หน้า 3 จากทั้งหมด 7

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 27, 2017 8:40 pm
โดย amornkowa
(เพิ่มเติม) ครม.อนุมัติงบกลาง 3.82 พันลบ.เพื่อสร้างความเข้มแข็งเศรษฐกิจในประเทศ
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 27 Jun 2017 18:04

         สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 60)--นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบให้จัดสสรรงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2560 เป็นงบกลางรายการค่าใช้จ่ายส่งเสริมและสร้างความเข้มเข็งเศรษฐกิจภายในประเทศ จำนวน 18 หน่วยงาน รวม 28 โครงการ ในวงเงิน 3,828 ล้านบาท
          อาทิ โครงการศูนย์กระจายสินค้าเกษตรปลอดภัยภาคตะวันออก ตลาดสาขาบางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา, โครงการศูนย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ตลาดสาขาลำพูน, โครงการศูนย์กระจายสินค้าเกษตรปลอดภัยกรุงเทพมหานคร สาขาตลิ่งชัน, โครงการปรับปรุงและพัฒนาท่าอากศยานขอนแก่น, โครงการปรับปรุงอาคารที่พักผู้โดยสารและปรับปรุงภูมิทัศน์ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช, โครงการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบินอู่ตะเภา เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว, โครงการพัฒนาประสิทธิภาพการปฎิบัติงานด้านการอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่นักท่องเที่ยว และ โครงการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในเขตทหาร เป็นต้น
          สำหรับวงเงินที่เหลืออยู่ จำนวน 7,941,431,600 บาท และรายการที่ยังไม่ขอรับการจัดสรรงบประมาณหรือจะขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม ขอให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งรัดดำเนินการและนำส่งสำนักงบประมาณโดยด่วนต่อไป
          
--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/รัชดา/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--

All rights reserved. INFORMATION DISCLAIMER applies (http://goo.gl/4mfKZ3).

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 27, 2017 8:47 pm
โดย amornkowa
*KBANK วางเป้าสินเชื่อปี 61 โต 6-7% จากปีนี้โต 4-6% รับผลดีโครงการลงทุนภาครัฐ, แนะภาคธุรกิจปรับตัวให้ทันโลกยุคสีเทา
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 27 Jun 2017 17:19

         สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 60)--นายบัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารคาดว่าสินเชื่อรวมของธนาคารกสิกรไทยในปี 61 มีโอกาสเติบโตได้ 6-7% จากปีนี้ที่ยังมั่นใจว่าสินเชื่อรวมของธนาคารจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ 4-6% ซึ่งเป็นผลมาจากการลงทุนของภาครัฐที่จะเริ่มออกมาอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้เป็นปัจจัยหนุนหลัก ทำให้ความต้องการสินเชื่อเพิ่มมากขึ้น และเป็นการกระตุ้นให้ภาคเอกชนเริ่มลงทุนตาม ซึ่งมีผลต่อการขอสินเชื่อของภาคเอกชนที่จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
          "การลงทุนของภาครัฐจะเป็นปัจจัยที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีการฟื้นตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังที่จะเป็นการค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้น และคาดว่าอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (GDP) ในปีนี้จะขยายตัวได้ 3.3-3.4% ส่วนในแง่ของสินเชื่อนั้นคาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังเช่นเดียวกัน หลังครึ่งปีแรกสินเชื่อรวมของธนาคารยังชะลอตัว โดยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา สินเชื่อรวมของธนาคารเติบโตเพียง 2.3%"นายบัณฑูร กล่าว
          นายบัณฑูร กล่าวว่า แนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในปีนี้ยังคาดว่าอยู่ในระดับที่ธนาคารควบคุมได้ในกรอบ 3.3-3.4% โดยแนวโน้ม NPL ในช่วงครึ่งปีหลังอาจจะดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แม้ว่าที่ผ่านมา NPL ที่เพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจชะลอและฟื้นตัวช้า โดยในไตรมาส 1/60 NPL ธนาคารอยู่ที่ 3.3% ส่วนกรณีปัญหาหนี้ของบมจ.เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ (EARTH) ธนาคารยังมั่นใจว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายและผลการดำเนินงานของธนาคารที่ตั้งไว้แต่อย่างใด
          สำหรับเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมองว่าคงไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเช่นเดียวกับปี 40 แต่ถือว่ามีความท้าทายในรูปแบบที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตช้า ภาระหนี้สินที่สูง และการลงทุนที่มากเกินไป ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงสมัยใหม่ที่แตกต่างจากอดีต
          โดยความเสี่ยงในยุคปัจจุบัน คือ ความเสี่ยงจากความรู้ไม่ทันโลก ไม่ทันต่อความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซึ่งภาคธุรกิจที่ปรับตัวไม่ทันอาจต้องสะดุดและล้มหายตายจากไป โดยเฉพาะธุรกิจรายย่อย ซึ่งยังประเมินไม่ได้ว่าใครจะอยู่รอด เพราะเอกชนทุกรายต่างพยายามปรับตัวและพัฒนาให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกอยู่แล้วเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้ในยุคของการเปลี่ยนแปลง
          อีกทั้งปัจจุบันภาครัฐยังพยายามผลักดันและเร่งการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของภาครัฐที่ต้องมีประสิทธิภาพ เช่น ต้องมีการวิเคราะห์ต้นทุนและความคุ้มค่าของโครงการลงทุน โดยในด้านโครงการคมนาคมขนส่งต้องพิจารณาว่าเส้นทางนั้น ๆ ที่จะลงทุนมีผู้โดยสารเพียงพอที่จะคืนทุนได้หรือไม่ เช่นเดียวกับการยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตกรที่ต้องทำให้เกิดประสิทธิผลที่ชัดเจน โดยไม่ต้องใช้โครงการประกันราคาสินค้าเกษตรเข้ามาช่วยในภาวะที่ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ
          "โลกในยุคปัจุบันเป็นยุคสีเทา ซึ่งมีโอกาสที่ภาคธุรกิจจะได้ทั้งผลบวกและลบ รายใดปรับตัวได้ มีความคิดต่างก็อยู่รอด แต่ถ้าใครรู้ไม่ทันโลก มีความรู้น้อย สู้ไม่ได้ ก็ต้องล้มไป ส่วนภาพรวมการขยายตัวของสินเชื่อในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ตามเป้าหมาย ซึ่งถือเป็นอัตราที่เหมาะสม เพราะถ้าหากสินเชื่อโตน้อยเกินไปก็จะไม่ช่วยการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันหากสินเชื่อขยายตัวเร็วเกินไปภาวะเศรษฐกิจก็อาจรองรับไม่ทันหรือตกขอบได้ ดังนั้นจึงต้องมีความสมดุลทั้งสองด้าน"นายบัณฑูร กล่าว
          
--อินโฟเควสท์ โดย จีรายุทธ จันทรงสกุล/รัชดา/วิลาวัลย์ โทร.02-2535000 อีเมล์: [email protected]--

All rights reserved. INFORMATION DISCLAIMER applies (http://goo.gl/4mfKZ3).

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 27, 2017 8:49 pm
โดย amornkowa
*(เพิ่มเติม) ครม.ให้ BEM สร้างทางเชื่อมด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอกเข้าทางด่วนขั้น 2 วงเงิน 275 ลบ.โดยไม่ขึ้นค่าผ่านทาง
Source: IQ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ | 27 Jun 2017 16:42

         สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (27 มิ.ย. 60)--นายณัฐพร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติให้ดำเนินการก่อสร้างทางเชื่อมจากทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร ไปยังทางพิเศษศรีรัชด้านทิศเหนือ (มุ่งไปทางแจ้งวัฒนะ) โดยให้ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการก่อสร้าง ด้วยวงเงิน 275 ล้านบาท ทั้งนี้ การก่อสร้างทางเชื่อมทางด่วนดังกล่าว จะไม่เป็นเหตุทำให้ต้องมีการปรับขึ้นค่าทางด่วนแต่อย่างใด
          อย่างไรก็ดี การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) รายงานว่า เมื่อการก่อสร้างทางเชื่อมดังกล่าวแล้วเสร็จ จะทำให้ปริมาณการจราจรของทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 2,600 PCU/วัน คิดเป็น 1.77% ทำให้รายได้ของทางด่วนสายนี้เพิ่มขึ้นจากการจราจรที่เพิ่มขึ้น และทำให้ กทพ. และ BEM ได้รับผลประโยชน์จากโครงการดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนที่กำหนดในสัญญา
          ด้านนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม คือ สัญญาสัมปทานการลงทุนออกแบบก่อสร้างบริหารจัดการ ให้บริการและบำรุงรักษา โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานคร (ฉบับที่ 2) และร่างสัญญาเพิ่มเติมสัญญาโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ฉบับที่ 2 ) ซึ่งตามที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ได้เสนอก่อสร้างทางเชื่อมเพิ่มเติมจากทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอกฯ ไปยังทางด่วนศรีรัช ด้านทิศเหนือ (ไปแจ้งวัฒนะ) เพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางให้ผู้ใช้ทาง และเป็นการแก้ไขปัญหาจราจรด้วย
          โดย BEM จะเป็นผู้ลงทุนออกแบบก่อสร้าง ติดตั้งระบบไฟฟ้าและระบบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ระยะทาง 360 เมตร วงเงินค่าก่อสร้าง 275 ล้านบาท ใช้เวลาก่อสร้าง 18 เดือน แบ่งเป็นค่าก่อสร้างโครงสร้างที่เชื่อมต่อระหว่างทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ กับทางด่วนขั้นที่ 2 วงเงิน 155 ล้านบาท ซึ่ง BEM จะรับผิดชอบ อีก 120 ล้านบาท จะเป็นค่าก่อสร้างโครงสร้างทางเชื่อมระหว่างทางด่วนศรีรัช-วงแหวนกับทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) ซึ่งโครงสร้างบางส่วนทับซ้อนอยู่ในพื้นที่สถานีกลางบางซื่อ จำเป็นต้องก่อสร้างไปพร้อมกัน ซึ่ง BEM จะออกค่าก่อสร้างไปก่อน และไปเคลมจากผู้ลงทุนทางเชื่อมดังกล่าวภายหลัง
          โดยจากการประเมิน พบว่าทางเชื่อมจะทำให้ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ มีปริมาณจราจรเพิ่มขึ้น 2,600 คัน/วัน จากปัจจุบันอยู่ที่ 5 หมื่นคัน/วัน ซึ่งรายได้ที่เพิ่มขึ้น จะคำนวณเพิ่มเป็นส่วนแบ่งค่าผ่านทางในสัญญาต่อไป
          ทั้งนี้ กทพ.ได้ดำเนินการตามมาตรา 47 แห่ง พ.ร.บ.การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2556 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) โดยร่างสัญญาแก้ไขเพิ่มเติม 2 ฉบับ และผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการทางด่วนขั้นที่ 2 และคณะกรรมการกำกับดูแลทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ รวมถึงผ่านการพิจารณาจากอัยการสูงสุดแล้ว โดยได้เพิ่มมูลค่างานก่อสร้างทางเชื่อมตามสัญญาแก้ไขเพิ่มเติมนี้ในวรรคสองของร่างสัญญา
          สำหรับโครงสร้างเชื่อมต่อระหว่างทางด่วนศรีรัช-วงแหวนฯ กับดอนเมืองโทลล์เวย์ (Missing Link) นั้น สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) ได้ศึกษาความเหมาะสมด้านวิศวกรรม, เศรษฐกิจ, สังคม, การเงิน, ประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม คือ การร่วมลงทุนระหว่างรัฐกับเอกชน (PPP) ซึ่งจะเสนอที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้
          
--อินโฟเควสท์ โดย ธนวัฏ เสือแย้ม/กษมาพร/รัชดา โทร.02-2535000 ต่อ 317 อีเมล์: [email protected]--

All rights reserved. INFORMATION DISCLAIMER applies (http://goo.gl/4mfKZ3).

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 29, 2017 7:42 am
โดย amornkowa
เมื่อวานได้เรียนเรื่องเลือกกองทุนอย่างเซียนกับK expert แอน
เห็นมีเครื่องมือที่ช่วยตัดสินใจเลือกกองทุนตัวใหม่ที่แทน
Sharp ratio คือIR
เลยไปค้นหาความหมายมาฝาก
และแถมตารางการจัดอันดับของกองทุนในปีนี้ พค มาฝาก

เครื่องมือช่วยตัดสินใจลงทุน Information Ratio

วิธีการหนึ่งในการวัดอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่อเทียบกับความเสี่ยง (risk-adjusted return) คือ Sharpe’ Ratio ซึ่งคำนวณได้ไม่ยาก และทำความเข้าใจได้ง่าย โดย Sharpe’ Ratio นั้นเป็นการเปรียบเทียบอัตราผลตอบแทนกับความเสี่ยงต่อ 1 หน่วย ยิ่งค่า Sharpe’s Ratio ที่ได้มีค่าสูงก็จะหมายถึง การลงทุน ที่ให้อัตราผลตอบแทนดีกว่าเมื่อเทียบกับความเสี่ยง 1 หน่วย และอีกวิธีการหนึ่งที่ช่วยในการตัดสินใจลงทุนคือ Information Ratio

Information Ratio (Info Ratio หรือ IR) เป็นวิธีการหนึ่งที่แสดงถึงความสามารถของกองทุนในการสร้างผลตอบแทน (Return) ที่เหนือกว่าเกณฑ์อ้างอิงผลการดำเนินงาน (Benchmark) ที่ปรับด้วยความเสี่ยง (Standard Deviation) โดยการหาค่า Information Ratio นั้นมีหลักคิดไม่แตกต่างจาก Sharpe’s Ratio แต่อาจซับซ้อนกว่าเล็กน้อย แต่ไม่ต้องตกใจไป เพราะโดยหลักคิดแล้วเราสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายๆ คือ Information Ratio เท่ากับ Return – Benchmark เเละหารด้วย Standard deviation

การคิดคำนวณและประโยชน์ในการนำไปใช้เป็นอย่างไร

อันดับแรกมารู้จักผลตอบเเทน (Return) ซึ่งเราจะหมายถึงอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน เมื่อเราลงทุนในกองทุนรวมเราจะได้หน่วยลงทุนมา สิ่งที่เราสนใจคือมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value หรือ NAV) ต่อหนึ่งหน่วยการลงทุนว่าเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร การเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงนี้ ทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเปลี่ยนแปลงไปด้วย ซึ่งสามารถคำนวณอัตราผลตอบแทนได้ คือ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (ReturnT) เท่ากับ NAV ณ วันที่เราต้องการดูอัตราผลตอบแทน (NAVT ) ลบ NAV ณ วันที่เราต้องการเปรียบเทียบ (NAVT-n ) และหารอีกครั้งด้วย NAVT-n เท่านี้ก็จะรู้แล้วว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return) เป็นเท่าไร

อันดับต่อมา รู้จักเกณฑ์อ้างอิงผลการดำเนินงาน หรือ Benchmark) สิ่งนี้ใช้ในการเปรียบผลตอบแทนของกองทุนที่เราลงทุนกับค่าเฉลี่ยของตลาด ซึ่งหากกองทุนรวมได้ผลตอบแทนที่สูงกว่า Benchmark แล้ว หมายความว่า บลจ. นั้นบริหารกองทุนรวมได้ดี และผลตอบแทนของกองทุนรวมนั้นชนะตลาด

Benchmark ที่จะนำมาใช้เปรียบเทียบกับผลการดำเนินงานของกองทุนรวมในแต่ละนโยบายการลงทุนนั้น ต้องมีลักษณะการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่สอดคล้องกับกองทุนรวมในแต่ละนโยบายการลงทุนนั้น ๆ ยกตัวอย่างเช่น หากลงทุนในกองทุนรวมตราสารทุน (Equity Fund) หรือที่เรียกว่า กองทุนรวมหุ้น Benchmark ที่เหมาะสม คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้แก่ SET Index หรือ SET 50 Index แต่หากเป็น กองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นเฉพาะกลุ่มธุรกิจ Benchmark ที่เหมาะสม คือ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเฉพาะกลุ่มธุรกิจนั้น หรือหากเราลงทุนในกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนในตราสารแห่งหนี้และ/หรือเงินฝาก เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน Benchmark ที่เหมาะสม คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยประเภทบุคคลธรรมดาวงเงิน 1 ล้านบาทระยะเวลา 3 เดือน หรือหากลงทุนใน กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะสั้น Benchmark ที่เหมาะสม คืออัตราดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยประเภทบุคคลธรรมดาวงเงิน 1ล้านบาท ระยะเวลา 1 ปี หรือ หากลงทุนใน กองทุนรวมตราสารแห่งหนี้ระยะยาว Benchmark ที่เหมาะสม คือ TBDC Government Bond Index (Total Return Index) เป็นต้น เมื่อเรารู้แล้วว่าควรใช้ Benchmark อะไรเพื่อเปรียบเทียบกับกองทุนที่เราลงทุนเราก็นำ Benchmark ตัวนั้นมาหาเป็นอัตราผลตอบแทนของ Benchmark (Benchmark ReturnT) โดยนำ Benchmark ณ วันที่เราต้องการดูอัตราผลตอบแทน (Benchmark T ) ลบ Benchmark ณ วันที่เราต้องการเปรียบเทียบ (Benchmark T-n ) และหารอีกครั้งด้วย Benchmark T-n

ที่นี้ก็นำ Return ของกองทุนที่เราลงทุนมาเปรียบเทียบ (ลบ) กับ Benchmark Return ในแต่ละช่วงที่เราต้องการเปรียบเทียบเช่น 1 ปี แล้วนำมาเฉลี่ยซึ่งเราจะได้ค่าอัตราผลตอบแทนเปรียบเทียบโดยเฉลี่ย (Average Relative Return) ซึ่งค่านี้บอกเราว่าโดยรวมแล้ว Return ของกองทุนที่เราลงทุนไปนั้นสูงกว่าหรือต่ำกว่า Benchmark Return แต่อย่างที่เราทราบกันดีอยู่แล้วการดูเพียง Return อย่างเดียวไม่เพียงพอเราต้องให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้วย

สำหรับ Standard Deviation หรือส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานซึ่งเป็นเครื่องมือพื้นฐานในการวัดความเสี่ยงที่เเสดงถึงความผันผวน (volatility)หรือการเเกว่งตัวขึ้นลงของผลตอบเเทนนั้นก็หาได้ไม่ยาก สามารถใช้วิธีการหา Standard Deviation ทั่วๆไปในการคำนวณ (ผลรวมกำลังสองของส่วนต่างระหว่างค่า Relative Return กับ Average Relative Return ในแต่ละช่วงที่เราต้องการเปรียบเทียบเช่น 1 ปี แล้วนำมาเฉลี่ยหลังจากนั้นถอนรากที่สอง) ทีนี้เราก็จะได้ Standard Deviation หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า Tracking Error ที่ใช้สำหรับคำนวณค่า Information Ratio เมื่อเราได้ข้อมูลต่างๆ แล้วเราก็หา Information Ratio ได้ง่ายๆ สมมติว่าได้ค่า Average Relative Return = 0.0687% Tracking Error =1.3249% ดังนั้น Information Ratio = 0.0687%/1.3249% = 5.188%

เราใช้ค่า Information Ratio อย่างไร ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจกันมากขึ้น สมมติมีกองทุนรวมหุ้น 2 กองทุน ช่วง 1 ปีที่ผ่านมากองทุนที่ 1 ให้ผลตอบแทน 41.25% Standard Deviation 19.97% ขณะที่กองทุนที่ 2 ให้ผลตอบแทน 31.85% Standard Deviation 13.01% จะเห็นว่ากองทุนที่ 1ให้ผลตอบแทนสูงแต่เมื่อมาดูที่ค่า Standard Deviation นั้นจะพบว่าสูงถึง 19.97% ซึ่งอย่าลืมว่า ถ้าค่า Standard Deviation สูงนั้นก็หมายความว่ากองทุนนี้ให้ผลตอบแทนผันผวนมาก(ความเสี่ยงมาก)เช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนคงจะเลือกลงทุนในกองทุนที่ 2 เนื่องจากกองทุนที่ 2 ให้ผลตอบแทนน้อยกว่ากองทุนที่ 1 ก็จริง แต่ในแง่ของ Standard Deviation นั้นจะพบว่ากองทุนที่ 2 นั้นมีความผันผวนของอัตราผลตอบแทนต่ำกว่า กองทุนที่ 1 แต่ข้อมูลเพียงเท่านี้อย่าเพิ่งด่วนตัดสิน เพราะยังมีค่า Information Ratio ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง สมมติเราหาค่า Information Ratio ของกองทุนที่ 1 ได้ 0.98% ของกองทุนที่ 2 ได้ 0.21% นั้นหมายความว่าภายใต้ความเสี่ยงที่เท่ากันกองทุนที่ 1 ให้ผลตอบแทน 0.98% ซึ่งน่าลงทุนมากกว่ากองทุนที่ 2 ที่ให้ผลตอบแทน 0.21% นั่นเอง

นักลงทุนไม่ต้องกังวลว่าจะหาข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้นจากที่ไหนดี ท่านสามารถหาข้อมูลทั้งหมดได้ที่ www.aimc.or.th ซึ่งทางสมาคมบริษัทจัดการลงทุนมีข้อมูลผลการดำเนินงานของกองทุนทั้งหมด มีการคิดค่า Standard deviation เเละค่า Information Ratio ไว้แล้วโดยหวังว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์และเป็นเครี่องมือหนึ่ง ที่ทำให้ผู้ที่กำลังตัดสินใจลงทุน เลือกลงทุนได้อย่างเหมาะสม หรือผู้ที่ลงทุนอยู่เเล้ว มีข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 19, 2017 4:31 pm
โดย amornkowa
TMBAM Global income Seminar
The expert global view for H2 17
From Pimco

Mr Todd Senior vice president of Pimco
ดร สมจินต์ ศรไพศาล CEO TMBAM

กองทุนGISนี้ โตในไทย เป็น 80,000 ล้านบาท เป็นกองETSใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของไทย
และกองแม่ใหญ่สุดของ fix income ของโลกด้วย

วันนี้คุณTodd อยากอัปเดท สภาพศก
และจากมุมมองนี้มีกลยุทธ์อย่างไร
สุดท้าย กองนี้ขณะนี้มีกลยุทธ์อย่างไร

เริ่มต้นจากslideภาพห้องประชุม มีการประชุมทุกไตรมาสกับ นักวิเคราะห์
Circular outlook มองคลื่นใหญ่ 3-5ปี
และอีกแบบมองแค่ 6เดือน
มีมืออาชีพ และ portfolio manager ถึง 200 คน รวมถึง ดร เบน อดีต ประธานเฟด
คุณ กอร์ดอน บราว์ มาระดมความคิดเพื่อไม่ให้หลุดจากThemeใหญ่

ลองมาดูที่กล่าวขวัญ เกี่ยวกับหลักในการตัดสินใจ

Outlookใหญ่

Pimco 2006. Stable Disequilibrium ก่อนหน้านี้ลงทุนในพันธบัตรเป็นส่วนใหญ่

Pimco 2009. New Normal สภาพศก lower growth and inflation
วางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับTheme

Pimco. 2014 new Neutral ทิศทางที่คนสนใจหลังศกดีขึ้น อัตราดบสูงขึ้น
อย่างช้าๆ และ ยังอยู่ในระดับต่ำ ลงทุนตามหลักคิดดังกล่าว ดูเป็น contrarien
กับคนส่วนใหญ่

Pimco 2016. Insecure stabilityเสถียรภาพดีขึ้นแต่มีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่
มองว่าศกยังไม่ตกต่ำเร็วๆนี้ แต่ระยะไกลมีโอกาสตกต่ำ
เพิ่มdutationมากกว่าปกติ

Pimco 2017 Pivot Points เริ่มลดduration portลง

Euro dollar interest rate
New Neutral หมายถึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยไม่ทำให้ศกแย่หรือดีขึ้น
ถ้าภาครัฐต้องการกระตุ้นศก ก็กดระดับดอกเบี้ยให้ต่ำกว่า neutral rate
ก่อนหน้าอยู่ที่4%
แต่ pimco คิดว่าน่าจะต่ำกว่านั้น ประมาณ 2-2.5%
Old Neutral = 4%
New Neutral = 2-3%
Look at bond market ช่วงนั้นถือตราสารหนี้ให้มีdurationสูงขึ้น

The global economy appears to be stable

G20 GDP growth ค่อนข้างแกว่งตัวขึ้นลงในระยะยาว
แต่ในระยะสั้นถ้ามองสภาพศก GDP growth 3-4 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างเสถียร
และทำให้คนไม่ระมัดระวัง ดังนั้นทางpimcoจะระมัดระวังเพราะ
ในอดีต 2004 เติบโตค่อนข้างเสถึยร แต่ยังเจอวิกฤตในปี 2008

Global central bank currently hold over $20T in asset on their balance sheets
ถ้าเรามองสภาพถึงศก โดยเฉพาะธ กลาง หลังวิกฤต2008 ทรัพย์สิน ธ กลางขนาดใหญ่ขึ้นเยอะ
เขาต้องการให้สภาพคล่องเข้าไปสู่ระบบศก คนกล้าบริโภคมากขึ้น
ทำให้ balance sheet of FED ใหญ่ขึ้น เชื่อว่า กย นี้ เขาจะหยุดซื้อและที่ครบอายุ
เขาไม่ได้กลับไปซื้อใหม่ทำให้ balance sheet ลดลง
แต่ไม่ได้ลดลงข้ามคืน แต่ใช้เวลาที่จะลดเหลือ 3ล้านล้าน$

Risks are rising
ภาพนี้แสดงถึงปัจจัยไม่แน่นอน
เช่น ขนาดหนี้เยอะกว่าที่ควรเป็น
การเมืองประชานิยม จาก Brexit , Trump มาเป็นประธานาธิบดี
ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้าโอกาสเกิด ศก ถดถอยแค่ 10% แต่อีก 3ปีข้างหน้า มีโอกาสถึง70%

Investment implications ส่งผลอย่างไร
1.Focus on valuation ระมัดระวังเรื่องการหามูลค่า การหาผลตอบแทน7-8%ยังได้
ในอดีตหามูลค่าง่ายกว่า ตอนนี้หายากแล้ว
2.preseve capital ลงทุนอย่างระมัดระวัง อย่าให้เงินทุนเสียหาร
3.Seek out relative value opportunities in rate and credit
มองแบบ bottome up
4.Exploit aglobal มองแบบ global
5.หลีกเลี่ยงทรัพย์สินบางอย่าง ถ้าภาครัฐมีการอุ้มชูทรัพย์สินบางอย่าง
เขาจะระมัดระวังในส่วนนี้มากขึ้น

Income investment themes

พูดถึงแนวทางการลงทุนเน้นกระเเสเงินที่ส่งให้ลูกค้า
พันธบัตรเยอรมัน 10ปี 0.6% ของอเมริกา 2-3%
แต่เราต้องการ 4% เลยต้องมีกลยุทธ์ในการลงทุน

Theme investment
1. Improving US growth. เน้นหลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกัน เช่น Broad us credit
2. Emerging Market. เน้นลงทุนในMexico Brazil Russia
3. Downside risk protection. ปกป้องความเสี่ยงเช่นลงทุนในUS & Australian Duration
สภาพศกไม่ตรงกันเป็นการป้องกันความเสี่ยงของกองทุน
4. Policy divergence.
Global spread , rate and select currency
ความแตกต่างในทิศทางของนโยบายในแต่ละประเทศ
เช่น อเมริกา และ ญึ่ปุ่นมีทิศทางแตกต่าง ก็ไปหาประโยชน์ตรงนั้น

Housing recovery in US
ก่อนวิกฤต มีการกู้ยืมไปซื้อบ้านเยอะ พอหลังวิกฤต
Supply ใหม่เข้ามาน้อย เด็กหนุ่มสาวกลับไปบ้าน พอพ้นวิกฤตก็มาหาที่อยู่ใหม่
ทำให้อัตราการเติบโตของบ้าน 37%
แต่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค การลงทุนใน mosgate back securitize
ต้องหาคนชำนาญ ซึ่ง Pimco มีทีมอยู่
เวลาพิจารณาซื้อ ดูที่มูลค่าบ้านต่ำกว่าหนี้หรือไม่
ตอนนี้มีแค่ 4-5% ช่วงวิกฤตมีถึง 40-50% ทำให้เกิดวิกฤต
Loan to value ตอนนี้เป็น 50% ถือว่าอสังหามีคุณภาพมากๆ

Non-agency MBS offer attractive risk/reward profile across a variety of housing scenarios
ทางบลจเชื่อว่าการลงทุน MBS แกนนอนราคาบ้านขึ้นหรือลง โดย ช่วงสีเทา
มูลค่าบ้านขึ้นถึง 4-8% MBS ให้ผลตอบแทน 5% ถือว่าดีมาก
ถึงแม้ราคาบ้านตกต่ำก็ยังได้ผลตอบแทน 2-3% มี downside risk ไม่มาก

การลงทุนในพันธบัตรออสเตรเลีย ต้องระวังค่าเงิน เขาระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน

กลยุทธ์ของกองทุน

วัตถุประสงค์หลัก ให้ consistent income โดยที่มูลค่าเติบโตเป็นอันดับรอง
โดยมีกฎเกณฑ์ นักลงทุนยอมให้ยืดหยุ่นในการลงทุน ระยะเวลา0-8ปี
Corporate high yield max 50%
Emerging market max 20%
currency max 30% gross exposure

มองไปข้างหน้า 4-6 ปี จะได้ผลตอบแทน 4-6%

สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ ทหารไทย และ Pimcoที่มาอับเดทข้อมูลครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 22, 2017 9:16 am
โดย amornkowa
เจาะกลยุทธ์ของดร นิเวศน์ที่พูดในช่วงต้นปีที่ผ่านว่า
ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ

สามารถดูคลิปได้ตามlink ด้านล่าง

https://m.youtube.com/watch?v=0fPOXUubc6g

ถ้าดูจากเงินก้อนสุดท้ายที่นำมาลงทุนหลังออกจากงานตอนปี40
ไม่รวมรายได้หลังจากนั้นที่ไปทำงานที่ธ นครหลวงไทย
20ปีที่ผ่านมา ชนะตลาด15ครั้ง แพ้ตลาด 3ครั้ง และขาดทุน2ครั้ง
ผลตอบแทนได้ 300%
3กลยุทธ์ที่ ดร พูดในรายการคือ

1. หาบริษัทได้เปรียบในการแข่งขัน
-มี แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
-มี ต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งมากๆ
-ผูกขาดเจ้าเดียว เช่น เวลาคนออกไปท่องเที่ยวทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ ก็ต้องใช้บริการสนามบิน ตอนนี้มีเจ้าเดียว
-ค้าปลีก มีแค่เจ้าใหญ่ สองเจ้า

2. ผลประกอบการโตอย่างสม่ำเสมอ เป็น การเติบโตจากภายในบริษัทเอง ไม่ใช่เกิดจากการซื้อกิจการ ต้องดูย้อนหลังหลายๆปี
ไม่ใช่บริษํทที่โตปีเดียว จากเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น นำ้ท่วม

3. ราคาไม่แพง โดยดูจาก ค่า P/E , P/B , Dividend

ตอนนี้ปัจจัยเรื่องราคาไม่แพง ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุด ได้หายไปแล้ว
สมัย ช่วงวิกฤตวีไอรุ่นนั้นใช้ข้อนี้ทำให้ประสบความสำเร็จ

แต่ก็ยังสามารถหาหุ้นที่ดีได้จากสองปัจจัยที่เหลือ

ดังนั้นดร บอกว่า ช่วงที่ดีที่สุดของวีไอได้ผ่านพ้นไปแล้ว

ความเห็นส่วนตัวของเพจ
อย่างไรก็ตามเราสามารถทำผลตอบแทนปานกลางได้จาก
สองปัจจัยที่เหลือ ถ้าเรามีความมุ่งมั่นพอ
บางครั้ง mr marketก็ให้เราในข้อที่สามถ้าเราหาเจอนะครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 28, 2017 3:32 pm
โดย amornkowa
ติวอินเวสเตอร์
ตอน สร้างพอร์ตด้วยการออมหุ้น

คุณ เบน มยุรี

ลงทุนในหุ้นไม่ยาก แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
เราหาทางออกตรงนั้นไม่ได้
อสังหาริมทรัพย์ การหาคนซื้อต่อยาก
หรือมีผู้เช่าออก หาคนแทน ต้องใช้เวลาด้วย

แต่หุ้นมีสภาพค่องดีกว่า อสัหหาริมทรัพย์
มีความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น

พอมีอารมณ์ จะเกิดมีปัญหาในเรื่องการตัดสินใจ
ตลาดเอื้อให้ตัดสินใจผิดได้ง่าย

ในแง่การลงทุน จะเปลี่ยนความคิดของคุณ

วงจรเม่า
เริ่มจากมีเงิน แล้วมาลงทุน
ช่องทางการรับฝังช่าวจากไลน์ หรือ ข่าวต่างๆ
พอซื้อไปสักพักเริ่มลง
แต่จริงๆโอกาสขึ้นหรือลงเท่ากัน

กำลังcutจะเด้ง. กลับมาลงทุนใหม่
เราไม่รู้ว่าราคาตรงนี้แพงไปหรือเปล่า
คนเช่าต่างชาติมีสักกี่คน แต่ซับพลายเพิ่มอีกเท่าไหร่

กลับมาที่ตัวหุ้น. บริษัทนี้ทำอะไร การเติบโตมาจากอะไร
ราคาหุ้นขึ้นได้ มาจากผลประกอบการต้องโตขึ้น
ความสามารถในการทำกำไร ต้องดีด้วย
เช่น 5-6% เป็นความสามารถการทำกำไร

โจทย์แรกที่เข้ามา คือ ความเสี่ยงในการลงทุนเป็นเท่าไหร่
แล้วถึงมาดูผลตอบแทนทีหลัง
ถ้าเรามาเริ่มที่ผลตอบแทนก่อน จะเจอการลงทุนที่ความเสี่ยงสูง

เราต้องศึกษาบริษัทมีบริการใหม่ๆ หรือ เปิดสาขาเพิ่มหรือเปล่า

เราลงทุนแบบ dollar cost average เหมือนการลงทุนฝากธนาคาร
24เดือน ๆละไม่เกิน 25000 บาท

การลงทุนก็เหมือนให้ธนาคารตัดบัญชีทุกเดือนในการซื้อหุ้น
ไม่เลือกจังหวะในการลงทุน
ไม่เช่นนั้น ไปจับจังหวะ เช่น หุ้นตก ก็ไม่ซื้อ เพราะกลัวตกอีก
หุ้นขึ้นก็รอให้ตก สุดท้ายก็ไปซื้อปลายปีเหมือนเดิม

อีกกลุ่มใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ สุดท้ายก็ได้ราคาแพงกว่า

สุดท้าย สรุปว่า DCA ดีที่สุด

โปรแกรม streaming จำกัดการลงทุนแค่100 ตัวแรก หรือ SET100
แต่efin tradeได้ 500กว่าตัว. ตัวอย่างเช่น
จอห์น ลงทุนจับจังหวะลงทุน. ถ้าหุ้นแพงไม่ซื้อ
ส่วนเดวิท ลงทุนอย่างมีวินัย ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่า

ขณะที่ราคาเป็นขาขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะสูงข้น
ส่วนถ้าราคาลงก่อนแล้วขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะถูกกว่า

ถ้าลงทุนแบบมีวินัย ต้นทุนจะต่ำกว่า 1000จุด

ข้อดีของDCA
1.ตัดเรื่องอารมณ์ในการลงทุน
2.ลงทุนแบบมีวินัยสม่ำเสมอ
3.ไม่ต้องติดตามผลถี่
4.เหมาะกับแนวคิด ออมในหุ้น
ต้นทุนเฉลี่ยมักจะเบ้ไปทางซ้ายที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลาง
การกำหนดเงื่อนไขการลงทุนแบบดีซีเอทำเพียงครั้งเดียวลดความยุ่งยาก

ข้อเสีย
1.เป็นการกระจุกตัว ขาดการกระจายเสี่ยง
2.หากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน เช่น เปลี่ยนผู้บริหาร อาจปรับพอร์ตไม่ทัน
แต่ถ้าบริษํทที่ผ่านร้อนหนาวมานาน จะเกิดปัญหาข้อนี้

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 30, 2017 9:07 pm
โดย amornkowa
ติวอินเวสเตอร์ ตอน ลงทุนหุ้นด้วยตัวคุณเอง
โดย ภก กิตติศักดิ์ โภคา หรือ คุณเบส หรือ คุณ ปุณ
เจ้าของเพจ ลงทุนศาสตร์
กูรูด้านการลงทุนจาก Aommoney

เบสโชว์ภาพแรก ซึ่งด้านขวาเป็นธุรกิจขนมหวาน ส่วนด้านซ้ายคือหน้าซื้อขายหุ้น
เบสบอกว่า นักลงทุนต้องมองฝั่งขวา ให้ดูธุรกิจ
ขนมหวานถ้วยละ250บาท เราสามารถดูรายได้ โดยคาดว่าแต่ละสาขาขายได้กี่ถ้วย
ก็จะรู้รายได้คร่าวๆแล้ว

ข้อดีของการลงทุนด้วยตนเอง
1.ผลตอบแทนสูง
2.มิกิจการรองรับ
3.ประเมินมูลค่าได้

ข้อเสียได้แก่
1.ผันผวนสูง
2.พลวัตรสูง ผันผวนมาก
3.ใช้ข้อมูลมาก

ยกตัวอย่าง ร้านสดวกซื้อที่มีสาขาเยอะที่สุด
ราคาเมื่อก่อนไม่ถึง 5 บาท ตอนนี้ 60 บาท ซึ่งมีการแตกพาร์มารอบนึง
ซึ่งจะได้20 กว่าเท่า หรือ
หุ้นมาม่าได้100เด้งใน30ปี
ดร นิเวศน์มีแก้วสามประการ แต่น้องเบสมีแก้วตั้ง4ประการเพื่อให้ลงทุนสำเร็จ ได้แก่
ทุน เวลา ทัศนคติ ความรู้

Low cost airlineมา บริษัทท่าอากาศยาน หรือ บริษัทที่ส่งนำ้มันให้เครื่องบินได้ประโยชน์
เบสถามผู้ชมว่าบริษัทที่มีหน้าร้านขายเครื่องสำอาง จริงๆแล้วขายอะไร
ผมพึ่งรู้ว่าบริษัทนี้ขายความหวัง
แต่บริษัทที่ขายเครื่องสำอางไม่ได้ดีทุกตัว

การเริ่มต้นในการลงทุนอย่างมีขั้นตอนคือ
1.พื้นฐานการเงิน
2.พื้นฐานการลงทุน
ได้แก่ การวิเคราะห์ปัจจัยมหภาค. วิเคราะห์อุตสาหกรรม วิเคราะห์ธุรกิจ งบการเงิน
และ การวิเคราะห์มูลค่าพื้นฐาน
3.ข้อมูลสินทรัพย์ที่ลงทุน
ได้แก่ อ่านงบจาก 56-1. และ รายงานประจำปี
ติดตามงบการเงิน
ดูopportunity day
แกะรอยกิจการScuttlebutt
ประชุมสามัญประจำปี
4.บริหารจัดการพอร์ตฟอริโอ

ขั้นตอนในการหาหุ้น

1.Skimmingคือการอ่านคร่าว อ่านหุ้น700กว่าตัว
เริ่มอ่านตั้งแต่หุ้น2s จากwebsite ตลาดหลักทรัพย์
อ่านข้อมูลเบื้องต้น
ต้องศึกษาหุ้นทุกตัวในหนึ่งวัน
เปิดรับข่าวสารทุกที่ ให้ได้ความรู้เกี่ยวกับหุ้น

2.การscreening จะรู้ว่าบริษัทได้ประโยชน์จากเหตุการณ์หนึ่งๆ
เช่น บริษัทขายนำ้มันที่มีสาขามากสุดเป็นอันดับสองซื้อบริษัทที่ขายกาแฟ
เราก็ไปดูกาแฟยี่ห้ออื่นที่ขายโดยบริษัทที่ขายน้ำมันเหมือนกันมาเปรียบเทียบกัน

3.Scanning
ต่อไปเป็นการวิเคราะห์อย่างละเอียด
ถ้าดีก็ลงทุน. ถ้าไม่ดีกลับไปเริ่มต้นใหม่

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 01, 2017 8:27 pm
โดย amornkowa
คุณสาลินี วังตาล กล่าวเปิดงาน SME ยุคดิจิทัลไทยแลนด์4.0

รัฐบาลอยากให้SME ยกระดับเป็น4.0 โดย รัฐมีส่วนช่วยบุกเบิกค้าขายนอกประเทศ
SMEมีเข้าใจระดับนึง ตลาดอาเซียนบวกแปดน่าจะเป็นโอกาสที่ดี

เราจะไปที่ไหนบ้าง
ขอนแก่น ไป อินโด มาเลย์ กัมพูชา ตลาดดีมากไม่ใหญ่แต่ไม่เล็ก

เมียนม่า ตลาดใหญ่ ชอบ สินค้าไทย

ปีนี้มุ่งอินเดีย รัสเซีย ลาว เพื่อนบ้านใกล้เคียง และเวียดนาม

วิทยากรจะมาแนะนำสินค้าไทยอะไรที่เขาชอบ
อาหารประเภทไหนที่ชอบ
สมุนไพร เช่น เครื่องสำอาง อาหารเสริม ที่มีอยไทย ทำอย่างไร เพื่อให้ได้
อย ของรัสเซียได้อย่างไร สสว พยายามจัดสร้างเครือข่ายเป็นมิตรกับสมาคม

เวลาไปทำbusiness matching
ที่ฮ่องกงใช้กันเวลาทำmatching by use QR code
ดังนั้นผู้ประกอบการ พยายามเก็บรายละเอียดของสินค้าใส่ในQR Code
เวลาไปโชว์สินค้า ผู้ประกอบการก็ไม่ต้องไปเอง รัฐส่งคนไปอธิบาย
เวลาต่างประเทศสนใจก็ดูรายละเอียดจาQR code ถ้าสนใจสินค้า
ก็สามารถติดต่อผู้ขายในไทยได้

เราจะจัดอีกแปดครั้ง เพื่อให้ครอบคลุมหลายประเทศ หลังจากนั้นจึงไปแต่ละประเทศ

ดร วิมลกาญจน์ รองผอ สสว เป็นผู้ดำเนินการจัดสัมมนา
ยังหนักใจเรื่อง shelf life from 3 months to 6 months โดยไม่ได้ใส่วัตถุกันเสีย

ถ้าการทำpackagingต้องใช้เงิน ทางสสว เป็นตัวกลาง มีวงเงินให้กู้ไม่เกินหนึ่งล้าน
บาท ระยะสิบปี เพื่อให้ปรับปรุงpackagingเพื่อส่งออก
สามารถยื่นขอกู้ได้เลย แต่ห้ามไปใช้หนี้เดิม วงเงินมีจำกัด

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 01, 2017 9:24 pm
โดย amornkowa
ธุรกิจ SME สู่ ดิจิตัล4.0 เจาะลึก เวียดนาม และ รัสเซีย โดย สสว
วิทยากร
ดร นิ่มนวล รองผอ ฝ่ายอุตสาหกรรมอาเซียน ม ขอนแก่น
คุณ ธาราบดี ผจกทั่วไป ธ กรุงเทพ สาขา โฮจิมินซิตี้
ดร ภานุภัค ผจก All season steak buffet Pattaya

เกริ่นนำ โดยการแนะนำให้ผู้ฟังทราบถึงปูมหลังของวิทยากร

คุณ ธาราบดี อยู่ที่เวียดนาม กับภรรยาซึ่งเป็นคนไทย
เวียดนามขณะนี้เหมือนเมืองไทยสมัยก่อน
ประชากรส่วนใหญ่อยู่ในวัยหนุ่มสาว อีกยี่สิบปีถึงจะเข้าช่วงสูงวัย
ธุรกิจเปลี่ยนจาก tradition to modern trade รอ sme มาทำ
คนที่นั่นชอบสินค้าไทย หลายคนไปลองตลาดแล้ว
ตลาดมีpotential มาก แต่เข้ายากมาก
ธนาคารกรุงเทพ เราเข้าไปครั้งที่สองตั้งแต่ปี89 และได้ license ธ ต่างชาติแห่งแรกของเวียดนาม
ผมเจอนักลงทุนไทย คำถามที่ถามก็เหมือนกัน
เช่น ไปไหนดี หรือ ทำอะไรดี ผมยินดีแชร์ อย่าไปลองเอง
พฤติกรรมคนเวียดนามไม่เหมือนประเทศอื่นในเอเซีย
เป็นประเทศเดียวในเอเซียที่ทานอาหารใช้ตะเกียบ
อย่าคิดว่าหิ้วของไปขายได้เงินออกมา
ถ้าทำแบบนั้นจะถูกล็อตหมด ต้องจดทะเบียนก่อน ค่อยไปค้าขายได้
ต้องไปแบบformation เท่านั้น
ไม่เหมือนไปขายตามชายแดน ลาว เวียดนาม

โอกาสในการขายเป็นอย่างไร
ก่อนอื่นต้องพูดถึงศก เวียดนามสมัยก่อนเงินเฟ้อ20%กว่า
ดอกเบี้ย20% ตั้งแต่ปี2012 รัฐบาลเปลี่ยนทีมศกใหม่หมด
ศกหลังจากนี้เติบโตอย่างมั่นคง GDP 6-7%
เงินเฟ้อต่ำ เป็นข้อดี
ต่อมา ดูประชากร คนอายุ65ปี แค่7%. ส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว 69.4%
Retail market growth 10%กว่า
คนชั้นกลาง บริโภคมากกว่าคนที่มีรายได้ต่ำ และ คนที่มีรายได้สูง
ที่เวียดนาม คนชั้นกลางจะเพิ่มจาก10.ล้านคนเป็น 30ล้านคน
แนะนำต้องรีบไปเดี๋ยวนี้เลย เมื่อก่อนเวียดนามใช้สินค้าจีน
แต่มีปัญหาชายแดน เลยต้องหาสินค้าอื่นมาแทนสินค้าจีน เลยมาซื้อสินค้าไทย
หลายสิบปีที่ผ่านมา สินค้าไทยสร้างภาพพจน์ที่ดี เช่น สินค้าของซีพี หรือ
เครื่องดื่มชูกำลัง เรดบลู เมื่อสามสิบกว่าปีก่อน

เวลาไปสำรวจตลาด ต้องอยู่อย่างต่ำสามสัปดาห์ ทำให้มีโอกาสในการขายมากขึ้น
และประสบความสำเร็จ แต่ถ้าไม่อยากไป ขายผ่านdistribution ก็ยังต้องไปหาเอง
ว่าเจ้าไหนดี หรือไปหาข้อมูลจาก DITP หรือ กรมส่งเสริมการส่งออก
แนะนำว่าควรลงตลาดเองดีกว่า
สินค้าต้องมีการจดทะเบียนตราสินค้าก่อนขาย ไม่เช่นนั้นถ้ายี่ห้อซ้ำกับที่จดแล้วจะขายไม่ได้
ราคาค่าจดทะเบียนตราสินค้าประมาณ หกถึงเจ็ดหมื่นบาท แต่คุ้มค่ามาก
ถ้าvolumeมากขึ้นเรื่อยๆ ต้องตั้งtrading companyออกมาขายเอง
เอาคนที่อยู่เวียดนามซึ่งเป็นคนหนุ่มๆ ที่อยากอยู่เวียดนามนานๆ
ให้เรียนรู้ตลาด หรือ เจ้าของมาอยู่เอง เรียนรู้สัก2-3ปี
หลังปีที่สามจะกำไรมหาศาล local connection
เราต้องเอาคนแข็งๆ และ ไม่ควรประหยัดเรื่องคนตอนช่วงเริ่มต้น
โดยใช้คนไทยมาบุกตลาดก่อน หลังจากนั้นค่อยให้คนเวียดนามมาทำต่อ

ขอสลับไปที่รัสเซีย ถามคุณภานุภัค
ปัญหาคือเราไม่ค่อยไปกัน อาจารย์ไปแล้วชอบมาก ยาสีฟันสมุนไพรเป็นสิ่งที่คนรัสเซียชอบมาก
ดร ภานุภัค มีธุรกิจกับรัสเซีย
มีวันนี้ได้เพราะภาษารัสเซีย
ส่วนของที่นิยมเพราะเคยใช้มาก่อน หรือ distributeที่นั่นเคยเอาไปขาย

ประวัติของ ดร ภานุภัค
มีชีวิตอยู่ได้เพราะภาษารัสเซีย ผมจบ ม ราม เอกภาษารัสเซียคนแรกเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว
ผมใช้ภาษารัสเซียมาตลอดยี่สิบปี
เริ่มทำงานมัคคุเทศก์ เคยนำคนรัสเซียไปเที่ยว
ได้ทุนเรียนโทจากรัสเซีย
จบเอกจากม บูรพา วิชาการสอน งานอดิเรก คือสอนหนังสือ
เปิดร้านอาหาร เริ่มจากคนรัสเซีย ผมกำไรจากคนรัสเซีย
มีมุมมองบอกได้ว่า คนรัสเซียชอบอะไร
ไม่แนะนำให้ค้าขายกับคนรัสเซีย เพราะปัญหาจากภาษาเป็นหลัก
การที่ทำอะไรที่คนอื่นไม่ทำ มันจะเเสดงออกมาในช่วงระยะนึง
เช่นตัวผม และในที่สุดมันจะส่งผลต่อคุณภาพชีวิต
เมื่อสิบปีที่แล้ว คนรัสเซียมาเที่ยวไทยมาก จนกระทั่งเกิดวิกฤตค่าเงินเมื่อสองปีก่อน
กงศุลของรัสเซียมีที่พัทยาและภูเก็ต
หลังจากถูกคว่ำบาตรจากยูโร ก็มาสานสัมพันธ์กับทางเอเซีย กฏเกณฑ์ก็ลดหย่อนลง
ต้นปี ทูตจากรัสเซีย หลังจากถูกแซงชั่นจากยูโร ก็มามองเอเซีย
เรามีความสัมพันธ์กับรัสเซียมา120ปี
คนมาเที่ยวเมืองไทยน้อยลงกว่าเดิม แต่ใช้เงินมากขึ้น ได้นักท่องเที่ยวที่มีคุณภาพมากขึ้น
เพราะค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากค่าเงินอ่อนลง

ปี2007 พระราชินีเคยเสด็จไปเยือนรัสเซียจากการทูลเชิญในหลวงของปูติน
และได้รับทุนเรียนเอก จากการเป็นล่ามแปลส่วนพระองค์ช่วงนั้น

คนไทยมองข้ามปัญหาหรือเปล่าเพราะกำแพงภาษา
เราควรไปเรียนภาษาใหม่ๆเพื่อเป็นแต้มต่อในการทำธุรกิจ

คนรัสเซีย รู้จักไทยในเรื่องของมวยไทย และ มะม่วง
ซึ่งเกิดจากการท่องเที่ยวที่พัทยา คนรัสเซียเลยรู้จักสิ่งเหล่านี้
มุมมองส่วนตัว เวลาขายของ เราต้องขายในสิ่งที่เขาอยากได้
ผมเป็นคนช่างสังเกต นักท่องเที่ยวขนอะไรจากไทยกลับไป คือ สิ่งที่เขาต้องการ

คนเวียดนามมาเที่ยว1ล้านคนต่อปี มาเดินcentral world ชอบสินค้าO-Top
นอกจากมะม่วง ยังมีมังคุด เพราะเขาชอบผลไม้ไทย
คนเวียดนามชอบสินค้าไทย ผลไม้ต้องผลไม้ไทย ข้าวต้องเป็นข้าวไทย
ชื่อสินค้า ไต ลาน xxxx
ต้องลองดูว่าตลาดต้องการอะไร ก็ทำแบบนั้นขาย โดยต้องสำรวจตลาดด้วย
ที่เวียดนาม ประเทศเป็นแนวยาวแต่ละภาคชอบไม่เหมือนกัน
คนทางใต้ปกติดูเหมือนเก่ง แต่จริงๆคนภาคเหนือเก่งกว่า คล้ายๆจีน
สินค้าที่ขายดีในภาคใต้ของเวียดนาม อาจไม่ตอบรับถ้าไปขายที่ภาคเหนือ

เวียดนามมีสองตลาด
ประเทศเขายาว3,300กม แต่ละภาคชอบไม่เหมือนกัน
เทรนที่มาแน่นอน เวลาซื้อของของคนไทย ซื้อของในhyper
แต่คนเวียดนามขี่มอเตอร์โซด์ ซื้อของทุกวัน ดังนั้น modern tradeที่นั่นไม่ค่อยโต
แต่convenient store โต เช่น BJC 150แห่ง มีโอกาสโตเหมือน 7-11
Bigc 33 location ,
Robinson 2 location
เราใช้เขาเอาสินค้าไปลองตลาดได้

แต่ที่รัสเซียไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของห้างได้ ได้แต่ส่งสินค้าไปขาย
รัสเซียไม่เหมาะกับให้เราฝากขายผ่านdistribution
คนรัสเซียไม่ค่อยทำอะไรตรงๆ ดังนั้นส่งสินค้าไปให้เขารับผิดชอบในรัสเซีย
เอกสารที่ออกมาก็ให้ทางรัสเซียรับรองว่าถูกต้องก่อนส่งสินค้าให้รัสเซีย
ถ้าเราพูดภาษารัสเซียได้บ้าง ก็จะได้ประโยชน์มาก

Exhibitionทั้งสองประเทศ เราในฐานะเจ้าของต้องไปเอง
จะมีจิตใจสู้มากกว่า ให้ลูกน้องไป
อยู่นานหน่อย
แบ่งเป็นสองพวก
1.ไปให้คุ้มค่าตั๋วก็พอ
2. กลุ่มต่อมา ทำmarket testด้วย

ถ้าเราไม่คุ้นภาษา ก็จ้างเด็กไทยที่เรียนที่นั่นมาเป็นล่ามแปล
นอกจากเป็นล่าม พาเที่ยวให้ด้วย ถือว่าเป็นวิทยาทานให้น้องๆที่ไปเรียนด้วย

คนรัสเซียจะไม่ยิ้มให้กับคนแปลกหน้า
สุภาษิตของเขา พูดไปยิ้มไป เหมือนคนบ้า
เมื่อก่อนเจอคนไทย จะรู้สึกว่าคนไทยไม่จริงใจ ที่เห็นคนไทยที่ชอบทักทายยิ้มไปก่อน
ปัจจุบัน การท่องเที่ยวทำให้คนรัสเซียเข้าใจคนไทยมากขึ้น
แต่ประชากร143ล้านคนจะเข้าใจคนไทยเหมือนกันได้อย่างไร
ช่องทางการตลาดอยู่ที่นักท่องเที่ยวอย่างเดียว
ยาสีฟันดอกบัวคู่ขายดีที่สุด ขายในห้างหรู หลอดละ500กว่าบาท
ยาสีฟันตลับก็ขายดี. โลชั่นก็ขายดี ยิ่งเป็นรสมะม่วง ก็ยิ่งหอม

สินค้าTop5
สังเกตได้จากสินค้าที่ชอบมาจาก สมุนไพร หรือ ผลไม้
ดังนั้นสินค้าอื่นอาจไม่เป็นนิยมของคนเวียดนาม

งานแฟร์ที่เวียดนาม
มีโชว์ข้าวหอมมะลิ และ ผลไม้ไทย
ปรากฏว่างานยังไม่เปิด เจ้าที่นำผลไม้มาขาย เพียง1 ชม ของหมดเกลี้ยง
ส่วนข้าว คนเวียดนามดมกลิ่นแล้ว บอกว่าเป็นข้าวหอมมะลิ
เขาอยากได้มาก แต่เราไม่ได้ขายเพราะเอามาโชว์อย่างเดียว โดนต่อว่าอย่างมาก
ส่วนตระกร้าก็ขายได้ เหมือนซื้อกระเป๋าชาแนล

สินค้าเวียดนามที่survey ได้แก่
การศึกษา โรงเรียน พัฒนาเยาวชน
ร้านอาหาร entertainment ตอนนี้ให้เป็นเจ้าของร้านอาหารได้แล้ว
Personal care
Food and beverage
Household product
Home appliance

เวียดนามเป็นสถานที่เหมาะกับการตั้งโรงงานมากที่สุด
เพราะการเมืองนิ่ง ประชากรเยอะ มีคนหนุ่มสาวเยอะ potentialสูง
Laborหาง่าย และ ต้นทุนแข่งขันได้ ส่งออกภาษี0%
Tuna export to EU tax reduce from 20% to 0%
อินฟราดีขึ้น
เหตุผลที่ปลาสามแม่ครัวไปตั้งโรงงานที่เวียดนามเพราะ หาปลาง่าย ต้นทุนการผลิตถูกกว่า คนบริโภคเยอะ
ยุโรปมีทำFTAกับรัสเซียและเวียดนาม ทำให้ลดต้นทุนภาษีนำเข้า

สินค้าที่รัสเซียชอบและซื้อกลับบ้าน สังเกตจากคนรัสเซียที่มาอยู่ที่นี่ได้แนะนำ
สินค้าไทยผ่านyoutube ได้แก่
หมอนยางพารา
น้ำมันมะพร้าว ยี่ห้อไทยเพรียว
ยาหม่องตราเสือ
เครื่องสำอางหอยทาก snail
แนะนำให้ไปซื้อที่เทสโก้ โลตัส
ส่วนผลไม้ เช่น แตงโม ลำใย มังคุด ลิ้นจี่ มะม่วง
ไข่มุก
น้ำหอม ซื้อในห้างและสามารถทำrefund vatได้ด้วย โดยซื้ออย่างน้อยสองพันบาทขึ้นไป
เหล้าแสงโสม

จากข้อมูลของทางการ คนรัสเซียชอบสิบอันดับแรก
1. พืชผัก ผลไม้
2. ข้าว
3. สับประรดปรุงแต่ง
4. ปลาทูน่า
5. ปลาแช่แข็ง
6. อาหารสุนัข แมว
7. ข้าวโพดกระป๋อง
8. ปลาป่นละเอียด ปลาแมคคาเรว
9. หูฉลาม ปลาช่อน ปลานิลแช่แข็ง
10. กุ้งแช่แข็ง

ส่วนที่เวียดนาม มีคนใช้internet 35 ล้านคน
เราเอาสินค้าลงผ่านfacebook ขายได้
ทำmarket survey โดยทำเป็นภาษาเวียดนาม
30% shopping via online and pay by cash on delivery
E-commerce เป็นช่องทางที่น่าสนใจ

ส่วนรัสเซีย ก็ไม่นิยมจ่ายบัตรเครดิต
นัดชำระเงินสด แต่อย่าเชื่อเขามาก
ต้องได้เงินขั้นต่ำที่เรามั่นใจ ค่อยปล่อยของออก

การขอ อย ต้องทำให้ถูกต้อง รัสเซียใช้เวลาสองสัปดาห์
ส่วนปลา จะต้องเชิญเจ้าหน้าที่รัสเซียมาตรวจสอบที่ก่อนส่ง

สรุป เวียดนาม
1. ขายผ่านexbihition ขายดี แต่ ถ้าขายจริงอาจไม่เหมือนกัน
ปกติคนที่นั่นชอบลองของใหม่และคิดว่าของถูกกว่าปกติ
2. ทุกธุรกิจที่ไปลงทุน จะขาดทุนเฉลี่ย3ปีแรก ทีมงานต้องอยู่ยาวเกินสามปี
3. joint แล้วเจ็งประจำ
4 ตลาดเหนือและใต้ไม่เหมือนกัน
5 คนเวียดนามaggressive คนที่มีประสบการณ์ค่าแรงแพงมาก
6 อย่าใช้nomineeทำ ยกเว้นเถ้าแก่มีเมียเวียดนาม
7 ต้องทำตามกฏหมาย มีกฏลงโทษปรับย้อนหลังห้าปี
8 ถ้าไปเป็นกลุ่ม เป็น clusterจะดีกว่า เช่น Japanมาแบบนี้
9 connection เป็นสิ่งสำคัญ
10 สินค้าไทย เป็นที่นิยม พิมพ์ยี่ห้อเป็นภาษาไทย
11 strategy
12 ขายเป็นเงินสด
13 ไม่ต้องกลัวค่าเงิน ทำเเบบnatural hedgeดีกว่าเสียค่าhedge

ส่วนรัสเซีย
ขายของที่เขาอยากได้ ส่วนการส่งออก หาคนมาซื้อของของเราได้
หาคนที่จ่ายให้เราดี เอาชัวร์ดีกว่าหมด

สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านมากครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 04, 2017 12:18 pm
โดย amornkowa
สัมมนา ของ เอเชียเวลท์ หัวข้อ กลยุทธ์การลงทุนโดยดูธุรกิจของบริษัท
วิทยากร
คุณ ฮง สถาพร งามเรืองพงศ์
คุณ ชิณณ์ กิติภานุวัฒน์

คุณชิณณ์เกริ่นนำเรื่องการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน
คำถามแรก การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานแท้จริงเป็นอย่างไร ทำให้ประสบความสำเร็จหรือไม่

คุณชิณณ์เฉลยว่า การลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน ประกอบไปด้วย
1.การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค
2.การวิเคราะห์รายอุตสาหกรรม
3.การวิเคราะห์ตัวบริษัท

และ การลงทุนที่ถูกต้อง ต้องดูปัจจัยพื้นฐานของตัวเองก่อน
ถ้าปัจจัยภายในไม่พร้อม ก็ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน

สิ่งแรก คือ Financial statusของผู้ลงทุน
เช่น ตอนทำงาน ได้เงินเดือนบวกค่าคอม ถ้าเอาไปใช้จ่ายก่อนออม
หรือลงทุน ดอกผลก็ออกได้ช้า
ผมค่อนข้างสบายระดับนึง ไม่มีภาระ
ถ้าเราไปถึง Financial freedomแล้วหมดไฟจะทำอย่างไร
ถ้าไฟน้อยลงในการหาหุ้น วิธีแก้คือ ไปก่อหนี้ที่ดีเสียก่อน
จะได้มีไฟในการหุ้นเพิ่มเติม

2. ความรู้ นักลงทุนบางท่านอาจได้ทรัพย์สมบัติมามากจากทางบ้าน
แต่ขาดความรู้ในการลงทุน สามารถหาจากยูทูป และ เข้าใจได้ไม่ยาก
แต่webpage & youtube ใช่เป็นเรื่องการลงทุนหรือไม่
เวลาส่วนใหญ่ของชีวิต ไปลงทุนกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวการลงทุน สุดท้ายก็ไม่ได้ความรู้
ผมออกกำลังกายก็ฟังความรู้เช่นเรื่อง value chain เป็นต้น เพื่อสร้างความรู้
ผู้สรุป ขอเสริม เห็นคุณหมอพงษ์ศักดิ์ ก็ใช้วิธีในการฟังopp day


3 จิตใจนักลงทุน
ถ้าเราเข้าจิตใจการลงทุน โดยใช้หลักของโอวาทปาติโมกข์

3.1การทำความเลวความชั่วทั้งปวงเราไม่ทำ
เปรียบกับ นักลงทุนส่วนใหญ่ตอนแรก จะใช้สติปัญญาในการลงทุน
หลังจากลงทุนสักระยะจะหลง เริ่มฟังคนอื่นไม่ได้ใช้สติปัญญาของตนเอง
บาปกรรมที่ไปเล่นหุ้นปั่น เก็งกำไร ความคิดเหล่านี้ทำให้เกิดผิดพลาดได้

3.2 การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำบุญทำทาน มาจากส่วนที่มีเรามีเกินก็มาทำบุญ แค่ได้กำไรระดับพอเพียง
ก็พออยู่ได้
ตัวอย่างของนักลงทุนบางคน
นักลงทุนบางคนถามเราว่าหุ้นตัวนี้น่าลงทุนหรือไม่
เราทำหน้าที่คือ สอบถามนักลงทุนว่าหุ้น ต่อไปจะเป็นอย่างไร
เขาตอบไม่ได้ เพราะไม่รู้เข้าใจ ทำหน้าที่ไม่เพียงพอ
นักลงทุนต้องเข้าใจกิจการเหมือนเป็นเจ้าของ

3.3 สุดท้าย ต้องไม่มีโทสะ ไม่อยากขาดทุน
เวลาผมลงทุน ผมตีไว้ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่จะไม่เดือดร้อน เราเตรียมพร้อมแล้ว
โลภะ เราอยากกำไรเยอะ เจอหุ้นที่จะกำไรในสองปีแต่เพื่อนทักให้ซื้อหุ้นตัวอื่น
ถ้าเราเข้าใจหุ้นที่เพื่อนแนะนำ เราย้าย เราก็มีเหตุผล
แต่ถ้าไม่เข้าใจ แล้วย้ายไปลงทุน เราก็มีโลภะ
เราเป็นของๆเรา แสดงว่าเรามีโลภะ และ โทสะ
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในการลงทุน คือ ควบคุมจิตใจไม่ได้

หลังจากเกริ่นนำเสร็จ คุณชิณณ์ก็เข้าหัวข้อสัมมนา
ธุรกิจเดินด้วยผู้บริหาร หรือ เจ้าของกิจการ เป็นสัดส่วนที่ใหญ่
ล่าสุดลงทุนแล้วขาดทุนมาก มาจากเจ้าของหยุดทำโครงการใหม่
และหันไปแก้ไขธุรกิจเดิมที่ถืออยู่มากแทน
จะไม่มีรายได้ใหม่เข้ามา ทำให้กำไรลดลง ราคาหุ้นก็เลยลดลง
แต่ขาดทุนไม่มาก

สิ่งที่เราดูจากเพื่อนที่ชวนลงทุน เรามีกฏเกณฑ์คือ
1.เราดูผู้บริหารของบริษัทที่จะลงทุนอายุไม่มาก
2.ไม่มีประวัติว่าทำอะไรที่ไม่มีเหตุผล
3.ผู้บริหารเก่งหรือไม่ ความคิดทันสมัยหรือไป
ยุคนี้ผู้บริหารต้องสร้างS-curveให้กับบริษัทอยู่เสมอ

สิ่งที่สำคัญต่อมาคือดูที่ธุรกิจ
1.เศรษฐกิจในอนาคตในพื้นที่หากิน ดีหรือไม่
2.แข่งขันสูงหรือไม่
3.Marginสูงหรือต่ำ

เราต้องลึกซึ้งกับบริษัทให้ใกล้เคียงกับเจ้าของ
แต่ถ้าทำไม่ได้ เราต้องมีส่วนเผื่อเหลือเผื่อขาด(MOS)

บางครั้งนักลงทุน forcast งบการเงิน แต่ไม่สามารถตอบคำถาม
ทางการเงินง่ายได้ แสดงว่าไม่เข้าใจธุรกิจดีพอ

สุดท้ายการที่เราลงทุนในกิจการหนึ่ง เราน่าจะเห็นงบการเงิน
ผ่านสมมติฐานที่มีเหตุมีผล
สมมติธุรกิจถ่านหิน
1.ผู้บริหารหรือ นสพ บอกมาบอกว่าโต20%
เราต้องพิจารณาแล้วว่าเป็นไปได้หรือไม่
2. เพื่อนถามว่าน่าลงทุนไหม เลยมาถามผม จริงๆคนถาม
ต้องศึกษาก่อน เขาคาดหวังอะไร
การลงทุนที่ดี คือ กิจการที่พอประมาณรายได้ และ มีจำลอง
สถานการณ์ต่างๆ เราจะรู้ว่าเราพอลงทุนได้ไหม
หรือ PE Band ทำให้เรารู้ราคาในจริงว่าอยู่ในช่วงไหน

สุดท้ายหุ้นที่ผมชอบ อยากเป็นหุ้นส่วนคือ B-C (Business to Consumer)
มีความต่าง หรือ ความห่างระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภค
บางช่วงยอดขายเพิ่ม แต่ SG&A ไม่เพิ่ม ทำให้กำไรลงไปที่บรรทัดล่าง

และ ต้องรู้บริษัทที่เราลงทุนอยู่ในช่วงไหนของการเติบโต
ถ้าเราลงทุนในช่วงหุ้นstable ซึ่งไม่matchกับความคาดหวังเรื่องเติบโต
เราต้องลงทุนในช่วงที่กำลังเติบโต

คุณฮงเสริมคุณชิณณ์เรื่องลงทุนในตัวเอง มีโอกาสพูดกับรุ่นน้อง
เขาถามคุณฮงละเอียดมากเลย
ตอนลงทุนต้องทำอย่างไร ผมตอบไปว่า อ่านหนังสือวันละ8-9 ชม
เขาทำไม่ได้ แต่เขาสามารถทำงานได้ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดเสาร์ อาทิตย์
จริงๆเขาทำหนักหนากว่าผมมาก แต่กลับทำเรื่องลงทุนไม่ไหว

มียกตัวอย่างหุ้นเพื่อเป็นบทเรียน
หุ้นตัวแรกมีการวางมัดจำค่าที่ดินเมื่อปี58 350ลบ
แต่ปรากฏว่าไม่สามารถหาเงินมาทยอยแบ่งจ่ายเพื่อไม่ให้โดนยึดเงินมัดจำ
เลยโดยยึดเงินมัดจำ และ ต้องตั้งสำรองหนี้ทั้งจำนวน

บริษัทที่มีหนี้เยอะ แต่สามารถหาเงินมาได้ ก็ไม่เป็นไร
แต่ถ้าหาเงินมาคืนไม่ได้ จะมีปัญหา

คุณชิณณ์เสริม เราลองคิดแบบง่ายๆว่า ถ้าเป็นกระแสเงินภายในบ้าน
มีชำระหนี้ และ ลงทุนใหม่
ที่บ้านมีหนี้ต้องจ่าย และ มีเงินเข้าเท่าไหร่ จะรู้ว่ามันอาจขาดเงิน ขาดสภาพคล่องได้
มีแนวโน้มถูกยึดทรัพย์สินได้
เราต้องทำความเข้าใจธุรกิจ รู้จักงบกระแสเงินสด

กลับมาที่คุณฮง แนะนำการลงทุนไว้ว่า
ไม่เล่นหุ้นปั่น หุ้นเน่า ลงทุนแต่หุ้นที่มีพื้นฐานดี
หุ้นปั่นไม่มีพื้นฐาน ลากราคากันแรงๆ

วีไอชอบแบบไหน
เช่น รายได้โตสูงๆ กำไรโตสูงๆ
อัตราส่วนทางการเงิน gpm ,npm สูง d/e ต่ำ และ ปันผลสูง

เราดูแค่นี้จะประสบความสำเร็จไหม
ยกเคส บริษัทเมื่อ10ปีก่อน
บริษัทที่สอง ขายถ่านหิน กำไรโตมาเยอะเพราะตอนนั้นราคาน้ำมันสูง
โรงงานเลยใช้ถ่านหินซึ่งต้นทุนถูกกว่า หาลูกค้าเพิ่มได้จาก170 to 330 เจ้าในหนึ่งปี
ปี2005-2008 การบริโภคน้ำมันเตาลดลงเรื่อยๆ
เมื่อราคาน้ำมันขึ้น ก็ขายถ่านหินได้เยอะขึ้นจากปี2008
ราคาวิ่งจาก5ไปที่40กว่าบาท ทำกำไร700%ในสองปี
จ่ายปันผลสูงเป็นอันดับสามของกลุ่ม MAI
แต่ปี59 กลับมาขาดทุน

เวลาเราเล่นหุ้นพื้นฐาน รายได้โต กำไรโต แสดงว่าเรามาถูกทาง
แต่จริงๆกำไรเป็นปกติ หรือ กำไรมาจากเหตุการณ์พิเศษ
ถ้าเราเอาช่วงพิเศษเข้ามาคำนวณเกี่ยวกับกำไร เราอาจหลงทางได้ เพราะเป็นสถาพผิดปกติ
ถ้าอนาคตกลับลงไป สภาพที่ดีมากๆหรือเกินจริง อาจจะกลายเป็นการติดหุ้น

คุณต้องเข้าใจnatureของธุรกิจที่ลงทุน
บริษัทนี้ไม่มีbarrier to entry ใครก็นำเข้าถ่านหินจากอินโดก็ได้

ปีเตอร์ ลินซ์เคยพูดไว้ว่า หุ้นcommodityตอนที่เราซื้อตอนที่บริษัทดีมากๆ อาจขาดทุน50%ใน1เดือน
ค่าเงินที่อ่อนมากๆ มันจะอ่อนแบบนี้ตลอดหรือไม่
ตอนที่marginดี ก็มีคู่แข่งก็เข้ามาเยอะ
ตอนน้ำมันแพง พอเปลี่ยนหม้อต้มไอน้ำ ก็สามารถคืนทุนได้เร็ว

ตัวอย่าง ขนมโรตีบอย. มีการต่อคิวซื้อที่สยามยาวมาก ค่าเปิดสาขา 3ล้านบาท
แต่ขายช่วงดีหลายหมื่นชิ้นต่อวัน เราเอาเหตุการณ์ที่ดีมากๆแบบนี้มาคำนวณ
ก็คุ้มค่าในการลงทุน แต่เป็นตัวเลขที่ไม่เป็นความจริงในอนาคต
คนไทยอยากอวด ช่วงนั้นเลยขายดี

เวลาลงทุนหุ้น ลองคิดว่า เราเหมือนลงทุนในโรตีบอยหรือเปล่า
บางธุรกิจในตลาดหุ้น ไปซื้อช่วงพีทเหมือนโรตีบอย เราจะติดสนิท ทนนาน

เหตุผลที่เลือกหุ้นเมื่อสิบปีก่อน จะเห็นว่าบางบริษัทไม่ฟื้นเลย

หุ้นอีกตัว ผลิตชิ้นส่วนelectronic
กำไรโตตลอด
แต่กำไรหายไป80-90%
เพราะลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่เจ้าซึ่งคิดเป็น 90%ของรายได้ทั้งหมด
พอยกเลิกorderกระทบกำไรทันที
ถึงไม่ได้เล่นหุ้นปั่น ลงทุนหุ้นพื้นฐาน แต่ไม่เข้าใจดีพอก็ขาดทุนได้

ถาม คุณชิณณ์ วิธีสังเกตลักษณะผู้บริหาร
ตอบ มีหลายวิธีในการเจอผู้บริหาร เช่น
Opportunity day
การประชุมผู้ถือหุ้น
สินค้าและบริการที่เข้าถึงง่าย อาจเจอผู้บริหาร

ส่วนเรื่องเก่งหรือไม่ ต้องสังเกตจากความคิดของผู้บริหารว่าตามทันเหตุการณ์หรือไม่
บางครั้งพูดคุยกันก็รู้แล้วว่าทันสมัยหรือไม่

อายุผู้บริหารก็มีส่วน ส่วนใหญ่อายุเกิน50ปี อาจไม่ทันสมัย
ควรเลือกผู้บริหารที่อายุน้อย

ถาม จะถ่วงค่าเฉลี่ยของธุรกิจหลายอย่างของบริษัท บางบริษัทอยู่นอกตลาด
ตอบ ต้องดูในแต่ละธุรกิจ เพราะมีmarginไม่เท่ากัน
เราต้องมองธุรกิจอย่างลึกซึ้ง ต้องลงไปในรายละเอียด



คุณชิณณ์พูดถึง ทางเเก้ของการลงทุนในหุ้น

บาปกรรมเราไม่ทำ การใช้เงินแทบไม่มี
กุศลที่ทำมา เป็นกำลังใจให้
อโหสุโข อโหสุขัง เรามีความสุข ถึงแม้พอร์ตลดลงในช่วงบวช ก็มาแก้คืนได้
คนส่วนใหญ่เป็นทุกข์เพราะความคิด คิดว่าเราเสียมันไป
จมอยู่กับความคิด ไม่ได้หาทางแก้
เราอยากได้กลับคืนมา อยากเป็นเหมือนเดิม
ความสุขทางโลก จริงๆความสุขอยู่ตรงไหน
ถ้าเราแก้ไขปัญหา หาพื้นดินที่ยืนให้เจอก่อน
หมายถึงให้ใส่ใจสถานทางการเงินก่อน ยังไงถ้าไม่แย่กว่านั้นถือเป็นจุดต่ำสุด
และจะไต่ขึ้นไปใหม่ได้

หรือ เวลาลงทุน มีทางเลือกสามทางเลือก คิดแล้วว่า
ไม่ว่าทางไหนก็กำไร
สุดท้ายออกทางเลือกสี่ คือ ไม่ได้โครงการเลย
ดังนั้น เราควรลงทุนในหุ้นแต่ละตัวโดยไม่ได้มีนัยยะต่อพอร์ตมากเกินไป
ผู้สรุปคิดว่าไม่ควรลงแค่ตัวเดียว

คุณฮงพูดถึงบริษัทสุดท้ายแถมให้
บริษัทขายพัดลมไอน้ำ ขายดีเมื่อปีที่แล้ว
หลังบริษัทที่ผลิตพัดลมที่มีชื่อเสียงเข้ามาในปีนี้ก็เป็นที่หนึ่งได้เลย
เมื่อปี2016 เขาบริษัทที่ขายพัดลมไอน้ำยังไม่ได้จ่ายค่าแรกเข้าให้กับโลตัส
กำไรเลยดี และได้ทุ่มทุนโฆษณาในmodern trade เพื่อหวังให้ขายดีในปีนี้
ปีนี้จ่ายเยอะ แบรนด์ไม่แข็ง ทำให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น แต่รายได้ขายเข้า
modern tradeไม่โต แถมยังลดลงด้วย สุดท้ายก็ขาดทุน
แสดงว่า บริษัทไม่มีความเข้มแข็งของแบรนด์


สุดท้ายขอขอบคุณ บล เอเชียเวลท์ และวิทยา

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 05, 2017 9:00 pm
โดย amornkowa
คุณ AQUA จากห้องสินธร ในPANTIP มาพูดถึงว่า
ตอนนี้เศรษฐกิจโตมาจากproject ภาครัฐ
ส่วนเอกชนยังไม่ขยายการผลิต สาเหตุที่เศรษฐกิจโตแต่การค้าไม่ดี
เพราะ แรงงานต่างชาติรับเงินเดือนมาแต่ใช้น้อยมาก เงินส่วนใหญ่
จะส่งกลับบ้านเกือบหมด ดังนั้นถึงแม้GDPโตมากกว่า3%แต่ไม่ค่อยมี
เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจ เพราะเงินถูกส่งออกนอกประเทศ
ช่วงนี้อัตราดอกเบี้ยจะชะลอการขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง
ค่าเงินบาทแข็ง มาจากค่าเงินสหรัฐอ่อนตัวลง ประกอบกับ
ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุล นำเข้าลด ส่งออกเพิ่ม
ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง ต่างชาตินำเงินเข้ามาในประเทศ
แต่ส่วนใหญ่จะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล เพราะมองว่าค่าเงินบาทยังแข็งต่อ
ส่วนหุ้นเข้าน้อยมาก เพราะประเทศเพื่อนบ้านเมื่อก่อนเป็นคู่ค้า
แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นคู่แข่ง ทำให้เงินไหลเข้าหุ้นในประเทศแถบเอเชียแทน
ตอนนี้ลดสัดส่วนหุ้นที่สภาพคล่องน้อยลง เหลือแต่หุ้นที่มีสภาพคล่องสูง
บางส่วนไปลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือ RIET เพราะอัตราดอกเบี้ย
ยังไม่ปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ดังนั้นRIETดูน่าสนใจมากขึ้น

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 07, 2017 8:57 pm
โดย amornkowa
Investment Fest2017 ตอน แอบดูกูรู

คุณป้อม ปิยพันธ์ มาพูดแทนเซียนป๋องที่ป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ ขอให้หายไวๆนะครับ

หัวข้อที่จะพูดในเวลา 15 นาท คือ เริ่มจาก start up จบที่ตลาดหุ้น

คุณป้อม เริ่มด้วยคำพูด

เราสามารถเลือกได้ว่าเป็นผู้เล่น หรือ ผู้ลงทุน
การเป็นstartup เราเป็นได้ทั้งสองฝั่ง


คุณป้อมพูดถึงคำฮิตยุคนี้เริ่มจาก

1. EDM คือ concertใหญ่ที่สุด ที่คนไปรอฟังดีเจเปิดเพลง
คนพร้อมจะไปกับกระแสเทคโนโลยี คนเก่งก็เป็นเศรษฐีได้
ยุคนี้คนพร้อมไปฟังจากดีเจเก่งๆ
2. 4G มาอย่างรวดเร็วจากเมื่อเริ่มlaunchเมื่อสองปีก่อน
3. Wifi เป็นของฟรีไปแล้ว กลายเป็นserviceที่จำเป็นต้องให้ไปแล้ว
4. AI อัปเกรดตัวเองได้ ต่อไปจะคุยกันเอง ซึ่งน่ากลัวมาก
5. Startup ผมลงทุนมาหกปีแล้ว ตอนนี้กระแสมาแรง

ก่อนนี้เป็นพนักงานประจำ อยากเกษียณเลยลงทุนในตลาดหุ้น
สักพักเริ่มมีแนวทางลงทุนที่ชัดเจน คือ ลงทุนในหุ้น
ที่ไม่มีคนสนใจคือ แบบ penny stock

ต่อมามีPain pointว่าคนหลายคนมีความรู้ด้านการลงทุนแต่ขาดทุน
เลยสร้างแพลตฟอร์ม stock2morrow มี angel investor คือตัวเอง
เป็นผู้ลงทุน หกปีต่อมา คนไทยเริ่มมีstartup
ผมตัดสินใจลงทุนในstartupเพราะมีประสบการณ์

ช่วงปี2008 ถ้าควบคุมความเสี่ยงได้เพียงพอ ใช้โอกาสนั้นเอาassetแปลงเป็นเงิน
และเข้าไปลงทุนจนประสบความสำเร็จ และ retireจากงานมา
ตอนนี้ลงทุนstart up 7 บริษัท
คนที่ลงทุนstart up 99%จะขาดทุน
ถ้าเป็นnew player ต้องมีความพร้อม อดทน
เพื่อให้ investorเข้ามาลงทุน
ยังต้องมีskill ในการpitchให้กับVC
ถ้าผ่านไม่ได้ก็จบ

จุดclimax คือ เติบโตแบบก้าวกระโดด อย่างน้อย 100-300% ต่อปี
และต้อง fund raisingให้เป็น มีเงินมาอัดให้นักธุรกิจ
เงินที่ได้นำมาดำเนินธุรกิจ
แต่ต้องไม่นำเงินออกมาใช้เพื่อตัวเอง

เมื่อก่อนเจ้าของบริษัทลงทุนด้วยตัวเอง เอาเงินใส่ค่อยเป็นค่อยไป
ส่วนstartupมีคนมั่นใจในการใส่เงินเข้าบริษัท และต้องburnให้หมดใน6เดือน
สามารถสู้กับธุรกิจที่ดำเนินงานมาเป็นสิบปีได้

เกมนี้ท้าทาย คนที่ลงเงินก็จะได้หุ้นส่วนนึงกลับมา
เราraise fund จากคนรอบข้าง จนกระทั่งทำIPOได้ ก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์
มูลค่าจะกลายเป็น1,000เท่าของมูลค่าเริ่มขึ้น
Startupมีไม่เกิน5%จะผ่านได้
นักลงทุนในstartup ต้องหาบริษัทที่อยู่ใน5%ให้ได้

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 13, 2017 8:36 am
โดย amornkowa
Investment Fest 17 ตอนแอบดูกูรู

หมอนัท (ธนัฐ ศิริวรางกูร) หรือ Dr.Nut คือเจ้าของผลงานเขียนด้านการลงทุน คลินิกกองทุน แห่ง Aommoney
บางคนคิดว่าชื่อหมอนัทเป็นแค่ฉายาที่ตั้งให้คล้องกับคลินิกกองทุน
เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนกองทุนรวมมาพูดในงาน Investment Fest 17 ในเวลา 15 นาที
มาอ่านที่หมอนัทพูดกันครับ

ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทำscrop ที่น่าสนใจเรื่องการเรียนรู้
ย้อนปี2535 พรบหลักทรัพย์ทำขึ้นพร้อมกับการก่อตั้ง กลต ขึ้นมา
บริษัทไหนที่อยากเป็นบลจ ใครอยากเป็น ก็ต้องจัดตั้งกองทุนรวมหุ้นไม่ต่ำกว่า 3,000 ลบ
บางคนขายบ้าน รถ มาลงทุนในกองทุนรวม เพราะมีการันตีได้ 30%แน่นอน

ส่วนตัว Seminar knowleadgeตอนนั้นจำได้ว่าเปิดกองทุนมีการให้รายใหญ่ หรือ เจ้าประจำเรียบร้อย
ไม่ถึงรายย่อยแน่นอน ผมเคยติดต่อขอจองแค่20,000บาท
ตอนไปชำระเงิน เจ้าหน้าที่ระดับบนในสาขายังมาโวยวายว่า
ทำไมเราได้แต่พอดูยอดเงินเลยให้ผ่าน
เพราะตอนนั้นซื้อปั๊บกำไรปุ๊บเลย
ส่วนคนลงทุนหุ้นที่activeจริงๆประมาณ แสนคนเท่านั้น
ช่วงนั้นกองทุนรวมเป็นส่วนนึงที่ทำให้ดัชนีSET indexขึ้นถึง1700
กลับมาที่หมอนัท พอถึงปี 2540 เจ๊ง เงินเหลือไม่เยอะ
ไทยได้เรียนรู้ และ เติบโตได้จากประสบการณ์ช่วงต้มยำกุ้ง
การลงทุนที่พิเศษ ไปลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายขึ้น
ช่วงนั้นหลายบริษัทให้ลูกค้าทำ KYC (know your customer)
บางบริษัทออก property fund

เสริมจากผม ทางภาครัฐให้สิทธิพิเศษ
แก่กองทุนproperty fund ซึ่งอีก10กว่าปีต่อมาก็ยกเลิกสิทธิพิเศษไป
โดยไม่ไห้ออกกองproperty fundเพิ่ม และ ห้ามขยายขนาดกองทุน
แต่ให้เปิดกองประเภทใหม่ คือ REIT ซึ่งสิทธิประโยชน์ทางภาษีน้อยกว่า

มาต่อที่หมอนัท
เกิดแนวคิดการวางแผนทางการเงิน
มานึกย้อนแล้วก็คล้าย ผมจบปี 2007
ปึถัดมา เจอ แฮมเบอร์เกอร์ ไคซิส
เรียนประเมินมูลค่าอสังหาริมทรัพย์
ผมเคยทำงานเป็นผู้บริหารบริษัทยาแห่งนึง
หลังจากเป็นผู้วิเคราะห์กองทุนรวม
เปิดเพจของตัวเอง และ ไปเรียนเขียนprogram computer
&Big data มาจัดการข้อมูลที่เกิดขึ้น
แนะนำนักลงทุนทุกท่านไม่ควรหยุดเรียนรู้
สิ่งที่กำลังจะมา ได้แก่ AI , Machine learning
ซึ่งสามารถทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 72%สำหรับการลงทุนด้วยหุ้น
มันเก่งขึ้นทุกวัน ในอีกห้าปี จะซื้อขายหุ้นและกองทุนเก่งกว่าคุณ
ถ้าเราไม่เรียนรู้มันไว้ อาจเสียโอกาส
ความรู้จะเป็นตัวช่วยพัฒนาความคิดอย่างไม่สิ้นสุด หากเราไม่มีความรู้ที่ดีจะไปต่อ และ รับกับการเปลี่ยนแปลงได้ยาก

สุดท้ายขอบคุณหมอนัทที่มาให้ความรู้ครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 13, 2017 10:02 am
โดย amornkowa
InvestmentFest17
ตอน แอบดูกูรู


คนต่อมาคือ คุณ บักหนอม หรือ TaxBugnoms นักเขียนของ Aom money
ผู้เขียนบล็อกภาษีข้างถนน : ความรู้เกี่ยวกับบัญชี ภาษี การเงิน และการลงทุน

วันนี้มาพูดถึงการลงทุนของตัวเองว่ามีผิดพลาดอะไรบ้าง
ย้อนไปเมื่อ10กว่าปีก่อน มีไฟในการทำงาน
มีเป้าหมายชีวิต อยากมีคนรัก ชีวิตดีขึ้น เหมือนทุกคน
อยากรวยมาก อยากมีความสำเร็จ อยากเกษียณ
Search google หารายได้เสริม เจองานขายตรง
ทำสักพัก ก็เจองานเสริม สร้างรายได้ในอีก2ปีต่อไป
มีเงินเหลือเก็บ และ อยากให้เงินเพิ่มขึ้น
เลยsearchต่อด้วยคำว่า มีเงิน1แสนบาททำอย่างไร
จนถึง อยากรวยต้องทำบุญอย่างไรดี

เข้าสู่โลกการลงทุน
หลังปี2552-53 ด้วยความที่เรียนบัญชีมา กลัวความเสี่ยง เลยลงทุนหุ้นทีละหน่อย
ลงทุนอะไรก็กำไรหมดเลย
ตอนนั้นsearch หาเรื่องการลงทุนแบบVI ,การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย DCA
รู้สึกว่าตัวเองเก่งมาก กำไรเยอะมาก ถึงขั้นขึ้นFacebookว่าลงทุนวันเดียวได้มากกว่าคนรวย
ความมั่นใจผิดๆ จะส่งผลในช่วงต่อไป
พอปี55 เจอภาวะไม่ดี ขาดทุน 70%
เลยsearchต่อ ขาดทุนทำอย่างไร ก็ได้หนังสือธรรมะมาชุดใหญ๋
กลัวหุ้น เลยกระจายความเสี่ยงไปลงทรัพย์สินอย่างอื่น
จริงๆแล้วรู้ว่าต้องการอะไร ชีวิตอยากได้อะไร
ถามตัวเอง อยากได้อะไร
สุดท้ายได้หลักการมาสามข้อ
1. ได้ผลตอนแทน 7% ต่อปี เป็นค่าเฉลี่ย
2. ลงทุนแล้วสบายใจ
3. มีเวลาให้ครอบครัวและทำในสิ่งที่รัก
บางคนเจอปัญหา หาเวลาคุยกับตัวเอง
หยุดค้นหาการลงทุนดีที่สุด ถ้าคุณยังไม่รู้จักตัวเอง
ท้ายสุดเชื่ออว่า การลงทุนที่ดีที่สุดเมื่อรู้จักตัวเอง

สุดท้าย แค่คำแนะนำของคุณหนอมว่า เราต้องรู้จักตัวเองให้ดีก่อน
อาจจะการประเมินแบบสอบถามKYC เราจะได้จัดพอร์ตลงทุนให้ตรงกับความเสี่ยงที่เรายอมรับได้

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 13, 2017 11:03 am
โดย amornkowa
Investment Fest17
เทคนิคการหาหุ้นฝากชีวิต

คุณต้าร์ กวิน วรรณตระกูล แห่ง Aom money
คุณนิ้วโป้ง อธิป กีรติพิชญ์ นักลงทุนแนววีไอ และนักเขียน
ปัจจุบัน เป็นวิทยากร stock2morrow

เริ่มที่คุณต้าร์ กวิน นักเขียน Aom money ซึ่งเป็น idolการลงทุนหุ้นแบบDCA
Q: ขอรายละเอียดที่มาของหุ้นที่ฝากชีวิตได้
A: มีคนมาขอหุ้นได้ 100% ในช่วงเวลาสั้นๆ
ผมว่าเจอกันทุกคน
นั่งคิดว่า สามวันเกษียณเลย ฝากชีวิตกับหุ้นที่เด้งเลย
มันเสี่ยง และ อาจไม่เป็นอย่างที่คิด
หุ้นที่ฝากชีวิต ต้องเติบโตอย่างสม่ำเสมอ มีความปลอดภัย
เช่น หุ้นท่าอากาศยาน เราจะต้องหาcharacterให้เจอ

คุณนิ้วโป้ง
คน 100 คนที่ลงทุน ส่วนใหญ่เสีย นี่คือความจริง
นักลงทุนสี่ประเภทได้แก่
1.รายย่อย ( II ) individual investor
2.Prop trade
3.นักลงทุนสถาบัน
4.นักลงทุนต่างประเทศ
นักลงทุนจากต่างประเทศเงินเยอะกว่าเรา เวลาเข้าสมัยก่อน จะเข้าหุ้นใหญ่พร้อมกันหลายตัว
หลังบาดเจ็บครั้งแรก เราไม่มีสิทธิ์พิเศษในการซื้อหุ้น
Average investor buy good price & good stock

เรื่องที่1 รูปแบบการลงทุน
วิธีการลงทุนแบบนี้ 3ปีย้อนหลัง
Set+21%ในปีที่แล้ว เวลาแพ้ อย่าแพ้เยอะ เพื่อจะกลับมาได้ง่าย
ปี2015 หุ้นราคาถูกมาก
หุ้นน้ำมันที่มีบริษัทลูกขายกาแฟนกแก้ว ราคาแค่ 240 บาทเอง
หุ้นค้าปลีกหน้าปากซอยบ้าน 38 บาท
ตัวอย่างPort จัดสัดส่วนการลงทุนใน
1. Equity 41% (active port&passive port) ,
2. Fund 37% ( LTF,RMF,Mutual fund),
3. Non listed equity 2% ,
4. Cash 19%
การจัดพอร์ตโดยเอา 100- อายุ เช่น อายุ40ปี ก็คำนวณ โดย เอา100-40 หมายถึง ซื้อหุ้นได้ 60%
ส่วนอีก 40% เป็น Non risk asset

คุณ ต้าร์ มองว่าทรัพย์สินความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนต่ำ
ควรลงทุนในหุ้น ซึ่งฝากชีวิตได้ แต่ถ้าอายุเยอะก็ถือหุ้นน้อยลง

เรื่องที่2 หุ้นแบบไหนคือหุ้นที่ดี
หุ้นที่ฝากชีวิตได้ เช่น รพ สื่อสาร ค้าปลีก เราเห็นว่ายังเติบโตได้ เราอาจมองอนาคตยาว
แต่ก็ต้องระวังDisruptive ด้วย
อะไรที่ทำให้เติบโตในระยะยาว ก็คือผลกำไรที่เติบโตต่อเนื่อง
แต่ระยะสั้นมีความผันผวน คนจะแพ้ก็ตรงระยะสั้น ขายไปก่อน แทนที่สะสมเพิ่มขึ้นถ้าดีในระยะยาว
ถ้าเราลงทุนหุ้นระยะยาว ในอนาคตมีเงินแบบ passive income จากหุ้น
เวลาใช้เงินก็ขายได้ ปีต่อไปก็ขายเพิ่ม5%เหมือนได้รายได้สูงขึ้น
บริษัทที่ยังมีคนใช้บริการอยู่ถึงตอนนี้ และ ยังมีกำไรอยู่
เราดูบริษัทจากชีวิตประจำวันว่าบริษัทไหนยังทำธุรกิจอยู่ได้
สิ่งที่มากระทบ เช่น พฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลง
บริษัทถ้าไม่ได้ปรับตัว เราก็ขาย
เราควรรู้ผู้บริหารคือใคร

คุณโป้ง พูดต่อจากคุณต้าร์ถึงหุ้นฝากชีวิตเป็นแบบไหน
สูตรในการลงทุนที่ใช้ได้ตลอด
Good price & good stock
หุ้นฝากชีวิตในอีก 10 ปีข้างหน้า
1. ต้องไม่เจ๊ง
2. ต้องผูกขาดทางใดทางหนึ่ง
3. ต้องมีMarket shareเพิ่ม
4. ต้องรายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม
พูดในเชิงความเข้มแข็ง
ไทยจะมีหุ้นโครงสร้างพื้นฐาน หุ้นโรงไฟฟ้า หุ้นเกี่ยวกับสนามบิน
หลายปีค้าปลีกไม่โตขึ้น แต่ย้ายจากโชวห่วยเป็น Convenient store
ถ้าเราถือหุ้นฝากชีวิต10ตัว
เมื่อไหร่ที่หุ้นบางตัวลง20-30% โดยไม่มีเหตุผลที่เพียงพอก็กระทบต่อportไม่มาก
หุ้นไทย ส่วนใหญ่เป็นหุ้นพลังงาน
แต่หุ้นต่างประเทศ จะเป็นหุ้นไฮเทค
การลงในต่างประเทศนอกจากดูที่ผลตอบแทนต้องระวังforexด้วย

คุณต้าร์ ถือหุ้น5ตัว รับความเสี่ยง ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับหุ้นน้อยตัว
แต่เพื่อนถือ 50ตัว เช่นกระจายความเสี่ยง ผลตอบแทนฉุดกันไปมา
ผมศึกษาแล้วรู้ว่าหุ้นแบบไหนที่ชอบ ก็เลือกหุ้นที่ชอบเข้าพอร์ต
หุ้นมีทั้ง defensive stock , growth stock

ส่วนคุณโป้ง จำไม่ได้ว่าถือกี่ตัว เต็มที่ไม่เกิน 15 ตัว แนะนำไม่ควรเกิน10ตัว
ถ้าเงินเยอะ ก็ไม่เกิน 20 ตัว
หุ้นบางตัวกระจุก เช่น หุ้นรับเหมาก่อสร้างทุกตัว
หุ้นบางตัวทับซ้อน เช่น หุ้นพี่แอด กับ หุ้นชิน
ในยุคดิจิตอล พิจารณาว่าแต่ละกลุ่มมีแนวทางเปลี่ยนไปจากอดีตหรือไม่
Retail
Telecom
Energy
Media
Logistic ex BTS ,
Industrial
Tourism เป็นหนึ่งในsectorที่แข็งแรง
เลือกหุ้นในกลุ่มที่เปลี่ยนแปลงช้าสุด

เรื่องที่5 วิธีคัดหุ้นดี
วิธีการเลือกหุ้นดีต้องดูอะไรบ้าง
1 หาความรู้ให้กับตัวเรา หรือ สร้าง Eco systemก่อน
2. คุณไซมอนมาพูด why for what
ดังนั้นการหาvalue position
เอาวิธีการคิดของต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาใช้ในไทยก็น่าประสบความสำเร็จด้วย

คุณ โป้ง
คนคาดหวังผลตอบแทนสูงเกินไป สมัยนี้ผลตอบแทนตราสารหนี้ลดลงมาก
บางกองทุนก็เพิ่มสัดส่วนหุ้นมากขึ้น
เช่นที่มาเลเซีย กองprovident fund จะลากออกจากกองทุนก่อนกำหนดไม่ได้ และ ออม 20%
ประเทศไทย ตลาดหุ้นมีรายย่อยเยอะ

เรื่องที่4.หุ้นที่อยู่ในหมวดหุ้นดี และ น่าถือยาว
1. หุ้นที่ดูแลท่าอากาศยาน มีปัญหาอย่างเดียว คือ แพงเกินไป ผมก็พลาดขายครึ่งนึง
หุ้นเบญจภาคีมีน้อยลง
2. Tourism โรงแรม ร้านอาหาร ระยะยาวน่าจะดี
ตอนนี้จนถึงสามปี Airbnb เหมาะสำหรับวัยรุ่น ต้องบริการตัวเองระดับนึง
แต่ผู้ใหญ่ยังต้องการที่พักแน่นอนมากกว่า รวมถึงต้องการเรื่องการบริการ
โรงแรมในไทย มีแบรนด์ตัวเองแล้ว น่าจะตอบสนองความต้องการของผู้ใหญ่ได้ดีกว่า
3. Medical
เราไม่มีหุ้นยา มีแต่หุ้นโรงพยาบาล
ระยะยาวควรกี่ปี
ตอนนี้ ตลาดหุ้นsideway กรอบการแกว่งน้อยมาก แต่volumeไม่บางเลย
ถ้ามีgood stock ให้ถือไว้ รับเงินปันผล

เรื่องที่7.จุดระวัง
คุณ ต้าร์ แนะเรื่องความเสี่ยง ไม่รู้ว่ามาเมื่อไหร่
จะมากระทบทำให้ตกใจ แต่ไม่กระทบพื้นฐาน แต่บางครั้งกระทบพื้นฐาน ทำให้หุ้นแย่ลง
ถ้าพฤติกรรมผุ้บริโภคเปลี่ยน เงินจะจ่ายให้กับคนตอบโจทย์ได้
ปัจจัยภายในก็เปลี่ยนแปลงได้
1.ผู้บริหารเปลี่ยนนโยบาย
2.แนวทางการทำธุรกิจเปลี่ยน
3.อาจจะเกิดความเสี่ยงหรือเกิดแง่ดีหรือไม่

คุณโป้งพูดถึงจุดระวัง
จากการวิจัยเรื่องปัจจัยอะไรมีผลต่อผลตอบแทนในระยะยาว
ปรากฏว่า ระยะยาวผลตอบแทนมาจากการจัดพอร์ตมากที่สุด
GPIF (Government Pension Investment Fund) เพิ่มสัดส่วนหุ้นจาก 26% ในปี14
มาเป็น 43% ในปี 16
จุดระวังคือ
Digital transformation ถ้าเจอบริษัทไหนที่รายได้ลด กำไรลด รู้เมื่อไหร่ขายเมื่อนั้นเลย

เรื่องที่8.กับดัก
การลงทุนทางสายกลาง จัดพอร์ตให้เหมาะสม คนพึ่งทำงานไม่ควรถือตราสารหนี้100%
คนอายุมากขึ้น ก็ลดสัดส่วนหุ้นลง เพิ่มตราสารหนี้มากขึ้น

สุดท้ายขอขอบคุณวิทยากรทั้งสองท่านที่มาให้ความรู้ครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2017 9:29 pm
โดย amornkowa
สัมมนา มหกรรมการลงทุนเพื่อความมั่งคั่งในอนาคต
หัวข้อ เซียนหุ้นรุ่นใหม่

โดย ภก กิตติศักดิ์ โภคา หรือ น้องเบส เจ้าของเพจ ลงทุนศาสตร์

น้องเบสวันนี้มีกิจกรรมตลอดช่วงบ่าย เริ่มจากช่วงเที่ยงช่วยงานสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย
และร่วมงานสัมมนาตลอดช่วงบ่าย ส่วนช่วงเย็นก็มาพูดในงานนี้

น้องเบสพูดถึงแนวการลงทุนของ คุณ วอร์เรน บัฟเฟต
ช่วงแรก คุณบัฟเฟตได้เรียนการลงทุนจาก เบนจามิน เกรแฮม ซึ่งมีกลยุทธ์ในการเลือกหุ้นแบบvalue
โดยเลือกหุ้นที่ราคาถูกกว่ามูลค่าที่แท้จริง มีการกระจายความเสี่ยง และ จะขายเมื่อราคาเกินมูลค่าที่แท้จริง
ต่อมาได้ศึกษาการลงทุนของ ฟิลิป ฟิสเชอร์ ซึ่งเน้นการลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth stock)
ประเด็นสำคัญที่สุดที่เป็นลักษณะเฉพาะตัวของฟิชเชอร์ก็คือ เขาให้ความสำคัญกับ “ปัจจัยเชิงคุณภาพ” สูงมาก ซึ่งหมายถึงการวิเคราะห์คุณลักษณะของบริษัทในแง่ที่ไม่เกี่ยวกับตัวเลข เช่น การตลาด การขาย ความสามารถและจริยธรรมของผู้บริหาร ความได้เปรียบในการแข่งขัน การวิจัยและพัฒนา (R&D) หรือแม้แต่แบรนด์และเฟรนไชส์ของบริษัท ฯลฯ

ฟิชเชอร์มองว่า บริษัทที่น่าลงทุน ต้องไม่เพียงผลิตสินค้าที่ดีมีคุณภาพ แต่ต้องเข้าใจถึงความต้องการของผู้บริโภค และการจะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องมี “การตลาด” ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งตัวฟิชเชอร์เองก็อาจถือได้ว่าเป็น “นักการตลาด” ที่ยอดเยี่ยมและมีสายตาอันเฉียบคมคนหนึ่ง

วิธีค้นคว้าหาข้อมูลของธุรกิจที่ฟิชเชอร์ใช้และเป็นที่รู้จักกันดีก็คือ เทคนิค “การล้วงลึก” (Scuttlebutt) โดยใช้การสัมภาษณ์แบบเชิงลึกเป็นหลัก อาทิ ไปสัมภาษณ์ผู้บริหาร สัมภาษณ์อดีตพนักงานของบริษัท ตลอดจนสัมภาษณ์พนักงานของบริษัทคู่แข่ง ฯลฯ แล้วเอาข้อมูลมาประมวลผลเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน

ที่สำคัญก็คือ ฟิชเชอร์แนะให้ “มุ่งเน้น” (Focus) คือให้ลงทุนในบริษัทที่ “ดีที่สุด” จำนวน “น้อยบริษัท” แทนที่จะลงทุนในบริษัทที่ “ดีปานกลาง” จำนวนมากมายหลายบริษัท

เขาเชื่อว่ายิ่งกระจายการลงทุนมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เรามีเวลาสำหรับบริษัทแต่ละบริษัทที่เข้าไปลงทุนน้อยลงเท่านั้น อีกทั้งยังทำให้ผลตอบแทนโดยรวมลดลง เพราะถูกถัวเฉลี่ยไปในหุ้นหลายตัว

การมุ่งเน้น ถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของฟิชเชอร์ที่แตกต่างจาก เบนจาบิน เกรแฮม โดยสิ้นเชิง
ส่วนการขายต่อเมื่อหุ้นที่ถือไม่เติบโต หรือ เติบโตน้อย
คุณ วอร์เรน บัฟเฟต บอกว่า การลงทุนของเขาเป็นการผสมผสานระหว่าง กลยุทธ์ของเกรแฮม 85% และ ฟิชเชอร์ 15%
แต่ดูจากหุ้นที่ลงทุนในช่วงหลัง น่าจะใช้กลยุทธ์จากฟิชเชอร์ เช่น ซื้อบริษัทแคสดี้ นั้นPE ตอนที่ซื้อ 20เท่าซึ่งไม่ถูกเลย
คุณวอร์เรน นับถือคุณเกรแฮมมาก เลยบอกว่าใช้วิธีลงทุนจากเกรแฮม 85%
สรุป ถ้าคุณลงทุนด้วยกลยุทธ์ไหน เวลาจะขายต่อเมื่อถึงเป้าหมายที่กำหนด
ถ้าลงทุนแบบเกรแฮม เน้นหุ้นคุณค่า ราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง จะขายต่อเมื่อราคาเกินมูลค่าที่แท้จริง
ถ้าลงทุนแบบฟิชเชอร์ เน้นหุ้นเติบโต การขายต่อเมื่อหุ้นที่ถือไม่เติบโต หรือ เติบโตน้อย

ขอบคุณน้องเบสที่มาให้ความรู้กับนักลงทุนหน้าใหม่ในงานนะครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 20, 2017 10:04 pm
โดย amornkowa
วันนี้ร่วมงานโครงการ The Intelligent Investor Club
ซึ่งเป็นโครงการของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า ประเทศไทย ที่ส่งเสริมให้สมาชิกของสมาคมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
ในด้านการลงทุน และ ด้านอื่นๆ ต้องขอบคุณทางสมาคมที่ให้โอกาสผมมาเข้าร่วมโครงการนี้

ประทับใจงานนี้มาก ได้มีโอกาสพบนักลงทุนที่เราแอบชื่มชอบ แต่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน บางคนก็เป็นไอดอลการลงทุนไปแล้ว บางคนเก็บตัวเงียบก็ได้เจอตัวจริงงานนี้ ยังไม่รวมกรรมการของสมาคมหลายท่านที่สละเวลามาพูดคุยกับสมาชิก
ส่วนตัวผมได้รับมุมมองการลงทุนที่ถูกต้องจากนายกสมาคม อดีตนายกสมาคม กรรมการ และสมาชิกในคลับ
เป็นการเพิ่มประสบการณ์ของการลงทุนของผมได้เร็วขึ้น

ขอเชิญชวนมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นการลงทุนในโพส webboard thaivi กันนะครับ คุณก็มีโอกาสได้รับสิทธิ
เข้าร่วมclubในปีหน้าได้ครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 21, 2017 5:45 pm
โดย amornkowa
B.A.T Talk ช่วงเกริ่นนำ

คุณ Jet เจษฏา สุขทิศ ผู้ก่อตั้ง Fennomena เกริ่นนำสัมมนา

ส่วนตัวคุณJet สายเลือดคือหุ้นรายตัว เคยเป็น fund manager มาก่อน
ชอบหุ้นรายตัว ทำ Fennomena เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน
เน้นจัดพอร์ตกองทุนรวมให้ได้ 7%ต่อปี ผู้ลงทุนก็โอเคแล้ว

แต่ถ้าอยากได้ผลตอบแทนมากกว่า 30% ก็มีได้แก่
สายหวด Day trade , Binary option(เป็นการแทงว่ากราฟที่ผูกกับสินค้าอ้างอิง ขึ้นหรือลง กับทางBroker)

ผมลองมาหมดแล้ว พอออกจาก fund managerมีอิสรภาพในการลงทุน
ทำ Hedge DW หุ้นไทย,Binary option ในหุ้นต่างประเทศ
ผมเรียก DW ว่า Dead warranty

สุดท้ายมาลงทุนในหุ้นรายตัว ลงแค่ตัวเดียวในพอร์ต ผิดบ้างถูกบ้าง
การเลือกรายตัว ไม่ขึ้นกับความถี่ในการฟังสัมมนา

สิ่งที่เชื่อว่าทำให้สำเร็จคือการนั่งสมาธิ อ่านหนังสือสมาธิ
มีlogin ใน thaivi webboard มีการแชร์ข้อมูล โต้แย้งด้วยเหตุผล

มีกรอบการคิดและจัดสัมมนาหุ้นมาสี่รุ่น
ชวนคนมาเขียนบทความ หรือ วิเคราะห์หุ้นในบล็อก
ชวนคุณ March มาร่วมพูดคุยในรายการ จนเกิดโครงการ space
ไม่ใช่พื้นที่ฝึกประสบการณ์ แต่มีelementอื่นๆ
Market information เช่น ตอนนี้อยากดูงบจาก Get quote
คุณ March จะทำงบ 10 ปี แล้วเอาไปแปะที่ไหนได้
ตอนนี้ทำ 3D mutual fund
สิ่งที่อยากได้ อยากให้มาengageกัน

สุดท้ายผลที่ได้คือ
1. สิ่งที่พูดจะอยู่ใน application fennomena
2. เข้าไปแชร์ใน stock space

ขอจบการเกริ่นนำเท่านี้ ต่อไปเข้าเรื่อง B.A.T Talk

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 21, 2017 7:21 pm
โดย amornkowa
B.A.T Talk ตอน Alibaba

คุณ March แนะนำ buffettcode page ซึ่งรวบรวมหัวข้อเรื่องการลงทุนที่น่าสนใจให้ติดตามตลอดเวลา

หุ้น Fang ย่อมาจาก
F: Facebook
A: Amazon
N: Netflix
G: Google

มีอีกประเทศที่เป็นผู้นำ แต่ในอดีตเป็นผู้ตามมาก่อน
สมัยก่อน ญี่ปุ่น สินค้าไม่ดี ก็ปรับปรุงจนดีตาม ต่อมาเป็นเกาหลีใต้ ไต้หวัน จีน
อีก6-7 ปี จีนเป็นมหาอำนาจแทนอเมริกา เพราะGDP เกินสหรัฐ
ปี1820 GDP จีน มากสุด แต่เกิด industry evolution ที่ยุโรปเสียก่อน
จีนไม่ได้พัฒนาและปิดประเทศ คนจีนติดฝิ่นที่ชาวต่างชาตินำมาขายให้
จีนอยู่อย่างนี้อีก150ปี ติดกับดัก

จนสุดท้ายเหมาเจ๋อตุงปรับเศรษฐกิจให้กลับมาได้อีกครั้งหนึ่ง
GDP เติบโต49เด้ง คนจีนหายจน
หลังจากนั้นเศรษฐกิจในปัจจุบันก็เติบโตเหลือ 6%กว่า
สัดส่วนserviceสูงขึ้นเรื่อยๆ
คนจีนขายของถูก ควรซื้อของถูก
แต่จากresearch mckency ชีวิตเกิดมาเพื่อความสุข ในปี2001-2015
คนจีนจะซื้อของที่มีคุณภาพดีขึ้น ถ้ามีความสามารถซื้อได้
คนใช้internet 790 ล้านคน จากประชากร 1,300 ล้านคน คิดเป็นrate50%
เทียบกับประชากรโลก facebookคนใช้ 1.59ล้านคน
สมัยก่อน จีนไม่มีห้างเลยมีบริการสั่งซื้อของทางonline
เรามองว่าการทำไข่ปลอมต้นทุนแพง แต่ถ้าทำให้คนจีนทั้งประเทศ
ทาน ซึ่งต้นทุนจะถูกลงจาก Economy of scales
ตัวอย่าง บริการOfO share จักรยานให้ยืม มีmarket cap 1,300 ล้านเหรียญ
หรือตัวอย่างที่ล้มเหลว เช่น มีบริษัทแชร์ร่ม ใครเป็นสมาชิกแชร์ใช้ร่มได้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ
เนื่องจากค่าสมาชิกแพงกว่าค่าร่ม3เท่า คนไม่นิยม และ สำหรับบริษัท คนยืมร่มแล้วไม่มาคืน

60%ของคนกลางเมืองเคยใช้food delivery ไทยไม่น่าถึง 20%
จีนมี cast rate society ใช้payment online 500 ล้านเหรียญมูลค่าเกือบ50%GDP
โตมาจากการใช้ smartphone
ทุกวันนี้คนคิดถึงจีน จะคิดถึงแจ็คหม่าเป็นตัวแทนจีน ไม่ใช่หมีแพนด้าแล้ว
เพราะแจ๊ค รวย เก่ง แล้ว market cap ของAlibaba ใกล้เคียงBerkshire
แต่Buffet ใช้เวลาสร้างwealth อย่างน้อย 50-60 ปี แต่ alibaba ใช้เวลาแค่ 20ปี
สร้างwealthได้เท่ากัน
ส่วน cpall, ptt นั้นเป็นบริษัทในไทยแต่ถ้าเทียบกับAlibaba แล้วเล็กมาก

คำถามว่า ใหญ่แล้วดีอย่างไร
Jack ma อยู่อันดับ 23 ของ Forbes Net worth 28.3 Billion
มีคำพูดติดในหัว อเมริกาเป็นคนสร้างinternet แต่คนที่ได้ประโยชน์คือจีน
เมื่อก่อน Alibaba เหมือน amazon, ebay
กลยุทธ์ของAlibaba คือ ทำธุรกิจsupportคนที่ไปที่ต่างๆ หมายถึง
คนจีนไปอยู่ในประเทศไหน ก็ไปให้บริการคนจีนด้วยproduct ของ Alibaba
รายได้ 4,000 ล้านหยวน ถึง 50,000 ล้านหยวนต่อไตรมาส
แต่ตอนนี้ดูเหมือนไม่ค่อยโต

GMV (มูลค่าสินค้าขาย บอกอำนาจของบริษัทนั้นๆ)
Alibaba เป็นบริษัท E-commerce ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
เป็นส่วนทำให้เศรษฐกิจจีนโตด้วย
ปฏิวัติอุตสาหกรรมในจีน
เริ่มจากซื้อ ขาย ผ่าน Alibaba.com , AliExpress , Taobao ซึ่งบริษัทในเครือที่อยู่วงใน
บริษัท Juhuasuan ทำหน้าที่คล้าย Lazada
รอบนอกขององค์กร Alibaba ได้แก่ DeDe คล้าย Uber,
Youku คล้าย Youtube

Ecosystem นอกจากข้อมูลการขายสินค้า ต่อไปได้ข้อมูลเกี่ยวกับกิจกรรมของคนเช่น
คนชอบดูอะไร ทานข้าวกับอะไรที่ไหน เขาเข้าใจตัวเรามากกว่าเราเสียอีก
บริษัทที่มีmarket cap 300,000 ล้านเหรียญ growth 60% ในโลกนี้มีแค่ที่นี่ที่เดียวในจีน
Core commerce growth 47% , Cloud computing
การโตจากการออกนอกประเทศ และ take lazada ทำให้โต 312% แต่ถ้าไม่นับ
การtake lazadaจะโต100กว่า%

สัดส่วนของบริษัทในเครือ
Core คือ taoboa81% อื่นๆ 19%
CAGR GMV growth 37% from 2013 to 2017
แต่รายได้โตมากกว่าจากการเก็บค่าโฆษณามากขึ้น
Alibaba มี market share 11% ของ china retail sales
ซึ่งถือว่าเล็กมาก ยังโตต่อไปได้อีกเท่าตัว
MAU ( monthly active user ) เริ่มเติบโตสูงขึ้นด้วย
สิ่งที่ทำให้รายได้โตมากกว่า
คือ Take rate เก็บค่าการใช้เพิ่มขึ้น
เมื่อก่อนขายบน PC ต่อมาชักชวนให้มาใช้ในมือถือเพิ่มขึ้น โดยให้ส่วนลดเพื่อชักจูงช่วงแรก
และลดsupportลง เมื่อใช้มือถือมากขึ้น
Take rate 3.04% เมื่อเทียบกับ amazon 13%, ebay 11.6%
EBITDA มีแต่amortizeตกต่ำลงหลังจากtake Lazada
ต่อไปจะเป็น social commerce

Smart data 40% หมายถึงเข้าทุก2วัน
เหตุผลที่คนเข้ามาในระบบและใช้บริการเพราะว่า มีคนมาreviewของ
ตัวอย่าง คุณหวางหง ถือเป็นเน็ตไอดอล มีคนเข้ามาดูมากมาย ทำให้เธอมีรายได้ดีมาก
Taopao สินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าผู้หญิง
ตอนนี้มีเน็ตไอดอลเป็นล้านคน คิดเป็นรายได้ 270 ล้านเหรียญ
Tmall B2C มีแบรนด์ชิเชโด้ ไม่ขายในToapoa แต่ไปขายในTmall
วิธีเจาะตลาดจีนต้องเข้าไปใน Tmall เพื่อขายสินค้า
จีนจะเติบโตในแบบ B2C 55% , C2C 45%
Market share tmall e-commerce เป็น b2c คิดเป็น 56.6%
ส่วน JD.com 24.7%
ยิ่งคนอยู่ในpatchformนานขึ้นจะซื้อมากขึ้น
จะแยก consumer segment 500 อย่าง และสามารถเชื่อมโยงเข้ากับลูกค้า
เวลาคนมาขายของจะได้ข้อมูลความต้องการของลูกค้าตรงกับสินค้าที่ขาย
ทำให้Baiduไม่โต เพราะลูกค้าไปโฆษณาในalibaba ได้ผลดีกว่า
ตลาด Grocery war ยังเป็นตลาดที่ alibaba , Jd.com ยังไม่ได้เข้าไปทำ
แต่JD ส่งของได้ดีกว่าAlibabaซึ่งใช้sub contractorไปให้บริการต่อ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 27, 2017 3:36 pm
โดย amornkowa
MoneyTalk ลงทุนหุ้นสไตด์คุณ โจ ลูกอีสาน

คุณโจได้ลดจำนวนหุ้นที่ลงทุนในไทยและต่างประเทศ
หุ้นที่ลงทุนในไทย ลดลงจาก 60 บริษัท เหลือ 40 บริษัท
หุ้นที่ลงทุนในต่างประเทศ ลดลงจาก 30 บริษัทในเวียดนามเหลือ 20 บริษัท ซึ่งลงทุนในเวียดนาม
และที่ฮ่องกงอีก1ประเทศ

ได้เปิดเผยสาเหตุในการขายนั้นมีเหตุผลดังนี้
1. หุ้นที่ขายเพราะupside gain น้อยกว่าที่คาด
2. คิดผิด
3. สถานการณ์เปลี่ยนแปลง ไม่ใช่สิ่งที่คาดคิดมาก่อน
เคยขายหมู แต่ยังดีที่ได้กำไร
ช่วงระยะหลัง หาหุ้นที่ดียากขึ้น เพราะคนเก่งเพิ่มขึ้น

ปัจจัยในการซื้อหุ้น
1. กำไรต้องเติบโต ยิ่งมากยิ่งดี สุดท้ายราคาหุ้นจะเติบโตตามกำไรที่โตต่อเนื่อง
2. บริษัทมีคุณภาพดี เช่น บริษัทเป็นผู้นำ ผู้บริหารเก่ง กระแสเงินสดดี งบการเงินดี
3. ราคาสมเหตุผล
มุมมองนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้มองหุ้นเป็นธุรกิจ เวลาเจอวิกฤตก็จะขาย จริงๆไม่ควรขาย
ถ้าเป็นธุรกิจที่ดี ไม่เจ็ง ก็จะกลับมาได้ในที่สุด
ผมผ่านมาหลายวิกฤต เลยมีประสบการณ์ รับมือได้ดีขึ้น

Q: ก่อนเป็นเซียน เคยซื้อหุ้นตามเซียนหรือไม่
A: ไม่เคยซื้อตามใคร แต่ถ้าทราบว่ามีเซียนซื้อหุ้นตัวเดียวกับที่เราซื้อก่อนหน้า
รู้สึกมั่นใจขึ้น บางครั้งก็ซื้อเพิ่มด้วย
บางทีมีคนที่รู้ว่าผมซื้อตัวไหน วันต่อมา ราคาหุ้นอาจขยับขึ้นบ้าง
แต่ราคาหุ้นแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริงก็จะขาย สุดท้ายเจ้ามือที่แท้จริงคือกำไร
ผมแนะนำว่า ผมไม่เคยซื้อหุ้นตามใคร อยากเป็นเซียนจะไม่ตามคนอื่น ต้องคิดเอง

Q:สนใจซื้อหุ้นIPOหรือไม่
A:ส่วนใหญ่ถ้าได้จากโบรกเกอร์มา และ ราคาไม่แพงเกินไปก็จะซื้อ
กำไรจริงของport ได้มาจากส่วนหุ้นIPOน้อยมาก
เราสามารถหาข้อมูลได้จากหนังสือชี้ชวนสำหรับหุ้นIPO

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 27, 2017 3:56 pm
โดย amornkowa
สัมมนา วันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม 26 Aug 17

Mr.Nguyen Duc Trong (Investment Advisory director, Hochiminh Securities Crop, นักลงทุนหุ้น VI ในเวียดนาม และเป็นผู้ถือหุ้น Berkshire Hattaway ร่วมประชุม AGM 4 ครั้ง)
คุณเชาว์ พูดถึงTrongว่า เขากับภรรยาชอบบริจาคเงินช่วยเหลือคนจนที่เวียดนาม

ในแง่การลงทุนในเวียดนาม เขาเคยกล่าว "It's not easy man, there are a bunch of smart people out there. Vietnamese learn quickly. The concept of value investing is a piece of cake."

จำ wording ไม่ได้แน่นอน แต่น่าจะประมาณนี้ ถ้าเราคิดว่าคนเวียดนามยังใหม่ในการลงทุน ผมว่าเราเข้าใจผิดครับ

คนเวียดนามเก่งครับ อย่างคุณ Trung นี่ได้ทุนเรียนฟรีจนจบที่ UC Berkeley

Trung เก่งและรวยมาก แต่ใช้ชีวิตติดดิน สักวันคงเป็น Warren Buffett of Vietnam

เริ่มเข้าสู่หัวข้อสัมมนา
ถามคุณTrongว่า อุตสาหกรรมไหนน่าสนใจ
ตอบ ตลาดหุ้นเวียดนามเป็นตลาดชายขอบ ไม่เหมือนไทย (Emerging Market) หรือ อเมริกา(Develop Market)
คุณTrong เริ่มลงทุนแนววีไอตั้งแต่ปี 2006
ควรใช้วิธี Bottom up โดยศึกษา company
ส่วนวิธีTop down มันยากในการทำนาย

พิธีกรถามคุณTrong share มุมมองของvi ที่Vietnam
คุณ Trong ตอบว่า
Ask myself,if I can not answer question, bye
เขาพูดด้วยpassion เขาจริงจังในการลงทุน
เราต้องมีอิสรภาพทางความคิด ไม่ต้องมีเงื่อนไข

กฏในการคัดเลือกหุ้นของคุณTrong
1.ธรรมาภิบาลผู้บริหาร
2 ดูคุณภาพของบริษัทใน 5-10 ปีข้างหน้า
3 มีป้อมปราการ สร้างกำแพงป้องกันคู่แข่ง (Competitive advantage)
4 ดูราคาเป็นปัจจัยสุดท้าย
3ข้อแรก ถ้าไม่ผ่านคุณTrongจะไม่ดูข้อที่4 คือราคา
คุณTrongบอกว่าการลงทุนนอกจาก IQ ยังต้องมี EQ ด้วย

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 27, 2017 3:56 pm
โดย amornkowa
สัมมนา วันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม
ช่วงบ่าย ตอน กลยุทธ์การลงทุนหุ้นเวียดนามปี2017

วิทยากร:
- ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (ปรมาจารย์การลงทุนหุ้น VI ผู้จุดประกายการลงทุนหุ้นเวียดนาม)
- Mr.Nguyen Duc Trong (Investment Advisory director, Hochiminh Securities Crop, นักลงทุนหุ้น VI ในเวียดนาม และเป็นผู้ถือหุ้น Berkshire Hattaway ร่วมประชุม AGM 4 ครั้ง)

พิธีกรได้เริ่มต้นสอบถามดร นิเวศน์ ว่าได้ข่าวว่าให้หลานเรียกปาปา แทนคุณตาใช่ไหมครับ
ดร นิเวศน์ตอบว่าใช่ครับ ผมเกิดเป็นนักเลือก ไม่ตามกระแส เราสอนหลานได้ แต่ไม่ได้บังคับ
ยีนส์เป็นตัวบ่งบอกตัวตนของมนุษย์ ถ้ามีโอกาสชนะ เราก็เลือก

ก่อนไปลงทุนในเวียดนาม ก็ไปมาหลายประเทศ ไปจบที่เวียดนามที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
เวียดนามอยู่ใกล้บ้านเรา วัฒนธรรมก็ใกล้เคียงกัน

ตอนนี้ลงทุน10กว่า%ของPort คงไม่ได้ลงทุนเยอะมากไปกว่านี้
ค่าเงินของเวียดนามลดค่าลง7% เราลงทุนหุ้นตัวเล็กperformanceแพ้ดัชนีของตลาดเวียดนาม
ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่
ซึ่งเหมือนกับประเทศไทย การลงทุนหุ้นตัวเล็กบางครั้งแพ้ตลาด แต่เราก็ลงทุนซื้อไป
เวลาหุ้นบูม หุ้นที่เราลงทุนไว้ก็สามารถเอาคืนได้

ตอนนี้ลงทุนแบบเบลอๆมาพูดกับเขา ความรู้เรื่องหุ้นเวียดนามน้อย
มาแบบไม่ค่อยมีความสามารถ

ถ้าฟังแค่นี้อย่าด่วนสรุป เพราะอาจารย์นิเวศน์ท่านจะบอกเรื่องที่สำคัญกว่านั้น
มาลองติดตามต่อครับ

ผมเป็นนักเลือก ก่อนลงทุน ก็เลือกวิธีการลงทุน
ผมไม่เอาweaknessของตัวเองมาแข่ง เราไม่เลือกหุ้นแข่งกับเขาซึ่งเชี่ยวชาญกว่าเรา
แต่หากลยุทธ์ที่ไม่ทำให้เสียเปรียบเยอะ
เราขอแค่โตไปกับตลาดหุ้นเวียดนามในระยะยาว

เคยมีคนวิจัยว่ากลยุทธ์แบบไหนได้ผลตอบแทนดีสุด
ใน20ปี กลยุทธ์ เหวี่ยงแห โดยใช้ Algorithms แบบหาหุ้นราคาถูก
หรือ ลงทุนแบบmagic formula ดีกว่าลงทุนแบบVI

ถ้าrepeatแบบไทย นาทีนี้ดูเวียดนาม โตเร็ว เราอยากรวยเร็วเหมือนวีไอรุ่นก่อน
ทำอะไรก็ตาม อย่าตั้งความหวังมากเดี๋ยวผิดหวัง

ส่วนตัวอาจารย์ตอนนี้ลงทุน100กว่าตัว รอบแรก 60 กว่าตัว รอบสอง 30 กว่าตัว
รอบที่สาม เลือกหุ้นด้วยตัวเอง 20 กว่าตัวปรากฏว่าเจ๊ง
รอบแรกดีที่สุด ตอนนั้นมีเงินสดเหลือเยอะ ลงตามสูตรเลยไม่มีการคัดหุ้นอีกที
รอบที่สองใช้ magic formular ผ่านไป1ปีไม่ไปไหน เลิกพูดหุ้นเวียดนาม
พอปีที่สองกำไร40%กว่า เลยกลับมาพูดใหม่ แสดงว่าโดยเฉลี่ยดีกว่าตลาดหุ้นไทย
เลยเอาเงินมาลงทุนรอบที่สาม
การเลือกหุ้นเอง บางทีมีคนเชียร์ หุ้นบรรทุกคนไปตามเกาะ
กะว่าดีแน่ เกือบเป็นเจ้าใหญ่ marginดีมาก ปรากฏว่าซื้อแล้วขาดทุนไป 40%
รอบแรก ใช้ระบบเลือกให้ บางตัวหุ้นน้ำตาลดูไม่น่าซื้อ แต่ก็ซื้อตามสูตร
แต่ปรากฏว่าน้ำตาลราคาดีขึ้นมา100%
รอบที่สอง ได้หุ้นมา และscreenอีกรอบ หุ้นตัวที่ตัดออกเช่น น้ำตาลผลตอบแทนกลับดี
รอบที่สาม ได้หุ้นเหล็กออกมาตัดทิ้งปรากฏว่าขึ้นมากๆ

ดังนั้นสรุปบทเรียนว่าscreenออกมาแล้วห้ามตัดทิ้ง
เราไม่ยอมซื้อหุ้นpremium เกิน 7% สุดท้ายหุ้นที่ไม่มีpremium ไม่ค่อยดี
แต่หุ้นที่ซื้อแบบpremiumเกิน7% ปรากฏว่าขึ้นดีมาก
ถ้าเราลงทุนในภาพใหญ่ถูกต้อง ก็รวยได้

ที่เวียดนาม ซื้อแล้วเก็บ จริงๆต้องขาย ตอนหลังก็ร่วมหัวจมท้ายกับหุ้นเวียดนาม
เพราะถ้าเราขายและเก็บบางตัว จะทำให้ภาพใหญ่ที่คิดไว้ไม่ตรง

ทริปที่ไปเวียดนามเดือน พย ก็น่าขอวีซ่าที่บ้านได้
อยากเลือกหุ้น แต่ก็รอไปเรื่อยๆ มีโอกาสก็อยากลงทุนอีก เพราะได้ปันผลมาเยอะ
ตอนนี้มีเยอะสุด คือ โรงไฟฟ้าที่เวียดนามไม่เหมือนกับไทย ไม่ค่อยโต ไม่กำไรเยอะ
ถ้ากำไรเยอะ ก็โดนรัฐเอาคืน ถ้าขาดทุนรัฐชดเชยให้
เป็นปัญหาใหญ่ของเวียดนาม บริษัทส่วนใหญ่ถือหุ้นโดยรัฐบาล
บริษัทที่ผมถือ กำไรโตทุกตัว มีจ่ายปันผลไม่ต่ำกว่า5%
หลายท่านมีลงทุนเวียดนามอาจได้มากกว่าผม
บางคนลงทุนแล้วได้ของแถมเป็นคนกลับมาด้วย 555

ห้องสัมมนานี้ ผู้ชายมากกว่าผู้หญิง แสดงว่าการลงทุนเป็นเรื่องท้าทาย เป็นรุ่นบุกเบิก
คนที่มาทีหลัง ก็จะได้น้อย

ตลาดเวียดนามเปรียบเทียบกับไทยเมื่อ20ปี หมายถึงอีก20ปีจะแซงไทย
เวียดนามคล้ายเกาหลี การศึกษาดี ทรัพยากรดีพอ มีโอกาสที่จะไป
ตัวเลขของเวียดนาม สะท้อนคล้ายประเทศไทยสมัยก่อนที่ผมทำงานFinance
Broker ส่งรายงานมาให้อ่านประจำ การเติบโต10กว่า% เป็นเรื่องปกติ
เวียดนามเป็นแบบไทย การท่องเที่ยว โต 20กว่า% ไทยโตน้อยกว่า
ทุกอย่างเหมือนกันหมด
ภาพเล็ก เช่น แรงจูงใจของบริษัทจะน้อยกว่าของไทย เพราะเขาไม่ใช้เจ้าของ เป็นแค่ผู้บริหาร
คนของเขาก็พร้อม ได้คะแนนดีจากการทดสอบจากต่างประเทศ
ถามคุณTrong อยากให้แชร์กระบวนการความคิด
ตอบ สไตล์การลงทุน ขึ้นกับการตัดสินใจของตัวเอง
ยกตัวอย่าง ที่ล้มเหลวในการลงทุน และ ที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมา
ดร นิเวศน์เสริม หุ้นร้อนแรงมีความเสี่ยงมีโอกาสกำไรเหมือนคนที่ซื้อมาก่อนมันยาก
มันเหมือนประเทศไทยสมัยก่อนหุ้นธนาคารมีforeign premiumสูง ฝรั่งซื้อเยอะ
ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เพราะผลประกอบการก็ไม่ดี

ตอนนี้ขนาดก็ไม่เล็กแล้ว โอกาสโตเยอะๆยาก super stock จะขึ้นอีกสิบเท่าโอกาสเป็นไปได้น้อย
อีกประเด็น หุ้นVinamilk ถ้ามาอยู่เมืองไทย ดูไม่ค่อยมีอนาคต เรามานั่งนึกดู
ขายนมเมจิ ก็ดูใหญ่ใช้ได้ แต่ช่วงนึงนมยี่ห้อต่างๆเข้ามาตอนช่วงเปิดประเทศ
ดังนั้นที่เวียดนาม ถ้าคู่แข่งเข้ามาเช่น โฟรโมสต์ เนสเล่ อะไรจะเกิดขึ้น
อีกบริษัทขายไอติมที่คนเวียดนามกินกันทั่วประเทศ
พอมีของใหม่มา คนสมัยใหม่ก็จะมากิน เลยไม่รู้เวียดนามจะเหมือนหรือชาตินิยม
กินแต่ยี่ห้อเดิม
อย่างไอติมวอลล์ หรือ เบียร์ คนอาจติดมากกว่า ชอบรสชาติดั้งเดิม
ส่วนเหล้า สมัยก่อนชอบแม่โขง แต่สมัยนี้คนรุ่นใหม่ไม่กินแม่โขง แต่กินยี่ห้อเดิมที่ชอบ

เวลาลงทุนใหม่ ที่เวียดนามผมซื้อหุ้นที่มีกำไรแน่นอน และ ปันผล7-8%
พอดอกเบี้ยลงไปเรื่อยๆ ถึงวันนึงคนเริ่มเข้าในตลาดหุ้น ค่าPE 7-8เท่าไป 20เท่า
เหมือนเมืองไทยสมัยก่อน ฝรั่งเข้ามาทำให้PEสูงขึ้น
สุดท้ายดอกเบี้ยลดลง

กลยุทธ์ในสามปีข้างหน้า ไม่อยากเพิ่มสัดส่วนในหุ้นเวียดนามอีก
อยู่เฉยๆรอลาภลอยมา แต่อาจมีทำอะไรบ้าง ปล่อยไปแบบนี้
กิจกรรมผม คือมาพูดไม่ได้ลงทุน
ตลาดหุ้นเวียดนาม ได้แค่ 10%ก็พอใจได้ แต่ลดความคาดหวังลงไป
การลงทุนโดยใช้magic formula คือซื้อขายทุกปี แต่ดรไม่ได้ทำตาม
ซื้อครั้งแรกและทิ้งไว้ เพราะหุ้นไม่มีสภาพคล่อง ขายไม่ได้ ดังนั้นการเลือกถือหุ้นดีกว่า

สุดท้ายขอขอบคุณ ดร นิเวศน์ และ MR Trongมากครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2017 12:55 pm
โดย amornkowa
สรุปสัมมนางานสังสรรค์ VI ประจำปี 2560 ครั้งที่ 2 - 9/9/60
หัวข้อแรก
Disrupt or be disrupted อนาคตของ VI จะเป็นอย่างไร เมื่อเทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนโลก
วิทยากร
คุณลงทุนแมนที่เขียนบทความดีๆให้นักลงทุนอ่านมาตลอดห้าเดือน
คุณตู้ หรือ นายมานะ เจ้าของเพจSnowball และ กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย
พิธีกร คุณบอล กรรมการสมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า ประเทศไทย และ ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นเวียดนาม
หมายเหตุ ข้อความในวงเล็บเป็นการเสริมจากผู้สรุปเองครับ ถ้าผิดพลาดประการใดขออภัยมาณ ที่นี้ครับ
.ในช่วงที่คุณตู้พูด ผมได้นำบทความของคุณตู้ที่เคยเขียนมาเพิ่มเติม เพื่อสร้างความเข้าใจเนื้อหามากขึ้น
และมีLinkเพื่อจะได้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนของคุณลงทุนแมนสามารถติดตามเพจของลงทุนแมนได้โดยตรงครับ

Q:มองเทคโนโลยีในอนาคตอย่างไร?
คุณตู้ออกตัวก่อนอธิบายว่าสิ่งที่จะพูดวันนี้เป็นเรื่องในอนาคต จึงอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ ถ้าไม่ถูกต้องขออภัยล่วงหน้า
เมื่อสองปี เคยบอกว่า Platform youtube , Facebook live ,Netflix จะทำให้ในอนาคต platform TV มี value ลดลง
แต่ตอนนั้นก็มีคนโต้แย้ง เพราะไม่มีตัวเลขมายืนยัน มาวันนี้ถ้าดูจากตัวเลข Market share ของ TV น่าจะเห็นว่าลดลงจากเดิมจริง
เมื่อ 2 ปีก่อน พูดเรื่องรถยนต์ไฟฟ้าEVและรถยนต์ไร้คนขับAV
หลายคนก็ไม่เชื่อ บางคนบอกว่าเป็นเรื่องลวงโลก
บางคนไปเชื่อว่ารถไฮโดรเจนมีโอกาสมากกว่า แค่เติมน้ำก็วิ่งได้แล้ว
ตอนที่ผมพูด ไม่ค่อยมีคนพูด ผมอาจพูดเร็วเกินไป(พูดก่อนเวลาที่เกิด)
ตอนนี้พอพูดถึงรถยนต์ไฟฟ้าคนเชื่อมากขึ้น และ รู้จักอีรอน มัสก์กันมากขึ้นกว่าเดิมมาก
ปีก่อนพูดเรื่องAI ทำให้เกิดdisrupt แรงงานลดลงมหาศาล
และแรงงานถูกทดแทนด้วยRobot
มีคำถามโต้แย้งว่าร้อยปีที่ผ่านมา คนไม่เคยตกงาน เครื่องจักรยังไม่สามารถทดแทนคนได้
เคยโพสในwebboardthaiviว่ากล้องDSLRหรือ MLR อาจถูกทดแทนด้วยกล้องมือถือในอนาคตข้างหน้า
หลายคนไม่เชื่อ สรุปแล้วเรื่องในอนาคต มีโอกาสเกิดการโต้แย้งกันจนกว่าความจริงจะปรากฏ และที่พูดวันนี้ผมอาจจะผิดบ้างก็ได้

คำถามถึงคุณลงทุนแมนว่า
ความรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีจะเป็นอย่างไร จะเกิดขึ้นอย่างไร?
คุณลงทุนแมนเริ่มจากถามคนในห้องสัมมนาว่ามีใครไม่เล่นFacebookบ้าง ปรากฏว่าเล่นกันเกือบทุกคน
ผมโพสในFacebook 5 เดือน มีคนfollower2.6แสนคน
ไม่เคยมียุคไหนที่โชคดีแบบนี้มาก่อน
บริษัทของไทยอันดับหนึ่งคือ ปตท มีmarket capประมาณ 1 ล้านล้าน
แต่บริษัทใหญ่สุดในไทยอาจเป็นFacebook สาขาประเทศไทยหรือเปล่า
บริษัทWxxkมีmarket cap 35,000 ลบ แต่ให้เราคิดดูว่าเราดูFacebookหรือWxxkมากกว่ากัน
เนื้อหาที่เราชอบในwxxkจะเป็นแค่เกมโชว์เกี่ยวกับเพลง แต่ในFacebook มีทั้งมุมอาหาร ท่องเที่ยว ลงทุน
และเรื่องอื่นๆอีกมากมายที่เราชอบดู ดังนั้นFacebookในไทยน่าจะใหญ่กว่า 20 เท่า
ดังนั้นmarket cap น่าจะ500,000ลบ สิ่งที่มองไม่เห็นที่มาจากต่างประเทศจะค่อยๆกลืนเราไป
แต่ไม่ใช่มาจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย

Q: ถามคุณตู้กับคุณลงทุนแมนว่าเรื่องสไตล์การลงทุนไทยและต่างประเทศเป็นอย่างไร
A: คุณตู้ตอบว่า ผมลงทุนในไทย:ต่างประเทศ เป็นอัตราส่วน 70:30
ในไทย (น่าจะ)เกินกว่า 50% ใน 70% ที่ว่า เป็นแบบBargain hunting เป็นนักล่าส่วนต่าง คาดเดาผลประกอบการล่วงหน้า2-3ไตรมาสและเข้าซื้อกิจการก่อนผลประกอบการก้าวกระโดด
จะเรียกว่าวีไอหรือเปล่า แล้วแต่จะนิยาม เป็นวิธีการที่มีพื้นฐานมาจากแนวทางของอ.เกรแฮม แต่มีการเปลี่ยนคือโฟกัสมากขึ้น ทุกวันนี้ VI หลายคนก็น่าจะใช้กัน
ผมมองว่า super stock ที่น่าลงทุนในไทยหาได้ยากขึ้นทุกที เพราะจะเป็น super stock ต้องมีครบทั้งสามปัจจัยได้แก่
1. DCA (Durable Competitive Advantage)
2. Growth
3. ราคาหุ้นสมเหตุผล
ซึ่งในเมืองไทย ส่วนตัวผมว่าหุ้นที่มีทั้ง 3 ข้อหาได้ยาก ถ้ามี 2 ข้อแรก ราคาจะแพงมาก
ในขณะที่ DCA ของหุ้นในไทยก็ไม่ได้แกร่งเท่ากับหุ้นต่างประเทศ
ผมเคยเขียนบทความเรื่องปราการที่เปลี่ยนไป (มีทั้งหมดสองตอน)
พูดถึงDCAที่เริ่มเปลี่ยนไป
DCAประกอบไปด้วย (ตรงส่วนนี้ขออนุญาตนำบทความที่คุณตู้เขียนไว้เข้ามาเสริม โดย DCA ในนิยามของคุณตู้คือ 10 ปีขึ้นไป)
1. Brandที่แข็งแกร่งมากๆ
Brand ทำให้ลูกค้าไม่อยากเปลี่ยนซึ่งสำหรับผมแล้วมี Brand ที่เข้มแข็งระดับจะเป็น Durable แค่ 3 ประเภทคือ
1.1 (Very Very) Luxury Brand หรือสินค้าที่ไว้บ่งบอกสถานะอย่าง Hermes หรือ Rolex
1.2 Character Brand อาทิเช่น Brand ของดาราศิลปินตัวการ์ตูนหรือสโมสรฟุตบอล
1.3 Brand ที่เกี่ยวกับสุขภาพร่างกายเช่นโรงพยาบาลหมอศัลยกรรมหรือเครื่องสำอางจำพวก Skin Care
แบรนด์ประเภทอื่นๆที่เหลือผมว่าไม่ได้เข้มแข็งมากมายระดับเกิน 10 ปีลูกค้าพร้อมจะลองและเปลี่ยนได้เสมอ

2. Patent สิทธิบัตรหรือสัมปทาน สัมปทานข้อนี้ผมว่าชัดเจนสุดเลยคือเป็นอะไรที่เกี่ยวกับข้อกำหนดของรัฐทำให้คู่แข่งเข้ามาไม่ได้บริษัทในไทยได้แก่บริษัทที่บริหารท่าอากาศยาน

3. Market share & Economy of scaleข้อนี้มักจะเป็นข้อได้เปรียบในด้านของ First Mover คือมาจากการที่คนทำก่อนยึดครองตลาดได้รวดเร็วกว่าทำให้มี Market Share มากกว่าและส่งผลให้ต้นทุนต่ำกว่าอย่างไรก็ดีข้อนี้ต้องระวังเสมอ Kodak หรือ Nokia เองก็เคยเป็น Market Leader วันดีคืนดีอาจมี Disruptive Innovation มาทำลายล้างธุรกิจของเราก็ได้

4. Network effect เช่นบริษัทFacebook , Google ที่ผลิตOS android ขึ้นมา,Appleที่ผลิตIOSขึ้นมา
( ในส่วนนี้ความถี่ในการใช้เป็นปัจจัยสำคัญ เมื่อคนใช้แล้วติด คนที่จะติดต่อด้วยก็ต้องใช้เหมือนๆกัน เช่น android ช่วงแรกคนใช้น้อยมาก แต่เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีแบบเปิด ทำให้มีการพัฒนาapplicationให้กับ androidมากขึ้น ถ้าคุณต้องการใช้แอปเหล่านี้ก็ต้องใช้มือถือที่ใช้ OS android
หรือ ตัวอย่างของ Microsoft windows & office คนใช้งานกันจนคุ้นเคยยิ่งมีคนใช้มากเท่าไหร่ ทำให้เกิดnetwork effect คนที่ต้องการติดต่อด้วยก็ต้องใช้officeเหมือนกัน ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตัวอักษรไม่ตรงกัน หรืออ่านไม่รู้เรื่อง )

5. Experience effect คล้าย Learning curveซึ่งเป็นส่วนนึงของ Network effectเป็นสิ่งที่คนยังไม่ focus มันพัฒนาไปเรื่อยจนจุดหนึ่งคู่แข่งตามไม่ทัน ตัวอย่างชัดๆ คือพวก Big data เมื่อบริษัทมีข้อมูล/know how มากระดับหนึ่งแล้ว คู่แข่งใหม่จะเลียนแบบข้อมูลนั้น ทำไม่ได้ (เช่น Google search, Facebook, Intel)
(สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้จากLink ของ Snowball page https://goo.gl/4rn521 , https://goo.gl/tmTLvO)

ถ้าดูหุ้นในไทย ส่วนใหญ่ไม่เกินสามข้อ ข้อสี่และห้าหายากในบริษัทของไทย
ผมดูหุ้นต่างประเทศ เช่น Facebookมี 4 ข้อ ขาดแค่ข้อ patent ที่อาจมีบ้าง แต่ไม่ได้สำคัญอะไร
ถ้าดูข้อ 5. Experience effect จะเห็นว่า Facebookสะสมข้อมูลที่เราโพสเรื่อยๆเป็นสิบปีถือเป็นBig data
เป็น DCA ของ Facebook เป็นไปไม่ได้ที่จะไปขายข้อมูลนี้ให้คู่แข่ง
ดังนั้นหุ้นต่างประเทศบางตัวมีDCA ในนิยามของผมมากกว่าสามข้อ เยอะกว่าหุ้นในไทย
อย่าง Facebook คือมีทั้งDCA,Growthแต่ราคาเป็นอีกเรื่องนึง
หลายคนชอบถามว่าทำไมชอบไปลงทุนในต่างประเทศ
ผมตั้งคำถามตัวเอง อยากถามกลับว่าทำไมต้องลงทุนเฉพาะในไทย
ถ้าเรากรอบตัวเองเป็นนักลงทุนไทย ทำให้เราไม่มีแม้แต่จะโอกาสจะไปศึกษาเรื่อง bit coin ซึ่งราคาขึ้นมาถึง4-5000$ คิดเป็น 4-5 เท่าจากต้นปี
คุณบอล บอกว่าเป็นประเด็นที่ดี หุ้นที่เป็นsuperstockมีแต่ราคาในไทยแพงไปแล้ว

Q: คุณลงทุนแมนเป็นคนลงในตลาดหุ้นUSเมื่อ5ปีที่แล้ว ทำไมไปลงทุนที่นั่นครับ
A: แนวทางการลงทุน เราเข้าใจอะไร อยู่กับอะไร สังเกตรอบข้างว่าวันๆอยู่กับมือถือ
ก็เดาว่าทุกคนก็เหมือนๆกัน
ทุกคนใช้มือถือเปิดFacebook , Line , Instagramเพราะทุกคนอยากรู้อยากเห็น
เราก็ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจแต่สงสัยว่า lipstick no.9 ทำไมโต ไม่เข้าใจ
สมมติว่าPE&Growthเท่ากัน ก็น่าจะเลือกบริษัทที่เราเข้าใจในการเติบโต
เช่นซื้อFacebookเรายังเข้าใจกว่า ซื้อบริษัทค้าปลีกเครื่องสำอางในไทย
คนสามารถขายสินค้าในFacebook ได้กลายเป็นวงจรธุรกิจไป
ทำให้Facebookมีรายได้เข้ามาตลอดเวลา
สไตด์การลงทุนช่วง5ปีแรก portในต่างประเทศเล็กกว่าในประเทศ
แต่ตอนนี้มูลค่าหุ้นของต่างประเทศโตขึ้นทำให้ portในต่างประเทศโตกว่าในประเทศ
บริษัทใหญ่สุดในโลก5บริษัทเป็นบริษัททางด้านเทคโนโลยี เมื่อก่อนmarket capเล็กกว่าGDP Thailand
แต่ตอนนี้ทุกบริษัทใหญ่กว่า GDP Thailand ทั้งหมด แปลว่าบริษัทพวกนี้โตเร็วกว่า
อันดับห้า Amazon มีmarket cap15 ล้านล้านบาท
เริ่มจากการขายหนังสือonline  E-commerce  Amazon web service
รายได้มาจาก ค้าปลีกonline 60%
Amazonมีลำโพงอัจฉริยะชื่อ echo สามารถใช้เสียงสามารถสั่งนมโดยไม่ต้องเดินไปซื้อจากหน้าปากซอย
ที่US supermarketห่างไกลจากบ้านมาก
AI ไม่ต้องใช้มือกด ใช้เสียงพูด
รายได้20% เป็นAmazon media
รายได้10%เป็น Amazon web service,
คนจะเช่าserverแทนการซื้อ ถ้าเราไม่มีwebsiteของตัวเองอาจไม่เห็นภาพ
อันดับสี่ Facebook market cap 16ล้านล้านบาท
97%ของรายได้มาจากโฆษณา อีก3%เป็นรายได้อื่นๆ
เขาFocus Adsมาก คนชอบโฆษณาเพราะสามารถtarget ไปที่เพศไหน อายุเท่าไหร่ก็ได้
FB มี AI look alikeสามารถcreate ลูกค้ากลุ่มใหม่ได้เลยจากข้อมูลลูกค้าเดิม
โดยไม่ต้องไปเปิดหน้าร้าน จะdisruptretail shop
ทุกคนคิดว่าdisrupt adsอย่างเดียว จริงๆdisrupt retail shopด้วย
รวมCokeด้วย คนเดินน้อยลง ทำให้หยอดเหรียญซื้อcokeน้อยลง
อันดับสาม บริษัทเก่าแก่ Microsoft 19 ล้านล้านบาท
สัดส่วนรายได้แต่ละproduct
Windows 9%, Microsoft office 28% ,
Microsoft server 22%
Xbox 11%
ไม่ได้ขายProgram เช่นMicrosoftถาวร แต่จ่ายเป็นรายเดือนหรือรายปี
แสดงว่าเราจ่ายไปโดยไม่รู้ตัว
Switching costสูงเพราะเราไม่เวลาไปเรียนรู้โปรแกรมอื่นแล้ว

อันดับสอง Alphabet เป็นบริษัทแม่ของGoogle market cap 21 ล้านล้านบาท
รายได้ 80% มาจากโฆษณาบนGoogleAbwords,Googleadsence, Youtube
รายได้ 11% มาจาก Google play, Pixel ,Android
ต่อไปคนไม่ต้องอ่านหนังสือเป็นเล่มๆ เพราะในตลาดมีหนังสือเป็นล้านล้านเล่ม
เปลี่ยนวิธีการอ่านหนังสือ ชอบเรื่องไหนก็หาอ่านเป็นเรื่องๆไป
Google สาขาประเทศไทย เป็นอีก 1 บริษัทที่ถ้าอยู่ในตลาดหุ้นไทย จะใหญ่พอๆกับ Facebook สาขาประเทศไทย
บริษัทPricelineเจ้าของกิจการagoda/bookingยอมจ่ายเงินให้ googleไม่อั้นถ้ายังทำให้เขามีได้รายได้จากการจองโรงแรมจองท่องเที่ยว
สิ่งที่น่าสนใจ คือ pricelineไม่มีโรงแรมของตัวเอง
มีแต่ platform กลับสามารถทำรายได้มากกว่า 4 เชนโรงแรมใหญ่รวมกัน
อันดับหนึ่ง Apple 27ล้านล้านบาท ใหญ่กว่าGDP ไทย สองเท่า
ปีหน้าอาจไม่ใช่
สัดส่วนรายได้ของApple
Iphone 63%,mac 11%, ipad 10% ที่เหลือเป็น icloud
เคยเปรียบเทียบกับPTT แล้วพบว่าใช้สินทรัพย์น้อยกว่า เป็น Light asset
ปตท ต้องลงทุนสินทรัพย์เยอะ ทำให้บริษัทต่างชาติเข้ามายากในสมัยก่อน
LOCAL เลยสร้างขึ้นมาได้ในช่วงนั้น
แต่ตอนนี้ Facebook,Googleเข้ามาง่าย เติบโตเร็ว
บริษัท Saudi Aramcoมูลค่าใหญ่กว่าapple 2,000 ล้านล้านเหรียญ
ทำไมถึง IPO เพราะว่าเจ้าของมองว่าresourceในอนาคตจะไม่ใช่น้ำมันแล้วหรือเปล่า
อาจเป็นLithiumหรือเปล่า

Q: ถามคุณตู้ Resouceที่สำคัญที่สุดคืออะไร
A: คุณตู้บอกว่าResouceที่สำคัญสุดคิดว่าคือข้อมูล คนที่มีdataสุดท้ายเป็นผู้ชนะ
แต่ถ้ามองเฉพาะธุรกิจด้านพลังงาน Lithiumอาจจะเป็นผู้ชนะก็ได้
คุณลงทุนแมนเสริมว่าราคาหุ้นNvidiaเพิ่มเป็น10เด้ง เนื่องจากการประมวลผล
ต้องใช้GPU ซึ่งnvidiaเป็นเจ้าตลาด
หรือ memory chipสำหรับเก็บข้อมูลSamsung ก็เป็นเจ้าตลาดอยู่
เจ้าตลาดอาจshiftไปเรื่อยๆ ไม่ใช่น้ำมันอีกต่อไป ไฟฟ้าอาจได้ฟรีๆจากพลังงานแสงอาทิตย์

Q: คุณบอลถามเกี่ยวกับสาเหตุที่ลงทุนในบริษัท Nvidiaซึ่งขึ้นมาเยอะแล้ว
A: คุณตู้กล่าวถึง AI Theme ก่อน
AI คือสมองจักรกล สมองเทียมที่สร้างขึ้นเลียนแบบคน
ดูจากAlpha Go เมื่อสองปีก่อน
ปีที่แล้วเอาชนะผู้เล่นอันดับที่สี่ของโลก ผ่านมา 1 ปีเอาชนะอันดับหนึ่ง
แต่ถ้าใครตามลึกๆ จะทราบว่านอกจาก Alpha Go จะเก่งขึ้นมาก ยังใช้พลังการประมวลผลน้อยลง10เท่าเมื่อเทียบกับพลังงานที่ต้องใช้เพื่อเอาชนะผู้เล่นอันดับที่4เมื่อปีก่อน
คุณลงทุนแมน เสริมว่าถ้ามองว่า Alpha Goไกลตัว
ก็หันมามองnews feed ดูข้อมูลอะไรที่สนใจ มันก็จะfeedกลับมาให้
คุณตู้กลับมาต่อว่า AI Themeประกอบด้วยปัจจัยสำคัญ 5 ข้อได้แก่
1.Dataยิ่งข้อมูลเยอะยิ่งฉลาด
2.chipประมวลผลด้านข้อมูล CPU/GPU
3.Time ต้องมีเวลาใครเริ่มก่อนได้เปรียบ
4.Engineer
5.Infrastructure platform
ขอเสริมข้อ 3 คือเรื่องเวลา ถือว่าน่าสนใจ
AI คล้ายสมองมนุษย์ ใครเริ่มก่อนเหมือนเด็กที่โตกว่าคนเริ่มทีหลัง
Phaseใหญ่ๆ มี 2 Phase คือการเรียนรู้ Training แล้วเป็นInferencing(Apply)
ตอนTraining ใช้เวลาเยอะ ใส่ Input ไปเยอะ แต่ได้ Output ออกมาน้อย เหมือนเด็ก
หลังเข้าที่แล้วใส่ Input น้อยลง แต่ได้ Output มากขึ้น เหมือนผู้ใหญ่
AI เรียนรู้ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายใช้Input น้อยลงแต่จะฉลาดขึ้นแบบก้าวกระโดด

คุณลงทุนแมน บอกว่าวิวัฒนาการของAIคล้ายสมองมนุษย์
โลกผ่านมา4,500ล้านปี มนุษย์อยู่รอดเพียงเผ่าพันธุ์เดียว
เทคโนโลยีพัฒนามาใช้เวลาแค่200ปี
AI ไปเร็วกว่านั้นจากกฎของมัวร์การประมวลผลจะก้าวกระโดดทุกๆ14เดือน
จนถ้ามองไปอีก28ปีข้างหน้า
Singularity คือจุดที่สมองคอมพิวเตอร์ฉลาดขึ้นอีก 16 ล้านเท่า
ใครอายุ30-40ปี มีโอกาสมีชีวิตตลอดไป แต่จะเป็นอย่างไรต้องติดตามต่อไป

คุณตู้ บอกว่า Homo sapiensเกิดมาหนึ่งแสนปีแต่เทคโนโลยีเพิ่งพัฒนาจริงจังในช่วง 1-2 ร้อยปีที่ผ่านมา
คอมพิวเตอร์เร็วสุดเมื่อร้อยปีที่แล้วยังช้ากว่ามือถือของพวกเราในห้องนี้หลายเท่า
เมื่อ 200 ปีก่อนอายุคนเฉลี่ยยังอยู่แค่ราว40ปีอยู่เลย
การเกิดคอมพิวเตอร์ ไฟฟ้า รถยนต์เพียง100-200ปีทำให้ GDP เติบโตแบบก้าวกระโดด อายุเฉลี่ยคนก็สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลองย้อนนึกสมัยก่อนมนุษย์อายุแค่40กว่าปีถ้ามีคนบอกว่าในอนาคตอาจถึง 100 ปี คนคงหาว่าบ้า
การพัฒนาเทคโนโลยีในทุกวันนี้มุ่งเน้นให้คนมีอายุยืนยาวขึ้นในอนาคตอาจเป็นอย่างที่คุณลงทุนแมนว่าก็ได้

คุณลงทุนแมน บอกว่าคนพิการไม่มีแขน แค่มีเครื่องช่วยในการสั่งการจากสมอง
สมองสามารถไปเก็บไว้ที่นึง และโคลนนิ่งข้อมูลในสมองไปอยู่อีกร่างนึง
เมื่อก่อนมี phone link ก็กลายเป็น Iphoneใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงน้อยลงเรื่อยๆ
มีกฏหนึ่ง เรียกว่า The Six D’s มี 6 Step
1.Digitalizationจะdisrupt กล้องถ่ายรูปธรรมดาหายไป เป็น กล้องดิจิตอล เช่นแปลงภาพเป็น .jpg
2.Deceptionก่อนสิ่งของจะหายไป คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้
รถไฟฟ้าไม่น่าจะมาแทนรถยนต์ที่ใช้น้ำมันหรือ นิตรสารก็ถูกแทนด้วยFacebookไป
3.Disruption
( เป็นเทคโนโลยีที่มาทดแทนของเดิม เช่น UberจะdisruptTaxiแบบเดิม หรือ Instagram disrupt kodak)
4.Demonetizationเมื่อก่อนต้องเสียเงินค่าสมัครดูเคเบิ้ลทีวี ต่อไปไม่มีการเก็บเงิน สามารถดูจากช่องทางอื่นได้
5.Dematerializationของหลายอย่างจะหายไป เช่น กล้องDLSR จะหายไป
เครื่องคิดเลขก็หายไปรวมถึงแผนที่ ทุกอย่างอยู่ในมือถือ
ตัวเราเหมือนอยู่ในโลกเสมือนต่อไปเราก็จะหายไปด้วย
6.Democratizationทำให้ทุกอย่างเป็นประชาธิบไตย
เช่น Facebook, Uberรัฐบาลของแต่ละประเทศไม่สามารถเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ที่อยู่ต่างประเทศ
เวเนซูเอล่า มีเงินเฟ้อมาก คนเข้าไปขุดBitcoin แต่จะมีปัญหามากขึ้นจีนก็แบนไม่ยอมรับBit coin
จะสู้กันระหว่างเสรีนิยม กับ รัฐบาลที่บังคับให้อยู่ในกฎ
Etherliumเจ้าของอายุ23ปี เงินสกุลนี้ทำให้มีICO (เหมือนกับIPO คือออกเหรียญใหม่)สกุลเหรียญใหม่ขึ้นมาเช่น
Omiseเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนในไทย market cap 30,000 ลบ ซึ่งcreate value ขึ้นมาเร็วมาก
ตอนนี้จะเกิดในฝั่งตะวันออก technologyเร็วกว่าฝั่งตะวันตกซึ่งยังใช้บัตรเครดิตกันอยู่เลย

Q: อุตสาหกรรมไทยที่ถูกกระทบ และ กระทบอย่างไร
A: คุณตู้บอกว่าขอเล่าเรื่องหนึ่งก่อนจะตอบคำถามนี้
คนฟังอาจรู้สึกว่าที่พูดกันมานี่ไกลไปแล้วหรือเปล่าคงมี 2 คำถามเกิดขึ้นว่า 1. ที่พูดๆ กันจะเป็นจริงมั้ย2. จะเร็วแค่ไหน
มีกฏข้อหนึ่งชื่อ Law of accelerating returns
ทุกคนส่วนใหญ่คิดว่า
หนึ่ง อะไรที่เกิดขึ้นในอดีตก็เกิดในอนาคตเหมือนกัน
สอง การพัฒนาของเทคโนโลยีในอนาคตจะพัฒนาแบบเป็นเส้นตรง ใช้เวลาเท่ากันกับในอดีต
แต่จริงๆแล้วปัจจุบันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก การพัฒนาไม่ได้เป็น Linear แต่เป็นแบบ Exponential
รถยนต์Teslaไม่ต้องเปลี่ยนhardware แต่เปลี่ยนที่softwareก็สามารถเปลี่ยนความเร็วได้
ตัวอย่างในไทยขอเล่าประกฎการณ์ “ลำไยไหทองคำ”
คนเป็นนักร้อง สมัยก่อนต้องย้ายมากรุงเทพ อยู่แฟลต เป็นนักร้องตามคาเฟ่ บางคนเริ่มจากเป็นเด็กเสิร์ฟ
ร้องดี ร้องเพราะ มีคนบอกต่อ เริ่มมีแมวมองมาฟัง
ก็ไปออดิชั่นที่ค่ายเพลงโดยแมวมองชวน ถ้าผ่านก็ออกเทป และส่งขาย กว่าจะดังก็ต้องรอโปรโมทผ่านสถานีวิทยุ
แต่ลำไย ไหทองคำ ใช้แค่ตัวเอง มือถือ อินเตอร์เน๊ต ใช้เวลานิดเดียว ในการทำให้เพลงตัวเองมียอด view สูงสุดในประเทศ
ถามว่าปรากฏการณ์นี้มี party ไหนหายไปบ้าง
การเกิดtechnology&AIจะทำให้ตัวกลางส่วนใหญ่หายไป
ลองนึกๆ ว่าคนเราบริโภคอะไร
มี product , service content
Content เปลี่ยนแปลงเร็วทีสุด เพราะไม่ต้องใช้material
Product อาจช้ากว่า แต่เริ่มมีให้เห็นแล้ว
Amazon ในอนาคตอาจมีแค่supplierแล้วใช้ AI ส่งของ ไม่ต้องจ้าง DHL, Fedexแล้วก็ได้
สุดท้าย ตัวกลางที่จะถูกแทนที่ก็คือ “ตัวมนุษย์เอง”
AI เก่งเรื่องการทำซ้ำฟัง, เห็น, อ่าน, คิด ทุกวันนี้ AI ทำได้ดีกว่าคนหมดแล้ว
แค่ตอนนี้AI ยังไม่สามารถรวมความเก่งแต่ละเรื่องเข้าด้วยกัน
AI เข้าใจภาษา ,วาดรูป,เล่นโก๊ะ
มันจะโตขึ้นๆ สุดท้ายจะแทนที่คนแต่แค่ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นอยู่ร่างเดียวกันในตอนนี้

Q: ถามคุณลงทุนแมน ร้านสะดวกซื้อ และ ห้างสรรพสินค้าจะถูกdisruptหรือไม่
A: Merry king เป็นตัวอย่าง เมื่อก่อนคู่มากับเซ็นทรัล
อยู่กับการปรับตัวได้เร็วก็อยู่ได้
ส่วนผู้ประกอบการใหม่ที่ไม่มีplatform เช่น Lazadaก็เข้าได้ง่าย
Product,contentดี ก็สามารถโตได้
ธุรกิจอาหาร สามารถขายonline ผ่านทาง Lineman
JQ ปูม้านึ่ง ใช้platform Facebook ยอดขาย 600 ลบต่อปี
บริษัท Wxxkเกิดได้จาก Facebookบอกต่อ และ contentดี
รายได้โต กำไรโต contentดีมาก แต่ช่องทีวีสนามเป้าไม่มีcontent หรือ Woodyดูดีกว่า อีก
แต่สถานีช่องที่มีละครที่คนกรุงเทพติดกันเมื่อก่อนมีcontent และ ผูกขาดทั้งด้านละครและข่าว
ตอนนี้ไม่ใช่ผูกขาด คนสมัยนี้ดูcontentมากกว่า
บางทีวัยรุ่นสมัยนี้ไปดูคนพากย์การเล่มเกมก็มี
คนที่มีcontent หรือ สินค้าที่ดีก็ขายได้ เช่น มาม่า อาจสั่งซื้อจากที่อื่นที่ไม่ใช่ห้างก็ได้
เราไปหาอะไรที่ดีแต่ถูกplatformที่ผูกขาดอยู่ พอถึงเวลาที่ไม่มีการผูกขาด ได้เวลาที่จะลงทุน
แต่ถ้าเป็นบริษัทที่เป็นตัวกลาง เราพยายามหลีกเลี่ยง
และหุ้นต้องเป็นuniverseมากขึ้น ทำให้เรามีตัวเลือกมากขึ้น
Forward PE 20-30 เท่าของFB,Googleเราก็สามารถเลือกได้
ยูนิโคล ซาร่า รองเท้าไนกี้ อดิดาส สตาร์บัคส์ เป็นแบรนด์ต่างประเทศที่อยู่รอบตัวเรา
ประเทศไทยเล่น Facebook 25ล้านราย มากสุดในโลก
เวลาทดสอบก็มาทดสอบในไทย เราจะรู้ก่อนว่าworkหรือไม่
Messenger จะเข้ามาบังคับว่า ต้องจ่ายในFBซึ่งจะdisruptธนาคารไป
แต่ผู้บริโภคได้รับประโยชน์
เมื่อก่อน จะส่งsmsจะคิดแล้วคิดอีกก่อนส่ง
เหมือนการโอนเงิน ถ้ามีใครทำได้ฟรีคนก็จะเทไปทางนั้น
Portionค่าธรรมเนียมลดลง ธนาคารอาจจะไปขายappหรืออื่นๆแทน
ROV เจ้าของคือ Garenaซึ่งเป็นเจ้าของAir pay ไว้เติมเงินเล่นเกม
ถือเป็นตลาดใหญ่มาก
เราต้องดูuniverseทั้งหมด

A: คุณตู้ฟังมาทั้งหมด ตอนนี้คนฟังคงมี 3 คำถามที่ต้องคิด
1. คุณตู้ AI จะมาแทน VI ไหม
2. หุ้นที่เราถือจะโดนdisruptหรือไม่
3. เราควรลงทุนในอะไร
คุณตู้บอกว่าข้อแรกข้ามไปก่อนเลย มันToo soon to tell ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเพราะยังไงเราก็ลงทุนอยู่
ที่เราคุยกันอยู่คือข้อ 2 และ 3
AI จะกระทบธุรกิจ ธนาคาร ค้าปลีก mediaที่คุณลงทุนแมนพูดถึงก่อนหน้า
อีกอันที่ผมคิดว่าเป็นไปได้และน่าหยิบมาพูดคือโรงพยาบาล
อีกสัก10-20ปีข้างหน้า โรงพยาบาลซึ่งมี5ข้อFive Forceดีมาก อาจจะค่อยๆเปลี่ยนไป
แบ่งการเปลี่ยนแปลงนี้เป็น 2 phase
Phase I ทุกวันนี้จะเป็นการleverageความสามารถ เช่นร้านอาหารเจ้าดัง มีคนช่วยส่ง ไม่มีหน้าร้าน
แม้แต่ FB , Youtubeก็มีการleverageไปต่างประเทศได้รวดเร็ว
ตอนนี้สมมติหมอหนึ่งคนรักษาคนไข้ได้ 10 คนต่อวัน ต่อไปอาจรักษาได้100คน
ตอนนี้อาจยังไม่เกิดปัญหาเพราะขาดแคลนหมออยู่
แต่ต่อไป หมอที่ไม่เก่งอาจจะมี value ลดลง
เปรียบหมอเหมือนโรงงานผลิตน้ำ
หมอเก่งทุกวันนี้เหมือนคนงานที่เก่งในกรอกน้ำ แบกน้ำจนมาวันนี้เครื่องจักรมาแทน
ในวันนั้นหน้าหมอเก่งก็อาจเป็นคนคุมเครื่องจักร คุม AI ไม่ต้องกรอกน้ำเองแล้ว
phase II เราถือหุ้นโรงพยาบาลPE 40 เท่าแต่growth 10-15% เราคงคาดหวังจะให้ โรงพยาบาลไม่เจ๊งตลอดไป
โลกของเรา ตอนนี้การรักษาตอนเป็นโรคแล้ว แต่อีก30-40ปีจะเป็นโลกของการpreventโรค
เช่น การขับเคลื่อนอัตโนมัติ สาเหตุที่errorส่วนใหญ่มาจากคนคนทำให้เกิดอุบัติเหตุ ก็จะเปลี่ยน
Self driving car เกิดขึ้นเพื่อลดอุบัติเหตุ
โรงงานผลิตอาหารต่อไปก็ใช้robotหมดเพราะเน้นความสะอาด
ทุกวันนี้ มีเทคโนโลยีที่เรียกว่าCRISPR/Cas9
(รายละเอียดดูจาก https://www.youtube.com/watch?v=2pp17E4E-O8)
การตัดต่อพันธุกรรมหรือmappingยีน
จากราคาเป็นล้าน USD เหลือหลักพัน
ใช้เวลาน้อยลงจาก 1 ปีเหลือ 80 วัน หรือ ใช้นศแพทย์ ทำในห้องแลบธรรมดาก็ทำได้แล้ว
ร่างกายเรามียีนส์20,000 ตัว แต่ ยีนส์ที่ทำให้เกิดมะเร็ง อาจมีแค่ไม่กี่ตัวแค่ตัดทิ้งออกไปก็ป้องกันการเกิดมะเร็งได้แล้ว
ตอนนี้ทดลองกับหนู กับ ยุง
เราเปลี่ยนหนูสีขาวเป็นหนูสีดำ แค่เปลี่ยนยีนไม่กี่ตัว
โรคมาเลเรียฆ่าคนเยอะสุด สาเหตุจากยุงเป็นพาหะ
ก็เปลี่ยนพันธุกรรมไม่ให้เป็นโรคมาเลเรีย และเปลี่ยนตาเป็นสีแดงจะได้รู้ว่าเป็นตัวที่แก้ไขแล้ว
หลังจากนั้นก็ปล่อยให้อยู่กับยุงตาสีขาว ทำให้เกิดแผ่พันธุ์
สุดท้ายทำให้ยุงทั้งหมดตาสีแดง ไม่เกิดโรคมาเลเรีย
สุดท้ายโรงพยาบาลเลยอาจมี value ลดลงไปจากเดิม
คำถามอีกข้อคือเราจะลงทุนอะไรดี
เนื่องจากเวลาเหลือน้อย ขอยกตัวอย่างคร่าวๆ (ต้องไปศึกษาต่อเองไม่ใช่ลงทุนได้เลย)
1.ลงในตัวผู้สร้างAI ex Google, amazon ,FB
2.ลงทุนในผู้มีdata คล้ายกับกลุ่มแรก Baba, Tencent
3.ผู้ผลิตhardware เช่น mobileye,intel,nvidia
4.เจ้าของservice,product, content ที่ได้ประโยชน์จาก AI ex Disney, marvel, DC
5.เจ้าของservice,productทีไม่เสียประโยชน์ เช่น กระเป๋าHermes, Louis Vuitton (superstar economy)

Q: ถามคุณลงทุนแมน หุ้นต่างประเทศไกลตัวมาก หาข้อมูลอย่างไร
A: เอาสิ่งที่เราคุ้นเคย เราไม่ได้ใช้อะไรก็อย่าไปยุ่ง
หาข้อมูลจากgoogleเช่น search หา Amazon IR
การคัดเลือกหุ้น คาดเดายากว่าใครแพ้ใครชนะ ตัวอย่างเช่นsnapchatถูกรุมจากFacebook
ถ้าให้ปลอดภัยให้ลงใน5บริษัทที่ครองโลกแล้ว

Q: ถามต่อว่าการvaluationดูตรงไหนบ้างและจะทำvaluationอย่างไร
A: คุณลงทุนแมน ตอบว่าคล้ายกัน FBบางช่วงเดาง่าย ส่วนGoogleบางช่วงก็มีโอกาสลงตอนPE 20
ถ้าvaluationไม่ได้ เช่น Line กำไรยังไม่โผล่ ต้องbetว่ากำไรจะมาเมื่อไหร่
อาจลงแค่ส่วนนึงก็พอ คล้ายหุ้นไทย adaptอย่างไรก็ไปทำในต่างประเทศ
อีกประเด็น บางทีไม่ต้องหุ้นชนะ แต่ไปลงในหุ้นpanicทุกคนมองว่ามันแย่หมด
เช่น GM ผลิตรถ 10ล้านคัน PE5เท่า แต่ Teslaผลิตรถแค่หลักหมื่นคัน ไม่มีกำไร
อาจเป็นโอกาสหรือเปล่า
BMW PE 7 เท่าเอง เป็นเจ้าของbrand
ต่อให้มีคนใช้รถEVแต่ก็มีคนใช้รถพวกนี้เหมือนhermes
บริษัทประกัน คนคิดว่ารายได้ลดจาก รถขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ทำให้อุบัติเหตุน้อยลง จะขายประกันได้น้อยลง PEเลยต่ำ ตลาดอาจจะกลัวเกินไป

A: คุณตู้บอกก่อนว่าการลงทุนในต่างประเทศ อาจไม่ใช่ว่าเหมาะกับทุกคน
อะไรที่คุ้นเคยและเห็นอนาคตในอีก3-5ปี ยังไม่เปลี่ยนแปลงเราควรลงทุน
แต่ทำใจยอมรับ ซื้อหุ้นsuper stockที่แพงแล้ว ยอมรับผลตอบแทนที่น้อยลง
ส่วนสินค้าทดแทน เราจะคิดเพิ่มว่าบริษัทที่เราลงทุนถูกทดแทนหรือเปล่า
เรื่องข้อมูลทุกวันนี้มีเยอะแยะมากมาย
เอาง่ายๆ แค่อ่านจากเพจลงทุนแมน อ่านครบหมดยัง
ต่างประเทศราคาหุ้นไปตามงบการเงินหุ้นBigcapดูfair gameกว่า
หาproductรอบตัวที่เราใช้ เราเห็นพัฒนาการ
อ่านจาก Seeking Alhpa Website เป็นwebsiteที่มีข้อมูลเยอะ รวมถึงoppdayของUSเป็นเฉพาะเสียง
(https://seekingalpha.com/)
Transformเป็นอักษรได้ด้วย มีคนมาวิจารณ์ด้วย
เรื่องvaluation หลีกเลี่ยงหุ้นที่valuationไม่ได้
Amazon ดู PE ไม่ได้เพราะมีcarpexเยอะ
Google , Facebook ดูforward PEแค่ 30 กว่าเท่า
Nvidia forward PE ปีหน้าก็แค่30กว่าเท่าคิดว่าคล้ายๆ ซื้อหุ้นอย่าง beauty เพราะ PE พอๆ กัน
ส่วนTesla จินตการระยะยาวยาก เพราะคู่แข่งก็พยายามพัฒนา ไม่ยอมแพ้tesla
คุณลงทุนแมนเชื่อว่า teslaจะมีแบรนด์รถหลายๆแบรนด์มาแข่ง เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนม

Q: อยากให้ฝากข้อคิดกับนักลงทุน ควรปรับตัวอย่างไร หรือเคล็ดลับในการลงทุน
A: คุณลงทุนแมน บอกว่า หลับตามองรอบตัวเรา และตื่นมาที่ท้องถนนมีบริษัทอะไรบ้าง
ทุกคนใช้อะไรที่ร่วมกันบ้าง

คุณตู้ บอกว่า 2-3ปีที่ผ่านมาทำสิ่งหนึ่งที่ทำให้ตัวเองดี การปฏิบัติธรรม ทำให้เปลี่ยนแปลงการคิดวิเคราะห์
มีสติมากขึ้น ทุกข์น้อยลง ทุกวันนี้ทำมาปีกว่ามีผลมหาศาล
เริ่มแบบง่ายๆ เช่น แปรงฟันก็ให้รู้ตัวว่าแปรงฟัน สวดมนต์ก่อนนอน5-10นาที
หรือให้หลับตา เพื่ออยู่กับลมหายใจ อย่าฝืนทำให้ตรงกับจริตของเรา

สุดท้ายขอขอบคุณ คุณลงทุนแมน คุณมานะ และ คุณบอลมากๆครับที่มาแชร์ความรู้ให้เราฟังครับ
Website บทความ หรือ คลิปที่แนบมา ต้องขอบคุณคุณมานะที่มาแชร์ด้วยครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 18, 2017 1:05 pm
โดย amornkowa
กองทุนเวียดนาม ที่เลือกหุ้นโดยบลจ CIMB Principle ( Seminar knowledge Page )

หลังจากที่บลจ CIMB พูดในงานmoney talk เรื่องการเปิดตัวกองทุนรวมที่ไปลงทุนในเวียดนาม

ผมเลยอยากแชร์มุมมองของผมสำหรับกองทุนรวมของบลจไทยกองแรกที่ลงในตลาดหุ้นเวียดนามทั้ง100%
ก่อนหน้านี้มีบลจ กรุงไทย ไปลงทุนเวียดนามในสัดส่วนแค่40%ของport

กองนี้มีสัดส่วนหุ้นในเวียดนาม ( บลจ CIMB เลือกหุ้น200ตัวที่ไม่ติดเรื่องFOL
และจะมาเลือกหุ้นเข้ามาอยู่ในportอีกที)คิดเป็น 60-70% ของportและ

อีก30-40% ลงทุนในETF ซึ่งผมคิดว่าเป็น VN30 ETF ซึ่งจะมีหุ้นธนาคารอยู่17.1% ซึ่งเป็นsectorที่
PEสูงกว่าธนาคารในไทย และผมเคยฟัง ดร นิเวศน์ว่า ความโปร่งใสในการบริหารสู้ธนาคารในไทยไม่ได้

แต่มีไว้เพราะหุ้นที่ดีๆ ตอนนี้ต้องซื้อในราคาpremium7-30%เช่น Vinamilk
ถ้าซื้อหุ้นเหล่านี้ใส่มาในportต้องmark to market lost ทันที ดังนั้นผมเข้าใจว่าทางแก้ไขคือ
อยากมีหุ้นดีๆมาอยู่ในport โดยใช้วิธีซื้อETF VN30แทน และ มีสภาพคล่องในการซื้อ และ ขายกว่าหุ้นพอสมควร

ผมสรุปข้อดีและข้อเสียของกองทุนนี้ในความคิดเห็นของผม
มาให้สำหรับคนที่สนใจครับ

ข้อดีของกองทุนนี้

1.สำหรับคนที่ต้องการลงทุนในตลาดหุ้นที่ราคายังไม่แพง คล้ายไทยเมื่อ20ปีก่อน มีโอกาสเติบโตเหมือนไทย

2.ต่างชาติเข้าไปลงทุนในเวียดนามมากมาย ทำให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตขึ้น ทำให้การบริโภคในประเทศสูงขึ้น เราสามารถไปแชร์เรื่องการเติบโตกับเวียดนามได้ผ่านกองทุนรวมที่ไปลงทุนบริษัทต่างๆในเวียดนามได้
3.เราสามารถลงทุนผ่านกองทุนรวมนี้ และ ได้ผลตอบแทนอย่างน้อยเท่ากับดัชนีของตลาดหุ้นเวียดนาม

4.ไม่ต้องปวดหัวในการศึกษาหุ้นเวียดนาม เพราะส่วนใหญ่เป็นภาษาเวียดนาม ทำความเข้าใจยาก

5.ลงทุนขั้นต่ำ 50,000 บาทในกองทุนรวม เทียบกับลงทุนหุ้นเอง ต้องใช้เงินมากกว่านี้

6.ถือเป็นสินทรัพย์อย่างหนึ่งในportfoiloเพื่อทำให้พอร์ตกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้น

7.ถ้าตลาดหุ้นเวียดนามซึ่งเป็นตลาดชายขอบ ได้รับการอัปเกรดเป็นตลาดเกิดใหม่
ทำให้ราคาหุ้นโตได้อีกเยอะจากสถาบันต่างประเทศเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ข้อเสีย

1.สำหรับนักลงทุนที่ปกติชอบศึกษาบริษัทเอง อาจไม่ชอบลงทุนผ่านกองทุนรวมเพราะต้องเสีย
ค่าบริหารให้กับกองทุนรวม และ ไม่ได้ใช้ฝีมือตัวเองในการวิเคราะห์บริษัท

2.ส่วนของETF ซึ่งมีหุ้นขนาดใหญ่ ซึ่งอาจไม่ชอบบางบริษัทที่ราคาแพงไป แต่ต้องซื้อไปด้วย

3.เรายังไม่รู้ความสามารถของผู้จัดการกองทุนว่าเก่งขนาดไหน ข้อนี้แก้ไขโดยอาจรอให้ผลประการออกมาแน่ชัดก่อนแล้วค่อยลงทุนก็ได้

4.สำหรับคนที่ลงในระยะสั้น อาจไม่เหมาะเพื่อต้องถือกองทุนมากกว่า1ปีขึ้นไป เพื่อรอให้เวียดนามเติบโต เราจะได้ประโยชน์จากราคาที่สูงขึ้น

5. ไม่ควรนำเงินที่สามารถลงทุนได้แค่ระยะสั้นเช่น 3-6เดือนมาลงกองทุนนี้เพราะสามารถขายได้ทุกๆ6เดือน

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ย. 20, 2017 5:27 am
โดย amornkowa
วันนี้ 19 กย 17 ทางIntuch ได้มาพูดคุยถามตอบที่ บล โนมูระ ผมเลยขอสรุปเฉพาะส่วนถามตอบมาให้ครับ

Q: อยากขอทราบความคืบหน้าของAISสนซื้อCS Loxinfo จาก Intuch
A: เรายื่นจดหมาย Letter of content ไปแล้ว ตอนนี้อยู่ในช่วงDue diligent น่าจะเสร็จกลางตค
ตอนนี้ Fix broadband รายได้โตขึ้น และ CS มีลูกค้าองค์กรที่แข็งแรงมาก สามารถช่วยให้AISเติบโตได้เร็วขึ้น
รวมทั้งCS มี ทำdata centerอยู่แล้ว จะช่วยลดต้นทุนให้กับAISที่จะทำcloudด้วย
ดังนั้น AIS ถือว่าปลดhidden asset ของ CS loxinfoออกมา
Q: ธุรกิจ Invent ถ้าประสบความสำเร็จ จะได้อะไรบ้าง และ เรามีหลักเกณฑ์อย่างไรในการเลือกลงทุน
A: เราเป็นผู้ถือหุ้น ถ้าเข้าตลาดMAI เราก็มีทางเลือก เช่น ขายหุ้นออกไป หรือ รักษาสัดส่วนต่อไป
โดยปกติเราลงทุนไม่เกิน30%ในแต่ละบริษัท ตอนนี้ทั้งหมด 10 บริษัท มี2 บริษัท ที่มีโอกาสเข้าตลาดMai
คือ Oakbee ,Digio
เรามีหลักเกณฑ์ในการเลือก โดยดูจากวิสัยทัศน์ในการทำธุรกิจ ความคิดของผู้บริหาร และสุดท้ายคือ
การประเมินมูลค่าของบริษัทที่จะลงทุน
Q: การขยายเข้าไปใน Home shopping เรามีแผนกระจายความเสี่ยงอย่างไร
A: สัดส่วนcontributeไม่มากแต่มีแนวโน้มเติบโตดี มีสินค้าหลากหลายแล้วแต่ว่าแต่ละช่วงผู้บริโภคต้องการอะไร
หรือที่อื่นเสนอขายอะไรบ้าง มองว่าจะเติบโตในอนาคตอีกมาก
Q: รายได้จากเงินปันผลจะเป็นอย่างไร ถ้าAIS ประมูลคลื่นได้ในปีหน้าอีก
A: เรามีการคำนึงถึงตั้งแต่ต้น เราจึงปรับเปลี่ยนการจ่ายปันผลเป็นอย่างต่ำ 70%ของกำไร เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น
ในการทำธุรกิจต่อไป ส่วนปันผลมากน้อยขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัทลูก

สุดท้ายขอขอบคุณทางบล โนมูระ และ ทางIntuchมากครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 07, 2017 5:26 am
โดย amornkowa
วันก่อนมีโอกาสไปฟังคุณ วีรพันธ์ บริษัท Ticon ที่ บล ภัทร
เรื่องการโอนproperty fund3กอง คือ TFUND , TLOGIS , TGROWTH เข้ากองReit คือ TREIT
โดย บริษัท TiconมีTMANรับบริหารกองreitของ TREIT อยู่แล้ว
ผมสงสัยว่าทำไม TICON ออกกองproperty fund มาหลายกองจัง ทำไมไม่เพิ่มทุนอย่างเช่น CPNRF
ที่ซื้อทรัพย์สินเพิ่มเติมเข้ากอง ทำให้ขนาดของกองทุนใหญ่โตขึ้น สภาพคล่องสูงขึ้น
ก็ได้คำตอบจาก ที่บล เมย์แบงค์กิมเอ็ง ที่คุณสุกิจ สัมภาษณ์คุณวีรพันธ์ว่า
กองแรกที่ออกคือ TFUND จะมีสัดส่วนโรงงานค่อนข้างเยอะแต่มีWarehouseน้อยกว่า
ตอนช่วงวิกฤตเลย์แมน ต่างชาติต้องการทรัพย์สินที่เป็นwarehouse ทำให้ต้องออกกอง TLogis
มาซึ่งมีสัดส่วนของwarehouseค่อนข้างเยอะ ต่อมากลต จะไม่ขยายกองproperty fund
และชักชวนให้บริษัทต่างๆออกเป็นกองREIT ซึ่งทางTICONเองก็เตรียมออกเป็น REIT
ซึ่งก็คือ TGROWTH ปรากฏว่าหน่วยงานราชการไม่รู้จัก REIT ทำให้ทำธุรกรรมไม่ได้
เลยกลายเป็นกองprepertyในที่สุด ท้ายสุด ก็สามารถออกกอง REIT สำเร็จคือ TREIT
สำหรับผู้ถือหน่วยทั้งสามกองทุน น่าจะได้ประโยชน์ดังนี้
1. ราคาตลาดปรับตัวใกล้เคียงกับNAV
2. สภาพคล่องดีขึ้น
3. ลงทุนน้อยลง เพราะ REITสามารถกู้ได้ถึง 60% แต่ property fund กู้ได้แค่10% ทำให้ตอนรวมกองทุน
มีเงินจ่ายคืนประมาณ 1 บาทบวกลบ
แต่ก็มีความเสี่ยงมากขึ้นจาก การได้กองทุนสามารถกู้ได้มากขึ้น และ ผุ้ถือหน่วยในกองทุนเดิม ซึ่งมีสัดส่วน
Freeholdเยอะ แต่หลังแปลงจะมีสัดส่วนFreehold ลดลง
ลองตัดสินใจดูนะครับว่า จะเห็นด้วยกับการรวมกองproperty fund เป็นREIT หรือไม่

หลังรวมกองทุนทั้งสามกองทุนเข้ากับREIT รายได้ticonเพิ่มขึ้นจากการเข้ารับบริหารกองทุนผ่านทางTMAN
และสามารถขายโรงานหรือ WHเข้าTREITได้อีก
ทำให้บริษัทTiconดูน่าสนใจ
เขามีที่ในเขตEECอยู่เยอะพอสมควร
แต่ไม่ค่อยเห็นใครพูดถึงเลย รวมถึง บล ด้วย
ส่วน บริษัทAMATA และWHA นักวิเคราะห์พูดบ่อยมากจนขึ้นไปแล้ว
ลองศึกษาเพิ่มเติมดูนะครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 13, 2017 8:20 am
โดย amornkowa
Property Fund & REITs & Infrafund Series

EP1 BKKCP

บทความนี้เป็นบทความเป็นตอนๆ ซึ่งจะเขียนถึง property fund, REITs, Infrafund ที่ยังมีอยู่ในตลาด
เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับนักลงทุน ซึ่งเหมาะกับช่วงนี้ที่อัตราดอกเบี้ยในตลาดไทยยังไม่ขึ้น
ทำให้กองทุนรวมกลุ่มนี้ดูน่าสนใจมากขึ้น

กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์(Property fund)
BKKCP จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์อันดับที่2 ในวันที่ 19 พย 2546

ส่วนProperty fund อันดับแรก บริหารจัดการโดย บลจ ยูโอบี คือ UOBAPF
เป็น apartment lease hold แถวหลังสวน ซึ่งเช่าพื้นที่เป็นเวลา 30 ปี ปัจจุบันกองนี้ได้ขายให้กับผู้สนใจไปแล้ว

ดังนั้นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ที่จะพูดเป็นกองแรก คือ BKKCP
กองนี้จริงๆน่าจะเข้าได้เป็นกองแรก แต่ต้องใช้เวลานานจึงจดทะเบียนเข้าเป็นอันดับสอง
ซึ่งคนที่ริเริ่มกองทุนนี้คือ คุณ วิวรรณ ซึ่งขณะนั้นเป็นเป็น ผู้บริหารอยู่ที่บลจ วรรณ
แต่ถือว่าเป็น property fund free hold กองแรกของเมืองไทย

กองนี้ลงทุนในofficeให้เช่าบางส่วนของตึกชาญอิสระ1,2 ซึ่งมี occupancy rate อยู่ที่ 90%ขึ้นไป
ถึงแม้ว่าบางบริษัทที่เคยเช่าอยู่ที่ชาญอิสระ2ซึ่งเช่าหลายชั้น ได้ย้ายออกไป ทำให้สูญเสียรายได้ไป
แต่ท้ายสุดก็สามารถสร้างรายได้กลับมา ปีที่ผ่านมาได้มีการrenovate และปรับปรุงตึกหลายส่วน
เนื่องจากเป็นอาคารสำนักงานที่ใช้มานาน ทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น แต่ปีนี้เริ่มมีรายได้กลับเข้ามา
ประกอบผู้ประเมินราคาของสินทรัพย์กองนี้ได้ประเมินราคาสูงกว่าครั้งที่แล้ว (รายละเอียดดูจากรูปที่โชว์)
ทำให้มีส่วนกำไรในไตรมาสสองเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสสองปีที่แล้ว จาก 0.1697 บาทต่อหน่วย เป็น
0.2966 บาท ต่อหน่วย ทำให้กองทุนนี้ดูน่าสนใจขึ้นในสายตานักลงทุนสังเกตจาก
ราคาตลาดขยับขึ้นมาบ้าง แต่กองทุนนี้มีสภาพคล่องน้อย อาจซื้อยากสักหน่อยในตลาดหลักทรัพย์

สัดส่วนผู้ถือหุ้น
1. ชาญอิสระซึ่งเป็นเจ้าของและยังถืออยู่ในสัดส่วน 33%ซึ่งเท่ากับตอนจัดตั้งปี2546
2. ที่เหลือหลักๆจะเป็น ประกันชีวิต เช่น ไทยประกันชีวิต เมืองไทยประกันภัย เมืองไทยประกันชีวิต ไทยสมุทรประกันชีวิต และ ธนาคารกรุงเทพ

อัตราปันผลย้อนหลัง1ปีประมาณ 6% โดยสังเกตจาก อัตราปันผลเริ่มขยับขึ้นจาก 0.16 บาทต่อไตรมาส เป็น 0.175 บาท
ซึ่งเหมาะกับผู้มีเงินเย็นเก็บไว้ สามารถลงทุนได้ อาจรอช่วงที่ราคาลดลงมาเข้าไปถือ กองนี้ยังมีdiscount เพราะราคาNAV ปัจจุบัน ประมาณ 12.4511 บาทต่อหน่วยในตอบประเมินราคาสินทรัพย์ครั้งล่าสุด
ซึ่งหาได้ยาก เพราะ กองทุนที่ฮิต ลงทุนกันเยอะส่วนใหญ่เป็น lease hold และ ราคาpremium คือซื้อ ขายสูงกว่าราคาNAV

กองproperty fund กองนี้เหมาะกับนักลงทุนทั่วไป เพราะสภาพคล่องน้อย เจ้าของคือชาญอิสระไม่ได้ขายออกมาเลย
ที่เหลือก็เป็นสถาบันการเงิน ก็ไม่ขายเช่นกัน ซื้อขายเฉพาะรายย่อยเท่านั้น ไม่เหมาะกับนักลงทุน แบบ Ultra wealth
ถือเป็นทางเลือกอีกทางสำหรับลงทุนในภาวะดอกเบี้ยต่ำมากในช่วงนี้

คอยติดตามตอนต่อไปว่าจะเป็นกองทุนกองต่อไปว่าจะเป็นกองใดนะครับ

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 13, 2017 8:23 am
โดย amornkowa
ภาพประกอบบทความBKKCP
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 4232617862

Re: Seminar Knowledge เรียนรู้การลงทุนผ่านการสัมมนา

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 13, 2017 2:53 pm
โดย Suphat
amornkowa เขียน:ภาพประกอบบทความBKKCP
https://www.facebook.com/permalink.php? ... 4232617862
ขอบคุณ คุณ amornkowa มากเลยครับ :D ได้รู้จักกองทุนนี้ มากขึ้นเลยครับ