Mon money เขียน:สวัสดีครับเพื่อนๆ เห็นมีคนมาทิ้งE-mailขออะไรกันครับ ผมอ่านๆดูแล้วคุณวิบูลย์กับผมก็ไม่ได้จะส่งอะไรให้ใคร
ผมว่าสมัยนี้มันแปลกจริงๆ เห็นอะไรไม่ได้นึกว่าใบ้หุ้นยันเลย (จะโดนด่าอีกไหมเนีย?)
เอ....คุณ วิบูลย์จะส่งอะไรให้ใครหรือเปล่าครับ? คุณ aye ล่ะ?
สวัสดีครับคุณมน
ยังไม่ได้ส่งอะไรให้ใครเลยครับ
และไม่คิดว่าจะส่งด้วยซิ
เคยบอกหุ้นเพื่อนไปครั้งนึง
เพื่อนนึกว่าซื้อแล้วหุ้นจะพุ่งกระฉูด
เลยเก็บเข้าไปเต็มๆพอร์ต
ที่ไหนได้
ซื้อเสร็จ หุ้นรูดตามระเบียบโรงเรียน VI
สุดท้ายทนเห็นตัวแดงในพอร์ตไม่ไหว
เลยขายขาดทุนไป หลังจากถือมาได้ไม่เท่าไหร่
แสดงว่า ความเข้าใจในการลงทุนไม่เหมือนกัน
อีกอย่างคือผมใบ้หุ้นไม่เป็นครับ
เพราะความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
บางคนต้องการกำไรเร็ว
บางคนต้องการปันผล
และผมคิดว่า ถ้าเราหาปลาเองได้คงจะดีกว่า
ดังนั้นก็เลยไม่ได้ใบ้หวยอีกเลย
แถมเวลาซื้อก็ไม่บอกใคร เวลาขายผมก็ไม่บอกใครเหมือนกัน
มันเป็นนิสัยส่วนตัวนะครับ แก้ไม่หาย
ดังนั้นท่านที่ส่งอีเมล์มา คงต้องผิดหวังแน่นอน
Minesweeper เขียน:แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีครับว่าจะทำอย่างไรกับมันดี ของแบบนี้ถึงตอนยาก มันก็ยากจริงๆ นะครับ พี่ๆ VI ทั้งหลายคิดว่าควรจะทำอย่างไรดีครับ
ถ้าเป็นพี่ พี่คิดว่า เราควรจะยึดถือในสิ่งที่เป็นผลลัพธ์ออกมาจริงๆ หรือควรจะเชื่อมั่นในอนาคตดีครับ ...
เจ้าพัดลมที่ว่า
ผมก็ดูๆอยู่เหมือนกัน
ดูตั้งแต่ราคา 300 บาทก่อนแตกพาร์
ปันผลที่ 10% สูงมากๆ
แต่อยู่ๆหลังแตกพาร์ ราคาก็ต่ำลงอย่างรวดเร็ว
เหลือร้อยกว่าๆ
ลองแกะๆดู ก็พบว่า รายได้ลดลงเยอะ
มีลูกค้าอยู่ไม่กี่ราย
ถ้าถูกยกเลิกออเดอร์ละก็เป็นเรื่องแน่
ก็เลยห่างๆไป ไม่ได้สนใจอีก
คำถามที่ว่า จะสนใจผลลัพธ์หรืออนาคต
อันนี้ต้องตอบว่า
"แล้วแต่ใจต้องการ" ละครับ
บางครั้งเราคิดว่าดี แต่จริงๆออกมาไม่ดีก็มี
หรือคิดว่าจะดี แต่จริงๆไม่ดีก็มี
หรือคิดว่าอนาคตดี แต่ราคาหุ้นก็รับไปหมดแล้วก็มี
อยากจะบอกว่า ไม่มีสูตรสำเร็จในตลาดหุ้นครับ
ทุกอย่างต้องมาจากความรู้ ความคิด และประสบการณ์จริงๆ
ผมตอบแทนไม่ได้(อีกแล้ว)
หวังว่า คุณMinesweeperคงไม่ว่ากันนะครับ
ใจเย็นๆ ค่อยๆศึกษา ทดลองไปเรื่อยๆครับ
โอกาสในตลาดมีอยู่เสมอ
ยังไงก็ขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนนะครับ
Num เขียน:สวัสดีปีใหม่ พี่ๆและเพื่อนๆใน TVI ทุกคนครับ ผมอยากตั้งประเด็นให้พวกพี่ๆช่วยแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ capital expenditure ว่ามีความสำคัญในการเลือกบริษัทที่จะลงทุนหรือไม่ และค่านี้มีอะไรบ้าง ผมขอยกตัวอย่าง เช่น ค่าโฆษณา ที่บริษัทต้องจ่ายทุกปี จะเป็น cap.exp. หรือไม่ หรือ การปรับปรุงระบบคอม ของบริษัทที่นานๆจะจ่ายที จะเป็น cap.exp. หรือไม่ รบกวนช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
เรื่องค่าใช้จ่ายของบริษัทในการดำเนินธุรกิจมีสองแบบครับ
คือ
1) Capital Expenditure หรือเรียกสั้นๆว่า Capex
2) Operating Expenditure เรียกว่า Opex
Capex เป็นเงินลงทุนที่ใช้ในทรัพย์สินที่คิดค่าเสื่อมราคาได้
เช่น อาคาร เครื่องจักร รถยนต์ ของใช้สำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
เงินลงทุนนี้จะลงใน งบกระแสเงินสด
Opex เป็นเงินที่ใช้ในการดำเนินงานของธุรกิจ
ไม่คิดเป็นทรัพย์สิน และถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย
เช่น ค่าโฆษณา ค่าวิจัย ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าฯลฯ
ไม่สามรถตัดค่าเสื่อมราคาได้
ค่าใช้จ่ายก้อนนี้จะอยู่ใน งบกำไรขาดทุน
ถ้าเราดูแค่งบกำไรขาดทุน เราจะไม่เห็นCapex
ดังนั้นจึงต้องมาดูในงบกระแสเงินสดด้วย
สิ่งสำคัญก็คือว่า
ถ้าบริษัทนั้นมีกำไรเพียงพอที่จะนำเงินมาลงทุนก็สบายไป
แต่ถ้าธุรกิจไหนมีกำไรน้อยกว่าการลงทุนละก็
อาจจะต้องพึ่งเงินกู้ หรือเพิ่มทุน เพื่อนำเงินมาลงทุน
ดังนั้น นักลงทุนระยะยาวจึงชอบบริษัทที่มีCapexไม่สูง
หรือ มีกำไรและกระแสเงินสดเพียงพอที่จะนำเงินไปลงทุนได้
เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มทุน หรือ กู้ยืมเพิ่ม
อีกอย่างต้องระวังบริษัทที่ตกแต่งบัญชี
เอาOpex มาลงเป็น Capex เพื่อทำให้กำไรต่อหุ้นดูดีขึ้นนะครับ
อันนี้ตาดีได้ตาร้ายเสีย
เขาถึงบอกกันว่า ธรรมาภิบาลของผู้บริหารจึงเป็นสิ่งสำคัญไงครับ
คิดว่าคุณNum คงเข้าใจมากขึ้นนะครับ
พี่Chatchai คุณลูกอีสาน คุณMon และท่านอื่นๆ มีอะไรเสริมมั๊ยครับ
สวัสดีครับ
[/code]