สรุปสัมมนางานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2 - 9/9/60
หัวข้อแรก
Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI จะเป็นอย่างไร เมื่อเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโลก
วิทยากร
คุณลงทุนแมนที่เขียนบทความดีๆให้นักลงทุนอ่านมาตลอดห้าเดือน
คุณตู้ หรือ นายมานะ เจ้าของเพจSnowball และ กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย
พิธีกร คุณบอล กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย และ ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นเวียดนาม
หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นการเสริมจากผู้สรุปเองครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ ที่นี้ครับ
.ในช่วงที่คุณตู้พูด ผมได้นำบทความของคุณตู้ที่เคยเขียนมาเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเข้าใจเนื้อหามากขึ้น
และมีLinkเพื่อจะได้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนของคุณลงทุนแมนสามารถติดตามเพจของลงทุนแมนได้โดยตรงครับ
Q:มองเทคโนโลยีในอนาคตอย่างไร?
คุณตู้ออกตัวก่อนอธิบายว่าสิ่งที่จะพูดวันนี้เป็นเรื่องในอนาคต จึงอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ถ้าไม่ถูกต้องขออภัยล่วงหน้า
เมื่อสองปี เคยบอกว่า Platform youtube , Facebook live ,Netflix จะทำให้ในอนาคต platform TV มี value ลดลง
แต่ตอนนั้นก็มีคนโต้แย้ง เพราะไม่มีตัวเลขมายืนยัน มาวันนี้ถ้าดูจากตัวเลข Market share ของ TV น่าจะเห็นว่าลดลงจากเดิมจริง
เมื่อ 2 ปีก่อน พูดเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าEVและรถยนต์ไร้คนขับAV
หลายคนก็ไม่เชื่อ บางคนบอกว่าเป็นเรื่องลวงโลก
บางคนไปเชื่อว่ารถไฮโดรเจนมีโอกาสมากกว่า แค่เติมน้ำก็วิ่งได้แล้ว
ตอนที่ผมพูด ไม่ค่อยมีคนพูด ผมอาจพูดเร็วเกินไป(พูดก่อนเวลาที่เกิด)
ตอนนี้พอพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าคนเชื่อมากขึ้น และ รู้จักอีรอน มัสก์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก
ปีก่อนพูดเรื่องAI ทำให้เกิดdisrupt แรงงานลดลงมหาศาล
และแรงงานถูกทดแทนด้วยRobot
มีคำถามโต้แย้งว่าร้อยปีที่ผ่านมา คนไม่เคยตกงาน เครื่องจักรยังไม่สามารถทดแทนคนได้
เคยโพสในwebboardthaiviว่ากล้องDSLRหรือ MLR อาจถูกทดแทนด้วยกล้องมือถือในอนาคตข้างหน้า
หลายคนไม่เชื่อ สรุปแล้วเรื่องในอนาคต มีโอกาสเกิดการโต้แย้งกันจนกว่าความจริงจะปรากฏ และที่พูดวันนี้ผมอาจจะผิดบ้างก็ได้
คำถามถึงคุณลงทุนแมนว่า
ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะเป็นอย่างไร จะเกิดขึ้นอย่างไร?
คุณลงทุนแมนเริ่มจากถามคนในห้องสัมมนาว่ามีใครไม่เล่นFacebookบ้าง ปรากฏว่าเล่นกันเกือบทุกคน
ผมโพสในFacebook 5 เดือน มีคนfollower2.6แสนคน
ไม่เคยมียุคไหนที่โชคดีแบบนี้มาก่อน
บริษัทของไทยอันดับหนึ่งคือ ปตท มีmarket capประมาณ 1 ล้านล้าน
แต่บริษัทใหญ่สุดในไทยอาจเป็นFacebook สาขาประเทศไทยหรือเปล่า
บริษัทWxxkมีmarket cap 35,000 ลบ แต่ให้เราคิดดูว่าเราดูFacebookหรือWxxkมากกว่ากัน
เนื้อหาที่เราชอบในwxxkจะเป็นแค่เกมโชว์เกี่ยวกับเพลง แต่ในFacebook มีทั้งมุมอาหาร ท่องเที่ยว ลงทุน
และเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่เราชอบดู ดังนั้นFacebookในไทยน่าจะใหญ่กว่า 20 เท่า
ดังนั้นmarket cap น่าจะ500,000ลบ สิ่งที่มองไม่เห็นที่มาจากต่างประเทศจะค่อยๆกลืนเราไป
แต่ไม่ใช่มาจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย
Q: ถามคุณตู้กับคุณลงทุนแมนว่าเรื่องสไตล์การลงทุนไทยและต่างประเทศเป็นอย่างไร
A: คุณตู้ตอบว่า ผมลงทุนในไทย:ต่างประเทศ เป็นอัตราส่วน 70:30
ในไทย (น่าจะ)เกินกว่า 50% ใน 70% ที่ว่า เป็นแบบBargain hunting เป็นนักล่าส่วนต่าง คาดเดาผลประกอบการล่วงหน้า2-3ไตรมาสและเข้าซื้อกิจการก่อนผลประกอบการก้าวกระโดด
จะเรียกว่าวีไอหรือเปล่า แล้วแต่จะนิยาม เป็นวิธีการที่มีพื้นฐานมาจากแนวทางของอ.เกรแฮม แต่มีการเปลี่ยนคือโฟกัสมากขึ้น ทุกวันนี้ VI หลายคนก็น่าจะใช้กัน
ผมมองว่า super stock ที่น่าลงทุนในไทยหาได้ยากขึ้นทุกที เพราะจะเป็น super stock ต้องมีครบทั้งสามปัจจัยได้แก่
1. DCA (Durable Competitive Advantage)
2. Growth
3. ราคาหุ้นสมเหตุผล
ซึ่งในเมืองไทย ส่วนตัวผมว่าหุ้นที่มีทั้ง 3 ข้อหาได้ยาก ถ้ามี 2 ข้อแรก ราคาจะแพงมาก
ในขณะที่ DCA ของหุ้นในไทยก็ไม่ได้แกร่งเท่ากับหุ้นต่างประเทศ
ผมเคยเขียนบทความเรื่องปราการที่เปลี่ยนไป (มีทั้งหมดสองตอน)
พูดถึงDCAที่เริ่มเปลี่ยนไป
DCAประกอบไปด้วย (ตรงส่วนนี้ขออนุญาตนำบทความที่คุณตู้เขียนไว้เข้ามาเสริม โดย DCA ในนิยามของคุณตู้คือ 10 ปีขึ้นไป)
1. Brandที่แข็งแกร่งมากๆ
Brand ทำให้ลูกค้าไม่อยากเปลี่ยนซึ่งสำหรับผมแล้วมี Brand ที่เข้มแข็งระดับจะเป็น Durable แค่ 3 ประเภทคือ
1.1 (Very Very) Luxury Brand หรือสินค้าที่ไว้บ่งบอกสถานะอย่าง Hermes หรือ Rolex
1.2 Character Brand อาทิเช่น Brand ของดาราศิลปินตัวการ์ตูนหรือสโมสรฟุตบอล
1.3 Brand ที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเช่นโรงพยาบาลหมอศัลยกรรมหรือเครื่องสำอางจำพวก Skin Care
แบรนด์ประเภทอื่นๆที่เหลือผมว่าไม่ได้เข้มแข็งมากมายระดับเกิน 10 ปีลูกค้าพร้อมจะลองและเปลี่ยนได้เสมอ
2. Patent สิทธิบัตรหรือสัมปทาน สัมปทานข้อนี้ผมว่าชัดเจนสุดเลยคือเป็นอะไรที่เกี่ยวกับข้อกำหนดของรัฐทำให้คู่แข่งเข้ามาไม่ได้บริษัทในไทยได้แก่บริษัทที่บริหารท่าอากาศยาน
3. Market share & Economy of scaleข้อนี้มักจะเป็นข้อได้เปรียบในด้านของ First Mover คือมาจากการที่คนทำก่อนยึดครองตลาดได้รวดเร็วกว่าทำให้มี Market Share มากกว่าและส่งผลให้ต้นทุนต่ำกว่าอย่างไรก็ดีข้อนี้ต้องระวังเสมอ Kodak หรือ Nokia เองก็เคยเป็น Market Leader วันดีคืนดีอาจมี Disruptive Innovation มาทำลายล้างธุรกิจของเราก็ได้
4. Network effect เช่นบริษัทFacebook , Google ที่ผลิตOS android ขึ้นมา,Appleที่ผลิตIOSขึ้นมา
( ในส่วนนี้ความถี่ในการใช้เป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อคนใช้แล้วติด คนที่จะติดต่อด้วยก็ต้องใช้เหมือนๆกัน เช่น android ช่วงแรกคนใช้น้อยมาก แต่เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ทำให้มีการพัฒนาapplicationให้กับ androidมากขึ้น ถ้าคุณต้องการใช้แอปเหล่านี้ก็ต้องใช้มือถือที่ใช้ OS android
หรือ ตัวอย่างของ Microsoft windows & office คนใช้งานกันจนคุ้นเคยยิ่งมีคนใช้มากเท่าไหร่ ทำให้เกิดnetwork effect คนที่ต้องการติดต่อด้วยก็ต้องใช้officeเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตัวอักษรไม่ตรงกัน หรืออ่านไม่รู้เรื่อง )
5. Experience effect คล้าย Learning curveซึ่งเป็นส่วนนึงของ Network effectเป็นสิ่งที่คนยังไม่ focus มันพัฒนาไปเรื่อยจนจุดหนึ่งคู่แข่งตามไม่ทัน ตัวอย่างชัดๆ คือพวก Big data เมื่อบริษัทมีข้อมูล/know how มากระดับหนึ่งแล้ว คู่แข่งใหม่จะเลียนแบบข้อมูลนั้น ทำไม่ได้ (เช่น Google search, Facebook, Intel)
(สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากLink ของ Snowball page
https://goo.gl/4rn521 ,
https://goo.gl/tmTLvO)
ถ้าดูหุ้นในไทย ส่วนใหญ่ไม่เกินสามข้อ ข้อสี่และห้าหายากในบริษัทของไทย
ผมดูหุ้นต่างประเทศ เช่น Facebookมี 4 ข้อ ขาดแค่ข้อ patent ที่อาจมีบ้าง แต่ไม่ได้สำคัญอะไร
ถ้าดูข้อ 5. Experience effect จะเห็นว่า Facebookสะสมข้อมูลที่เราโพสเรื่อยๆเป็นสิบปีถือเป็นBig data
เป็น DCA ของ Facebook เป็นไปไม่ได้ที่จะไปขายข้อมูลนี้ให้คู่แข่ง
ดังนั้นหุ้นต่างประเทศบางตัวมีDCA ในนิยามของผมมากกว่าสามข้อ เยอะกว่าหุ้นในไทย
อย่าง Facebook คือมีทั้งDCA,Growthแต่ราคาเป็นอีกเรื่องนึง
หลายคนชอบถามว่าทำไมชอบไปลงทุนในต่างประเทศ
ผมตั้งคำถามตัวเอง อยากถามกลับว่าทำไมต้องลงทุนเฉพาะในไทย
ถ้าเรากรอบตัวเองเป็นนักลงทุนไทย ทำให้เราไม่มีแม้แต่จะโอกาสจะไปศึกษาเรื่อง bit coin ซึ่งราคาขึ้นมาถึง4-5000$ คิดเป็น 4-5 เท่าจากต้นปี
คุณบอล บอกว่าเป็นประเด็นที่ดี หุ้นที่เป็นsuperstockมีแต่ราคาในไทยแพงไปแล้ว
Q: คุณลงทุนแมนเป็นคนลงในตลาดหุ้นUSเมื่อ5ปีที่แล้ว ทำไมไปลงทุนที่นั่นครับ
A: แนวทางการลงทุน เราเข้าใจอะไร อยู่กับอะไร สังเกตรอบข้างว่าวันๆอยู่กับมือถือ
ก็เดาว่าทุกคนก็เหมือนๆกัน
ทุกคนใช้มือถือเปิดFacebook , Line , Instagramเพราะทุกคนอยากรู้อยากเห็น
เราก็ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจแต่สงสัยว่า lipstick no.9 ทำไมโต ไม่เข้าใจ
สมมติว่าPE&Growthเท่ากัน ก็น่าจะเลือกบริษัทที่เราเข้าใจในการเติบโต
เช่นซื้อFacebookเรายังเข้าใจกว่า ซื้อบริษัทค้าปลีกเครื่องสำอางในไทย
คนสามารถขายสินค้าในFacebook ได้กลายเป็นวงจรธุรกิจไป
ทำให้Facebookมีรายได้เข้ามาตลอดเวลา
สไตด์การลงทุนช่วง5ปีแรก portในต่างประเทศเล็กกว่าในประเทศ
แต่ตอนนี้มูลค่าหุ้นของต่างประเทศโตขึ้นทำให้ portในต่างประเทศโตกว่าในประเทศ
บริษัทใหญ่สุดในโลก5บริษัทเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี เมื่อก่อนmarket capเล็กกว่าGDP Thailand
แต่ตอนนี้ทุกบริษัทใหญ่กว่า GDP Thailand ทั้งหมด แปลว่าบริษัทพวกนี้โตเร็วกว่า
อันดับห้า Amazon มีmarket cap15 ล้านล้านบาท
เริ่มจากการขายหนังสือonline E-commerce Amazon web service
รายได้มาจาก ค้าปลีกonline 60%
Amazonมีลำโพงอัจฉริยะชื่อ echo สามารถใช้เสียงสามารถสั่งนมโดยไม่ต้องเดินไปซื้อจากหน้าปากซอย
ที่US supermarketห่างไกลจากบ้านมาก
AI ไม่ต้องใช้มือกด ใช้เสียงพูด
รายได้20% เป็นAmazon media
รายได้10%เป็น Amazon web service,
คนจะเช่าserverแทนการซื้อ ถ้าเราไม่มีwebsiteของตัวเองอาจไม่เห็นภาพ
อันดับสี่ Facebook market cap 16ล้านล้านบาท
97%ของรายได้มาจากโฆษณา อีก3%เป็นรายได้อื่นๆ
เขาFocus Adsมาก คนชอบโฆษณาเพราะสามารถtarget ไปที่เพศไหน อายุเท่าไหร่ก็ได้
FB มี AI look alikeสามารถcreate ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เลยจากข้อมูลลูกค้าเดิม
โดยไม่ต้องไปเปิดหน้าร้าน จะdisruptretail shop
ทุกคนคิดว่าdisrupt adsอย่างเดียว จริงๆdisrupt retail shopด้วย
รวมCokeด้วย คนเดินน้อยลง ทำให้หยอดเหรียญซื้อcokeน้อยลง
อันดับสาม บริษัทเก่าแก่ Microsoft 19 ล้านล้านบาท
สัดส่วนรายได้แต่ละproduct
Windows 9%, Microsoft office 28% ,
Microsoft server 22%
Xbox 11%
ไม่ได้ขายProgram เช่นMicrosoftถาวร แต่จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี
แสดงว่าเราจ่ายไปโดยไม่รู้ตัว
Switching costสูงเพราะเราไม่เวลาไปเรียนรู้โปรแกรมอื่นแล้ว
อันดับสอง Alphabet เป็นบริษัทแม่ของGoogle market cap 21 ล้านล้านบาท
รายได้ 80% มาจากโฆษณาบนGoogleAbwords,Googleadsence, Youtube
รายได้ 11% มาจาก Google play, Pixel ,Android
ต่อไปคนไม่ต้องอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ เพราะในตลาดมีหนังสือเป็นล้านล้านเล่ม
เปลี่ยนวิธีการอ่านหนังสือ ชอบเรื่องไหนก็หาอ่านเป็นเรื่องๆไป
Google สาขาประเทศไทย เป็นอีก 1 บริษัทที่ถ้าอยู่ในตลาดหุ้นไทย จะใหญ่พอๆกับ Facebook สาขาประเทศไทย
บริษัทPricelineเจ้าของกิจการagoda/bookingยอมจ่ายเงินให้ googleไม่อั้นถ้ายังทำให้เขามีได้รายได้จากการจองโรงแรมจองท่องเที่ยว
สิ่งที่น่าสนใจ คือ pricelineไม่มีโรงแรมของตัวเอง
มีแต่ platform กลับสามารถทำรายได้มากกว่า 4 เชนโรงแรมใหญ่รวมกัน
อันดับหนึ่ง Apple 27ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าGDP ไทย สองเท่า
ปีหน้าอาจไม่ใช่
สัดส่วนรายได้ของApple
Iphone 63%,mac 11%, ipad 10% ที่เหลือเป็น icloud
เคยเปรียบเทียบกับPTT แล้วพบว่าใช้สินทรัพย์น้อยกว่า เป็น Light asset
ปตท ต้องลงทุนสินทรัพย์เยอะ ทำให้บริษัทต่างชาติเข้ามายากในสมัยก่อน
LOCAL เลยสร้างขึ้นมาได้ในช่วงนั้น
แต่ตอนนี้ Facebook,Googleเข้ามาง่าย เติบโตเร็ว
บริษัท Saudi Aramcoมูลค่าใหญ่กว่าapple 2,000 ล้านล้านเหรียญ
ทำไมถึง IPO เพราะว่าเจ้าของมองว่าresourceในอนาคตจะไม่ใช่น้ำมันแล้วหรือเปล่า
อาจเป็นLithiumหรือเปล่า
Q: ถามคุณตู้ Resouceที่สำคัญที่สุดคืออะไร
A: คุณตู้บอกว่าResouceที่สำคัญสุดคิดว่าคือข้อมูล คนที่มีdataสุดท้ายเป็นผู้ชนะ
แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจด้านพลังงาน Lithiumอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้
คุณลงทุนแมนเสริมว่าราคาหุ้นNvidiaเพิ่มเป็น10เด้ง เนื่องจากการประมวลผล
ต้องใช้GPU ซึ่งnvidiaเป็นเจ้าตลาด
หรือ memory chipสำหรับเก็บข้อมูลSamsung ก็เป็นเจ้าตลาดอยู่
เจ้าตลาดอาจshiftไปเรื่อยๆ ไม่ใช่น้ำมันอีกต่อไป ไฟฟ้าอาจได้ฟรีๆจากพลังงานแสงอาทิตย์
Q: คุณบอลถามเกี่ยวกับสาเหตุที่ลงทุนในบริษัท Nvidiaซึ่งขึ้นมาเยอะแล้ว
A: คุณตู้กล่าวถึง AI Theme ก่อน
AI คือสมองจักรกล สมองเทียมที่สร้างขึ้นเลียนแบบคน
ดูจากAlpha Go เมื่อสองปีก่อน
ปีที่แล้วเอาชนะผู้เล่นอันดับที่สี่ของโลก ผ่านมา 1 ปีเอาชนะอันดับหนึ่ง
แต่ถ้าใครตามลึกๆ จะทราบว่านอกจาก Alpha Go จะเก่งขึ้นมาก ยังใช้พลังการประมวลผลน้อยลง10เท่าเมื่อเทียบกับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อเอาชนะผู้เล่นอันดับที่4เมื่อปีก่อน
คุณลงทุนแมน เสริมว่าถ้ามองว่า Alpha Goไกลตัว
ก็หันมามองnews feed ดูข้อมูลอะไรที่สนใจ มันก็จะfeedกลับมาให้
คุณตู้กลับมาต่อว่า AI Themeประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 5 ข้อได้แก่
1.Dataยิ่งข้อมูลเยอะยิ่งฉลาด
2.chipประมวลผลด้านข้อมูล CPU/GPU
3.Time ต้องมีเวลาใครเริ่มก่อนได้เปรียบ
4.Engineer
5.Infrastructure platform
ขอเสริมข้อ 3 คือเรื่องเวลา ถือว่าน่าสนใจ
AI คล้ายสมองมนุษย์ ใครเริ่มก่อนเหมือนเด็กที่โตกว่าคนเริ่มทีหลัง
Phaseใหญ่ๆ มี 2 Phase คือการเรียนรู้ Training แล้วเป็นInferencing(Apply)
ตอนTraining ใช้เวลาเยอะ ใส่ Input ไปเยอะ แต่ได้ Output ออกมาน้อย เหมือนเด็ก
หลังเข้าที่แล้วใส่ Input น้อยลง แต่ได้ Output มากขึ้น เหมือนผู้ใหญ่
AI เรียนรู้ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายใช้Input น้อยลงแต่จะฉลาดขึ้นแบบก้าวกระโดด
คุณลงทุนแมน บอกว่าวิวัฒนาการของAIคล้ายสมองมนุษย์
โลกผ่านมา4,500ล้านปี มนุษย์อยู่รอดเพียงเผ่าพันธุ์เดียว
เทคโนโลยีพัฒนามาใช้เวลาแค่200ปี
AI ไปเร็วกว่านั้นจากกฎของมัวร์การประมวลผลจะก้าวกระโดดทุกๆ14เดือน
จนถ้ามองไปอีก28ปีข้างหน้า
Singularity คือจุดที่สมองคอมพิวเตอร์ฉลาดขึ้นอีก 16 ล้านเท่า
ใครอายุ30-40ปี มีโอกาสมีชีวิตตลอดไป แต่จะเป็นอย่างไรต้องติดตามต่อไป
คุณตู้ บอกว่า Homo sapiensเกิดมาหนึ่งแสนปีแต่เทคโนโลยีเพิ่งพัฒนาจริงจังในช่วง 1-2 ร้อยปีที่ผ่านมา
คอมพิวเตอร์เร็วสุดเมื่อร้อยปีที่แล้วยังช้ากว่ามือถือของพวกเราในห้องนี้หลายเท่า
เมื่อ 200 ปีก่อนอายุคนเฉลี่ยยังอยู่แค่ราว40ปีอยู่เลย
การเกิดคอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า รถยนต์เพียง100-200ปีทำให้ GDP เติบโตแบบก้าวกระโดด อายุเฉลี่ยคนก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลองย้อนนึกสมัยก่อนมนุษย์อายุแค่40กว่าปีถ้ามีคนบอกว่าในอนาคตอาจถึง 100 ปี คนคงหาว่าบ้า
การพัฒนาเทคโนโลยีในทุกวันนี้มุ่งเน้นให้คนมีอายุยืนยาวขึ้นในอนาคตอาจเป็นอย่างที่คุณลงทุนแมนว่าก็ได้
คุณลงทุนแมน บอกว่าคนพิการไม่มีแขน แค่มีเครื่องช่วยในการสั่งการจากสมอง
สมองสามารถไปเก็บไว้ที่นึง และโคลนนิ่งข้อมูลในสมองไปอยู่อีกร่างนึง
เมื่อก่อนมี phone link ก็กลายเป็น Iphoneใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงน้อยลงเรื่อยๆ
มีกฏหนึ่ง เรียกว่า The Six D’s มี 6 Step
1.Digitalizationจะdisrupt กล้องถ่ายรูปธรรมดาหายไป เป็น กล้องดิจิตอล เช่นแปลงภาพเป็น .jpg
2.Deceptionก่อนสิ่งของจะหายไป คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
รถไฟฟ้าไม่น่าจะมาแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือ นิตรสารก็ถูกแทนด้วยFacebookไป
3.Disruption
( เป็นเทคโนโลยีที่มาทดแทนของเดิม เช่น UberจะdisruptTaxiแบบเดิม หรือ Instagram disrupt kodak)
4.Demonetizationเมื่อก่อนต้องเสียเงินค่าสมัครดูเคเบิ้ลทีวี ต่อไปไม่มีการเก็บเงิน สามารถดูจากช่องทางอื่นได้
5.Dematerializationของหลายอย่างจะหายไป เช่น กล้องDLSR จะหายไป
เครื่องคิดเลขก็หายไปรวมถึงแผนที่ ทุกอย่างอยู่ในมือถือ
ตัวเราเหมือนอยู่ในโลกเสมือนต่อไปเราก็จะหายไปด้วย
6.Democratizationทำให้ทุกอย่างเป็นประชาธิบไตย
เช่น Facebook, Uberรัฐบาลของแต่ละประเทศไม่สามารถเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ที่อยู่ต่างประเทศ
เวเนซูเอล่า มีเงินเฟ้อมาก คนเข้าไปขุดBitcoin แต่จะมีปัญหามากขึ้นจีนก็แบนไม่ยอมรับBit coin
จะสู้กันระหว่างเสรีนิยม กับ รัฐบาลที่บังคับให้อยู่ในกฎ
Etherliumเจ้าของอายุ23ปี เงินสกุลนี้ทำให้มีICO (เหมือนกับIPO คือออกเหรียญใหม่)สกุลเหรียญใหม่ขึ้นมาเช่น
Omiseเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนในไทย market cap 30,000 ลบ ซึ่งcreate value ขึ้นมาเร็วมาก
ตอนนี้จะเกิดในฝั่งตะวันออก technologyเร็วกว่าฝั่งตะวันตกซึ่งยังใช้บัตรเครดิตกันอยู่เลย
Q: อุตสาหกรรมไทยที่ถูกกระทบ และ กระทบอย่างไร
A: คุณตู้บอกว่าขอเล่าเรื่องหนึ่งก่อนจะตอบคำถามนี้
คนฟังอาจรู้สึกว่าที่พูดกันมานี่ไกลไปแล้วหรือเปล่าคงมี 2 คำถามเกิดขึ้นว่า 1. ที่พูดๆ กันจะเป็นจริงมั้ย2. จะเร็วแค่ไหน
มีกฏข้อหนึ่งชื่อ Law of accelerating returns
ทุกคนส่วนใหญ่คิดว่า
หนึ่ง อะไรที่เกิดขึ้นในอดีตก็เกิดในอนาคตเหมือนกัน
สอง การพัฒนาของเทคโนโลยีในอนาคตจะพัฒนาแบบเป็นเส้นตรง ใช้เวลาเท่ากันกับในอดีต
แต่จริงๆแล้วปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การพัฒนาไม่ได้เป็น Linear แต่เป็นแบบ Exponential
รถยนต์Teslaไม่ต้องเปลี่ยนhardware แต่เปลี่ยนที่softwareก็สามารถเปลี่ยนความเร็วได้
ตัวอย่างในไทยขอเล่าประกฎการณ์ “ลำไยไหทองคำ”
คนเป็นนักร้อง สมัยก่อนต้องย้ายมากรุงเทพ อยู่แฟลต เป็นนักร้องตามคาเฟ่ บางคนเริ่มจากเป็นเด็กเสิร์ฟ
ร้องดี ร้องเพราะ มีคนบอกต่อ เริ่มมีแมวมองมาฟัง
ก็ไปออดิชั่นที่ค่ายเพลงโดยแมวมองชวน ถ้าผ่านก็ออกเทป และส่งขาย กว่าจะดังก็ต้องรอโปรโมทผ่านสถานีวิทยุ
แต่ลำไย ไหทองคำ ใช้แค่ตัวเอง มือถือ อินเตอร์เน๊ต ใช้เวลานิดเดียว ในการทำให้เพลงตัวเองมียอด view สูงสุดในประเทศ
ถามว่าปรากฏการณ์นี้มี party ไหนหายไปบ้าง
การเกิดtechnology&AIจะทำให้ตัวกลางส่วนใหญ่หายไป
ลองนึกๆ ว่าคนเราบริโภคอะไร
มี product , service content
Content เปลี่ยนแปลงเร็วทีสุด เพราะไม่ต้องใช้material
Product อาจช้ากว่า แต่เริ่มมีให้เห็นแล้ว
Amazon ในอนาคตอาจมีแค่supplierแล้วใช้ AI ส่งของ ไม่ต้องจ้าง DHL, Fedexแล้วก็ได้
สุดท้าย ตัวกลางที่จะถูกแทนที่ก็คือ “ตัวมนุษย์เอง”
AI เก่งเรื่องการทำซ้ำฟัง, เห็น, อ่าน, คิด ทุกวันนี้ AI ทำได้ดีกว่าคนหมดแล้ว
แค่ตอนนี้AI ยังไม่สามารถรวมความเก่งแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน
AI เข้าใจภาษา ,วาดรูป,เล่นโก๊ะ
มันจะโตขึ้นๆ สุดท้ายจะแทนที่คนแต่แค่ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นอยู่ร่างเดียวกันในตอนนี้
Q: ถามคุณลงทุนแมน ร้านสะดวกซื้อ และ ห้างสรรพสินค้าจะถูกdisruptหรือไม่
A: Merry king เป็นตัวอย่าง เมื่อก่อนคู่มากับเซ็นทรัล
อยู่กับการปรับตัวได้เร็วก็อยู่ได้
ส่วนผู้ประกอบการใหม่ที่ไม่มีplatform เช่น Lazadaก็เข้าได้ง่าย
Product,contentดี ก็สามารถโตได้
ธุรกิจอาหาร สามารถขายonline ผ่านทาง Lineman
JQ ปูม้านึ่ง ใช้platform Facebook ยอดขาย 600 ลบต่อปี
บริษัท Wxxkเกิดได้จาก Facebookบอกต่อ และ contentดี
รายได้โต กำไรโต contentดีมาก แต่ช่องทีวีสนามเป้าไม่มีcontent หรือ Woodyดูดีกว่า อีก
แต่สถานีช่องที่มีละครที่คนกรุงเทพติดกันเมื่อก่อนมีcontent และ ผูกขาดทั้งด้านละครและข่าว
ตอนนี้ไม่ใช่ผูกขาด คนสมัยนี้ดูcontentมากกว่า
บางทีวัยรุ่นสมัยนี้ไปดูคนพากย์การเล่มเกมก็มี
คนที่มีcontent หรือ สินค้าที่ดีก็ขายได้ เช่น มาม่า อาจสั่งซื้อจากที่อื่นที่ไม่ใช่ห้างก็ได้
เราไปหาอะไรที่ดีแต่ถูกplatformที่ผูกขาดอยู่ พอถึงเวลาที่ไม่มีการผูกขาด ได้เวลาที่จะลงทุน
แต่ถ้าเป็นบริษัทที่เป็นตัวกลาง เราพยายามหลีกเลี่ยง
และหุ้นต้องเป็นuniverseมากขึ้น ทำให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น
Forward PE 20-30 เท่าของFB,Googleเราก็สามารถเลือกได้
ยูนิโคล ซาร่า รองเท้าไนกี้ อดิดาส สตาร์บัคส์ เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่อยู่รอบตัวเรา
ประเทศไทยเล่น Facebook 25ล้านราย มากสุดในโลก
เวลาทดสอบก็มาทดสอบในไทย เราจะรู้ก่อนว่าworkหรือไม่
Messenger จะเข้ามาบังคับว่า ต้องจ่ายในFBซึ่งจะdisruptธนาคารไป
แต่ผู้บริโภคได้รับประโยชน์
เมื่อก่อน จะส่งsmsจะคิดแล้วคิดอีกก่อนส่ง
เหมือนการโอนเงิน ถ้ามีใครทำได้ฟรีคนก็จะเทไปทางนั้น
Portionค่าธรรมเนียมลดลง ธนาคารอาจจะไปขายappหรืออื่นๆแทน
ROV เจ้าของคือ Garenaซึ่งเป็นเจ้าของAir pay ไว้เติมเงินเล่นเกม
ถือเป็นตลาดใหญ่มาก
เราต้องดูuniverseทั้งหมด
A: คุณตู้ฟังมาทั้งหมด ตอนนี้คนฟังคงมี 3 คำถามที่ต้องคิด
1. คุณตู้ AI จะมาแทน VI ไหม
2. หุ้นที่เราถือจะโดนdisruptหรือไม่
3. เราควรลงทุนในอะไร
คุณตู้บอกว่าข้อแรกข้ามไปก่อนเลย มันToo soon to tell ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเพราะยังไงเราก็ลงทุนอยู่
ที่เราคุยกันอยู่คือข้อ 2 และ 3
AI จะกระทบธุรกิจ ธนาคาร ค้าปลีก mediaที่คุณลงทุนแมนพูดถึงก่อนหน้า
อีกอันที่ผมคิดว่าเป็นไปได้และน่าหยิบมาพูดคือโรงพยาบาล
อีกสัก10-20ปีข้างหน้า โรงพยาบาลซึ่งมี5ข้อFive Forceดีมาก อาจจะค่อยๆเปลี่ยนไป
แบ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็น 2 phase
Phase I ทุกวันนี้จะเป็นการleverageความสามารถ เช่นร้านอาหารเจ้าดัง มีคนช่วยส่ง ไม่มีหน้าร้าน
แม้แต่ FB , Youtubeก็มีการleverageไปต่างประเทศได้รวดเร็ว
ตอนนี้สมมติหมอหนึ่งคนรักษาคนไข้ได้ 10 คนต่อวัน ต่อไปอาจรักษาได้100คน
ตอนนี้อาจยังไม่เกิดปัญหาเพราะขาดแคลนหมออยู่
แต่ต่อไป หมอที่ไม่เก่งอาจจะมี value ลดลง
เปรียบหมอเหมือนโรงงานผลิตน้ำ
หมอเก่งทุกวันนี้เหมือนคนงานที่เก่งในกรอกน้ำ แบกน้ำจนมาวันนี้เครื่องจักรมาแทน
ในวันนั้นหน้าหมอเก่งก็อาจเป็นคนคุมเครื่องจักร คุม AI ไม่ต้องกรอกน้ำเองแล้ว
phase II เราถือหุ้นโรงพยาบาลPE 40 เท่าแต่growth 10-15% เราคงคาดหวังจะให้ โรงพยาบาลไม่เจ๊งตลอดไป
โลกของเรา ตอนนี้การรักษาตอนเป็นโรคแล้ว แต่อีก30-40ปีจะเป็นโลกของการpreventโรค
เช่น การขับเคลื่อนอัตโนมัติ สาเหตุที่errorส่วนใหญ่มาจากคนคนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็จะเปลี่ยน
Self driving car เกิดขึ้นเพื่อลดอุบัติเหตุ
โรงงานผลิตอาหารต่อไปก็ใช้robotหมดเพราะเน้นความสะอาด
ทุกวันนี้ มีเทคโนโลยีที่เรียกว่าCRISPR/Cas9
(รายละเอียดดูจาก
https://www.youtube.com/watch?v=2pp17E4E-O8)
การตัดต่อพันธุกรรมหรือmappingยีน
จากราคาเป็นล้าน USD เหลือหลักพัน
ใช้เวลาน้อยลงจาก 1 ปีเหลือ 80 วัน หรือ ใช้นศแพทย์ ทำในห้องแลบธรรมดาก็ทำได้แล้ว
ร่างกายเรามียีนส์20,000 ตัว แต่ ยีนส์ที่ทำให้เกิดมะเร็ง อาจมีแค่ไม่กี่ตัวแค่ตัดทิ้งออกไปก็ป้องกันการเกิดมะเร็งได้แล้ว
ตอนนี้ทดลองกับหนู กับ ยุง
เราเปลี่ยนหนูสีขาวเป็นหนูสีดำ แค่เปลี่ยนยีนไม่กี่ตัว
โรคมาเลเรียฆ่าคนเยอะสุด สาเหตุจากยุงเป็นพาหะ
ก็เปลี่ยนพันธุกรรมไม่ให้เป็นโรคมาเลเรีย และเปลี่ยนตาเป็นสีแดงจะได้รู้ว่าเป็นตัวที่แก้ไขแล้ว
หลังจากนั้นก็ปล่อยให้อยู่กับยุงตาสีขาว ทำให้เกิดแผ่พันธุ์
สุดท้ายทำให้ยุงทั้งหมดตาสีแดง ไม่เกิดโรคมาเลเรีย
สุดท้ายโรงพยาบาลเลยอาจมี value ลดลงไปจากเดิม
คำถามอีกข้อคือเราจะลงทุนอะไรดี
เนื่องจากเวลาเหลือน้อย ขอยกตัวอย่างคร่าวๆ (ต้องไปศึกษาต่อเองไม่ใช่ลงทุนได้เลย)
1.ลงในตัวผู้สร้างAI ex Google, amazon ,FB
2.ลงทุนในผู้มีdata คล้ายกับกลุ่มแรก Baba, Tencent
3.ผู้ผลิตhardware เช่น mobileye,intel,nvidia
4.เจ้าของservice,product, content ที่ได้ประโยชน์จาก AI ex Disney, marvel, DC
5.เจ้าของservice,productทีไม่เสียประโยชน์ เช่น กระเป๋าHermes, Louis Vuitton (superstar economy)
Q: ถามคุณลงทุนแมน หุ้นต่างประเทศไกลตัวมาก หาข้อมูลอย่างไร
A: เอาสิ่งที่เราคุ้นเคย เราไม่ได้ใช้อะไรก็อย่าไปยุ่ง
หาข้อมูลจากgoogleเช่น search หา Amazon IR
การคัดเลือกหุ้น คาดเดายากว่าใครแพ้ใครชนะ ตัวอย่างเช่นsnapchatถูกรุมจากFacebook
ถ้าให้ปลอดภัยให้ลงใน5บริษัทที่ครองโลกแล้ว
Q: ถามต่อว่าการvaluationดูตรงไหนบ้างและจะทำvaluationอย่างไร
A: คุณลงทุนแมน ตอบว่าคล้ายกัน FBบางช่วงเดาง่าย ส่วนGoogleบางช่วงก็มีโอกาสลงตอนPE 20
ถ้าvaluationไม่ได้ เช่น Line กำไรยังไม่โผล่ ต้องbetว่ากำไรจะมาเมื่อไหร่
อาจลงแค่ส่วนนึงก็พอ คล้ายหุ้นไทย adaptอย่างไรก็ไปทำในต่างประเทศ
อีกประเด็น บางทีไม่ต้องหุ้นชนะ แต่ไปลงในหุ้นpanicทุกคนมองว่ามันแย่หมด
เช่น GM ผลิตรถ 10ล้านคัน PE5เท่า แต่ Teslaผลิตรถแค่หลักหมื่นคัน ไม่มีกำไร
อาจเป็นโอกาสหรือเปล่า
BMW PE 7 เท่าเอง เป็นเจ้าของbrand
ต่อให้มีคนใช้รถEVแต่ก็มีคนใช้รถพวกนี้เหมือนhermes
บริษัทประกัน คนคิดว่ารายได้ลดจาก รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ทำให้อุบัติเหตุน้อยลง จะขายประกันได้น้อยลง PEเลยต่ำ ตลาดอาจจะกลัวเกินไป
A: คุณตู้บอกก่อนว่าการลงทุนในต่างประเทศ อาจไม่ใช่ว่าเหมาะกับทุกคน
อะไรที่คุ้นเคยและเห็นอนาคตในอีก3-5ปี ยังไม่เปลี่ยนแปลงเราควรลงทุน
แต่ทำใจยอมรับ ซื้อหุ้นsuper stockที่แพงแล้ว ยอมรับผลตอบแทนที่น้อยลง
ส่วนสินค้าทดแทน เราจะคิดเพิ่มว่าบริษัทที่เราลงทุนถูกทดแทนหรือเปล่า
เรื่องข้อมูลทุกวันนี้มีเยอะแยะมากมาย
เอาง่ายๆ แค่อ่านจากเพจลงทุนแมน อ่านครบหมดยัง
ต่างประเทศราคาหุ้นไปตามงบการเงินหุ้นBigcapดูfair gameกว่า
หาproductรอบตัวที่เราใช้ เราเห็นพัฒนาการ
อ่านจาก Seeking Alhpa Website เป็นwebsiteที่มีข้อมูลเยอะ รวมถึงoppdayของUSเป็นเฉพาะเสียง
(
https://seekingalpha.com/)
Transformเป็นอักษรได้ด้วย มีคนมาวิจารณ์ด้วย
เรื่องvaluation หลีกเลี่ยงหุ้นที่valuationไม่ได้
Amazon ดู PE ไม่ได้เพราะมีcarpexเยอะ
Google , Facebook ดูforward PEแค่ 30 กว่าเท่า
Nvidia forward PE ปีหน้าก็แค่30กว่าเท่าคิดว่าคล้ายๆ ซื้อหุ้นอย่าง beauty เพราะ PE พอๆ กัน
ส่วนTesla จินตการระยะยาวยาก เพราะคู่แข่งก็พยายามพัฒนา ไม่ยอมแพ้tesla
คุณลงทุนแมนเชื่อว่า teslaจะมีแบรนด์รถหลายๆแบรนด์มาแข่ง เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนม
Q: อยากให้ฝากข้อคิดกับนักลงทุน ควรปรับตัวอย่างไร หรือเคล็ดลับในการลงทุน
A: คุณลงทุนแมน บอกว่า หลับตามองรอบตัวเรา และตื่นมาที่ท้องถนนมีบริษัทอะไรบ้าง
ทุกคนใช้อะไรที่ร่วมกันบ้าง
คุณตู้ บอกว่า 2-3ปีที่ผ่านมาทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวเองดี การปฏิบัติธรรม ทำให้เปลี่ยนแปลงการคิดวิเคราะห์
มีสติมากขึ้น ทุกข์น้อยลง ทุกวันนี้ทำมาปีกว่ามีผลมหาศาล
เริ่มแบบง่ายๆ เช่น แปรงฟันก็ให้รู้ตัวว่าแปรงฟัน สวดมนต์ก่อนนอน5-10นาที
หรือให้หลับตา เพื่ออยู่กับลมหายใจ อย่าฝืนทำให้ตรงกับจริตของเรา
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณลงทุนแมน คุณมานะ และ คุณบอลมากๆครับที่มาแชร์ความรู้ให้เราฟังครับ
Website บทความ หรือ คลิปที่แนบมา ต้องขอบคุณคุณมานะที่มาแชร์ด้วยครับ