หน้า 22 จากทั้งหมด 160

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 3:25 pm
โดย VIB007
CK เขียน:เรื่องหุ้น turnaround ผมมองไว้ตัวหนึ่งครับ และ
ได้ซื้อไว้ด้วย เสียดายแต่ไม่สามารถทำตามแผน
ได้ตลอดรอดฝั่ง ขายไปเสียก่อน ไม่งั้นก็คงได้
5 ท่วมไปแล้วใน 6 เดือน

ตรง criteria ที่คุณวิบูลย์ว่ามาทุกอย่างครับ
1. เคยทำกำไรได้ดีในอดีต
2. เกิดวิกฤต ขาดทุนจนทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นติดลบ
3. กลับมาทำกำไรได้แล้ว
4. อุตสาหกรรมผ่านจุดต่ำสุดแล้ว และเกิดการโต
แบบก้าวกระโดด

ทีนี้ขอโยนคำถามกลับให้คุณวิบูลย์และคุณมนครับ
คิดอย่างไรกับประโยคที่ว่า

"เวลาขาย (หุ้น) อย่าดูต้นทุน"
หุ้นTurnaround ผมไม่ค่อยได้ซื้อครับ
ส่วนใหญ่จะเก็บช้อนมากกว่า
คือ กำไรยังดีแต่มีคนเทขายอะไรทำนองนั้น
เลยไม่มีหุ้นเด็ดๆมาเล่าให้ฟัง

คำถามของพี่CK
"เวลาขาย (หุ้น) อย่าดูต้นทุน"
เวลาขายหุ้น ผมไม่เคยดูต้นทุนเลยครับ
ส่วนใหญ่ขายแล้วหุ้นที่ขายมักจะวิ่งต่อเป็นประจำ
จนขาดทุนกำไรไปหลายเงิน
ก็เลยสรุปหลักการขายหุ้นไว้สองข้อครับ
1) ถ้าหุ้นนั้นเป็นหุ้นที่เราเลือกและพิจารณาดีแล้ว
ก็จะถือไว้จนกว่าพื้นฐานจะเปลี่ยน
2) ถึงแม้พื้นฐานบริษัทที่ถืออยู่ไม่เปลี่ยน
แต่ถ้าผมเห็นโอกาสที่ดีกว่า ผมก็จะเปลี่ยนเป็นบริษัทใหม่แทน
แต่มีข้อแม้ว่า
เราต้องมั่นใจในบริษัทใหม่มากกว่าบริษัทเก่า

ผมคิดว่า
หลักการนี้ในระยะสั้น คงได้กำไรไม่มากนัก
บางครั้งหุ้นบางตัวราคาไม่วิ่งเลย
แต่ในระยะยาว บริษัทที่ดีมากๆจะมีผลประกอบการที่ดีไปเรื่อยๆครับ
เพราะในอุตสาหกรรมนั้น ไม่มีใครสู้ได้
ราคาก็จะวิ่งไปตามผลประกอบการเองละครับ
ดูอย่างเจ้ากล้องดิจิตอลซิครับ
ราคานิ่งเป็นเต่าอยู่หลายเดือน
วันดีคืนดี ราคาก็วิ่งเป็นพายุบุแคม
ใครอดทนถือไว้ได้ กำไรเห็นๆครับ

ผมเคยขายหุ้นแล้วถือเงินสดรอไว้คิดว่า
ราคาหุ้นจะตกลงมาแล้วจะซื้อกลับ
ปรากฏว่า หุ้นที่ขายราคาวิ่งต่อไปเรื่อยๆจนซื้อกลับมาที่ราคาเดิมไม่ได้
โง่ไปเลย
แล้วถ้าเงินสดในมือที่มี ไม่ได้ไปลงทุนต่อ
ก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนอะไรได้
เสียโอกาสเปล่าๆ

ตอนนี้ก็เลยคิดว่า
ถ้าเราได้หุ้นที่ยอดเยี่ยม ราคาถูกๆมาไว้ในพอร์ต
ก็อย่าขายเลยครับ หุ้นแบบนี้มันหายาก(ถึงยากที่สุด)
เก็บไว้ดูเล่น แล้วสักวันมันก็จะแสดงศักยภาพออกมาเอง

ส่วนหุ้นที่ดูแล้ว ไม่ค่อยดี เก็บไว้ตั้งนาน ผลประกอบการก็แย่
อนาคตไม่มี ก็จงรีบกำจัดทิ้งไป อย่าเสียดาย
ถ้าให้ดี ให้พอร์ตมีแต่หุ้นดีๆไว้แล้วจะนอนหลับฝันดีครับ
ยิ่งถ้าไม่เอาพอร์ตไปเปรียบเทียบกับใคร
ใครจะได้กำไรมากแค่ไหนก็อย่าเลิกล้มความตั้งใจของเรา
ตั้งหน้าตั้งตาลงทุนของเราไปเรื่อยๆ
ผมว่า อนาคตเศรษฐีอยู่ไม่ไกล

ในสภาะตลาดหุ้นขึ้นเอาขึ้นเอาแบบนี้
รวมทั้งการซื้อมาขายไปก็ทำกำไรได้อย่างง่ายดาย
การลงทุนแบบ VI จะถูกหาว่า เชย ล้าสมัย
ก็เป็นเรื่องปกติครับ
ก็เลยอยากบอกมือใหม่ทั้งหลายว่า
สิ่งที่ทำให้นักลงทุนคุณค่าต่างจากนักลงทุนแบบอื่นก็คือ
คำว่า"อดทน"ครับ

เพราะฉะนั้น ร้านหนังสือถูกเทขายอยู่ตอนนี้
คุณมนก็ต้องอดทนจริงมั๊ยครับ อิ อิ

ไม่รู้ว่า ผมตอบคำถามพี่CK ตรงคำถามหรือเปล่า????

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 3:48 pm
โดย CK
ถ้าตามทฤษฎีแล้วก็คงใช่แหละครับ

ถ้าเป็น VI ก็ดูพื้นฐานเปลี่ยนตอนขาย
ถ้าเป็น VS ก็ดูเทคนิคเปลี่ยน หรือหลุดแนวรับ

แต่ในความเป็นจริงนั้นมันทำยากครับ อยากถาม
ว่า การจะทำใจให้ไม่ดูต้นทุน โดยเฉพาะเมื่อราคา
ที่เราจะขาย "ต่ำกว่า" ราคาที่เราซื้อมานั้นทำอย่างไร

หรือเมื่อซื้อมาแล้ว ถอนออกมาเป็นใบหุ้นเลยดีไหม
แล้วจะขายค่อยฝากกลับเข้าไป วิธีนี้ก็จะ reset ราคา
ต้นทุนเราไปเลย จะได้ไม่ต้องดูว่ากำไรเท่าไหร่หรือ
ขาดทุนเท่าไหร่

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 3:56 pm
โดย tk
ผมเดาว่าคุณวิบูลย์ต้องแนะให้อ่านหนังสือท่านพุทธทาสแน่นอน :D :D :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 7:44 pm
โดย ปรัชญา
CK เขียน:ถ้าตามทฤษฎีแล้วก็คงใช่แหละครับ

ถ้าเป็น VI ก็ดูพื้นฐานเปลี่ยนตอนขาย
ถ้าเป็น VS ก็ดูเทคนิคเปลี่ยน หรือหลุดแนวรับ

แต่ในความเป็นจริงนั้นมันทำยากครับ อยากถาม
ว่า การจะทำใจให้ไม่ดูต้นทุน โดยเฉพาะเมื่อราคา
ที่เราจะขาย "ต่ำกว่า" ราคาที่เราซื้อมานั้นทำอย่างไร

หรือเมื่อซื้อมาแล้ว ถอนออกมาเป็นใบหุ้นเลยดีไหม
แล้วจะขายค่อยฝากกลับเข้าไป วิธีนี้ก็จะ reset ราคา
ต้นทุนเราไปเลย จะได้ไม่ต้องดูว่ากำไรเท่าไหร่หรือ
ขาดทุนเท่าไหร่

โอนหุ้นจากบัญชีโบรกหนึ่ง

ไปอีกบัญชีโบรกหนึ่งก็ทำให้เปลี่ยนราคาทุนครับคุณCK

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 9:20 pm
โดย CK
ปรัชญา เขียน: โอนหุ้นจากบัญชีโบรกหนึ่ง

ไปอีกบัญชีโบรกหนึ่งก็ทำให้เปลี่ยนราคาทุนครับคุณCK
ขอบคุณครับ ท่านพี่ ลืมนึกไปเลยแฮะ เข้าท่ากว่า
ถอนใบหุ้นออกมาเยอะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 9:46 pm
โดย harry
เปลี่ยนได้ยังงัยอ่ะครับ งง :?: :?:

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 9:57 pm
โดย CK
harry เขียน:เปลี่ยนได้ยังงัยอ่ะครับ งง
พอเราขอโอนหุ้นจากโบรกหนึ่งไปอีกโบรกหนึ่ง ราคา
ต้นทุนจะถูก reset เป็น 0 บาทครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 24, 2003 11:17 pm
โดย harry
อ๋อ คือเราโอนไป เค้าก็รับโอนมา ก็ลงข้อมูลว่าเรามีกี่หุ้น เพราะว่าเราไม่ได้ซื้อเลยไม่มีข้อมูลว่าซื้อมาเท่าไหร่ ทางโบรกก็ลงว่าเป็น 0 บาท ถูกป่าวครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2003 1:31 am
โดย Kao
Thailand Company Handbook ที่พูดถึงกันนี้ ราคาเล่มละเท่าไหร่ และจะหาซื้อได้ที่ไหนครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2003 11:30 am
โดย VIB007
APC เขียน:Thailand Company Handbook ที่พูดถึงกันนี้ ราคาเล่มละเท่าไหร่ และจะหาซื้อได้ที่ไหนครับ
เล่มละ 750 บาทครับ หาซื้อได้ที่ร้านหนังสือของตลาดหลักทรัพย์
ชั้นล่าง อาคารตลาดหลักทรัพย์ ข้างๆศูนย์ประชุมศิริกิตครับ
harry เขียน:อ๋อ คือเราโอนไป เค้าก็รับโอนมา ก็ลงข้อมูลว่าเรามีกี่หุ้น เพราะว่าเราไม่ได้ซื้อเลยไม่มีข้อมูลว่าซื้อมาเท่าไหร่ ทางโบรกก็ลงว่าเป็น 0 บาท ถูกป่าวครับ
ไม่เคยโอนหุ้นครับเลยไม่ทราบ
ปรัชญา เขียน: โอนหุ้นจากบัญชีโบรกหนึ่ง

ไปอีกบัญชีโบรกหนึ่งก็ทำให้เปลี่ยนราคาทุนครับคุณCK
สวัสดีครับ พี่ปรัชญา
เห็นหายจากกระทู้นี้ไปนาน
ยินดีต้อนรับครับ
แต่ว่าพี่มีความเห็นน้อยไปหน่อยนะครับ
อยากให้พี่แสดงความคิดเห็นบ้าง
ถึงแม้ว่าพี่จะออกตัวว่าไม่ใช่ VI
แต่ผมก็คิดว่า คววามคิดหลากหลายจะช่วยให้โลกเจริญครับ
ถ้าว่างก็ช่วยแนะนำสั่งสอนน้องๆแถวนี้ด้วยนะครับ
ผมขอถามแล้วกันนะครับว่า

"พี่ปรัชญามีหลักการในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นอย่างไร"
ขอเป็นวิทยาทานครับ
CK เขียน: ถ้าตามทฤษฎีแล้วก็คงใช่แหละครับ

ถ้าเป็น VI ก็ดูพื้นฐานเปลี่ยนตอนขาย
ถ้าเป็น VS ก็ดูเทคนิคเปลี่ยน หรือหลุดแนวรับ

แต่ในความเป็นจริงนั้นมันทำยากครับ อยากถาม
ว่า การจะทำใจให้ไม่ดูต้นทุน โดยเฉพาะเมื่อราคา
ที่เราจะขาย "ต่ำกว่า" ราคาที่เราซื้อมานั้นทำอย่างไร

หรือเมื่อซื้อมาแล้ว ถอนออกมาเป็นใบหุ้นเลยดีไหม
แล้วจะขายค่อยฝากกลับเข้าไป วิธีนี้ก็จะ reset ราคา
ต้นทุนเราไปเลย จะได้ไม่ต้องดูว่ากำไรเท่าไหร่หรือ
ขาดทุนเท่าไหร่
อิ อิ
ใครว่า VI Cutloss ไม่เป็น
ผมขอเถียง
บางครั้งเราคิดว่า เราตัดสินใจเลือกหุ้นดีแล้ว
กะเก็บไว้หลายๆปี
แต่บางครั้งสุภาษิตโบราณก็ยังใช้ได้ครับที่ว่า
สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง

บางครั้งเราอาจพบว่า หุ้นที่เราซื้อมาและถืออยู่
ไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด
แถมราคาก็ลงอย่างตั้งตัวไม่ติด
หลังจากพิจารณาแล้วพบว่า
อนาคตบริษัทนี้ไม่สุกใสเสียแล้ว
ไม่ว่าจะ"ขาดทุน"อยู่เท่าไหร่ก็ตาม
จำเป็นต้องกำจัดทิ้งทันทีครับ
ปล่อยเอาไว้ ความเสียหายจะมากกว่า

ดังนั้น ถ้าหุ้นที่ผมซื้อมา ราคาลดลงแบบไม่ทันตั้งตัว
ผมก็จะมาดูพื้นฐานครับว่า เป็นอย่างไร
ถ้าพื้นฐานยังดีเหมือนเดิมหรือดีขึ้น แต่ราคาลดลง
ผมก็ถือต่อหรือถ้ามีเงินก็ซื้อเพิ่ม
แต่ถ้าพิจารณาแล้ว พื้นฐานไม่ใช่อย่างที่เราคิด
ผมจะขายทิ้งทันที ไม่ว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ก็ตาม


ผมเคยซื้อหุ้นอุตสาหกรรมอาหารมาตัวหนึ่ง
ซื้อมาปุ๊บ ราคาหล่นปั๊บ
ที่ซื้อเพราะ P/E < 5, P/B < 1, D/Y = 8%
เป็นก้นบุหรี่จริงๆ ผมไม่ได้สนใจชนิดของธุรกิจเลย
คิดเพียงว่าเป็นบริษัทใหญ่มีชื่อเสียงคงไม่เจ๊ง
เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ราคาลดลงไป 20%
ขณะที่หุ้นอื่นๆทั้งพอร์ตผมกำไรหมด
ผมโทรไปหาโบรกเกอร์เพื่อนผม ถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาตอบว่า ไม่ต้องกลัวเดี๋ยวราคาก็ขึ้นมาเอง มีปันผลทุกไตรมาศ กลัวอะไร
ผมถือต่ออีกหนึ่งเดือน ราคารูดลงไป 30% จากที่ซื้อมา

ผมมาพิจารณาบริษัทนี้ใหม่โดยดูลึกเข้าไปพื้นฐานของบริษัท
ผมพบว่า บริษัทนี้ผลิตสินค้าแบบ Commodity
ราคาสินค้าผันผวนไปตามตลาดโลก
ไม่มีอะไรที่จะป้องกันคู่แข่งเข้ามาแย่งตลาดได้
สุดท้าย ราคาสินค้าก็ขึ้นๆลงๆ
ที่สำคัญ มีการเปลี่ยน Warrant มาเป็นหุ้นสามัญ
ยิ่งทำให้ EPS ลดลงใหญ่เลย

ผมก็เลยตัดสินใจ"ขาย"หุ้นบริษัทนี้ทั้งหมดทันที
จนถึงวันนี้ ผมพบว่าที่ผมตัดสินใจแบบนั้น
เป็นการกำจัด"ความเสี่ยง"ที่จะทำให้เกิดความเสียหายที่อาจจะมากขึ้นในอนาคต
ผมขาดทุนไป 30% แต่ไม่เคยเสียใจเลย
ถือเป็น"ค่าวิชา"ที่ถูกมาก

อาจารย์ Fisher เคยเขียนใน Common Stock and Uncommon Profit ครับว่า
"ถ้าหุ้นที่ซื้อมา ไม่ได้ดีอย่างที่เราคิด
ให้ขายทิ้งทันที ไม่ว่าจะขาดทุนสักเท่าไหร่ก็ตาม
เพราะการขาดทุนเพียงแค่ 20-30% นั้น
เทียบไม่ได้เลยกับการที่
เราจะเปลี่ยนไปซื้อหุ้นที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายสิบเท่าในอนาคตแทน"

ผมว่าข้อผิดพลาดอันดับหนึ่งของนักลงทุนก็คือ
เราขายหุ้นที่กำไร แล้วถือหุ้นที่ขาดทุนไว้รอราคากลับมาที่เดิมแล้วค่อยขาย
สุดท้ายก็กลายเป็น VI จำเป็น

คุณน้า Peter Lynch บอกว่า
"คนส่วนใหญ่จะ Cutting the flower, but Watering the weed"
ตัดดอกไม้ที่กำลังบานโดยการขายหุ้นที่มีกำไร
แทนที่จะปล่อยให้กำไรวิ่งต่อ หรือ Let the profit run
แล้วก็เก็บหุ้นขาดทุนไว้เหมือนรดน้ำพวกวัชพืช
ฟังดูแล้วคุ้นๆมั๊ยครับ

คุณน้าแนะนำให้คิดใหม่ทำใหม่โดยเปลี่ยนเป็น
Cutting the weed, and Watering the flower"
กำจัดหุ้นวัชพืช รดน้ำหุ้นดอกไม้
ถ้าทำได้ การทำใจคงไม่ต้องครับ
เพราะแค่เปลี่ยน"วิธีคิด"ได้ ก็ไม่ต้องทำใจแล้วครับ

สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่ยอมขาย"ขาดทุน"ก็เพราะ
1) ยึดติดกับความคิดเดิมๆที่ว่า ไม่ขายไม่ขาดทุน
2) ไม่ยอมขายขาดทุน เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการบอกตัวเองว่า เรา"ผิด"
และคนส่วนใหญ่มักไม่ยอมรับว่า ตัวเอง"ผิด"

สังเกตุง่ายๆ เวลาขับรถแล้วเกือบเกิดอุบัติเหตุ เรามักจะโทษคนอื่นเป็นคนผิดใช่มั๊ยครับ
ไม่มีใครยอมรับง่ายๆว่า ตัวเองผิดหรอกครับ
ซิกมัน ฟรอยด์บอกไว้ว่า สาเหตุที่คนส่วนใหญ่ไม่คิดว่าตัวเองผิด เพราะเวลาทำผิด เรามักจะถูกทำโทษ เช่น โดนตี โดนดุ
เรากลัวถูกทำโทษก็เลยไม่ขายหุ้นขาดทุน ฮ่า ฮ่า

อาจารย์บัฟเฟต์บอกไว้ครับว่า
ถ้าอยากประสบความสำเร็จในการลงทุน อย่าให้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล
บางครั้งเราต้องยอมรับว่า เราก็ตัดสินใจผิดพลาดได้เหมือนกัน
เราต้องยอมรับว่า เราผิด
สิ่งที่ยากที่สุดในการลงทุนก็คือ การทำให้ตัวเองหลุดจากความคิดเดิมๆและเริ่มต้นสิ่งใหม่ๆที่ดีกว่า
เราเคยชินสิ่งที่ทำอยู่ปัจจุบัน และไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น
สุดท้ายก็กลายเป็น "VI จำเป็น" ถือหุ้นขาดทุนรอวันรีบาวน์

ถ้าใครยังทำใจ"ขายขาดทุน"ไม่ได้
ก็ลองคิดใหม่ทำใหม่ดูครับ
แล้วจะพบว่า ไม่ต้องทำใจอะไรเลยในการขายหุ้นขาดทุน

ถ้าเป็นผม ผมกลับดีใจเสียอีกที่"กำจัด"หุ้นขาดทุนออกจากพอร์ตได้

ไม่รู้ว่าตรงคำถามมั๊ยครับ พี่CK???

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2003 12:00 pm
โดย CK
โดนใจอย่างจังเลยครับ คุณน้องวิบูลย์

พูดถึงการกำจัดวัชพืช ผมก็ทำมาแล้วครับ ตัวเดียวกับ
คุณน้องวิบูลย์ด้วย และยังมีเจ้ารถกระบะอีกคัน

และตอนที่ตัด cut loss ไป รู้สึกเหมือนยกอกออกจาก
ภูเขาได้เลยครับ หลังจากนั้นราคาวิ่งขึ้นไปใหญ่เลยก็
ไม่ได้เสียใจ เพราะพอมาซื้อหุ้นที่สร้างความสบายใจ
ให้ มันหลับฝันดีครับ

ช่วงเวลาก่อนขายเป็นช่วงที่ทำใจยากที่สุดครับ

หลังๆผมใช้เทคนิคเหมือนเล่นเกมส์ครับ สมมุติว่าตัว
เองกำลังเล่นเกมส์อยู่ ไม่ใช่เงินจริง พอคิดจะตัดขาด
ทุน ก็กดปุ่มขายเลย ไม่ซีเรียส

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2003 2:25 pm
โดย ปรัชญา
สวัสดีครับ พี่ปรัชญา
เห็นหายจากกระทู้นี้ไปนาน
ยินดีต้อนรับครับ
แต่ว่าพี่มีความเห็นน้อยไปหน่อยนะครับ
อยากให้พี่แสดงความคิดเห็นบ้าง
ถึงแม้ว่าพี่จะออกตัวว่าไม่ใช่ VI
แต่ผมก็คิดว่า คววามคิดหลากหลายจะช่วยให้โลกเจริญครับ
ถ้าว่างก็ช่วยแนะนำสั่งสอนน้องๆแถวนี้ด้วยนะครับ
ผมขอถามแล้วกันนะครับว่า

"พี่ปรัชญามีหลักการในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นอย่างไร"

----------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีครับคุณวิบูลย์

ความคิดซื้อหุ้นเอาแบบหุ้นแฟชั่น
หรือ หุ้นยั่งยืนเหมือนปลูกต้นไม้ใหญ่ล่ะครับ

ถ้าหุ้นแฟชั่น ผมเห็นเขาเชียร์แบ๊งก์ก็เข้าไปมองหาตัวมีข่าว
ตัวดันดัชนี ตัวที่ต่างชาติชอบ หรือตัวมีข่าวจ่ายปันผล ปรับโครงสร้าง
ก็โดดซื้อไปกับเขา และก็ต้องรบขายไปกับเขา
ได้บ้างเสียบ้างตามแต่โอกาสจะอำนวยแบบนี้มีทั้งกำไรและขาดทุน

ถ้าหุ้นยั่งยืนต้นไม้ใหญ่
อันนี้ต้องลึกซึ้งพอสมควร ต้องทำการบ้านอย่างดีเพราะจะถือนานแบบไม่มีกำหนด


เอาแบบมีแบรนด์เนม(ตามท่าน ดร.นิเวศน์)
แบบมาม่า วาโก้ ชินคอร์ป ปตท ราชบุรี สุดท้ายกำลังจะเข้าตลาดคือ
...เบียร์ช้าง ททบ.5 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ
( อันนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะครับ)

แต่ที่เล่ามาข้างบนแบบหลังนี้ ผมเน้นรักษาเงินต้นเงินลงทุนไม่ให้บุบ
สลาย(ยืมสำนวนคุณCK)
เลยต้องหาดูงบ อย่างมาม่ามีกำไรสะสมยังไม่จัดสรรค์รวมกันกี่พันล้านแล้วหารด้วยหุ้น เออไม่มีโอกาสเพิ่มทุนอันนี้รับปันผลลูกเดียว
ข้อสำคัญ ความเห็นของงบดุลที่นักบัญชีต้องไม่มีข้อสังเกตครับ

คุยเรื่องบ/ญ สู้คุณวิบูลย์ไม่ได้ครับ


กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ดีที่สุด ถ้าผู้อ่านแล้วไม่สับสนหรืองง
มีข้อคิดความเห็นตั้งแต่การเลือกหุ้น เลือกผลตอบแทน เลือกแนวคิด
เลือกทางเดินที่เหมาะสมของตัวท่านเอง ทุกคนมีความสามารถ
คุณทุกคนทำได้ครับ หาเป้าหมายให้ตัวเอง



---------------------------------------------------------------------------------
ข้อสำคัญ อย่าเชื่อข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวโคมลอย ข่าวอินไซด์
เพราะบางข่าวก่อนที่เขาจะมาบอกเราเขาซื้อไว้รอเราเข้าไปซื้อต่อจากเขาครับ


ของฟรีไม่มีในโลก

รอบแรกเราอาจได้จริง รอบ2เล่นตามเขาเราก็ยังได้

แต่รอบต่อไปที่ได้มา2รอบอาจไม่คุ้มกับการเชื่อครั้งสุดท้าย

เหมือนคุณเล็กว่า ...ชอบกินปลาชอนลุยไฟ แต่ต้องจ่ายโต๊ะจีน


เอาเท่านี้ละครับคุณวิบูลย์ ผมยังตามอ่านและให้กำลังใจกับคนทำความดีโดยไม่โอ้อวดและหวังสิ่งตอบแทนทุกคนครับ เกาะกลุ่มกันไว้ครับ

สังคมเลวเพราะคนดีท้อแท้
สังคมน่าอยู่ถ้ากอดคอสู้ร่วมกันครับ


โชคดีปีเก่าครับ
และอื่นๆ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2003 3:07 pm
โดย tom
ผมพยายามศึกษาหุ้น พยายามซื้อหุ้น แนวเน้นคุณค่า ได้ประมาณ 8-9 เดือนแล้วครับ ปัญหาของผมคือเงินทุนน้อย มั่กกๆๆ ทะยอยซื้อมาทีละหมื่นสองหมื่นจนวันนี้ได้พอร์ตสองแสนบาท.....สองแสนบาทครับพี่ๆ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ...ที่ผ่านมาเปลี่ยนตัวเล่นแค่ตัวเดียว คือ tiw ที่ยอมขายแบบได้กำไรน้อยออกไปหลังจากปันผล 1 งวด...ที่ผ่านมาผมมีกำไรนะครับ...ประมาณ 30% กว่าๆไม่รวมปันผล ...แต่มันยังงี้ครับ เงินต้นทุนมันประมาณ แสนเก้า มูลค่าพอร์ตประมาณ สองแสนห้า ...ผมมานั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิดก็แล้ว มาได้ความคิดว่า ....การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเหมาะกับพอร์ตขนาดใหญ่ๆ รึป่าวครับ พอร์ตเล็กๆๆๆๆ แบบผม ถ้าไม่มี super stock มาช่วยนี่ไม่รู้จะไหวรึป่าว...อยากขอความเห็นครับ...

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2003 3:11 pm
โดย Mon money
เพราะฉะนั้น ร้านหนังสือถูกเทขายอยู่ตอนนี้
คุณมนก็ต้องอดทนจริงมั๊ยครับ อิ อิ

อย่าหาว่าแกล้งพูดเลยนะครับ ผมยิ่งแช่งชักให้มันลงมาแบบสุดๆอีก เป้าหมายนะตั้งรอไว้ทุกวัน ทุกวันจริงๆแต่ไม่ยักกะหล่นมาสักที สงสัยพี่CKของผมกระโดดคว้าก่อนแน่ๆเลย

ความอดทนของผมคือต้องรอให้หล่นมาครับ ตอนนี้ผมเป็นคนบ้าแล้วครับ ดีใจที่เห็นหุ้นสุดรักตกเอาๆ

ส่วนITVผมหยุดแล้วครับ กำไรเล็กน้อย แต่ตีลังกาเล่นแบบBuffettนี่เหนื่อยจริงๆ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 25, 2003 9:57 pm
โดย ปรัชญา
tom เขียน:ผมพยายามศึกษาหุ้น พยายามซื้อหุ้น แนวเน้นคุณค่า ได้ประมาณ 8-9 เดือนแล้วครับ ปัญหาของผมคือเงินทุนน้อย มั่กกๆๆ ทะยอยซื้อมาทีละหมื่นสองหมื่นจนวันนี้ได้พอร์ตสองแสนบาท.....สองแสนบาทครับพี่ๆ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ...ที่ผ่านมาเปลี่ยนตัวเล่นแค่ตัวเดียว คือ tiw ที่ยอมขายแบบได้กำไรน้อยออกไปหลังจากปันผล 1 งวด...ที่ผ่านมาผมมีกำไรนะครับ...ประมาณ 30% กว่าๆไม่รวมปันผล ...แต่มันยังงี้ครับ เงินต้นทุนมันประมาณ แสนเก้า มูลค่าพอร์ตประมาณ สองแสนห้า ...ผมมานั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิดก็แล้ว มาได้ความคิดว่า ....การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเหมาะกับพอร์ตขนาดใหญ่ๆ รึป่าวครับ พอร์ตเล็กๆๆๆๆ แบบผม ถ้าไม่มี super stock มาช่วยนี่ไม่รู้จะไหวรึป่าว...อยากขอความเห็นครับ...
----------------------------------------------------------------------------------------

อันนี้เล่าประสบการนะครับ หลายคนอาจจะไม่โชคดีอย่างที่ผมเล่านะครับ
เมื่อตอนนั้นผมมีเงิน3แสนบาทเข้าตลาด ผมก็พยายามมองหุ้นทุกกลุ่ม
เอาหนังสือกรุงเทพธุรกิจมากาง ผมไม่เป็นP/E P/B ผมก็ดูตั้งแต่กลุ่มกระเกษตรจนถึงกลุ่มสุดท้าย

หาหุ้นที่ตัวเองสนใจ ตีเส้นใต้ชื่อหุ้นถึงราคาและจำนวนหุ้นทุนจดทะเบียน
รอบนั้นฟลุ๊คครับ ผมไปเลือกเอาหุ้น TIG อยู่ในกลุ่มพลังงาน ราคาอยู่ช่วง9-12บาท ช่วงเดือนเมษายน2542 ผมซื้อตัวเดียวครับด้วยเงินก้อนนั้นไม่ได้รู้ว่าเฉลี่ยความเสี่ยงเต็งเลย ถือได้ไม่ถึงปีก็รับปันผลมาเล็กน้อย เพราะTIGส่งก๊าซออกซิเจนทุกโรงพยาบาลรัฐ(เงินชัวร์)
โรงเบียร์ก็ใช้ ผมก็ทนถือและต่อมาก็ถูกซื้อออกจากตลาด


และพอดีUGPประกาศจ่ายเงินปันผล5บาท ผมก็มาซื้อไว้ในปีเดียวกัน
ด้วยเงินกู้ OD จากธนาคาร 77500หุ้น เฉลี่ย34.50บาท
เหตุผลเงินปันผลเกิน10%และราคาต่ำกว่ามูลค่าความเป็นจริง
เจ้าของถือเยอะ พวกปั่นหุ้นไม่เล่นราคาเลยยังถูก
ก็ถืออยู่4ปีจนมันออกจากตลาด


จริงอย่างคุณคิดว่าเงินน้อยสร้างพอท์ตโตช้า ถ้าโชคไม่เข้าข้างหรือฟลุ๊ค
แต่การเลือกหุ้นที่ราคาต่ำกว่าความเป็นจริงหรือถูกมากๆในยุคนี้ หายากจนแทบไม่มีให้หาแล้วครับ ผมถึงมองว่าถ้าใครเข้าตลาดหุ้นปี2542และถือยาวรวยเป็น10เท่าได้หลายคนเลยครับ ปี2542 BKIราคา100บาทในวันที่26เมษายน2542 วันนี้อยู่ที่310บาท การเริ่มต้นและจังหวะเข้าซื้อตลาดจนดวงและโชคคงน้องผสมผสานกันหลายอย่างครับ แต่ก็ขอให้คุณโชคดีและประสบความสำเร็จในการลงทุน เงิน2แสนกว่าบาทตอนนี้อาจเป็น20ล้านได้ใน10ปีข้างหน้าก็ได้ครับหรือไม่ก็คงเร็วกว่านั้น เป็นกำลังใจให้ครับ เราต้องหวัง ก่อนที่ความหวังจะเป็นจริงครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 26, 2003 11:57 am
โดย VIB007
CK เขียน:โดนใจอย่างจังเลยครับ คุณน้องวิบูลย์

พูดถึงการกำจัดวัชพืช ผมก็ทำมาแล้วครับ ตัวเดียวกับ
คุณน้องวิบูลย์ด้วย และยังมีเจ้ารถกระบะอีกคัน

และตอนที่ตัด cut loss ไป รู้สึกเหมือนยกอกออกจาก
ภูเขาได้เลยครับ หลังจากนั้นราคาวิ่งขึ้นไปใหญ่เลยก็
ไม่ได้เสียใจ เพราะพอมาซื้อหุ้นที่สร้างความสบายใจ
ให้ มันหลับฝันดีครับ

ช่วงเวลาก่อนขายเป็นช่วงที่ทำใจยากที่สุดครับ

หลังๆผมใช้เทคนิคเหมือนเล่นเกมส์ครับ สมมุติว่าตัว
เองกำลังเล่นเกมส์อยู่ ไม่ใช่เงินจริง พอคิดจะตัดขาด
ทุน ก็กดปุ่มขายเลย ไม่ซีเรียส
พี่ CK
ผมยังไม่เคยลองเทคนิคขายหุ้นแบบกดปุ่มเล่นเกมส์เลยครับ
เอาไว้ใช้เวลาคับขัน น่าจะใช้ได้ดีนะครับ
Mon Money เขียน:อย่าหาว่าแกล้งพูดเลยนะครับ ผมยิ่งแช่งชักให้มันลงมาแบบสุดๆอีก เป้าหมายนะตั้งรอไว้ทุกวัน ทุกวันจริงๆแต่ไม่ยักกะหล่นมาสักที สงสัยพี่CKของผมกระโดดคว้าก่อนแน่ๆเลย

ความอดทนของผมคือต้องรอให้หล่นมาครับ ตอนนี้ผมเป็นคนบ้าแล้วครับ ดีใจที่เห็นหุ้นสุดรักตกเอาๆ

ส่วนITVผมหยุดแล้วครับ กำไรเล็กน้อย แต่ตีลังกาเล่นแบบBuffettนี่เหนื่อยจริงๆ
นึกว่าจะมีผมบ้าอยู่คนเดียว แช่งให้หุ้นตก
จะได้เก็บเพิ่ม พอดีเงินหมดเลยไม่มีตังค์ซื้อเพิ่ม
บางตัวก็เล่นวิ่งจนจับไม่ทัน เสียดายเหมือนกัน
น่าจะเชื่อพี่Chatchai ซัดเข้าไปเต็มๆพอร์ตทีเดียวดีกว่า

ว่างๆคุณมนช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ ITV ให้ฟังด้วยนะครับ
ปรัชญา เขียน: กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ดีที่สุด ถ้าผู้อ่านแล้วไม่สับสนหรืองง
มีข้อคิดความเห็นตั้งแต่การเลือกหุ้น เลือกผลตอบแทน เลือกแนวคิด
เลือกทางเดินที่เหมาะสมของตัวท่านเอง ทุกคนมีความสามารถ
คุณทุกคนทำได้ครับ หาเป้าหมายให้ตัวเอง
ขอบคุณพี่ปรัชญาครับ
นานๆจะมีคนชมที แฮะ แฮะ :lol: :lol:
แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นกระทู้ที่ดีที่สุดหรอกครับ
เพียงแต่ได้หลายๆท่านมาช่วยแสดงความเห็น
ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคิด
ช่วยกันต่อยอดให้เกิดความเข้าใจในการลงทุนที่มากขึ้น

ที่แน่ๆกระทู้นี้
ต้องการข้อคิดเห็นของผู้อาวุโสอย่างพี่เป็นอย่างมากเลยครับ
เพราะบางเรื่องก็ต้องบอกว่า ประสบการณ์สำคัญจริงๆ
ต้องรบกวนพี่บ่อยๆแล้วละครับ
ข้อสำคัญ อย่าเชื่อข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวโคมลอย ข่าวอินไซด์
เพราะบางข่าวก่อนที่เขาจะมาบอกเราเขาซื้อไว้รอเราเข้าไปซื้อต่อจากเขาครับ

ของฟรีไม่มีในโลก

รอบแรกเราอาจได้จริง รอบ2เล่นตามเขาเราก็ยังได้

แต่รอบต่อไปที่ได้มา2รอบอาจไม่คุ้มกับการเชื่อครั้งสุดท้าย

เหมือนคุณเล็กว่า ...ชอบกินปลาชอนลุยไฟ แต่ต้องจ่ายโต๊ะจีน
คำพูดของพี่ปรัชญาบอกด้วยตัวเองแล้วครับ
ผมชอบมาก โดยเฉพาะ "ของฟรีไม่มีในโลก"
เป็นเรื่องจริงครับ
ของฟรีไม่มีครับ มีแต่ว่าใครจะจ่าย"ค่าวิชา"มากน้อยแค่ไหน
tom เขียน: ผมพยายามศึกษาหุ้น พยายามซื้อหุ้น แนวเน้นคุณค่า ได้ประมาณ 8-9 เดือนแล้วครับ ปัญหาของผมคือเงินทุนน้อย มั่กกๆๆ ทะยอยซื้อมาทีละหมื่นสองหมื่นจนวันนี้ได้พอร์ตสองแสนบาท.....สองแสนบาทครับพี่ๆ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ...ที่ผ่านมาเปลี่ยนตัวเล่นแค่ตัวเดียว คือ tiw ที่ยอมขายแบบได้กำไรน้อยออกไปหลังจากปันผล 1 งวด...ที่ผ่านมาผมมีกำไรนะครับ...ประมาณ 30% กว่าๆไม่รวมปันผล ...แต่มันยังงี้ครับ เงินต้นทุนมันประมาณ แสนเก้า มูลค่าพอร์ตประมาณ สองแสนห้า ...ผมมานั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิดก็แล้ว มาได้ความคิดว่า ....การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเหมาะกับพอร์ตขนาดใหญ่ๆ รึป่าวครับ พอร์ตเล็กๆๆๆๆ แบบผม ถ้าไม่มี super stock มาช่วยนี่ไม่รู้จะไหวรึป่าว...อยากขอความเห็นครับ...
เป็นคำถามที่ดีมากครับ
ผมต้องกลับไปคิดหลายตลบก่อนที่จะคิดออก
พี่ปรัชญาก็ให้ความคิดความเห็นเรื่องนี้ไปแล้ว
ไม่รู้ว่าถูกใจหรือเปล่า
ในมุมมองของผม
ผมมองอย่างนี้ครับ

การลงทุนแบบ VI หรือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
เป็นการลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
มุ่งเน้นในการรักษาเงินต้นไม่ให้สูญหาย
เหมือนกับที่พี่ปรัชญาบอกเอาไว้ว่า
"ผมเน้นรักษาเงินต้นเงินลงทุนไม่ให้บุบสลาย(ยืมสำนวนคุณCK)"
ส่วนการได้ผลตอบแทนเท่าไหร่นั้น
อยู่ที่การพิจารณาเลือกหุ้นและการออกแบบการลงทุนของเราเอง
พอร์ตการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นตัวเดียวกัน
เพราะ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นเรื่องของ"ความคิด" มากกว่า"วิธีการ"

ผมขอย้ำแล้วกันครับว่า
การลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่ได้เป็นการรับประกันว่า
ผลตอบแทนของการลงทุนจะสูงที่สุด

ถ้าใครเริ่มต้นเพราะคิดว่าจะได้ผลตอบแทนสูงๆ ผมว่าเริ่มต้นก็ผิดครับ
ผลตอบแทนที่เราได้เท่าไหร่อยู่ที่ตัวเราเอง
อยู่ที่การ"ออกแบบ"พอร์ตฟอริโอของเราเอง
อย่าโทษ"โชคชะตา" อย่าโทษ"ตลาด" หรือโทษ"ปัจจัยภายนอกอื่นๆ"
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเอง
โทษตัวเองเถอะครับ
อย่ากลัวถูกทำโทษในการลงทุน
ถ้าเราทำผิด เราต้องยอมรับผิด แล้วเริ่มต้นใหม่
ไม่มีใครบังคับให้เราซื้อหุ้นตัวไหน
หุ้นทุกตัว เราเลือกเอง ซื้อเอง ขายเอง
แล้วไปโทษ"ดวงชะตา"ทำไม

การลงทุนไม่ใช่การเสี่ยงโชคนะครับ
ในการลงทุนอย่างน้อยเราก็ต้องมีข้อมูล
และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในการประกอบการลงทุน
อย่างแย่ที่สุดก็คือ อย่างน้อยก็ต้องดู P/E หรือ P/B ก่อนตัดสินใจ
เราพอจะมองได้ครับว่าบริษัทของเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ถ้าอนาคตบริษัทเป็นอย่างไร อนาคตการลงทุนของเราก็จะเป็นไปตามนั้นครับ

ส่วนการเสี่ยงโชค เช่น Lottery หรือ จับฉลาก
เราไม่มีข้อมูลและไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าใครจะถูกรางวัล (ยกเว้น หวยล๊อค)
จริงมั๊ยครับ

คุณtom พอจะมองออกมั๊ยครับ
ในเรื่องความแตกต่างระหว่าง"การลงทุน"กับ"การเสี่ยงโชค"

เอาใหม่
ผมถามคุณtom แล้วกัน
ถ้าคุณtom ไม่ลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน
คุณtom มีทางเลือกในการลงทุนอย่างไรอีกบ้าง
1) Day-Trading
2) ซื้อตามข่าวลือ
3) ซื้อตามกราฟ Demand-Supply
ฯลฯ
ถ้าเป้าหมายของเราคือ
"ผมเน้นรักษาเงินต้นเงินลงทุนไม่ให้บุบสลาย(ยืมสำนวนคุณCK)"
ผมว่าการลงทุนแบบอื่น โอกาสที่เราจะเสียเงินต้นมีมาก
บางครั้งในตลาดระทิง การซื้อๆขายๆจะทำกำไรได้มากกว่า
เพราะมีคนมารับของในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลองนึกถึงแชร์แม่ชม้อยซิครับ
แต่ถ้าตลาดปรับฐานเมื่อไหร่ การซื้อๆขายๆจะมีโอกาสขาดทุนสูง
เพราะไม่มีคนมารับของต่อ
เหมือนแชร์ลูกโซ่คนสุดท้ายยังไงยังงั้น
ที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ตลาดจะปรับฐาน หรือเข้าสู่ภาะหมี
ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเกร็งกำไรและ Day-Trading กลัวสุดๆ

ไม่มีใครทายได้ถูกต้อง 100% หรอกครับ ว่าเมื่อไหร่หุ้นจะขึ้นจะลง
ทุกคนก็คาดเดาทั้งนั้นหละครับ
พวกนักวิเคาระห์หุ้น วิเคาระห์ตลาดที่ออกมาพูดทีวีวิทยุทุกวันนั้น
ถ้าจดทุกเรื่องที่เขาพูดที่เขาทำนาย
แล้วมาจับผิดกันจริงๆ
ผมว่า ทายผิดมากกว่าทายถูกครับ
อะไรที่ทายถูกก็เอามาคุยกันลั่น
อะไรที่ทายผิดก็เฉยๆเงียบๆไป
ไม่มีใครเห็นมาบอกเลยว่า เมื่อวานนี้ผมทายผิดครับ
ผมไม่เคยได้ยิน

เอาล่ะ ทีนี้กลับมาพอร์ตการลงทุนของคุณtom
คุณtom บอกว่ามีเงินแค่สองแสน
ได้ผลตอบแทนในเก้าเดือน 30% ไม่รวมปันผล
ก็เลยคิดว่า การลงทุนแบบคุณค่าไม่เหมาะกับพอร์ตเล็กๆใช่มั๊ยครับ

เอางี้ ผมขอถามคุณtom สักสองสามข้อแล้วกันครับ
1) ในพอร์ตของคุณtom มีหุ้นอยู่กี่ตัว
2) คุณtom เข้าใจธุรกิจของบริษัทที่ซื้อมาดีแล้วหรือยัง
3) คุณtom รู้มั๊ยว่าคุณtom ซื้อหุ้นเหล่านี้มาทำไม
4) คุณtom รู้ไหมว่า เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นหรือพอร์ตของคุณtom
5) คุณtom เคยพิจารณาถึงข้อผิดพลาดในการลงทุนของตัวเองหรือยังว่าทำไมไม่ได้ตามเป้าหมาย
6) คุณtom โทษใครหรืออะไรที่ทำให้ผลการลงทุนไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้

เอ....เขียนไปเขียนมา มันมากกว่าสองสามข้อนี่นา
แต่เอาเถอะ ผมถามคุณtomดู แล้วเรามาลองพิจารณาดูทีละข้อดีมั๊ยครับ

1) ถ้าคุณtom มีเงิน 200,000 บาท
แล้วถือหุ้นอยู่ 5ตัว ก็ตกตัวละ 40,000บาท ใช่มั๊ยครับ
สมมุติทุกตัวราคาคงที่ มีหนึ่งตัวราคาเพิ่มไป 100%
คุณtom ได้กำไร 40,000 บาท
คิดเป็นผลตอบแทน 40,000/200,000 = 20%

แต่ถ้าคุณtom ถือหุ้นเพียงสองตัวที่มั่นใจว่าผลประกอบการดีแน่ๆ
ก็ตกลงทุนตัวละ 100,000 บาท
สมมุติตัวหนึ่งราคาคงที่ อีกตัวราคาขึ้นไป 100%
คุณtom ได้กำไร 100,000 บาท
คิดเป็นผลตอบแทน 100,000/200,000 = 50%

นี่เป็นตัวอย่างของคำที่ว่า "ยิ่งกระจายความเสี่ยงยิ่งเสี่ยง"
เพราะยิ่งถือหุ้นมากตัว โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนสูงก็ลดลง

ถามว่าคุณtom ถือหุ้นอยู่กี่ตัวตอนนี้

ถ้าเป็นพอร์ตเล็กๆ ผมไม่แนะนำให้กระจายความเสี่ยง
ถือเพียงแค่หนึ่งหรือสองตัวที่เรารู้จักดีก็เพียงพอแล้วครับ

ผมจะตอบอีกเพียงหนึ่งข้อนะครับ
ส่วนคำตอบอื่นให้คุณtom หาคำตอบเอง

คำถามที่ว่า "คุณtom รู้มั๊ยว่าคุณtom ซื้อหุ้นเหล่านี้มาทำไม"
ถ้าคุณtom ซื้อหุ้นมาเพื่อปันผลที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
ผมมองว่า ผลตอบแทน 30% นี่มากแล้วนะครับ
ต้องถามตัวเราเองครับ ว่าเราต้องการอะไร

ถ้าต้องการ Capital Gain แต่ไปซื้อหุ้นปันผลลงทุน
ถ้าได้ผลตอบแทนน้อย ผมก็ช่วยไม่ได้ครับ
เราต้องรู้ครับ ว่าหุ้นที่เราถือมีคุณสมบัติอย่างไร
เรา"ออกแบบ"การลงทุนของเราได้เองครับ

และเราเป็นคนตัดสินใจในการลงทุนครับ
ไม่ใช่ใครอื่น

ถ้าต้องการรถไปลงแข่ง
ก็ต้องซื้อรถแข่งครับ
ไม่ใช่ไปซื้อรถจ่ายกับข้าวมาลงสนาม
แต่ที่สำคัญ คุณtom ขับรถแข่งเป็นแล้วหรือยัง
ถ้ามือยังไม่แข็ง ลงสนามแข่งเลย โอกาสตกข้างทางก็มีสูงนะครับ


ถ้าผมแนะนำ ผมก็จะบอกว่า ต้องค่อยๆฝึกค่อยๆศึกษาครับ
อย่าใจร้อน เวลาในการลงทุนยังอีกยาว อย่ามาดูกันเพียงระยะสั้นๆ

ก็ขอให้ คุณtom โชคดีในการลงทุนครับ

เอ...ว่าแต่ว่า พี่CK คุณMon พี่เจ๋ง และท่านอื่นๆ มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของคุณtom ยังไงบ้าง?????

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 26, 2003 12:04 pm
โดย tom
ขอบคุณพี่ปรัชญา อีกครั้งครับ.....ผมจะลองค้นหา super stock ดูก่อนครับ เผื่อ โชค ฟลุ๊ค มาบรรจบกันกับความพยายาม :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 26, 2003 1:11 pm
โดย VIB007
เอา Link กระทู้ของพี่Chatchai มาไว้ในกระทู้นี้ด้วย
จะได้ตอบคำถามที่ว่า พอร์ตน้อยลงทุนแบบคุณค่าได้หรือเปล่า
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... php?t=2382

ผมก็ลืมนึกไปว่า คำตอบนั้นง่ายนิดเดียว
ผมกลับเพ้อเจ้ออะไรไปมากมาย
ขอบคุณพี่Chatchai ครับ

เงินสองแสน ถ้าทำผลตอบแทนได้ปีละ 20%
ผ่านไป 30 ปี กลายเป็น 47,475,263 บาท

ถ้าทำผลตอบแทนได้ปีละ 30%
ผ่านไป 30 ปี กลายเป็น 523,999,129 บาท

บัฟเฟตลงทุนด้วยเงิน 100,000 เหรียญ
ผ่านไป 50 ปี กลายเป็น 30,000,000,000 เหรียญ

ง่ายๆแต่ได้ใจความ

ส่วนผมก็ยังยืนยันเหมือนเดิมครับที่ว่า
ผลตอบแทนเป็นเท่าไหร่อยู่ที่ตัวของเราเอง
เพราะเราเป็นคนตัดสินใจในการลงทุน
ไม่ใช่ใครอื่น

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 26, 2003 2:20 pm
โดย tom
พี่วิบูลย์ ครับ ต้องขออภัยด้วยครับ พอดีตอนขอบคุณพี่ปรัชญา ผมยังไม่เห็นคำตอบของพี่วิบูลย์เลย....ผมได้อ่านคำตอบและคำแนะนำของพี่ฉัตรชัย พี่ปรัชญาและพี่วิบูลย์แล้ว ทำให้ได้ "อะไร" หลายอย่างครับ อย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และยังต้องเรียนรู้และเก็บประสบการอีกมาก ... ผมได้ตอบคำถาม 6 ข้อที่พี่วิบูลย์ถาม(ในใจ) ผมก็ได้คำตอบของตัวเองครับ

ผมคิดว่าการที่ผมพยายามค้นหาและเลือกลงทุนแบบเลือกหุ้นที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาในตลาดถูกต้องแล้ว แต่หุ้นอย่างที่ว่ามีหลายประเภทคือรถซื้อกับข้าวและรถแข่ง ทุกคนคงอยากได้รถแข่งเหมือนกันหมด แต่อะไรหล่ะที่จะทำให้เราค้นหาหุ้นแบบนั้นได้ ที่ผมนึกขึ้นได้ตอนนี้คือประสบการณ์ครับ ผมคงต้องค่อยๆ หาประสบการณ์และความรู้ต่อไป....อย่างน้อยถ้าผมมาถูกทางแล้ว แววคงดีแล้วครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับความมั่นใจและกำลังใจจากพี่ๆ ครับ

...

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 26, 2003 10:05 pm
โดย Sixsense
หวัดดีครับพี่วิบูลย์ พี่ฉัตรชัย พี่เจ๋ง และพี่... อีกหลายๆคนครับ ผมเข้ามาอ่านข้อมูลทุกวันนะครับ ตอนนี้ก้อได้ตัดสินใจซื้อหุ้นไปบางตัวเหมือนกันครับ

คือผมพิจารณาจากผลประกอบการณ์ในอดีต และก้อ จากค่า p/e p/bv
โดยการซื้อเก็บ สะสมครับ ผมกะว่าจะสะสมทุกเดือน ตามเงินที่ตัวเองเหลือ จากค่าใช้จ่ายอ่ะครับ

อยากถามพวกพี่ๆ ว่าการที่ผลประกอบการดีๆ ในอดีตนั้น กับค่า p/E p/bv
ต่ำๆ จะช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผมไหมครับ และผมก้อซื้อหุ้นตามที่ ดร.นิเวศน์เขียนไว้ในบทความด้วยครับ คือ มียี่ห้อ

กะสะสมทุกเดือน ไม่รุ้ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องไหมครับ

ขอบคุณพวกพี่ๆ มากครับ ให้ความรู้เยอะมาก เกี่ยวกับ การลงทุนที่ เป็นการลงทุน อย่างแท้จริง ^^

Re: ...

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 26, 2003 11:12 pm
โดย harry
Sixsense เขียน:หวัดดีครับพี่วิบูลย์ พี่ฉัตรชัย พี่เจ๋ง และพี่... อีกหลายๆคนครับ ผมเข้ามาอ่านข้อมูลทุกวันนะครับ ตอนนี้ก้อได้ตัดสินใจซื้อหุ้นไปบางตัวเหมือนกันครับ

คือผมพิจารณาจากผลประกอบการณ์ในอดีต และก้อ จากค่า p/e p/bv
โดยการซื้อเก็บ สะสมครับ ผมกะว่าจะสะสมทุกเดือน ตามเงินที่ตัวเองเหลือ จากค่าใช้จ่ายอ่ะครับ

อยากถามพวกพี่ๆ ว่าการที่ผลประกอบการดีๆ ในอดีตนั้น กับค่า p/E p/bv
ต่ำๆ จะช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผมไหมครับ และผมก้อซื้อหุ้นตามที่ ดร.นิเวศน์เขียนไว้ในบทความด้วยครับ คือ มียี่ห้อ

กะสะสมทุกเดือน ไม่รุ้ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องไหมครับ

ขอบคุณพวกพี่ๆ มากครับ ให้ความรู้เยอะมาก เกี่ยวกับ การลงทุนที่ เป็นการลงทุน อย่างแท้จริง ^^
ผมก็ทำแบบเดียวกันครับ แต่เพิ่งจะเริ่มซื้อ หลังจากมองหาหุ้นที่น่าสนใจ และผมก็มองว่าหาธุรกิจสินค้าในประเทศนี่จะดูได้ง่ายกว่าสินค้าส่งออก เพราะเรามีโอกาสได้เห็น ได้ใช้ ได้รู้ว่ามีคุณภาพหรือเปล่าด้วย

รบกวนท่านผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยนะครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 28, 2003 9:17 am
โดย lee
ผมเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมก็เป็นคนที่เล่นหุ้นเหมือนกัน (ใช้คำว่าเล่น เพราะเล่นจริง ๆ) ไม่ค่อยได้สนใจพื้นฐานเท่าไร แล้วก็เหมือนคนทั่วไปเลยละครับ เคยกำไรมาก แล้วก็ขาดทุนมาก ลองมานั่นคิดก็พบว่ามันเหมือนกับที่ผ่านมาแทบไม่ได้อะไรเลย แต่แน่นอนละอาจจะได้ประสบการณ์นิดหน่อย แต่ไม่คุ้มเลยจริง คิดไปคิดมาได้มานั่งอ่านกระทุ้งในนี้ ทำให้ดวงตาเห็นธรรม กลับตัวกลับใจใหม่หันมาใช้เหตุผลในการลงทุน(ขอใช้คำว่าลงทุนนะครับ) แต่มันก็ไม่ใช้เรื่องง่าย ๆ เลย เหมือนกับว่าเราเคยเสพยาเสพติดแล้วต้องเลิกมันทันที ทำตัวไม่ถูก เลิกดูหุ้นปั้นหันมาดูหุ้นที่พื้นฐานดี มันสับสนยังไงไม่รู้ บ้างที่ก็คิดว่าเราทำถูกหรือเปล่า คิดไปคิดมา ก็ต้องมาอ่านกระทู้ใหม่ให้มันมั่นใจว่าเราเดินถูกทางแล้ว ผมเลยอยากถามว่าที่ผมใช้วิเคราะห์เนี่ยมันใช้ได้ไหม เช่น ตอนนี้ผมกำลังดู เดลต้าอยู่ คือผมเห็นว่าเป็นบริษัทที่ผลิตพวกอุปกรณ์ พวกเพาเวอร์สัพพาย แล้วก็จอมอนิเตอร์ ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับคอมพิวเตอร์ บังเอิญผมไปเดิมที่บ้านหม้อ เห็นพัดลมระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเลคฯ เป็นของเดลต้า ผมถามคนขาย ว่าดีไหมยี่ห้อนี้ คนขายก็บอกว่าใช้ได้ลูกค้าซื้อไปก็ไม่เคยมีปัญหา ลูกค้าชอบ ทำให้ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้น ผมไปหาหนังสือรายงานประจำปีของบริษัทมาดู ยอดขายมันขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกันแล้วก็กำไรก็ขึ้น ๆลง ๆ แต่ก็ยังถือว่าใช้ใด้ถ้าเทียบกับราคาหุ้น ผมคิดว่าที่กำไรมันยังไม่ดีมากเพราะว่าคู่แข่งมีมาก แล้วก็ค่าเงินมันแข็ง แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะว่ามันจะดีจริง ผมก็เลยไปถามมาร์เก็ตติ้ง หลายคนบอกว่ามันกำลังdown เพราะไปเทคโอเวอร์บริษัทที่ขาดทุนในต่างประเทศ ทีนี้ทำไงผมไม่มีข้อมูลเลยว่าบริษัทที่เทคนั้นเป็นไง ทำให้ผมสับสน ผมไม่รู้ว่าการเป็นนักลงทุนแบบ vi ทำไมยังยากจัง ใครก็ได้ช่วยแนะนำผมหน่อยครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 28, 2003 3:17 pm
โดย harry
ถึงพี่วิบูลย์ครับ ผมได้ส่งไฟล์สูตรคำนวณ ที่คัดลอกมาจากบทที่ 2 ของหนังสือ value investing made easy ให้พี่ครับ ผมรู้ว่าการคำนวณเหล่านี้พี่ทราบดีแล้ว และก็ทำได้ดีกว่าผม แต่อยากให้ช่วยดู แล้วตอบผมด้วยว่า พี่ได้ใช้สูตรเหล่านี้ทั้งหมดเลยป่าวครับ แล้วพี่ช่วยแนะนำการดูงบการเงินเพิ่มด้วยครับ แบบว่าธุรกิจแต่ละแบบ ควรดูตรงไหนเป็นพิเศษ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 29, 2003 10:48 am
โดย VIB007
tom เขียน:พี่วิบูลย์ ครับ ต้องขออภัยด้วยครับ พอดีตอนขอบคุณพี่ปรัชญา ผมยังไม่เห็นคำตอบของพี่วิบูลย์เลย....ผมได้อ่านคำตอบและคำแนะนำของพี่ฉัตรชัย พี่ปรัชญาและพี่วิบูลย์แล้ว ทำให้ได้ "อะไร" หลายอย่างครับ อย่างน้อยก็ทำให้มั่นใจว่ามาถูกทางแล้ว และยังต้องเรียนรู้และเก็บประสบการอีกมาก ... ผมได้ตอบคำถาม 6 ข้อที่พี่วิบูลย์ถาม(ในใจ) ผมก็ได้คำตอบของตัวเองครับ

ผมคิดว่าการที่ผมพยายามค้นหาและเลือกลงทุนแบบเลือกหุ้นที่มีมูลค่าสูงกว่าราคาในตลาดถูกต้องแล้ว แต่หุ้นอย่างที่ว่ามีหลายประเภทคือรถซื้อกับข้าวและรถแข่ง ทุกคนคงอยากได้รถแข่งเหมือนกันหมด แต่อะไรหล่ะที่จะทำให้เราค้นหาหุ้นแบบนั้นได้ ที่ผมนึกขึ้นได้ตอนนี้คือประสบการณ์ครับ ผมคงต้องค่อยๆ หาประสบการณ์และความรู้ต่อไป....อย่างน้อยถ้าผมมาถูกทางแล้ว แววคงดีแล้วครับ

ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับความมั่นใจและกำลังใจจากพี่ๆ ครับ
ไม่เป็นไรครับ
อย่าว่าแต่คุณTom เลย
ทุกวันนี้ ผมยังถามคำถามหกข้อนั้นกับตัวเองอยู่ทุกวัน
เราถือหุ้นตัวนี้ทำไม
เราทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง
เราจะปรับปรุงการลงทุนของเราอย่างไร
ก็ปรับปรุงทดลองการลงทุนไปเรื่อยๆ
ค้นหาการลงทุนที่เหมาะกับเรา
ก็ขอให้คุณTom ประสบความสำเร็จครับ
Sixsense เขียน:คือผมพิจารณาจากผลประกอบการณ์ในอดีต และก้อ จากค่า p/e p/bv
โดยการซื้อเก็บ สะสมครับ ผมกะว่าจะสะสมทุกเดือน ตามเงินที่ตัวเองเหลือ จากค่าใช้จ่ายอ่ะครับ

อยากถามพวกพี่ๆ ว่าการที่ผลประกอบการดีๆ ในอดีตนั้น กับค่า p/E p/bv
ต่ำๆ จะช่วยเป็นทางเลือกสำหรับผมไหมครับ และผมก้อซื้อหุ้นตามที่ ดร.นิเวศน์เขียนไว้ในบทความด้วยครับ คือ มียี่ห้อ

กะสะสมทุกเดือน ไม่รุ้ว่าเป็นวิธีการที่ถูกต้องไหมครับ
ก็ต้องทดลองไปเรื่อยๆหละครับ
เราจะรู้เองว่าวิธีการไหนถูกต้องก็ต่อเมื่อ
เราไม่ขาดทุนและเหมาะกับเรา
การซื้อหุ้น PB PE ต่ำๆจะช่วยลด Downside Risk ลงไปได้ครับ
หมายความว่า เวลาตลาดตก ราคาจะตกต่ำลงไปน้อยกว่าหุ้นที่มี PB PE สูงๆ
แต่ไม่ได้หมายความว่า
ในระยะยาวบริษัทเหล่านี้จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
เราต้องเข้าใจในบริษัทนั้นจริงๆครับ
ลองดูตัวอย่างบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรที่ผมยกตัวอย่างแล้วกันครับ
ค่า PB PE ต่ำแต่มองไม่เห็นอนาคต

ก็ขอเป็นกำลังใจครับ
lee เขียน: ผมเข้ามาโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมก็เป็นคนที่เล่นหุ้นเหมือนกัน (ใช้คำว่าเล่น เพราะเล่นจริง ๆ) ไม่ค่อยได้สนใจพื้นฐานเท่าไร แล้วก็เหมือนคนทั่วไปเลยละครับ เคยกำไรมาก แล้วก็ขาดทุนมาก ลองมานั่นคิดก็พบว่ามันเหมือนกับที่ผ่านมาแทบไม่ได้อะไรเลย แต่แน่นอนละอาจจะได้ประสบการณ์นิดหน่อย แต่ไม่คุ้มเลยจริง คิดไปคิดมาได้มานั่งอ่านกระทุ้งในนี้ ทำให้ดวงตาเห็นธรรม กลับตัวกลับใจใหม่หันมาใช้เหตุผลในการลงทุน(ขอใช้คำว่าลงทุนนะครับ) แต่มันก็ไม่ใช้เรื่องง่าย ๆ เลย เหมือนกับว่าเราเคยเสพยาเสพติดแล้วต้องเลิกมันทันที ทำตัวไม่ถูก เลิกดูหุ้นปั้นหันมาดูหุ้นที่พื้นฐานดี มันสับสนยังไงไม่รู้ บ้างที่ก็คิดว่าเราทำถูกหรือเปล่า คิดไปคิดมา ก็ต้องมาอ่านกระทู้ใหม่ให้มันมั่นใจว่าเราเดินถูกทางแล้ว ผมเลยอยากถามว่าที่ผมใช้วิเคราะห์เนี่ยมันใช้ได้ไหม เช่น ตอนนี้ผมกำลังดู เดลต้าอยู่ คือผมเห็นว่าเป็นบริษัทที่ผลิตพวกอุปกรณ์ พวกเพาเวอร์สัพพาย แล้วก็จอมอนิเตอร์ ซึ่งก็เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับคอมพิวเตอร์ บังเอิญผมไปเดิมที่บ้านหม้อ เห็นพัดลมระบายความร้อนของอุปกรณ์อิเลคฯ เป็นของเดลต้า ผมถามคนขาย ว่าดีไหมยี่ห้อนี้ คนขายก็บอกว่าใช้ได้ลูกค้าซื้อไปก็ไม่เคยมีปัญหา ลูกค้าชอบ ทำให้ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้น ผมไปหาหนังสือรายงานประจำปีของบริษัทมาดู ยอดขายมันขึ้น ๆ ลง ๆ เหมือนกันแล้วก็กำไรก็ขึ้น ๆลง ๆ แต่ก็ยังถือว่าใช้ใด้ถ้าเทียบกับราคาหุ้น ผมคิดว่าที่กำไรมันยังไม่ดีมากเพราะว่าคู่แข่งมีมาก แล้วก็ค่าเงินมันแข็ง แต่ผมก็ไม่แน่ใจนะว่ามันจะดีจริง ผมก็เลยไปถามมาร์เก็ตติ้ง หลายคนบอกว่ามันกำลังdown เพราะไปเทคโอเวอร์บริษัทที่ขาดทุนในต่างประเทศ ทีนี้ทำไงผมไม่มีข้อมูลเลยว่าบริษัทที่เทคนั้นเป็นไง ทำให้ผมสับสน ผมไม่รู้ว่าการเป็นนักลงทุนแบบ vi ทำไมยังยากจัง ใครก็ได้ช่วยแนะนำผมหน่อยครับ
ยินดีต้อนรับครับ
เป็น VI ต้องทำการบ้านครับ
จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก
ต้องค่อยๆเรียนรู้ไปครับ

เรื่องเดลต้า ผมไม่มีความรู้
คงต้องไปถามคนที่มีข้อมูลแล้วละครับ
ขบวนการนี้ เขาเรียกกันว่า Scuttler Butt ครับ
ในการลงทุน ขบวนการScuttler Butt นี้อาจจะใช้เวลาถึง 80-90% เลยทีเดียวครับ
ดังนั้น ไม่ต้องตกใจครับที่ใช้เวลามาก
ถ้าเราทำการบ้านมาอย่างดี
เวลาตัดสินใจลงทุน
ผมรับประกันว่า ไม่ผิดหวัง
โอกาสขาดทุนจะน้อยลงไปเยอะครับ ถ้าเทียบกับการลงทุนแบบซื้อมาขายไป
harry เขียน:ถึงพี่วิบูลย์ครับ ผมได้ส่งไฟล์สูตรคำนวณ ที่คัดลอกมาจากบทที่ 2 ของหนังสือ value investing made easy ให้พี่ครับ ผมรู้ว่าการคำนวณเหล่านี้พี่ทราบดีแล้ว และก็ทำได้ดีกว่าผม แต่อยากให้ช่วยดู แล้วตอบผมด้วยว่า พี่ได้ใช้สูตรเหล่านี้ทั้งหมดเลยป่าวครับ แล้วพี่ช่วยแนะนำการดูงบการเงินเพิ่มด้วยครับ แบบว่าธุรกิจแต่ละแบบ ควรดูตรงไหนเป็นพิเศษ
มีคนเคยถามอาจารย์บัฟเฟตว่า
ใช้สูตรที่อาจารย์เกรแฮมบอกไว้อย่างใน Made Easy หรือไม่
บัฟเฟตหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่เคยใช้เลย
แถมสำทับอีกว่า
"คุณต้องเข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง ถึงจะหามูลค่าที่แท้จริงได้"
เพราะฉะนั้น น้องharry อย่ายึดติดกับสูตรมากเกินไปครับ
ในการลงทุน หนึ่งบวกหนึ่ง ไม่เท่ากับสองเสมอไป
บางครั้ง การเตรียมจิตใจกับความผันผวนของตลาดหุ้นอาจจะสำคัญกว่าสูตรคำนวณครับ
ที่สำคัญถ้ายังทนเห็นหุ้นที่ถืออยู่ตกลงไป 50% ไม่ได้ สูตรก็ไม่มีประโยชน์ครับ


สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 29, 2003 10:45 pm
โดย harry
VIB007 เขียน:มีคนเคยถามอาจารย์บัฟเฟตว่า
ใช้สูตรที่อาจารย์เกรแฮมบอกไว้อย่างใน Made Easy หรือไม่
บัฟเฟตหัวเราะแล้วบอกว่า ไม่เคยใช้เลย
แถมสำทับอีกว่า
"คุณต้องเข้าใจธุรกิจอย่างแท้จริง ถึงจะหามูลค่าที่แท้จริงได้"
เพราะฉะนั้น น้องharry อย่ายึดติดกับสูตรมากเกินไปครับ
ในการลงทุน หนึ่งบวกหนึ่ง ไม่เท่ากับสองเสมอไป
บางครั้ง การเตรียมจิตใจกับความผันผวนของตลาดหุ้นอาจจะสำคัญกว่าสูตรคำนวณครับ
ที่สำคัญถ้ายังทนเห็นหุ้นที่ถืออยู่ตกลงไป 50% ไม่ได้ สูตรก็ไม่มีประโยชน์ครับ

สวัสดีครับ
ผมว่าก็จริงนะ ผมชอบธุรกิจอยู่สองสามอย่าง แล้วก็เข้าใจได้ดีพอควร แต่พอมาดูราคานี่ ทำให้สมองปั่นป่วน คิดมากไปกันใหญ่ บางทีธุรกิจนั้นก็ดีจริง แต่ราคามาทำให้เราปั่นป่วน อย่างนี้ต้องเลิกมองราคาจริงๆซะแล้ว วิเคราะห์งบการเงินแล้วก็ดูแนวโน้มดีกว่า ราคาเท่าไหร่ก็ช่างเหอะ ซื้อแล้วตกก็ยอม เพราะผมก็เน้นแบบว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจที่เรามีหุ้นอยู่ด้วย

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 30, 2003 9:39 am
โดย VIB007
harry เขียน: ผมว่าก็จริงนะ ผมชอบธุรกิจอยู่สองสามอย่าง แล้วก็เข้าใจได้ดีพอควร แต่พอมาดูราคานี่ ทำให้สมองปั่นป่วน คิดมากไปกันใหญ่ บางทีธุรกิจนั้นก็ดีจริง แต่ราคามาทำให้เราปั่นป่วน อย่างนี้ต้องเลิกมองราคาจริงๆซะแล้ว วิเคราะห์งบการเงินแล้วก็ดูแนวโน้มดีกว่า ราคาเท่าไหร่ก็ช่างเหอะ ซื้อแล้วตกก็ยอม เพราะผมก็เน้นแบบว่าเราเป็นเจ้าของธุรกิจที่เรามีหุ้นอยู่ด้วย
ถ้าเลียนแบบไตรภพก็ต้องบอกว่า "เป็นคำตอบที่......ถูกต้องครับ"

ถ้าเลียนแบบปัญญาก็ต้องบอกว่า "ถูกต้องแล้วคร้าบบบบบบบบบ"

อย่าให้ราคาหุ้นมาเบี่ยงเบนสิ่งที่เรากำลังสนใจครับ
หุ้นมีขึ้นมีลงเป็นเรื่องธรรมดา
หุ้นดีๆอาจถูกเทขายต่ำกว่าที่เราซื้อมาก็ได้
ให้ดูพื้นฐานธุรกิจครับ อย่าดูราคา
เพราะ ราคาหุ้นไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริง
เราซื้อธุรกิจครับ เราไม่ได้ซื้อตัวหุ้น

ก็ขอให้น้อง Harry โชคดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 30, 2003 11:34 am
โดย ayethebing
คุณวิบูลย์พูดถึงหนังสือของ Philip Fisher เรื่อง Common Stock, Uncommon Profits. เห็นว่าการเลือกหุ้นตามหลักการ 15 ข้อของเค้าสามารถนำมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน และช่วยอธิบายในบทที่เกี่ยวกับ When to sell อย่างย่อๆ ได้มั้ยครับ ผมอ่านแล้วก้องงๆ ครับ เออแล้ว scuttlebutt นี่มันคืออะไรครับ ผมเข้าใจว่าเป็นการหาข้อมูลเชิงคุณภาพจากแหล่งข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น supplier customer หรือคู่แข่ง ไม่ทราบเข้าใจถูกมั้ยครับ

ผมว่าหนังสือเล่มนี้ต้องอ่านมากกว่า 1 รอบถึงจะเข้าใจลึกซึ้งนะครับ ยังงัยก้อขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 30, 2003 3:22 pm
โดย VIB007
คุณวิบูลย์พูดถึงหนังสือของ Philip Fisher เรื่อง Common Stock, Uncommon Profits. เห็นว่าการเลือกหุ้นตามหลักการ 15 ข้อของเค้าสามารถนำมาใช้ได้มากน้อยแค่ไหน และช่วยอธิบายในบทที่เกี่ยวกับ When to sell อย่างย่อๆ ได้มั้ยครับ ผมอ่านแล้วก้องงๆ ครับ เออแล้ว scuttlebutt นี่มันคืออะไรครับ ผมเข้าใจว่าเป็นการหาข้อมูลเชิงคุณภาพจากแหล่งข่าวต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น supplier customer หรือคู่แข่ง ไม่ทราบเข้าใจถูกมั้ยครับ

ผมว่าหนังสือเล่มนี้ต้องอ่านมากกว่า 1 รอบถึงจะเข้าใจลึกซึ้งนะครับ ยังงัยก้อขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
สวัสดีครับ คุณayethebing

หนังสือของอาจารย์ฟิชเชอร์เล่มนี้ผมอ่านไปสามรอบครับ
อ่านจนอินสุดๆ
เลยซื้อหุ้นเป็นอย่างเดียว ขายไม่เป็น
จนคุณ Mon Money เอามาล้อเลียนบ่อยๆว่า เดี๋ยวขายไม่ทันน่ะ
ก็ผมตกหลุมพรางอาจารย์ฟิชเชอร์ไปแล้ว
ทำไงได้
เวลาจะซื้อหุ้นที คิดแล้วคิดอีก
จนคนล้อว่ากลายเป็น"เสี่ยง้าง"เหมือนคุณธันวาไปอีกคน
แต่ปัจจุบัน ผมชักปืนไวขึ้น
แต่ก็กลัวปืนลั่นเหมือนกัน เลยต้องระวังหน่อย

หนังสือเล่มนี้อ่านรอบเดียวไม่พอแน่ครับ
จะแกะภาษาก็ยังยาก
เรียกว่า ต้องแปลอังกฤษเป็นอังกฤษก่อน แล้วถึงจะแปลเป็นไทย
ถึงยังไง ผมว่าก็ไม่พ้นความพยายามของทุกท่านแน่
ดังสุภาษิตโบราณที่ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น" ฮ่า ฮ่า

การเลือกหุ้น 15 ข้อของอาจารย์ฟิชเชอร์นี่สุดยอดครับ
แต่อาจารย์ก็บอกไว้ว่า
หาบริษัทที่มีครบ 15 ข้อยากมาก (ถึงยากที่สุด)
ดังนั้น เราก็เลือกดูเอาแล้วกันว่า
ส่วนไหนเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจนั้นๆที่จำเป็นต้องมี
ถ้ามีครบมากกว่า 80-90% ก็ใช้ได้แล้ว
เช่น บางบริษัทอาจจะต้องเน้นที่การที่มีต้นทุนที่ต่ำเพราะการแข่งขันสูง
แต่บางบริษัทอาจจะเน้นจุดที่มีทีมขายที่ดีที่สุด
เพราะเป็นบริษัทที่ต้องใช้พนักงานขายจำนวนมากอะไรทำนองนี้
ผมว่าหลักการนี้ใช้ได้ดีมากครับ

ส่วนบท When to Sell
อาจารย์ฟิชเชอร์พูดถึงการขายหุ้นว่าควรจะขายหุ้นเมื่อไหร่
ผมขอสรุปเป็นข้อๆไว้ดังนี้แล้วกันครับ
1) เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทที่ซื้อขาดคุณสมบัติที่ควรมีตาม 15 ข้อที่ระบุไว้
เช่น กลายเป็นบริษัทที่มีต้นทุนสูงที่สุดในอุตสาหกรรม เป็นต้น

2) เมื่อเราพบว่า เราเลือกหุ้นมาผิดตัว
อันนี้ ผมพูดไปแล้วในกระทู้ ก็คือ
ถ้าพบว่าเลือกผิดตัวก็ขายทิ้งซะ ขาดทุนก็ต้องยอม ไม่ต้องเสียดาย
เรียกว่า "อย่าปล่อยให้วัชพืชลอยนวล"

3) เมื่อบริษัทนั้นไม่มีการเติบโตแล้ว หรือ การเติบโตไม่ได้มากไปกว่าบริษัทอื่นๆ
ก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไมเหมือนกัน
ถ้าไม่มีการเติบโต ราคาก็คงไม่กระเตื้อง

4) นอกนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะขาย
ถ้าบริษัทยังมีพื้นฐานดีเหมือนเดิม ก็เก็บเอาไว้ให้มันโตไปเรื่อยๆ

โอเคน่ะครับ

มาถึงคำว่า Scuttler Butt (ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า)
ถ้าแปลตามตัวก็แปลว่า "ทะลวงก้น" (ขออภัยถ้าไม่สุภาพ)
แต่ความหมายจริงๆ หมายถึง
การหาข้อมูลของบริษัทที่เราสนใจในทุกแง่ทุกมุมครับ
ซอกซอนหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด
ก่อนตัดสินใจลงทุน

เราจะได้ข้อมูลจากที่ไหนบ้าง
ก็มีทั้งลูกค้า พนักงานบริษัท คู่ค้า ผู้บริหารบริษัท แม้กระทั่งตัวเราเอง
เช่น เราอยากรู้ว่าสินค้าไหนขายดีในร้านค้า
ก็ไปถามพนักงานหน้าร้าน
หรือ อยากรู้ว่าบริษัทมีการบริหารบุคคลอย่างไร
ก็ถามพนักงานบริษัท เป็นต้น
ข้อมูลที่ได้ก็นำมาพิจารณาในการลงทุน

บางครั้งเราคิดว่า การทำScuttler Butt เป็นเรื่องยากและวุ่นวาย
แต่จริงๆแล้วเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและใช้เวลามากที่สุด
ถ้าเราไม่รู้จักบริษัทดี เราก็ลงทุนได้อย่างไม่มั่นใจเท่าที่ควรครับ
อาจารย์ฟิชเชอร์เขียนบท Scuttler Butt ไว้เพียงสองหน้า
แต่พูดถึงเรื่องนี้ตลอดเล่ม

ขอบอกเพียงว่า Scuttler Butt สำคัญมากครับ

เอาล่ะครับ
ก็หวังว่าคุณayethebing คงเข้าใจมากขึ้น
ถึงแม้จะเป็นการตอบแบบสั้นๆ
และขอเป็นกำลังใจในการอ่านหนังสือเล่มนี้ต่อไปจนจบอย่างน้อยสองรอบนะครับ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 30, 2003 4:31 pm
โดย ayethebing
ขอบคุณคุณวิบูลย์ครับ ตอบทันใจดีจัง

VIB007 wrote
หนังสือของอาจารย์ฟิชเชอร์เล่มนี้ผมอ่านไปสามรอบครับ
อ่านจนอินสุดๆ
เลยซื้อหุ้นเป็นอย่างเดียว ขายไม่เป็น
จนคุณ Mon Money เอามาล้อเลียนบ่อยๆว่า เดี๋ยวขายไม่ทันน่ะ
ก็ผมตกหลุมพรางอาจารย์ฟิชเชอร์ไปแล้ว
ทำไงได้
เวลาจะซื้อหุ้นที คิดแล้วคิดอีก
จนคนล้อว่ากลายเป็น"เสี่ยง้าง"เหมือนคุณธันวาไปอีกคน
แต่ปัจจุบัน ผมชักปืนไวขึ้น
แต่ก็กลัวปืนลั่นเหมือนกัน เลยต้องระวังหน่อย

หนังสือเล่มนี้อ่านรอบเดียวไม่พอแน่ครับ
จะแกะภาษาก็ยังยาก
เรียกว่า ต้องแปลอังกฤษเป็นอังกฤษก่อน แล้วถึงจะแปลเป็นไทย
ถึงยังไง ผมว่าก็ไม่พ้นความพยายามของทุกท่านแน่
ดังสุภาษิตโบราณที่ว่า
"ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น" ฮ่า ฮ่า

การเลือกหุ้น 15 ข้อของอาจารย์ฟิชเชอร์นี่สุดยอดครับ
แต่อาจารย์ก็บอกไว้ว่า
หาบริษัทที่มีครบ 15 ข้อยากมาก (ถึงยากที่สุด)
ดังนั้น เราก็เลือกดูเอาแล้วกันว่า
ส่วนไหนเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจนั้นๆที่จำเป็นต้องมี
ถ้ามีครบมากกว่า 80-90% ก็ใช้ได้แล้ว
เช่น บางบริษัทอาจจะต้องเน้นที่การที่มีต้นทุนที่ต่ำเพราะการแข่งขันสูง
แต่บางบริษัทอาจจะเน้นจุดที่มีทีมขายที่ดีที่สุด
เพราะเป็นบริษัทที่ต้องใช้พนักงานขายจำนวนมากอะไรทำนองนี้
ผมว่าหลักการนี้ใช้ได้ดีมากครับ
ใช่ครับ อ่านยากมาก ภาษาและเนื้อหาเองก็ยาก เป็นบทบรรยายล้วนๆ คล้ายการเขียนของ peter lynch แต่ lynch เขียนแล้วอ่านได้ง่ายกว่าเยอะ

ในจำนวน 15 ข้อที่เค้าพูดถึงคุณวิบูลย์ว่าเราสามารถหาข้อมูลมาสนับสนุนปัจจัยเหล่านั้นได้ยังไง เช่นข้อมูลที่ว่ายอดขายจะต้องมีการเติบโตในอนาคตเพียงพอ ทำไงถึงจะรู้ได้ละครับว่ายอดขายของบริษัทนึงจะเติบโตอย่างเพียงพอ

ใน 15 ข้อที่ว่าคุณวิบูลย์คิดว่าข้อไหนสำคัญที่สุด จะต้องมีเสมอ ในขณะที่บางข้อมีก้อยิ่งดี (nice to have) ครับ

VIB007 wrote
มาถึงคำว่า Scuttler Butt (ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่า)
ถ้าแปลตามตัวก็แปลว่า "ทะลวงก้น" (ขออภัยถ้าไม่สุภาพ)
แต่ความหมายจริงๆ หมายถึง
การหาข้อมูลของบริษัทที่เราสนใจในทุกแง่ทุกมุมครับ
ซอกซอนหาข้อมูลให้ได้มากที่สุด
ก่อนตัดสินใจลงทุน

เราจะได้ข้อมูลจากที่ไหนบ้าง
ก็มีทั้งลูกค้า พนักงานบริษัท คู่ค้า ผู้บริหารบริษัท แม้กระทั่งตัวเราเอง
เช่น เราอยากรู้ว่าสินค้าไหนขายดีในร้านค้า
ก็ไปถามพนักงานหน้าร้าน
หรือ อยากรู้ว่าบริษัทมีการบริหารบุคคลอย่างไร
ก็ถามพนักงานบริษัท เป็นต้น
ข้อมูลที่ได้ก็นำมาพิจารณาในการลงทุน

บางครั้งเราคิดว่า การทำScuttler Butt เป็นเรื่องยากและวุ่นวาย
แต่จริงๆแล้วเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดและใช้เวลามากที่สุด
ถ้าเราไม่รู้จักบริษัทดี เราก็ลงทุนได้อย่างไม่มั่นใจเท่าที่ควรครับ
อาจารย์ฟิชเชอร์เขียนบท Scuttler Butt ไว้เพียงสองหน้า
แต่พูดถึงเรื่องนี้ตลอดเล่ม

ขอบอกเพียงว่า Scuttler Butt สำคัญมากครับ
เอแล้วเทคนิค scuttlebutt นี่เราต้องทำงัยบ้างครับ โทรไปหาใครครับ ผมเคยคุยกับพนักงานร้านค้าของร้านหนังสือที่ผมลงทุนเพราะเค้าไปมีนิทรรศการแห่งนึงแต่ผมว่ามันเป็นความเห็นนะ เราจะรู้ได้ยังไงว่าข้อมูลมันเป็นจริง แหม สนใจเทคนิคนี้มากครับ และจะลองทำตามดู ยังไงคุณวิบูลย์ลองยกตัวอย่างที่เคยทำมาให้ฟังหน่อยสิครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ธ.ค. 30, 2003 4:50 pm
โดย CK
คุณ Ayethebing ลาพักร้อนหรือครับ รู้สึกช่วงนี้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ