CK เขียน:โดนใจอย่างจังเลยครับ คุณน้องวิบูลย์
พูดถึงการกำจัดวัชพืช ผมก็ทำมาแล้วครับ ตัวเดียวกับ
คุณน้องวิบูลย์ด้วย และยังมีเจ้ารถกระบะอีกคัน
และตอนที่ตัด cut loss ไป รู้สึกเหมือนยกอกออกจาก
ภูเขาได้เลยครับ หลังจากนั้นราคาวิ่งขึ้นไปใหญ่เลยก็
ไม่ได้เสียใจ เพราะพอมาซื้อหุ้นที่สร้างความสบายใจ
ให้ มันหลับฝันดีครับ
ช่วงเวลาก่อนขายเป็นช่วงที่ทำใจยากที่สุดครับ
หลังๆผมใช้เทคนิคเหมือนเล่นเกมส์ครับ สมมุติว่าตัว
เองกำลังเล่นเกมส์อยู่ ไม่ใช่เงินจริง พอคิดจะตัดขาด
ทุน ก็กดปุ่มขายเลย ไม่ซีเรียส
พี่ CK
ผมยังไม่เคยลองเทคนิคขายหุ้นแบบกดปุ่มเล่นเกมส์เลยครับ
เอาไว้ใช้เวลาคับขัน น่าจะใช้ได้ดีนะครับ
Mon Money เขียน:อย่าหาว่าแกล้งพูดเลยนะครับ ผมยิ่งแช่งชักให้มันลงมาแบบสุดๆอีก เป้าหมายนะตั้งรอไว้ทุกวัน ทุกวันจริงๆแต่ไม่ยักกะหล่นมาสักที สงสัยพี่CKของผมกระโดดคว้าก่อนแน่ๆเลย
ความอดทนของผมคือต้องรอให้หล่นมาครับ ตอนนี้ผมเป็นคนบ้าแล้วครับ ดีใจที่เห็นหุ้นสุดรักตกเอาๆ
ส่วนITVผมหยุดแล้วครับ กำไรเล็กน้อย แต่ตีลังกาเล่นแบบBuffettนี่เหนื่อยจริงๆ
นึกว่าจะมีผมบ้าอยู่คนเดียว แช่งให้หุ้นตก
จะได้เก็บเพิ่ม พอดีเงินหมดเลยไม่มีตังค์ซื้อเพิ่ม
บางตัวก็เล่นวิ่งจนจับไม่ทัน เสียดายเหมือนกัน
น่าจะเชื่อพี่Chatchai ซัดเข้าไปเต็มๆพอร์ตทีเดียวดีกว่า
ว่างๆคุณมนช่วยถ่ายทอดประสบการณ์ ITV ให้ฟังด้วยนะครับ
ปรัชญา เขียน: กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ดีที่สุด ถ้าผู้อ่านแล้วไม่สับสนหรืองง
มีข้อคิดความเห็นตั้งแต่การเลือกหุ้น เลือกผลตอบแทน เลือกแนวคิด
เลือกทางเดินที่เหมาะสมของตัวท่านเอง ทุกคนมีความสามารถ
คุณทุกคนทำได้ครับ หาเป้าหมายให้ตัวเอง
ขอบคุณพี่ปรัชญาครับ
นานๆจะมีคนชมที แฮะ แฮะ :lol: :lol:
แต่ผมไม่คิดว่าจะเป็นกระทู้ที่ดีที่สุดหรอกครับ
เพียงแต่ได้หลายๆท่านมาช่วยแสดงความเห็น
ทำให้เกิดความหลากหลายทางความคิด
ช่วยกันต่อยอดให้เกิดความเข้าใจในการลงทุนที่มากขึ้น
ที่แน่ๆกระทู้นี้
ต้องการข้อคิดเห็นของผู้อาวุโสอย่างพี่เป็นอย่างมากเลยครับ
เพราะบางเรื่องก็ต้องบอกว่า ประสบการณ์สำคัญจริงๆ
ต้องรบกวนพี่บ่อยๆแล้วละครับ
ข้อสำคัญ อย่าเชื่อข่าวลือ ข่าวปล่อย ข่าวโคมลอย ข่าวอินไซด์
เพราะบางข่าวก่อนที่เขาจะมาบอกเราเขาซื้อไว้รอเราเข้าไปซื้อต่อจากเขาครับ
ของฟรีไม่มีในโลก
รอบแรกเราอาจได้จริง รอบ2เล่นตามเขาเราก็ยังได้
แต่รอบต่อไปที่ได้มา2รอบอาจไม่คุ้มกับการเชื่อครั้งสุดท้าย
เหมือนคุณเล็กว่า ...ชอบกินปลาชอนลุยไฟ แต่ต้องจ่ายโต๊ะจีน
คำพูดของพี่ปรัชญาบอกด้วยตัวเองแล้วครับ
ผมชอบมาก โดยเฉพาะ "ของฟรีไม่มีในโลก"
เป็นเรื่องจริงครับ
ของฟรีไม่มีครับ มีแต่ว่าใครจะจ่าย"ค่าวิชา"มากน้อยแค่ไหน
tom เขียน: ผมพยายามศึกษาหุ้น พยายามซื้อหุ้น แนวเน้นคุณค่า ได้ประมาณ 8-9 เดือนแล้วครับ ปัญหาของผมคือเงินทุนน้อย มั่กกๆๆ ทะยอยซื้อมาทีละหมื่นสองหมื่นจนวันนี้ได้พอร์ตสองแสนบาท.....สองแสนบาทครับพี่ๆ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ...ที่ผ่านมาเปลี่ยนตัวเล่นแค่ตัวเดียว คือ tiw ที่ยอมขายแบบได้กำไรน้อยออกไปหลังจากปันผล 1 งวด...ที่ผ่านมาผมมีกำไรนะครับ...ประมาณ 30% กว่าๆไม่รวมปันผล ...แต่มันยังงี้ครับ เงินต้นทุนมันประมาณ แสนเก้า มูลค่าพอร์ตประมาณ สองแสนห้า ...ผมมานั่งคิด นอนคิด ตีลังกาคิดก็แล้ว มาได้ความคิดว่า ....การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเหมาะกับพอร์ตขนาดใหญ่ๆ รึป่าวครับ พอร์ตเล็กๆๆๆๆ แบบผม ถ้าไม่มี super stock มาช่วยนี่ไม่รู้จะไหวรึป่าว...อยากขอความเห็นครับ...
เป็นคำถามที่ดีมากครับ
ผมต้องกลับไปคิดหลายตลบก่อนที่จะคิดออก
พี่ปรัชญาก็ให้ความคิดความเห็นเรื่องนี้ไปแล้ว
ไม่รู้ว่าถูกใจหรือเปล่า
ในมุมมองของผม
ผมมองอย่างนี้ครับ
การลงทุนแบบ VI หรือ การลงทุนแบบเน้นคุณค่า
เป็นการลงทุนตามปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
มุ่งเน้นในการรักษาเงินต้นไม่ให้สูญหาย
เหมือนกับที่พี่ปรัชญาบอกเอาไว้ว่า
"ผมเน้นรักษาเงินต้นเงินลงทุนไม่ให้บุบสลาย(ยืมสำนวนคุณCK)"
ส่วนการได้ผลตอบแทนเท่าไหร่นั้น
อยู่ที่การพิจารณาเลือกหุ้นและการออกแบบการลงทุนของเราเอง
พอร์ตการลงทุนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
ไม่จำเป็นต้องถือหุ้นตัวเดียวกัน
เพราะ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นเรื่องของ"ความคิด" มากกว่า"วิธีการ"
ผมขอย้ำแล้วกันครับว่า
การลงทุนแบบเน้นคุณค่าไม่ได้เป็นการรับประกันว่า
ผลตอบแทนของการลงทุนจะสูงที่สุด
ถ้าใครเริ่มต้นเพราะคิดว่าจะได้ผลตอบแทนสูงๆ ผมว่าเริ่มต้นก็ผิดครับ
ผลตอบแทนที่เราได้เท่าไหร่อยู่ที่ตัวเราเอง
อยู่ที่การ"ออกแบบ"พอร์ตฟอริโอของเราเอง
อย่าโทษ"โชคชะตา" อย่าโทษ"ตลาด" หรือโทษ"ปัจจัยภายนอกอื่นๆ"
ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคุณเอง
โทษตัวเองเถอะครับ
อย่ากลัวถูกทำโทษในการลงทุน
ถ้าเราทำผิด เราต้องยอมรับผิด แล้วเริ่มต้นใหม่
ไม่มีใครบังคับให้เราซื้อหุ้นตัวไหน
หุ้นทุกตัว เราเลือกเอง ซื้อเอง ขายเอง
แล้วไปโทษ"ดวงชะตา"ทำไม
การลงทุนไม่ใช่การเสี่ยงโชคนะครับ
ในการลงทุนอย่างน้อยเราก็ต้องมีข้อมูล
และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทในการประกอบการลงทุน
อย่างแย่ที่สุดก็คือ อย่างน้อยก็ต้องดู P/E หรือ P/B ก่อนตัดสินใจ
เราพอจะมองได้ครับว่าบริษัทของเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ถ้าอนาคตบริษัทเป็นอย่างไร อนาคตการลงทุนของเราก็จะเป็นไปตามนั้นครับ
ส่วนการเสี่ยงโชค เช่น Lottery หรือ จับฉลาก
เราไม่มีข้อมูลและไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าใครจะถูกรางวัล (ยกเว้น หวยล๊อค)
จริงมั๊ยครับ
คุณtom พอจะมองออกมั๊ยครับ
ในเรื่องความแตกต่างระหว่าง"การลงทุน"กับ"การเสี่ยงโชค"
เอาใหม่
ผมถามคุณtom แล้วกัน
ถ้าคุณtom ไม่ลงทุนตามปัจจัยพื้นฐาน
คุณtom มีทางเลือกในการลงทุนอย่างไรอีกบ้าง
1) Day-Trading
2) ซื้อตามข่าวลือ
3) ซื้อตามกราฟ Demand-Supply
ฯลฯ
ถ้าเป้าหมายของเราคือ
"ผมเน้นรักษาเงินต้นเงินลงทุนไม่ให้บุบสลาย(ยืมสำนวนคุณCK)"
ผมว่าการลงทุนแบบอื่น โอกาสที่เราจะเสียเงินต้นมีมาก
บางครั้งในตลาดระทิง การซื้อๆขายๆจะทำกำไรได้มากกว่า
เพราะมีคนมารับของในราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ
ลองนึกถึงแชร์แม่ชม้อยซิครับ
แต่ถ้าตลาดปรับฐานเมื่อไหร่ การซื้อๆขายๆจะมีโอกาสขาดทุนสูง
เพราะไม่มีคนมารับของต่อ
เหมือนแชร์ลูกโซ่คนสุดท้ายยังไงยังงั้น
ที่สำคัญ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไหร่ตลาดจะปรับฐาน หรือเข้าสู่ภาะหมี
ซึ่งเป็นสิ่งที่นักเกร็งกำไรและ Day-Trading กลัวสุดๆ
ไม่มีใครทายได้ถูกต้อง 100% หรอกครับ ว่าเมื่อไหร่หุ้นจะขึ้นจะลง
ทุกคนก็คาดเดาทั้งนั้นหละครับ
พวกนักวิเคาระห์หุ้น วิเคาระห์ตลาดที่ออกมาพูดทีวีวิทยุทุกวันนั้น
ถ้าจดทุกเรื่องที่เขาพูดที่เขาทำนาย
แล้วมาจับผิดกันจริงๆ
ผมว่า ทายผิดมากกว่าทายถูกครับ
อะไรที่ทายถูกก็เอามาคุยกันลั่น
อะไรที่ทายผิดก็เฉยๆเงียบๆไป
ไม่มีใครเห็นมาบอกเลยว่า เมื่อวานนี้ผมทายผิดครับ
ผมไม่เคยได้ยิน
เอาล่ะ ทีนี้กลับมาพอร์ตการลงทุนของคุณtom
คุณtom บอกว่ามีเงินแค่สองแสน
ได้ผลตอบแทนในเก้าเดือน 30% ไม่รวมปันผล
ก็เลยคิดว่า การลงทุนแบบคุณค่าไม่เหมาะกับพอร์ตเล็กๆใช่มั๊ยครับ
เอางี้ ผมขอถามคุณtom สักสองสามข้อแล้วกันครับ
1) ในพอร์ตของคุณtom มีหุ้นอยู่กี่ตัว
2) คุณtom เข้าใจธุรกิจของบริษัทที่ซื้อมาดีแล้วหรือยัง
3) คุณtom รู้มั๊ยว่าคุณtom ซื้อหุ้นเหล่านี้มาทำไม
4) คุณtom รู้ไหมว่า เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นหรือพอร์ตของคุณtom
5) คุณtom เคยพิจารณาถึงข้อผิดพลาดในการลงทุนของตัวเองหรือยังว่าทำไมไม่ได้ตามเป้าหมาย
6) คุณtom โทษใครหรืออะไรที่ทำให้ผลการลงทุนไม่ได้ดังที่ตั้งใจไว้
เอ....เขียนไปเขียนมา มันมากกว่าสองสามข้อนี่นา
แต่เอาเถอะ ผมถามคุณtomดู แล้วเรามาลองพิจารณาดูทีละข้อดีมั๊ยครับ
1) ถ้าคุณtom มีเงิน 200,000 บาท
แล้วถือหุ้นอยู่ 5ตัว ก็ตกตัวละ 40,000บาท ใช่มั๊ยครับ
สมมุติทุกตัวราคาคงที่ มีหนึ่งตัวราคาเพิ่มไป 100%
คุณtom ได้กำไร 40,000 บาท
คิดเป็นผลตอบแทน 40,000/200,000 = 20%
แต่ถ้าคุณtom ถือหุ้นเพียงสองตัวที่มั่นใจว่าผลประกอบการดีแน่ๆ
ก็ตกลงทุนตัวละ 100,000 บาท
สมมุติตัวหนึ่งราคาคงที่ อีกตัวราคาขึ้นไป 100%
คุณtom ได้กำไร 100,000 บาท
คิดเป็นผลตอบแทน 100,000/200,000 = 50%
นี่เป็นตัวอย่างของคำที่ว่า "ยิ่งกระจายความเสี่ยงยิ่งเสี่ยง"
เพราะยิ่งถือหุ้นมากตัว โอกาสที่เราจะได้ผลตอบแทนสูงก็ลดลง
ถามว่าคุณtom ถือหุ้นอยู่กี่ตัวตอนนี้
ถ้าเป็นพอร์ตเล็กๆ ผมไม่แนะนำให้กระจายความเสี่ยง
ถือเพียงแค่หนึ่งหรือสองตัวที่เรารู้จักดีก็เพียงพอแล้วครับ
ผมจะตอบอีกเพียงหนึ่งข้อนะครับ
ส่วนคำตอบอื่นให้คุณtom หาคำตอบเอง
คำถามที่ว่า "คุณtom รู้มั๊ยว่าคุณtom ซื้อหุ้นเหล่านี้มาทำไม"
ถ้าคุณtom ซื้อหุ้นมาเพื่อปันผลที่มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก
ผมมองว่า ผลตอบแทน 30% นี่มากแล้วนะครับ
ต้องถามตัวเราเองครับ ว่าเราต้องการอะไร
ถ้าต้องการ Capital Gain แต่ไปซื้อหุ้นปันผลลงทุน
ถ้าได้ผลตอบแทนน้อย ผมก็ช่วยไม่ได้ครับ
เราต้องรู้ครับ ว่าหุ้นที่เราถือมีคุณสมบัติอย่างไร
เรา"ออกแบบ"การลงทุนของเราได้เองครับ
และเราเป็นคนตัดสินใจในการลงทุนครับ
ไม่ใช่ใครอื่น
ถ้าต้องการรถไปลงแข่ง
ก็ต้องซื้อรถแข่งครับ
ไม่ใช่ไปซื้อรถจ่ายกับข้าวมาลงสนาม
แต่ที่สำคัญ คุณtom ขับรถแข่งเป็นแล้วหรือยัง
ถ้ามือยังไม่แข็ง ลงสนามแข่งเลย โอกาสตกข้างทางก็มีสูงนะครับ
ถ้าผมแนะนำ ผมก็จะบอกว่า ต้องค่อยๆฝึกค่อยๆศึกษาครับ
อย่าใจร้อน เวลาในการลงทุนยังอีกยาว อย่ามาดูกันเพียงระยะสั้นๆ
ก็ขอให้ คุณtom โชคดีในการลงทุนครับ
เอ...ว่าแต่ว่า พี่CK คุณMon พี่เจ๋ง และท่านอื่นๆ มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องของคุณtom ยังไงบ้าง?????