วมยินดีกับคุณด้วย

เราจะเอาวัตถุวัดคนได้หรือ

คนที่เคยทำงาน เคยถือว่าชีวิตของตนเองมีคุณค่า
เพราะทำงาน เพราะมีเงินเดือน
พอเกษียณแล้ว ไม่ทำงานแล้ว
ก็รู้สึกว่าชีวิตไม่มีค่าเสียแล้ว เป็นภาระแก่คนอื่น
เพราะไม่ได้ทำงานไม่มีเงินเดือนแล้ว
เป็นภาระแก่ลูกหลาน
นี่เรียกว่าคิดผิด

เพราะคุณค่าของชีวิตไม่ได้อยู่ที่เงินเดือน
คุณค่าของชีวิตอยู่ที่สิ่งที่ดีงาม
ภายในจิตในใจของเรา อยู่ที่สิ่งดีงามที่เรากระทำ
ด้วยกาย ด้วยวาจา เมื่อเป็นเช่นนั้น
เราจึงถือได้ว่าชีวิตของเรามีคุณค่า
ได้จนถึงลมหายใจสุดท้ายเลย
ตราบใดที่เรายังมีชีวิตอยู่
เราก็ยังมีโอกาสละสิ่งที่ไม่ดี
มีโอกาสทำสิ่งที่ดีที่งาม เป็นประโยชน์
ทำสิ่งที่ให้ตนเองมีความสุข
ทำให้ผู้อื่นมีความสุขได้ตลอดเวลา

ชยสาโรภิกขุ

"มานะนั้นแปลว่า "ความถือตัว" ความถือตัวสำคัญตน มีความหมายถึงอัตตา
เป็นตัณหาตัวหนึ่งที่เราต้องศึกษา ในตัวเองให้มาก ๆ

มานะมี 9 ประเภทคือ
1. ผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา
2. ผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา
3. ผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตนว่าเลวกว่าเขา
4. ผู้เสมอเขา สำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา
5. ผู้เสมอเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา
6. ผู้เสมอเขา สำคัญตนว่าเลวกว่าเขา
7. ผู้เลวกว่าเขา สำคัญตนว่าเลิศกว่าเขา
8. ผู้เลวกว่าเขา สำคัญตนว่าเสมอเขา
9. ผู้เลวกว่าเขา สำคัญตนว่าเลวกว่าเขา"

ผู้ใหญ่ท่านนึงที่นับถือ แนะนำผมเข้ามาเทรด ท่านเล่าให้ฟัง

ว่าเคยเจอมากับตัวตำรวจเข้ามาค้นบ้าน สะกดรอยตาม สงสัยว่าจะเป็นขบวนการค้ายา (สมัยยาบ้าดังๆ ที่มีการกวาดล้างใหญ่)

เนื่องจากไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง ตรวจสอบ ตามสืบ ก็ไม่พบว่ามีรายได้มาจากแหล่งใด

แต่มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นตลอด เป็นจำนวนมาก จนคนใกล้เคียง เพื่อนบ้าน สงสัยว่าทำมาหากินอะไร

เข้ามาถามผู้ใหญ่ท่านนี้ก็ไม่ได้บอกไปว่า ลงทุนในหุ้น กลัวคนอื่นจะมองเป็นตัวประหลาด จนคนเริ่มสงสัยมากๆ

คราวนี้ก็โดน ปปส. ตามเลย ตามแหล่งเงินก็ไม่เจอเพราะ เอาชื่อภรรยา(ไม่ได้จดทะเบียน แถมช่วงนั้นภรรยาแกไปเยี่ยม ลูกสาวที่เรียนต่างประเทศ)มาใช้เปิดพอร์ต กว่าจะเคลียร์ได้

บอกทางตำรวจ ว่าเล่นหุ้นได้ก็ไม่มีใครเชื่อ จนเอาหลักฐานมาให้ดูว่าถืออะไรอยู่เท่าไหร่ๆ ได้ปันผลกี่บาทๆ ถึงยอมเชื่อ

ปัจจุบันสารวัตรท้องที่ที่แกอยู่ยังมานั่งคุยเรื่องหุ้นกับแกอยู่นานๆครั้ง ครับ


ก็คือ สมัยนั้นตามความเชื่อของ คนปกติ เชื่อว่าเล่นหุ้นยังไงก็เหมือนการพนัน มีข่าวคนขาดทุน เจ๊งไปเยอะ คนทั่วไปก็จะอคติกับ FULLTIMETRADER

ว่ามันจะมีจริงๆหรือ นั่งมองจอไปวันๆ วันต่อมาออกรถป้ายแดง ได้หนึ่งคัน หรือมีรายได้เลี้ยงตัวได้ตลอด

คนทั่วไปทำงานเก็บเงินตั้งนานกว่าจะได้ หรือ ต้องทำงานกินเงินเดือนไปทุกๆเดือน

ผมหนักกว่า ท่าน จขกท.เยอะเลยครับ ตอนนี้เกาะแม่(ซึ่งชราภาพมากแล้ว) จนกว่า เงินปันผล จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้น่ะครับ แต่แม่เค้าเต็มใจจะให้เกาะนะครับ อิอิ รอบข้างไม่ต้องพูดถึง ยิ่งกว่าดูถูกอีก แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ถ้าไม่มาพูดต่อหน้า(ซึ่งคงไม่มีใครทำหรอกครับ) ผมไม่สนใจครับ ผมกับแม่ก็อยู่อย่างมีความสุขสุดๆ คร้าบผม

อาจลองแค่เปลี่ยนจากคำว่า "fulltime trader" มาเป็น "นักลงทุนที่เกษียณตัวเองได้แล้ว" (ถึงยังต้องลงทุนอยู่)

หลายๆ คนที่ดูถูกคุณอาจต้องกลับมาทบทวนตัวเองใหม่ว่าแล้วไอ้ที่เค้าทำๆ กันอยู่มันจะต้องทำไปอีกนานแค่ไหน และมีโอกาสที่ชาตินี้จะเกษียณตัวเองได้มั้ยนะครับ

WorriedInvestor เขียน:ผมหนักกว่า ท่าน จขกท.เยอะเลยครับ ตอนนี้เกาะแม่(ซึ่งชราภาพมากแล้ว) จนกว่า เงินปันผล จะสามารถเลี้ยงตัวเองได้น่ะครับ แต่แม่เค้าเต็มใจจะให้เกาะนะครับ อิอิ รอบข้างไม่ต้องพูดถึง ยิ่งกว่าดูถูกอีก แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ถ้าไม่มาพูดต่อหน้า(ซึ่งคงไม่มีใครทำหรอกครับ) ผมไม่สนใจครับ ผมกับแม่ก็อยู่อย่างมีความสุขสุดๆ คร้าบผม

เป็นกำลังใจให้ท่านนะครับ ว่าแต่ท่าน WorriedInvestor ลงทุนอย่างเดียวเลยเหรอครับ แล้วก็ดูแลคุณแม่ไปด้วยใช่ไหมครับ