คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 691
ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ทำให้ผมเข้าใจเรื่องการลงทุนขึ้นอีกมากเลย ผมขอความเห็นอีกเรื่องนะครับ เกี่ยวกับ โบชัวร์ที่แจกตามบ้านของห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ยักษ์ใหญ่ต่างๆ คิดว่าทุกท่านคงเคยเห็นนะครับ ในนั้นจะมีโชว์รูปสินค้าและราคาให้ อยากขอความเห็นจากทุกท่านครับว่าสินค้าที่อยู่ในโบชัวร์นั้น เป็นประเภทที่ขายดีเป็นที่ต้องการของผู้คน ทางห้างเลยเอามาลงไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าหรือว่าเป็นพวกขายไม่ออก ทางห้างเลยต้องการจะโละสต๊อก รบกวนช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 692
คงไม่มีอะไรเสริมครับ คุณวิบูลย์ก็อธิบายชัดเิจนแล้วNum wrote:
สวัสดีปีใหม่ พี่ๆและเพื่อนๆใน TVI ทุกคนครับ ผมอยากตั้งประเด็นให้พวกพี่ๆช่วยแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับ capital expenditure ว่ามีความสำคัญในการเลือกบริษัทที่จะลงทุนหรือไม่ และค่านี้มีอะไรบ้าง ผมขอยกตัวอย่าง เช่น ค่าโฆษณา ที่บริษัทต้องจ่ายทุกปี จะเป็น cap.exp. หรือไม่ หรือ การปรับปรุงระบบคอม ของบริษัทที่นานๆจะจ่ายที จะเป็น cap.exp. หรือไม่ รบกวนช่วยแสดงความเห็นด้วยครับ
สวัสดีปีใหม่ครับ
เรื่องค่าใช้จ่ายของบริษัทในการดำเนินธุรกิจมีสองแบบครับ
คือ
1) Capital Expenditure หรือเรียกสั้นๆว่า Capex
2) Operating Expenditure เรียกว่า Opex
Capex เป็นเงินลงทุนที่ใช้ในทรัพย์สินที่คิดค่าเสื่อมราคาได้
เช่น อาคาร เครื่องจักร รถยนต์ ของใช้สำนักงาน เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
เงินลงทุนนี้จะลงใน งบกระแสเงินสด
Opex เป็นเงินที่ใช้ในการดำเนินงานของธุรกิจ
ไม่คิดเป็นทรัพย์สิน และถือว่าเป็นค่าใช้จ่าย
เช่น ค่าโฆษณา ค่าวิจัย ค่าเงินเดือนพนักงาน ค่าฯลฯ
ไม่สามรถตัดค่าเสื่อมราคาได้
ค่าใช้จ่ายก้อนนี้จะอยู่ใน งบกำไรขาดทุน
ถ้าเราดูแค่งบกำไรขาดทุน เราจะไม่เห็นCapex
ดังนั้นจึงต้องมาดูในงบกระแสเงินสดด้วย
สิ่งสำคัญก็คือว่า
ถ้าบริษัทนั้นมีกำไรเพียงพอที่จะนำเงินมาลงทุนก็สบายไป
แต่ถ้าธุรกิจไหนมีกำไรน้อยกว่าการลงทุนละก็
อาจจะต้องพึ่งเงินกู้ หรือเพิ่มทุน เพื่อนำเงินมาลงทุน
ดังนั้น นักลงทุนระยะยาวจึงชอบบริษัทที่มีCapexไม่สูง
หรือ มีกำไรและกระแสเงินสดเพียงพอที่จะนำเงินไปลงทุนได้
เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มทุน หรือ กู้ยืมเพิ่ม
อีกอย่างต้องระวังบริษัทที่ตกแต่งบัญชี
เอาOpex มาลงเป็น Capex เพื่อทำให้กำไรต่อหุ้นดูดีขึ้นนะครับ
อันนี้ตาดีได้ตาร้ายเสีย
เขาถึงบอกกันว่า ธรรมาภิบาลของผู้บริหารจึงเป็นสิ่งสำคัญไงครับ
คิดว่าคุณNum คงเข้าใจมากขึ้นนะครับ
พี่Chatchai คุณลูกอีสาน คุณMon และท่านอื่นๆ มีอะไรเสริมมั๊ยครับ
แต่จะยกตัวอย่างจริงๆ ประกอบครับ
เรื่องค่าใช้จ่ายในการลงทุน หรือ capex
คือผมเจอหุ้นตัวหนึ่ง พีอีต่ำมากๆ ปันผลก็ดี กิจการก็ไปได้ดี
มีกำไรปีละประมาณ 800 ล้านบาท
แต่ไปดูที่ capex สามปีย้อนหลัง ปรากฏว่า
capex ปีละ 1000 ล้านบาท!!
ดูแค่นี้ ก็ซื้อไม่กล้าซื้อแล้วครับ
ถ้ากิจการต้องลงทุนมากๆ อย่างนี้ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน
เงินที่จะตกถึงมือผู้ถือหุ้นก็น่าจะน้อยลง
ซึ่งเราในฐานะผู้ถือหุ้น คงไม่ต้องการเช่นนั้น
อีกเรื่องนึง การบันทึกรายจ่าย (ซึ่งทำให้กำไรลดลง)
เป็นสินทรัพย์ ตัวอย่างในตลาดหลักทรัพย์คือ
บริษัทผลิตน้ำประปา ซึ่งเป็นญาติสนิทกับบริษัทไฟฟ้าครับ
รูปแบบก็คือทำสัญญาขายน้ำแบบ cost plus โดยออกหุ้นกู้ดอกเบี้ยสูง
ๆ แต่เพราะยังไม่ได้ใช้ลงทุน จึงนำไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ย ต่ำกว่าดอกเบี้ยจ่ายมาก หนำซ้ำบริษัทบันทึกดอกเบี้ยจ่ายเหล่านี้ เป็นสินทรัพย์ซะอีก คนสุดท้ายที่รับกรรมคือ ประชาชนอีกตามเคย
แต่บริษัทนี้ขออโหสิให้ เพราะผู้บริหารบริษัทท่านเพิ่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุไม่นานมานี้..
อีกบริษัทเป็นบริษัทผลิตไฟฟ้าที่กำลังเป็นข่าวครับ
คือบริษัทนี้ ไปทำสัญญากับรัฐบาลว่าจะขายไฟฟ้าให้
โดยคิดกำไรจากราคาขาย-ต้นทุนขาย
หรือที่เรียกว่า cost plus อะไรทำนองนี้ละครับ
ทีนี้บริษัทก็ ออกหุ้นกู้ให้ดอกเบี้ยสูงเกินควรมาก ระยะเวลาไถ่ถอนก็นานมาก
โดยตัดดอกเบี้ยจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน
แต่ก็ขายไฟฟ้าให้รัฐะที่ราคาสูงขึ้น เพราะเป็น cost plus
แต่มันมีผลเสียครับ...
ผลเสียต่อประเทศคือ รัฐต้องซื้อไฟฟ้าในราคาแพงเกินควร ประชาชนก็รับกรรมกันไป
ผลเสียต่อตัวบริษัทคือ เนื่องจากรัฐมีทางเลือกที่จะซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตหลายราย
จึงมักจะซื้อจากผู้ผลิตที่ต้นทุนต่ำสุด เพราะค่าไฟฟ้าจะถูกสุด ดังนั้นระยะหลังๆ มานี้โรงฟ้าฟ้าของบริษัทแห่งนี้ จึงมีคำสั่งซื้อไฟฟ้าลดลงเรื่อยๆ แม้จะได้รับการชดเชย ก็ไม่คุ้มค่ากับการเสียโอกาสขายครับ
เขียนจากความเข้าใจส่วนตัวนะครับ หากผิดพลาด ขออภัยผู้ถือหุ้นบริษัทที่กล่าวมาช่วยท้วงติงด้วยครับ... :lol:
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 693
แหมคุณ_ลูกอีสาน แกะงบเก่งจริงๆ เลย ผมเองก้อไม่รู้รายละเอียดหรอกนะครับว่า EGCOMP และ EAST WATER (EGCOMP ขายออกไปแล้วนะ เท่าที่ผมจำได้) ที่คุณลูกอีสานบอกเป็นไง อืม แต่ยังงี้มันก้อทำให้หลายๆ อย่างมันเพี้ยน และยิ่งเป็นเครื่องบ่งบอกได้เลยว่า EPS มันมีหลอกกันได้ครับ
_ลูกอีสาน wrote:
_ลูกอีสาน wrote:
อืมการลงทุนเยอะก้อไม่ใช่เรื่องเลวร้ายนะครับ ถ้าการลงทุนเพิ่มทำให้มีกำไรเพิ่มมากกว่าต้นทุนทางการเงิน แต่ถ้าฟังอย่างที่คุณ_ลูกอีสานว่าหุ้นนี้ก้ออาจจะไม่ดีก้อได้เพราะ กำไร (หวังว่าไม่ใช่ EPS แต่เป็นกำไรจากการดำเนินงานที่ปรับเป็นเกณฑ์เงินสด เรารู้แล้วว่า EPS มันหลอกใช่มั้ยครับ) มันน้อยกว่า capex ยังงี้ก้อต้องกู้เพิ่มหรือเพิ่มทุนกันอุตลุดเลยนะเนี่ยครับเรื่องค่าใช้จ่ายในการลงทุน หรือ capex
คือผมเจอหุ้นตัวหนึ่ง พีอีต่ำมากๆ ปันผลก็ดี กิจการก็ไปได้ดี
มีกำไรปีละประมาณ 800 ล้านบาท
แต่ไปดูที่ capex สามปีย้อนหลัง ปรากฏว่า
capex ปีละ 1000 ล้านบาท!!
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 694
หลักการง่ายๆที่ผมมักจะพิจารณาว่างบการเงินของบริษัทไหนมีปัญหาได้หรือไม่
1. บริษัทไม่มีบริษัทย่อย บริษัทร่วม หรือแม้แต่บริษัทในเครือมากมายนัก
2. ไม่มีรายการระหว่างกันของบริษัทในเครือ หรือบริษัทที่กรรมการถือห้นโดยส่วนตัว อาจมีรายการซื้อวัตถดิบในราคาสงเกินจริง หรือขายสินค้าให้ในราคาต่ำเกินจริง เป็นการโอนกำไรให้บริษัทอื่น
3. พิจารณาลกหนี้การค้าว่ามีความน่าเชื่อถือในมลค่าที่ลงแค่ไหน (ดระยะเวลาค้างชำระหนี้ในหมายเหต และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสญ) มีมลค่าลกหนี้การค้าค้างชำระของบริษัทในเครือหรือบริษัทที่กรรมการมีส่วนได้เสียไหม และเปรียบเทียบกับยอดขายด้วยว่ามีสัดส่วนเหมาะสมไหม มีแนวโน้มเป็นอย่างไร
4. สินค้าคงคลังมีมากเกินไปไหมเมื่อเทียบกับต้นทนขาย พิจารณาการตั้งสำรองมลค่าลดลงของสินค้าคงคลังประกอบด้วย
5. ถ้ามีเงินลงทนในห้น ต้องระวังครับ อาจเกิดกรณีเอาเงินบริษัทไปพยงห้นบริษัทในเครือ หรือซื้อห้นต่อจากกรรมการในราคาสงก็ได้ครับ
6. ระวังรายการอื่นๆทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สินทรัพย์หมนเวียนอื่น สินทรัพย์อื่น หนี้สินหมนเวียนอื่น หนี้สินอื่น ว่ามีมลค่ามากเกินไปไหม รายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง
7. พิจารณาการหมนเวียนของเงินสดของบริษัทจากงบกระแสเงินสด เช่น กำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงเปรียบเทียบกับกำไรสทธิบวกค่าเสื่อมราคาเป็นอย่างไร แหล่งที่มาของเงินสดและแหล่งที่ใช้ไปของเงินสด
รายการต่างๆเหล่านี้ถ้าวิเคราะห์หลายๆปี เราจะพอสามารถพบเห็นความผิดปรกติได้บ้างครับ
1. บริษัทไม่มีบริษัทย่อย บริษัทร่วม หรือแม้แต่บริษัทในเครือมากมายนัก
2. ไม่มีรายการระหว่างกันของบริษัทในเครือ หรือบริษัทที่กรรมการถือห้นโดยส่วนตัว อาจมีรายการซื้อวัตถดิบในราคาสงเกินจริง หรือขายสินค้าให้ในราคาต่ำเกินจริง เป็นการโอนกำไรให้บริษัทอื่น
3. พิจารณาลกหนี้การค้าว่ามีความน่าเชื่อถือในมลค่าที่ลงแค่ไหน (ดระยะเวลาค้างชำระหนี้ในหมายเหต และการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสญ) มีมลค่าลกหนี้การค้าค้างชำระของบริษัทในเครือหรือบริษัทที่กรรมการมีส่วนได้เสียไหม และเปรียบเทียบกับยอดขายด้วยว่ามีสัดส่วนเหมาะสมไหม มีแนวโน้มเป็นอย่างไร
4. สินค้าคงคลังมีมากเกินไปไหมเมื่อเทียบกับต้นทนขาย พิจารณาการตั้งสำรองมลค่าลดลงของสินค้าคงคลังประกอบด้วย
5. ถ้ามีเงินลงทนในห้น ต้องระวังครับ อาจเกิดกรณีเอาเงินบริษัทไปพยงห้นบริษัทในเครือ หรือซื้อห้นต่อจากกรรมการในราคาสงก็ได้ครับ
6. ระวังรายการอื่นๆทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สินทรัพย์หมนเวียนอื่น สินทรัพย์อื่น หนี้สินหมนเวียนอื่น หนี้สินอื่น ว่ามีมลค่ามากเกินไปไหม รายละเอียดเป็นอย่างไรบ้าง
7. พิจารณาการหมนเวียนของเงินสดของบริษัทจากงบกระแสเงินสด เช่น กำไรจากการดำเนินงานก่อนการเปลี่ยนแปลงเปรียบเทียบกับกำไรสทธิบวกค่าเสื่อมราคาเป็นอย่างไร แหล่งที่มาของเงินสดและแหล่งที่ใช้ไปของเงินสด
รายการต่างๆเหล่านี้ถ้าวิเคราะห์หลายๆปี เราจะพอสามารถพบเห็นความผิดปรกติได้บ้างครับ
- CEO
- Verified User
- โพสต์: 1243
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 695
ขอบคุณคุณ Chatchai มากครับ
ผมมีข้อสังเกตุข้อหนึ่งครับ
คือรายการระหว่างกันครับ ตอนนี้ผมก็กำลังแกะรอยบริษัทที่ผมสนใจครับว่ารายการต่างๆนั้นมันเป็น nature ในการทำธุรกิจของบริษัทในเครือจริงๆและทำตามความจำเป็นและโปร่งใสหรือเปล่า
แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าเราไม่เข้าใจในธุรกิจลึกซึ้ง เราก็ดูไม่ค่อยออกครับ
ผมมีข้อสังเกตุข้อหนึ่งครับ
คือรายการระหว่างกันครับ ตอนนี้ผมก็กำลังแกะรอยบริษัทที่ผมสนใจครับว่ารายการต่างๆนั้นมันเป็น nature ในการทำธุรกิจของบริษัทในเครือจริงๆและทำตามความจำเป็นและโปร่งใสหรือเปล่า
แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าเราไม่เข้าใจในธุรกิจลึกซึ้ง เราก็ดูไม่ค่อยออกครับ
การซื้อกิจการอาจไม่ใช่การเทคโอเวอร์ และการเทคโอเวอร์ ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าซื้อหุ้น..
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 696
ผมว่าผมสบายแล้วครับงานนี้
มีรุ่นพี่เก่งๆหลายๆท่านมาช่วยกันให้ความรู้น้องๆอย่างคับคั่ง
ก็ขอให้อยู่ด้วยกันนานๆนะครับ
ขอบคุณทุกๆท่านครับ
ทั้งพี่CK พี่Chatchai คุณAyethebing คุณลูกอีสาน และท่านอื่นๆ
แต่ไม่รู้ว่าคุณมน พี่เจ๋ง พี่ปรัชญา พี่ไก่ธันวา หายไปไหน
ไม่เห็นมาเยี่ยมเยียนกันที่นี่บ้างเลย
คิดถึงน่ะครับ
ผมว่าถ้าพักเงินก็น่าจะเป็นพวกตราสารหนี้ระยะสั้น
เพื่อรอนำไปลงทุนต่อ
ที่บริษัทไปซื้อกองทุนก็น่าจะเป็นเพราะว่า
บริษัทเหล่านั้นไม่เชี่ยวชาญในการบริหารเงินทุนที่มี
เลยไปฝากไว้กับกองทุนแทน
เพื่อนผมเป็นผู้จัดการกองทุน
เขาบอกว่ากองทุนทุกกองไม่ว่าจะเป็นกองหุ้น หรือกองพันธบัตร
มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น
ในกรณีที่ดอกเบี้ยขึ้น กองทุนพันธบัตรมีสิทธิขาดทุนได้เหมือนกัน
ดังนั้น ไม่มีที่ไหนปลอดภัย 100% ครับ
ส่วนค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา และการวิจัยพัฒนา
ในทางบัญชีถือว่าเป็น Opex ครับ
ต้องลงในงบกำไรขาดทุน
ไม่สามารถนำไปตัดค่าเสื่อมราคาได้
เลยไม่ได้ลงในงบดุลแต่อย่างใด
ส่วนลิขสิทธิ์ก็ไม่ได้บันทึกเป็นทรัพย์สินแต่อย่างใด
ยกตัวอย่าง เพลงของGrammy
จะบันทึกทรัพย์สินในรูปของต้นทุนมาสเตอร์เทปเท่านั้น
ส่วนลิขสิทธิ์ของเพลงที่จะมีอายุอีกห้าสิบปีจะไม่อยู่ในงบดุลครับ
ยกเว้น Grammyจะไปซื้อเพลงของชาวบ้านมาเป็นของตัวเอง
ก็สามารถนำมาลงเป็น ทรัพย์สินไม่มีตัวตน (Intangible Asset) ได้
แล้วหักAmortization ทุกปี
ลองดูงบGrammy ดูซิครับ จะเจอค่าลิขสิทธิ์เพลงในงบดุลด้วย
คงต้องไปถามผู้จัดการร้านเองละครับ งานนี้
แต่อยากรู้ว่าเกี่ยวกับการลงทุนอย่างไร
มีรุ่นพี่เก่งๆหลายๆท่านมาช่วยกันให้ความรู้น้องๆอย่างคับคั่ง
ก็ขอให้อยู่ด้วยกันนานๆนะครับ
ขอบคุณทุกๆท่านครับ
ทั้งพี่CK พี่Chatchai คุณAyethebing คุณลูกอีสาน และท่านอื่นๆ
แต่ไม่รู้ว่าคุณมน พี่เจ๋ง พี่ปรัชญา พี่ไก่ธันวา หายไปไหน
ไม่เห็นมาเยี่ยมเยียนกันที่นี่บ้างเลย
คิดถึงน่ะครับ
ถ้าบริษัทมีเงินสดมากๆMinesweeper เขียน:1. การที่บริษัท(พวกที่ผลิตสินค้าทั่วไป ไม่ใช่ บล. บง.) นำเงินสดจำนวนมากๆ ไปลงทุนในกองทุนตราสารหนี้ หรือกองทุนหุ้นต่างๆ พี่มีความเห็นว่ายังไง บ้างครับ
2. (จากที่มีการถกกัน 2-3 โพสที่ผ่านมา) ปกติแล้วค่าใช้จ่าย พวก R&D หรือ ค่าโฆษณา เนี่ย ถ้าบันทึกเป็น capex. ในทางบัญชี ตรงงบดุลที่เป็นส่วนทุน เขาจะไปเพิ่มในรายการไหนครับ ... (เคยได้ยินแต่พวก ลิขสิทธิ์ ทรัพย์สินทางปัญญา -- ไม่ทราบว่าเป็นประเภทเดียวกันหรือเปล่า)
ผมว่าถ้าพักเงินก็น่าจะเป็นพวกตราสารหนี้ระยะสั้น
เพื่อรอนำไปลงทุนต่อ
ที่บริษัทไปซื้อกองทุนก็น่าจะเป็นเพราะว่า
บริษัทเหล่านั้นไม่เชี่ยวชาญในการบริหารเงินทุนที่มี
เลยไปฝากไว้กับกองทุนแทน
เพื่อนผมเป็นผู้จัดการกองทุน
เขาบอกว่ากองทุนทุกกองไม่ว่าจะเป็นกองหุ้น หรือกองพันธบัตร
มีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น
ในกรณีที่ดอกเบี้ยขึ้น กองทุนพันธบัตรมีสิทธิขาดทุนได้เหมือนกัน
ดังนั้น ไม่มีที่ไหนปลอดภัย 100% ครับ
ส่วนค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา และการวิจัยพัฒนา
ในทางบัญชีถือว่าเป็น Opex ครับ
ต้องลงในงบกำไรขาดทุน
ไม่สามารถนำไปตัดค่าเสื่อมราคาได้
เลยไม่ได้ลงในงบดุลแต่อย่างใด
ส่วนลิขสิทธิ์ก็ไม่ได้บันทึกเป็นทรัพย์สินแต่อย่างใด
ยกตัวอย่าง เพลงของGrammy
จะบันทึกทรัพย์สินในรูปของต้นทุนมาสเตอร์เทปเท่านั้น
ส่วนลิขสิทธิ์ของเพลงที่จะมีอายุอีกห้าสิบปีจะไม่อยู่ในงบดุลครับ
ยกเว้น Grammyจะไปซื้อเพลงของชาวบ้านมาเป็นของตัวเอง
ก็สามารถนำมาลงเป็น ทรัพย์สินไม่มีตัวตน (Intangible Asset) ได้
แล้วหักAmortization ทุกปี
ลองดูงบGrammy ดูซิครับ จะเจอค่าลิขสิทธิ์เพลงในงบดุลด้วย
คำถามนี้ตอบไม่ได้ครับNum เขียน:ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ทำให้ผมเข้าใจเรื่องการลงทุนขึ้นอีกมากเลย ผมขอความเห็นอีกเรื่องนะครับ เกี่ยวกับ โบชัวร์ที่แจกตามบ้านของห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ยักษ์ใหญ่ต่างๆ คิดว่าทุกท่านคงเคยเห็นนะครับ ในนั้นจะมีโชว์รูปสินค้าและราคาให้ อยากขอความเห็นจากทุกท่านครับว่าสินค้าที่อยู่ในโบชัวร์นั้น เป็นประเภทที่ขายดีเป็นที่ต้องการของผู้คน ทางห้างเลยเอามาลงไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าหรือว่าเป็นพวกขายไม่ออก ทางห้างเลยต้องการจะโละสต๊อก รบกวนช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะครับ
คงต้องไปถามผู้จัดการร้านเองละครับ งานนี้
แต่อยากรู้ว่าเกี่ยวกับการลงทุนอย่างไร
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 697
อันนี้แหละ ที่ผมว่ามันแปลก ในกรณีของค่าใช้จ่าย R&D หลักบัญชีปัจจุบันมันไม่ make sense
คิดดูถ้าซื้อลิขสิทธ์มาลงในงบดุลและตัดค่าเสื่อมได้ แต่ถ้าทำ R&D ภายในบริษัทเอง ดันต้องไปลงเป็นค่าใช้จ่ายทั้งก้อนในปีที่เกิดรายได้
ถ้าลองดูงบกำไรขาดทุนระหว่างสองบริษัทที่ทำกิจการเหมือนกัน กิจการนึงซื้อเทคโนโลยี และต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ อีกบริษัทนึงทำเทคโนโลยีขึ้นมาเอง บริษัทที่ซื้อมาจะมีงบกำไรขาดทุนดีกว่าเฉยเลย เพราะสามารถทยอยตัดจ่ายค่าใช้จ่ายได้
Free cash flow สามารถลบข้อมูลผิดพลาดทางบัญชีตรงนี้ได้ เช่นเดียวกับหลักของ EVA และ economic profit
ถ้าจะให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก้อต้องเอาลิขสิทธิ์และค่า R&D มาเป็นสินทรัพย์ทั้งคู่
คิดดูถ้าซื้อลิขสิทธ์มาลงในงบดุลและตัดค่าเสื่อมได้ แต่ถ้าทำ R&D ภายในบริษัทเอง ดันต้องไปลงเป็นค่าใช้จ่ายทั้งก้อนในปีที่เกิดรายได้
ถ้าลองดูงบกำไรขาดทุนระหว่างสองบริษัทที่ทำกิจการเหมือนกัน กิจการนึงซื้อเทคโนโลยี และต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ อีกบริษัทนึงทำเทคโนโลยีขึ้นมาเอง บริษัทที่ซื้อมาจะมีงบกำไรขาดทุนดีกว่าเฉยเลย เพราะสามารถทยอยตัดจ่ายค่าใช้จ่ายได้
Free cash flow สามารถลบข้อมูลผิดพลาดทางบัญชีตรงนี้ได้ เช่นเดียวกับหลักของ EVA และ economic profit
ถ้าจะให้เป็นมาตรฐานเดียวกันก้อต้องเอาลิขสิทธิ์และค่า R&D มาเป็นสินทรัพย์ทั้งคู่
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 698
ไม่ได้ไปไหนครับ หัวฟูอยู่ครับจัดการกับเอกสารของบริษัทอยู่ครับ ลองคิดดูซิว่าปิดงบมันยุ่งแค่ไหน
หลังๆนี้อ่านได้ความรู้มากขึ้นอีกแล้วครับ คุณayeผู้เชี่ยวชาญเรื่องEVAน่าจะยกตัวอย่างกันสักหน่อยดีไหมครับ เอาAprintกันไหมน่าทำนะผมจะบอกให้
หลังๆนี้อ่านได้ความรู้มากขึ้นอีกแล้วครับ คุณayeผู้เชี่ยวชาญเรื่องEVAน่าจะยกตัวอย่างกันสักหน่อยดีไหมครับ เอาAprintกันไหมน่าทำนะผมจะบอกให้
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 699
หวัดดีครับ เพิ่งเข้ามาอ่าน ดีมากๆ น่าจะเจอนานแล้ว เห็นมีการพูดกันถึงการหา intrinsic value (ทางบัญชี หรือ การเงิน ??) อยากให้ช่วยแนะนำหนังสือดี ๆ ภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ครับ แบบที่เข้าใจง่าย (ไม่ได้เรียนมาทางบัญชี ) และ ซับซ้อนด้วยครับ ตั้งใจว่าจะศึกษาอย่างจริงจัง
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หน้าใหม่
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หน้าใหม่
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 700
เคยทำครับ แต่ทำๆ ไปก้อรู้สึกว่าการเดามันเยอะเหลือเกินจนน่าจะทำให้การทำมันผิด อันนี้แหละ ทำให้เราต้องมีความรู้เยอะมากในการลงทุนในหุ้นที่เรารู้จัก มันถึงสามารถทำให้เราสามารถคาดเดาอนาคตได้แม่นยำมากขึ้น อันนี้ตาม Warren Buffet เลยครับไม่ได้ไปไหนครับ หัวฟูอยู่ครับจัดการกับเอกสารของบริษัทอยู่ครับ ลองคิดดูซิว่าปิดงบมันยุ่งแค่ไหน
หลังๆนี้อ่านได้ความรู้มากขึ้นอีกแล้วครับ คุณayeผู้เชี่ยวชาญเรื่องEVAน่าจะยกตัวอย่างกันสักหน่อยดีไหมครับ เอาAprintกันไหมน่าทำนะผมจะบอกให้
ปิดงบก้อน่าจะเสร็จแล้วนะครับ
อ้อ ผมไม่เชี่ยวชาญหรอกครับ EVA เป็นความรู้แบบ snake snake fish fish อะ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 701
ถ้าเกี่ยวกับการหามูลค่าหุ้นก็ต้องAnonymous เขียน:หวัดดีครับ เพิ่งเข้ามาอ่าน ดีมากๆ น่าจะเจอนานแล้ว เห็นมีการพูดกันถึงการหา intrinsic value (ทางบัญชี หรือ การเงิน ??) อยากให้ช่วยแนะนำหนังสือดี ๆ ภาษาไทยหรืออังกฤษก็ได้ครับ แบบที่เข้าใจง่าย (ไม่ได้เรียนมาทางบัญชี ) และ ซับซ้อนด้วยครับ ตั้งใจว่าจะศึกษาอย่างจริงจัง
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
หน้าใหม่
"การปรับโครงสร้างทางการเงินและการหามูลค่าหุ้น เล่ม2" ของ สนพ FPM Consultant
หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ดครับ
ถ้าหลักการลงทุนแบบคุณค่าก็ต้อง
Value Investing Made Easy และ The New Buffetology ฉบับภาษาไทย
หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ด เช่นเดียวกันครับ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 702
ผมเองจบวิศวฯแต่พอเป็นเถ้าแก่ต้องดูหมด ส่วนภรรยาดูเรื่องบัญชีให้ คือเธอเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีครับเวลาทำบัญชีผมจะต้องหนีออกนอกบ้านไม่งั้นแม่ถามนู่นถามนี่ตอบไม่ไหวเลยหนีก่อนกะเวลาทำเสร็จแล้วค่อยกลับบ้าน
คุณaye ผมเคยอ่านเรื่องEVAมานิดหน่อย เห็นว่าน่าจะดีถ้าเรามาช่วยกันเผยแพร่ให้เพื่อนๆอ่านกันครับ เคยซื้อหนังสือมาอ่านนานโขอยู่อ่านไม่จบเสียที อ่านแล้วลืมซะมาก ว่าจะเอามาปัดฝุ่นเสียหน่อยครับ
คุณaye ผมเคยอ่านเรื่องEVAมานิดหน่อย เห็นว่าน่าจะดีถ้าเรามาช่วยกันเผยแพร่ให้เพื่อนๆอ่านกันครับ เคยซื้อหนังสือมาอ่านนานโขอยู่อ่านไม่จบเสียที อ่านแล้วลืมซะมาก ว่าจะเอามาปัดฝุ่นเสียหน่อยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 703
คราวนี้ผมขอเป็นคนฟังบ้างMon money เขียน: คุณaye ผมเคยอ่านเรื่องEVAมานิดหน่อย เห็นว่าน่าจะดีถ้าเรามาช่วยกันเผยแพร่ให้เพื่อนๆอ่านกันครับ เคยซื้อหนังสือมาอ่านนานโขอยู่อ่านไม่จบเสียที อ่านแล้วลืมซะมาก ว่าจะเอามาปัดฝุ่นเสียหน่อยครับ
ต้องให้สองท่านอาจารย์Monและอาจารย์ Aye
ช่วยบรรยายเป็นวิทยาทานเรื่อง EVA แล้วละครับ
แต่เอแล้ว EVA มันคืออะไร มีไว้ทำไม และจะเอาไปใช้ในการลงทุนได้อย่างไร
ช่วยไขข้อข้องใจด้วยนะครับ ท่านอาจารย์ทั้งสอง อิ อิ
คราวนี้เป็นทีของผมบ้าง นานๆจะมีคนหลงกลมาให้ถามถึงที่
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 704
สวัสดีครับเถ้าแก่มน อาจารย์วิบูลย์ และผู้เชี่ยวชาญ AyethebingMon money เขียน:ผมเองจบวิศวฯแต่พอเป็นเถ้าแก่ต้องดูหมด
เรื่อง EVA ผมก็ศึกษามาบ้างครับ แต่อย่างที่เคย debate (ภาษาไทย
แปลว่าทะเลาะ) กันไว้ ผมมีอคติกับวิธีนี้พอประมาณครับ เพราะเป็น
วิธีที่ฝรั่งนิยมใช้ แต่การพยายาม "เพิ่มมูลค่า" ให้กับผู้ถือหุ้นโดยไม่
พิจารณาองค์ประกอบหลายๆอย่างนอก financial model จะลดศักย-
ภาพในการแข่งขันในระยะยาวของบริษัทครับ ซึ่งอันนี้ก็เป็นจริงสำ
หรับ modelling เกือบทุกวิธี เพราะไม่มีวิธีไหน perfect และ taken
into account เรื่อง intangible value เช่น goodwill, Durable
competitive advantage หรือ customer loyalty
ผมก็เลยมาคิดว่า การที่เราใช้ EVA เพื่อศึกษามูลค่าของบริษัทสอง
ถึงสามบริษัท (ต่อให้อยู่ในธุรกิจเดียวกันก็เถอะ) ผลที่ได้ออกมา
เปรียบเทียบกัน บริษัทที่ให้ Return สูงสุดอาจจะเป็นบริษัทที่น่า
ลงทุนในระยะยาวน้อยที่สุดก็เป็นได้ครับ เหมือนกับเทคนิคการ
ยืมเงินในอนาคตมาใช้ ซึ่งถ้าการขยายตัวของธุรกิจไม่สอดคล้อง
กับการดำเนินงานเอง (ขยายเร็วไปหรือช้าไป) จะทำให้ประสบ
ปัญหาในระยะยาวแทน ต้องมานั่งทำการบ้านใหม่ทุกปีเพื่อดูว่า
ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ตอนนี้ผมลองลงทุนโดยดูจากผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอย่าง
เดียวครับ โดย criteria คือ
1. ไม่เคยซื้อหรือขายหุ้นที่ถือในนามตัวเองออกมาเลยแม้แต่หุ้น
เดียว (ซื้อขายผ่านเพื่อนฝูงช่วยไม่ได้ครับ เพราะหาข้อมูลไม่ได้)
และต้องถือหุ้นในบริษัทตัวเองเกิน 50%
2. ไม่เพิ่มทุนพร่ำเพรื่อ ไม่ว่าจะโดยการออกวอร์แรนท์ Public
Offering หรือ Private Placement และไม่กู้เงินพร่ำเพรื่อด้วย
3. มีความสามารถที่จะทำให้บริษัทกำไรได้เป็น สิบปีติดต่อกัน
โดยทั้งสิบปีจะต้องผ่านทั้ง cycle เศรษฐกิจตกต่ำ และยุคขุดทอง
ส่วนว่าจะซื้อมากหรือซื้อน้อย ค่อยดูจากผลประกอบการอีกที คือ
ถ้าราคาแพงกว่าผลประกอบการมากก็ซื้อน้อยหน่อย ถ้าราคาถูกกว่า
ผลประกอบการมากก็ซื้อเยอะหน่อย
ผมยังไม่ได้ลงทุนแบบนี้มากนักครับ เพราะไม่แน่ใจว่าจะ work
หรือเปล่า แต่ถ้าคิดว่าในอนาคตผมอยากจะเที่ยวรอบโลกและทำ
งานสังคมสงเคราะห์โดยไม่เทรดอีกแล้ว แต่อยากได้เช็คปันผล
ทุกปี และฐานพอร์ตใหญ่ขึ้นทุกปี วิธีนี้ก็ดูน่าสนใจทีเดียวครับ
ก่อนที่ผมจะถลำตัวไปมากกว่านี้ ไม่ทราบว่าผู้รู้ทุกท่านมีความเห็น
เชิงขัดแย้งประการใดครับ ช่วยกันถล่มให้ยับไปเลย จะได้ปรับแนว
ทางถูก
บอกตรงๆว่านั่งดูราคา อ่านผลประกอบการและเลือกหุ้นทุกวันแล้ว
มันเหนื่อยครับ ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าความรู้ความสามารถถดถอยไปทุกที
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถึงวัยทองหรือเพราะโลกมันหมุนเร็วขึ้นกันแน่
อีกวิธีที่กำลังคิดดังๆคือ สนับสนุนให้อาจารย์วิบูลย์ตั้งกองทุน VIB007
(Value Investment Basket 7) ให้ผมขายหุ้นหมดแล้วไปซื้อ ผ่าน
ไปสิบปี VIB007 อาจจะได้เข้าเทรดในตลาด กลายเป็นหุ้นราคาแพงที่
สุดในตลาดก็ได้ ฮ่าๆ
(แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Berkshire Hathaway of Thailand)
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 705
คุณ aye ยังไม่เข้ามา ขอผมกะคุณ CK บรรเลงไปก่อนนะคร๊าบบ... :lol: :lol:
ค้นคิดโดยนาย Stern Stewart เมื่อปี 89
มีสมการคือ
EVA = กำไรจากการดำเินินงานหลังหักภาษี -(ทุนทั้งหมด x ต้นทุนทุนทั้งหมด)
ทุนทั้งหมด หรือ invested capital = debt+leases+equity
ต้นทุนของทุน ก็คือ WACC หรือ weight average cost of capital นั่นเอง
EVA เป็นที่นิยมใช้ในบริษัทใหญ่ๆ ที่อเมริกา เพื่อใช้วัดดูว่าผู้บริหาร สร้างผลตอบแทนที่เป็นบวก จากการลงทุน ให้ผู้ถือหุ้นหรือ ทำลายมูลค่าของผู้ถือหุ้น
จากสมการ แปลความได้ว่า การลงทุนใดๆ จะต้องให้ผลตอบแทน มากกว่าต้นทุนเงินลงทุนทั้งหมดของกิจการ กิจการใดๆ ที่สร้าง EVA มากๆ ผู้ถือหุ้นก็ย่อมได้รับประโยชน์มาก ในขณะเดียวกัน กิจกรรมใดๆ ที่มี EVA เป็นลบ หมายความว่ากิจกรรมการลงทุนนั้น ทำลายมูลค่าของบริษัท
หากบริษัทใด ใ้ช้วิธีนี้ในการทำงาน ผู้บริหาร หรืออาจเป็นผู้จัดการแผนก จะต้องลงทุนในกิจกรรมที่มี EVA เป็นบวก เท่านั้น
ซึ่งทำให้มีข้อเสียอย่างที่คุณ CK กล่าวมาคือ บางกิจกรรมเป็นการลงทุนเืพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ของกิจการ แต่อาจจะมี EVA เป็นลบก็ได้ ดังนั้นกิจการใดที่ใช้วิธีนี้วัดผลงาน อาจมองประโยชน์ในระยะสั้นๆ เท่านั้น ไม่คำนึงถึงประโยชน์ในระยะยาว..
เราในฐานะนักลงทุน แน่นอนว่าควรจะลงทุนในกิจการที่มี EVA เป็นบวกเท่านั้น
แต่ไม่ใช่ว่า เราควรจะลงทุนในกิจการที่มี EVA สูงที่สุด เพราะเราต้องคำนึงถึงราคาที่จะซื้อด้วยครับ มีแนวคิดอีกตัว ที่มีแนวคิดคล้ายๆกับ EVA คือ
MVA หรือ Market Value Added
EVA ย่อมาจาก Economic Value Addedคราวนี้ผมขอเป็นคนฟังบ้าง
ต้องให้สองท่านอาจารย์Monและอาจารย์ Aye
ช่วยบรรยายเป็นวิทยาทานเรื่อง EVA แล้วละครับ
แต่เอแล้ว EVA มันคืออะไร มีไว้ทำไม และจะเอาไปใช้ในการลงทุนได้อย่างไร
ช่วยไขข้อข้องใจด้วยนะครับ ท่านอาจารย์ทั้งสอง อิ อิ
คราวนี้เป็นทีของผมบ้าง นานๆจะมีคนหลงกลมาให้ถามถึงที่
ค้นคิดโดยนาย Stern Stewart เมื่อปี 89
มีสมการคือ
EVA = กำไรจากการดำเินินงานหลังหักภาษี -(ทุนทั้งหมด x ต้นทุนทุนทั้งหมด)
ทุนทั้งหมด หรือ invested capital = debt+leases+equity
ต้นทุนของทุน ก็คือ WACC หรือ weight average cost of capital นั่นเอง
EVA เป็นที่นิยมใช้ในบริษัทใหญ่ๆ ที่อเมริกา เพื่อใช้วัดดูว่าผู้บริหาร สร้างผลตอบแทนที่เป็นบวก จากการลงทุน ให้ผู้ถือหุ้นหรือ ทำลายมูลค่าของผู้ถือหุ้น
จากสมการ แปลความได้ว่า การลงทุนใดๆ จะต้องให้ผลตอบแทน มากกว่าต้นทุนเงินลงทุนทั้งหมดของกิจการ กิจการใดๆ ที่สร้าง EVA มากๆ ผู้ถือหุ้นก็ย่อมได้รับประโยชน์มาก ในขณะเดียวกัน กิจกรรมใดๆ ที่มี EVA เป็นลบ หมายความว่ากิจกรรมการลงทุนนั้น ทำลายมูลค่าของบริษัท
หากบริษัทใด ใ้ช้วิธีนี้ในการทำงาน ผู้บริหาร หรืออาจเป็นผู้จัดการแผนก จะต้องลงทุนในกิจกรรมที่มี EVA เป็นบวก เท่านั้น
ซึ่งทำให้มีข้อเสียอย่างที่คุณ CK กล่าวมาคือ บางกิจกรรมเป็นการลงทุนเืพื่อเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว ของกิจการ แต่อาจจะมี EVA เป็นลบก็ได้ ดังนั้นกิจการใดที่ใช้วิธีนี้วัดผลงาน อาจมองประโยชน์ในระยะสั้นๆ เท่านั้น ไม่คำนึงถึงประโยชน์ในระยะยาว..
เราในฐานะนักลงทุน แน่นอนว่าควรจะลงทุนในกิจการที่มี EVA เป็นบวกเท่านั้น
แต่ไม่ใช่ว่า เราควรจะลงทุนในกิจการที่มี EVA สูงที่สุด เพราะเราต้องคำนึงถึงราคาที่จะซื้อด้วยครับ มีแนวคิดอีกตัว ที่มีแนวคิดคล้ายๆกับ EVA คือ
MVA หรือ Market Value Added
แก้ไขล่าสุดโดย ลูกอิสาน เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 09, 2004 2:49 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 706
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 707
แหมลืมท่านอาจารย์แห่งแดนอีสานไปได้อย่างไร ศิษย์พรรคกระยาจกขอคารวะด้วยยอดข้าวหนึ่งจอกครับ
CK wrote:
CK wrote:
แล้วอย่าลืมกองทุนเจ๋งตาทิพย์รวงยอดข้าว กับเจ๋งตาทิพย์ธนทุนของเฮียผู้เล็งอะไรเป็นถูกของเราด้วยนะครับ อิอิอีกวิธีที่กำลังคิดดังๆคือ สนับสนุนให้อาจารย์วิบูลย์ตั้งกองทุน VIB007
(Value Investment Basket 7) ให้ผมขายหุ้นหมดแล้วไปซื้อ ผ่าน
ไปสิบปี VIB007 อาจจะได้เข้าเทรดในตลาด กลายเป็นหุ้นราคาแพงที่
สุดในตลาดก็ได้ ฮ่าๆ
(แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Berkshire Hathaway of Thailand)
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6483
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 708
MVA หรือ Market Value Added
สมการคือ MVA= market value - invested capital
market value คือ enterprise value นั่นเอง= มูลค่าตลาด+debt
invested capital คือ ส่วนทุน+debt
ดังนั้น MVA= มูลค่าตลาด-ส่วนทุน (ิbook value)
แนวคิดนี้คือ เนื่องจากผู้ลงทุน ใส่เงินลงไปในบริษัท เพื่อให้ผู้บริหารนำไปลงทุนให้เกิดผลกำไร ดังนั้นราคาตลาดของกิจการนี้(มูลค่าตลาด) จะสะท้อนความเชื่อมั่นที่ตลาดมีต่อกิจการ หาก MVA มีค่าบวก แสดงว่าตลาดเชื่อว่ากิจการสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าเงินที่ผู้ลงทุนใส่ลงไป แต่หากค่่านี้ติดลบแสดงว่าความเชื่อมั่นของตลาดต่อกิจการมี ค่าน้อยกว่าเงินที่ใส่ลงไป ซึ่งเป็นการทำลายความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น
ฟังดูแล้วก็แปลกๆ ดีครับ ตัว MVA เหมือนกับจะบอกว่า นักลงทุน ควรซื้อหุ้นที่มี BV หรือมูลค่าหุ้นต่อบัญชีสูงๆ มากกว่าหุ้นที่มี ฺBV ต่ำๆ
ทั้ง EVA &MVA ไม่เคยนำมาใช้ในการลงทุนเลยครับ เพราะยังไม่เข้าใจพอ และดูยุ่งยาก ซับซ้อน คิดว่าวอร์เรน ก็คงไม่ใช้ค่าทั้งสองตัวนี้เหมือน แต่อาจจะมีแนวคิดเรื่องการสร้าง-ลด ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น ที่คล้ายๆ กันครับ
ผิดถูกทักท้วงด้วยนะครับ คุณ aye คุณ CK''
สมการคือ MVA= market value - invested capital
market value คือ enterprise value นั่นเอง= มูลค่าตลาด+debt
invested capital คือ ส่วนทุน+debt
ดังนั้น MVA= มูลค่าตลาด-ส่วนทุน (ิbook value)
แนวคิดนี้คือ เนื่องจากผู้ลงทุน ใส่เงินลงไปในบริษัท เพื่อให้ผู้บริหารนำไปลงทุนให้เกิดผลกำไร ดังนั้นราคาตลาดของกิจการนี้(มูลค่าตลาด) จะสะท้อนความเชื่อมั่นที่ตลาดมีต่อกิจการ หาก MVA มีค่าบวก แสดงว่าตลาดเชื่อว่ากิจการสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าเงินที่ผู้ลงทุนใส่ลงไป แต่หากค่่านี้ติดลบแสดงว่าความเชื่อมั่นของตลาดต่อกิจการมี ค่าน้อยกว่าเงินที่ใส่ลงไป ซึ่งเป็นการทำลายความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น
ฟังดูแล้วก็แปลกๆ ดีครับ ตัว MVA เหมือนกับจะบอกว่า นักลงทุน ควรซื้อหุ้นที่มี BV หรือมูลค่าหุ้นต่อบัญชีสูงๆ มากกว่าหุ้นที่มี ฺBV ต่ำๆ
ทั้ง EVA &MVA ไม่เคยนำมาใช้ในการลงทุนเลยครับ เพราะยังไม่เข้าใจพอ และดูยุ่งยาก ซับซ้อน คิดว่าวอร์เรน ก็คงไม่ใช้ค่าทั้งสองตัวนี้เหมือน แต่อาจจะมีแนวคิดเรื่องการสร้าง-ลด ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น ที่คล้ายๆ กันครับ
ผิดถูกทักท้วงด้วยนะครับ คุณ aye คุณ CK''
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 709
น่านสิครับ ผมเองตอนที่ต้องทำ EVA ก็เพื่อวัดผลว่าจะเอาเงิน_ลูกอีสาน เขียน: ทั้ง EVA &MVA ไม่เคยนำมาใช้ในการลงทุนเลยครับ เพราะยังไม่เข้าใจพอ และดูยุ่งยาก ซับซ้อน คิดว่าวอร์เรน ก็คงไม่ใช้ค่าทั้งสองตัวนี้เหมือน แต่อาจจะมีแนวคิดเรื่องการสร้าง-ลด ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น ที่คล้ายๆ กันครับ
บริษัทฯไปลงทุนโปรเจ็กท์ใหม่ให้ผู้ถือหุ้นกำไรมากกว่าเดิมได้
หรือไม่เท่านั้นเอง (คือคิดว่าเทียบกับปันผลให้ผู้ถือหุ้นคืนไป
กับเอาไปลงทุนใหม่ อย่างไหนจะคุ้มกับผู้ถือหุ้นกว่ากัน)
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 710
_ลูกอีสาน wrote:
EVA & MVA ไม่เคยนำมาใช้ในการลงทุนเลย อืม คงไม่โต้แย้งหรอกครับ ข้อนี้ สำหรับผม มันเป็นเครื่องมือวัดผลการดำเนินงานแบบไม่มีความบิดเบี้ยวในงบการเงินตามหลักบัญชีเท่านั้นเอง มันก้อเหมือนกับการดูงบการเงินแบบที่เราดูๆ กันตอนเลือกซื้อหุ้นนั่นแหละ เพียงแต่มันมองอีกมุมนึงเท่านั้นเอง
ผมเองก้อไม่รู้รายละเอียดการคำนวนแบบอื่น หรอกครับแต่ก้อพร้อมจะเรียนรู้ครับ
ผมว่าผมตอบคุณ _ลูกอีสานไปแล้วนะครับ EVA หรือ MVA สูง ก้อไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะให้ผลตอบแทนสูง (เงินปันผล+กำไรจากราคาหุ้น) มันอยู่ว่าเราหา "หุ้นเงา" เจออะปล่าวต่างหากครับฟังดูแล้วก็แปลกๆ ดีครับ ตัว MVA เหมือนกับจะบอกว่า นักลงทุน ควรซื้อหุ้นที่มี BV หรือมูลค่าหุ้นต่อบัญชีสูงๆ มากกว่าหุ้นที่มี ฺBV ต่ำๆ
ทั้ง EVA &MVA ไม่เคยนำมาใช้ในการลงทุนเลยครับ เพราะยังไม่เข้าใจพอ และดูยุ่งยาก ซับซ้อน คิดว่าวอร์เรน ก็คงไม่ใช้ค่าทั้งสองตัวนี้เหมือน แต่อาจจะมีแนวคิดเรื่องการสร้าง-ลด ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น ที่คล้ายๆ กันครับ
ผิดถูกทักท้วงด้วยนะครับ คุณ aye คุณ CK''
EVA & MVA ไม่เคยนำมาใช้ในการลงทุนเลย อืม คงไม่โต้แย้งหรอกครับ ข้อนี้ สำหรับผม มันเป็นเครื่องมือวัดผลการดำเนินงานแบบไม่มีความบิดเบี้ยวในงบการเงินตามหลักบัญชีเท่านั้นเอง มันก้อเหมือนกับการดูงบการเงินแบบที่เราดูๆ กันตอนเลือกซื้อหุ้นนั่นแหละ เพียงแต่มันมองอีกมุมนึงเท่านั้นเอง
ผมเองก้อไม่รู้รายละเอียดการคำนวนแบบอื่น หรอกครับแต่ก้อพร้อมจะเรียนรู้ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 711
สวัสดีครับคุณพี่CKCK เขียน:
สวัสดีครับเถ้าแก่มน อาจารย์วิบูลย์ และผู้เชี่ยวชาญ Ayethebing
ผมก็เลยมาคิดว่า การที่เราใช้ EVA เพื่อศึกษามูลค่าของบริษัทสอง
ถึงสามบริษัท (ต่อให้อยู่ในธุรกิจเดียวกันก็เถอะ) ผลที่ได้ออกมา
เปรียบเทียบกัน บริษัทที่ให้ Return สูงสุดอาจจะเป็นบริษัทที่น่า
ลงทุนในระยะยาวน้อยที่สุดก็เป็นได้ครับ เหมือนกับเทคนิคการ
ยืมเงินในอนาคตมาใช้ ซึ่งถ้าการขยายตัวของธุรกิจไม่สอดคล้อง
กับการดำเนินงานเอง (ขยายเร็วไปหรือช้าไป) จะทำให้ประสบ
ปัญหาในระยะยาวแทน ต้องมานั่งทำการบ้านใหม่ทุกปีเพื่อดูว่า
ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่
ไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่นะครับช่วงนี้
ต้องขอบคุณพี่มากๆเลยครับ
ที่ตอบคำถามน้องๆอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
บางคำถามพี่ตอบแทน ผมก็ไม่ต้องทำงาน สบายไปเลย
ขอบคุณมากจริงๆครับ
เรื่อง EVA บอกตรงๆว่า ผมไม่ถนัด
และเคยทำแบบฝึกหัดของบริษัทที่ทำงานอยู่
โดยการเอา EVA มาประยุกต์ใช้ในการคัดเลือก Business Unit ที่ต้องการกำจัดทิ้ง
เรียกว่า อันไหนไม่ทำกำไรก็ขายทิ้งไปเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่น อะไรทำนองนั้นนะครับ
ใช้ไปใช้มา สุดท้ายก็มาลงที่ Cash Position มากกว่า
ก็คือว่า ถ้าอย่างน้อยมันสร้างกระแสเงินสดอยู่ก็ทำต่อไป
เพราะบางทีการที่เราคิดว่าจะนำเงินที่ได้จากการขายไปลงทุนอย่างอื่น
อาจจะไม่ได้ผลตอบแทนอย่างที่เราคาดหวังไว้ก็ได้
เรียกว่า สุดท้าย Cash is King ครับ
รู้สึกผมจะมีหุ้นแบบนี้ในพอร์ตด้วยครับหนึ่งตัวCK เขียน:
ตอนนี้ผมลองลงทุนโดยดูจากผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่สุดอย่าง
เดียวครับ โดย criteria คือ
1. ไม่เคยซื้อหรือขายหุ้นที่ถือในนามตัวเองออกมาเลยแม้แต่หุ้น
เดียว (ซื้อขายผ่านเพื่อนฝูงช่วยไม่ได้ครับ เพราะหาข้อมูลไม่ได้)
และต้องถือหุ้นในบริษัทตัวเองเกิน 50%
2. ไม่เพิ่มทุนพร่ำเพรื่อ ไม่ว่าจะโดยการออกวอร์แรนท์ Public
Offering หรือ Private Placement และไม่กู้เงินพร่ำเพรื่อด้วย
3. มีความสามารถที่จะทำให้บริษัทกำไรได้เป็น สิบปีติดต่อกัน
โดยทั้งสิบปีจะต้องผ่านทั้ง cycle เศรษฐกิจตกต่ำ และยุคขุดทอง
ส่วนว่าจะซื้อมากหรือซื้อน้อย ค่อยดูจากผลประกอบการอีกที คือ
ถ้าราคาแพงกว่าผลประกอบการมากก็ซื้อน้อยหน่อย ถ้าราคาถูกกว่า
ผลประกอบการมากก็ซื้อเยอะหน่อย
ผมยังไม่ได้ลงทุนแบบนี้มากนักครับ เพราะไม่แน่ใจว่าจะ work
หรือเปล่า แต่ถ้าคิดว่าในอนาคตผมอยากจะเที่ยวรอบโลกและทำ
งานสังคมสงเคราะห์โดยไม่เทรดอีกแล้ว แต่อยากได้เช็คปันผล
ทุกปี และฐานพอร์ตใหญ่ขึ้นทุกปี วิธีนี้ก็ดูน่าสนใจทีเดียวครับ
ก่อนที่ผมจะถลำตัวไปมากกว่านี้ ไม่ทราบว่าผู้รู้ทุกท่านมีความเห็น
เชิงขัดแย้งประการใดครับ ช่วยกันถล่มให้ยับไปเลย จะได้ปรับแนว
ทางถูก
เป็นห่านทองคำของแท้
ชาตินี้ไม่มีวันตาย ไข่ไม่มีวันหมด
ไม่สนใจว่าเศรษฐกิจจะดีไม่ดี ทำกำไรตลอด
เจ้าของไม่เคยขายหุ้น ซื้อเพิ่มอย่างเดียว ถือเกินครึ่ง
ไม่มีหนี้ เคยอ่านบทสัมภาษณ์ ผุ้บริหารบอกว่ากลัวมีหนี้ที่สุดในชีวิต
ก็เลยมีแต่เงินสด และลงทุนด้วยเงินสดล้วนๆ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
หุ้นชาวบ้านราคาเขาไปถึงดาวอังคารกันแล้ว
แต่หุ้นเจ้านี้ยังไม่ได้ไปถึงไหน
ผ่านไปเกือบสองปี
ราคาก็อยู่ที่เดิม
ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดีนะครับ
ผมก็เพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจนครบโควต้าลงทุน
มันก็ไม่ไปไหน
คิดแต่จะออกไข่อย่างเดียว ไม่เคยคิดโตเลยหรือไงเนี่ย
ตอนนี้เลยต้องมานั่งพิจารณาดูว่า ที่เราคิดนี่ถูกหรือผิด(ว่ะ)
ยังไม่มีข้อสรุปครับ คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องตัดสินครับ
ต้องขอบคุณคุณพี่CK ครับที่ให้เกียรติผมขาดนี้CK เขียน:
บอกตรงๆว่านั่งดูราคา อ่านผลประกอบการและเลือกหุ้นทุกวันแล้ว
มันเหนื่อยครับ ยิ่งทำก็ยิ่งรู้สึกว่าความรู้ความสามารถถดถอยไปทุกที
ไม่ทราบว่าเป็นเพราะถึงวัยทองหรือเพราะโลกมันหมุนเร็วขึ้นกันแน่
อีกวิธีที่กำลังคิดดังๆคือ สนับสนุนให้อาจารย์วิบูลย์ตั้งกองทุน VIB007
(Value Investment Basket 7) ให้ผมขายหุ้นหมดแล้วไปซื้อ ผ่าน
ไปสิบปี VIB007 อาจจะได้เข้าเทรดในตลาด กลายเป็นหุ้นราคาแพงที่
สุดในตลาดก็ได้ ฮ่าๆ
(แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น Berkshire Hathaway of Thailand)
ตอนนี้ยังไม่กล้ารับเงินใครมาทดลองเล่นครับ
กลัวเจ๊งแล้วจะโดน ...... จุด จุด จุด
แล้วก็ไม่กล้าเทียบตัวเองกับอาจาย์Buffet ด้วยครับ คนละชั้นกันครับ
ตอนนี้็ใช้พอร์ตของภรรยาเป็นหนูทดลอง
ผมก็ทำตัวเป็นลูกจ้างประจำพอร์ต
เป้าหมายของผมก็คือ ค้นหาหลักการและวิธีการลงทุนที่สามารถทำเงินได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
โดยไม่ต้องไปเทรดเข้าเทรดออก วิ่งเข้าวิ่งออกตลาดหุ้นให้เมื่อยตุ้ม
ปีที่ผ่านมา พอร์ตสู้ SET ไม่ได้ครับ
แต่ไม่เคยท้อ ก็มุ่งหาการลงทุนที่เหมาะกับเราต่อไป
ผมซื้อหุ้นมาแล้วไม่ค่อยขาย
ผลตอบแทนปีที่ผ่านมาเลยสู้แบบวิ่งเข้าออกตลาดไม่ได้
ต้องบอกว่า ผมลงทุนค่อนข้างConservativeมาก
(ภรรยาผมบอก Conservative มากเกินไปเลยพลาดโอกาสในการลงทุนไปเยอะ)
ต้องยอมรับว่า พลาดโอกาสไปหลายครั้ง เพราะความอนุรักษ์นิยม
แต่ก็ต้องบอกว่า เสียดายดีกว่าเสียใจครับ
เพราะผมถือหลักสองข้อ
หนึ่ง อย่าขาดทุน
สอง อย่าลืมกฎข้อที่หนึ่ง
ดังนั้น เราได้ผลตอบแทนน้อยหน่อย แต่ปลอดภัยจะดีกว่า
หลังๆก็มีเก็บก้นบุหรี่ข้างถนนมาบ้าง
แต่นิสัยเดิมยังมีคือ เก็บมาแล้วไม่ยอมสูบ ฮ่า ฮ่า
ส่วนการตั้งกองทุน
คราวที่แล้วที่ไปมีตติ้งบ้านคุณมนก็คุยกันถึงเรื่องนี้กับพี่ไก่ธันวา คุณมน พี่เจ๋ง
เพราะก็มีพี่ๆบางท่านอยากให้ทำเป็นกองทุนแล้วจะได้บริหารต่อไปถึงรุ่นลูกหลานเหลนกันเลย
เงินจะได้งอกเงยขึ้นแล้วให้ผู้จัดการกองทุนที่ไว้ใจได้บริหารแทน
พบว่า มีปัญหาทางด้านกฎระเบียบมากมายยุบยับ
ไม่ว่าจะเป็นกองทุนแบบปิดหรือแบบเปิด
ข้อจำกัดเยอะมาก
ถ้าเปิดเป็นบริษัทก็มีเรื่องของภาษีอีก
ก็เลยสรุปว่าในระยะสั้น คงต้องบริหารพอร์ตใครพอร์ตมันไปก่อน
จนกว่าจะหาทางออกที่ดีกว่านี้ได้ต่อไป
ว่าแต่ว่า พี่CK เบื่อการทดลองส่วนตัวแล้วหรือครับ
อย่าเพิ่งเบื่อเลยครับ ในตลาดยังมีอะไรๆสนุกๆให้ทำอีกเยอะครับ
หลังๆนี้ ผมไม่เปรียบเทียบผลตอบแทนกับ SET แล้ว
เพราะผมมองว่า SET ถูก Manipulate ได้ด้วยหุ้นไม่กี่ตัว
ดังนั้นผมจะตั้งเป้าการลงทุนของผมเอง เช่น 20% ต่อปี ถ้าได้มากกว่าก็ถือว่ากำไรและโชคครับ
คิดได้ดังนี้ ชีวิตเลยไม่เครียดอีกเลยตั้งแต่นั้นมา
ใครจะว่ายังไงก็ช่าง เงินผมไม่ลดมีแต่เพิ่มไปเรื่อยๆ ผมก็พอใจแล้ว
สักวันก็รวยเอง
ผมบอกตัวเองว่า เราไม่ได้เล่นการพนันครับ ดังนั้นโอกาสเสียเราจะน้อยมากถ้าใจเย็นๆ
ปีนี้ผมก็มีการทดลองของผมแนวใหม่ให้ลองอยู่นะครับ ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย
คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์
ตอยแรกเหมือนๆคุณลูกอีสานยังพูดไม่จบ สายหลุดเสียก่อนนะครับ ฮ่า ฮ่า_ลูกอีสาน เขียน: ฟังดูแล้วก็แปลกๆ ดีครับ ตัว MVA เหมือนกับจะบอกว่า นักลงทุน ควรซื้อหุ้นที่มี BV หรือมูลค่าหุ้นต่อบัญชีสูงๆ มากกว่าหุ้นที่มี ฺBV ต่ำๆ
ทั้ง EVA &MVA ไม่เคยนำมาใช้ในการลงทุนเลยครับ เพราะยังไม่เข้าใจพอ และดูยุ่งยาก ซับซ้อน คิดว่าวอร์เรน ก็คงไม่ใช้ค่าทั้งสองตัวนี้เหมือน แต่อาจจะมีแนวคิดเรื่องการสร้าง-ลด ความมั่งคั่งของผู้ถือหุ้น ที่คล้ายๆ กันครับ
คืออยากรู้ต่อว่า Market Value Added นี่หน้าตาเป็นอย่างไรนะครับ
แต่ตอนนี้รู้แล้วครับ ซึ้งจริงๆ
คือผมมันรู้จักแต่การหามูลค่ากิจการ แล้วเอามูลค่าไปเทียบกับราคาบนกระดานแค่นั้นจริงๆ
วิธีการอย่างอื่นบอกตามตรงว่า ใบ้กินเหมือนกัน
ไม่เคยใช้เลยครับ EVA MVA เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร
ต้องขอบคุณคุณลูกอีสานมากครับ
สำหรับความรู้ใหม่ๆในการลงทุน
แวะเวียนมาบ่อยๆนะครับ
ต้องบอกว่าพี่ๆแถวนี้ใจดีกันจริงๆ ไม่หวงวิชาเลย เยี่ยมจริงๆ
ให้ความรู้น้องๆขนาดนี้ต้องเรียกอาจารย์แล้วละครับAyethebing เขียน: หา ยกผมเป็นอาจารย์เลยเหรอ คงได้แค่เป็นอาจารย์ใบ้หวยกระมังครับ อิอิ ผมขอยกให้พระอาจารย์ Mon Money เป็นอาจารย์แต่เพียงผู้เดียว ครับ ผมขอเป็นศิษย์พรรคกระยาจกติดตามขอเศษตังอยู่ห่างๆ ดีก่า ฮา
แหมสงสัยปล่อย chicken ไปเยอะ ผมขอทำตามพี่ CK ดีก่า กลับไปเรียนอนุบาล เอ้ย เตรียมอนุบาล ฟังเยอะๆ พูดน้อยๆ อิอิ
อย่ากลัวปล่อยไก่เลยครับ
ผมก็ปล่อยไปหลายเล้าแล้ว
ของอย่างนี้ต้องช่วยกันปล่อยไก่ทำบุญครับ
ว่ากันตามตรงอยากให้พูดกันเยอะๆ ความรู้จะได้ต่อยอดกันได้ครับ
ถ้ากลับเข้าอนุบาลกันหมด แล้วใครจะตอบคำถามน้องๆละครับ
ระดับอย่างรุ่นพี่ๆนี่ น้องๆเขาเรียก"อาจารย์"ได้เต็มปากครับ
ไม่ต้องเขินครับ อาจารย์Aye อิ อิ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11444
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 712
ในการประเมินราคาบริษัทนั้น สินทรัพย์ส่วนใหญ่ก็คำนวณราคาโดย Discount Cash Flow ที่สินทรัพย์ชิ้นนั้นจะผลิตได้ โดยเมื่อรวมราคาสินทรัพย์แล้วก็จะลบหนี้สินรวม จะสทธิเป็นมลค่าบริษัท
แต่ส่วนใหญ่หนี้สินนั้นมักจะนำยอดเงินต้นทั้งจำนวนมาหักออก
มีใครเคยคำนวณยอดหนี้สินโดยวิธี Discount Cash Flow บ้างไหมครับ
เช่นเงินก้บางวงเงินอาจจะมีดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF จะได้มลค่าหนี้วงเงินน้อยลง หรือถ้าบางวงเงินอาจมีอัตราดอกเบี้ยที่สงกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF ก็จะได้มลหนี้ที่สงกว่าที่ลงในบัญชี
ทางด้านสินทรัพย์เรายังคำนวณโดยวิธี DCF แล้วทำไมด้านหนี้สินไม่คำนวณบ้างละครับ
แต่ส่วนใหญ่หนี้สินนั้นมักจะนำยอดเงินต้นทั้งจำนวนมาหักออก
มีใครเคยคำนวณยอดหนี้สินโดยวิธี Discount Cash Flow บ้างไหมครับ
เช่นเงินก้บางวงเงินอาจจะมีดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF จะได้มลค่าหนี้วงเงินน้อยลง หรือถ้าบางวงเงินอาจมีอัตราดอกเบี้ยที่สงกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF ก็จะได้มลหนี้ที่สงกว่าที่ลงในบัญชี
ทางด้านสินทรัพย์เรายังคำนวณโดยวิธี DCF แล้วทำไมด้านหนี้สินไม่คำนวณบ้างละครับ
แก้ไขล่าสุดโดย chatchai เมื่อ ศุกร์ ม.ค. 09, 2004 9:46 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 713
CK เขียน:[เห็นด้วยครับ ผมศึกษาประวัติย้อนหลังของผู้บริหารเป็นสิบปีครับ
คัดได้ผู้บริหารในดวงใจมาแค่ 2 ตระกูล เสียดายที่ตระกูลหนึ่งออก
จากตลาดไปแล้วครับ ไม่เช่นนั้นเราอาจจะมีหุ้นที่ราคาในกระดาน
"สูง" กว่า GYT (ดูจากความร้อนแรงที่กลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น
มา)
คนมีความหลังฝังใจกับแก๊สก็อย่างนี้ละ จริงไมครับคุณCK
(อ้อ...ตอนปีใหม่ผมไปสมุทรสงคราม ไปนั่งกินข้านที่ร้านจินดา
เชิงสะพานข้ามปากอ่าว ตำบลบางจะเกร็ง พยายามหาดูคลังก๊าซ
ของแก๊สยี่ห้อเจ้าดอกไม้ ยังไม่เห็นเลยว่าสร้างตรงไหน มีใครเห็นเขาปรับพื้นที่ช่วยบอกด้วย คงจะได้ไปในวัน2วันนี้จะหาดูว่าระดมเงินจากตลาดแล้วดำเนินงานไปถึงไหน)
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1011
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 714
ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับคุณวิบูลย์ผมว่าผมสบายแล้วครับงานนี้
มีรุ่นพี่เก่งๆหลายๆท่านมาช่วยกันให้ความรู้น้องๆอย่างคับคั่ง
ก็ขอให้อยู่ด้วยกันนานๆนะครับ
ขอบคุณทุกๆท่านครับ
ทั้งพี่CK พี่Chatchai คุณAyethebing คุณลูกอีสาน และท่านอื่นๆ
แต่ไม่รู้ว่าคุณมน พี่เจ๋ง พี่ปรัชญา พี่ไก่ธันวา หายไปไหน
ไม่เห็นมาเยี่ยมเยียนกันที่นี่บ้างเลย
คิดถึงน่ะครับ
ความรู้ไม่พอหน่ะ ก็เลยขออ่าน
และก็คอยฟังจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น
ผมเห็นด้วยกะคุณวิบูลย์มากเลยว่า
มีคนเก่งในห้องนี้เยอะจริงๆ นับถือ นับถือ
เอาไว้ถีงอะไรที่ง่ายๆ ก่อนจะมาขอแจมด้วยคนครับ
เห็นคุยกันถึงเรื่อง Copex กะ Opex
ก็เลยเอาข้อมูลข้างล่างมาฝากคุณวิบูลย์ครับ
http://www.set.or.th/set/th/news/news_u ... +&s_news=0
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1257
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 715
สินค้าต่างๆ ที่อยู่ในใบปลิว(โบรชัวร์) ของห้างค้าปลีก-ส่งข้ามชาติ(ยักษ์ข้ามชาติ)นั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ขายดี(เพื่อให้ลูกค้าจดจำได้ว่าห้างอื่นขายอยู่เท่าไหร่ แต่ห้างนี้ขายถูกกว่า) และส่วนหนึ่งจะเป็นสินค้าที่เพิ่งออกใหม่ ซึ่งจะมีการจัดทำเป็นประจำทุกๆ 2 อาทิตย์ หรือ1เดือน โดยทั่วไปจะมีราคาขายเท่ากัน ต่ำกว่าราคาขายของห้างอื่นๆ หรือแม้กระทั่งขายต่ำกว่าราคาทุน!!! สามารถทำได้โดยNum เขียน:ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ทำให้ผมเข้าใจเรื่องการลงทุนขึ้นอีกมากเลย ผมขอความเห็นอีกเรื่องนะครับ เกี่ยวกับ โบชัวร์ที่แจกตามบ้านของห้างค้าปลีก-ค้าส่ง ยักษ์ใหญ่ต่างๆ คิดว่าทุกท่านคงเคยเห็นนะครับ ในนั้นจะมีโชว์รูปสินค้าและราคาให้ อยากขอความเห็นจากทุกท่านครับว่าสินค้าที่อยู่ในโบชัวร์นั้น เป็นประเภทที่ขายดีเป็นที่ต้องการของผู้คน ทางห้างเลยเอามาลงไว้เพื่อดึงดูดลูกค้าหรือว่าเป็นพวกขายไม่ออก ทางห้างเลยต้องการจะโละสต๊อก รบกวนช่วยแสดงความเห็นหน่อยนะครับ
--การขอ(บังคับ)ให้Suppliers ลดราคาสินค้าให้ต่ำกว่าราคาทุนปกติ โดยอ้างเหตุผลต่างๆนานา เช่น เป็นเทศกาลสำคัญต่างๆ, ฉลองวันครบรอบของห้าง, โปรโมชั่นประจำเดือน
--โดยปกติห้างยักษ์ใหญ่ข้ามชาติจะมีงบประมาณส่วนหนึ่งใช้สำหรับการ Dumpราคาขายสินค้าให้ต่ำกว่าทุน เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า (ยอมขายสินค้าขาดทุนเพียงไม่กี่ตัว แต่สามารถMark upราคาสินค้าที่ไม่ได้อยู่โบรชัวร์นับพันรายการสังเกตได้จากเงื่อนไขในโบรชัวร์ ที่ระบุว่า จำกัดจำนวนซื้อครอบครัวละไม่เกิน 6 ชิ้น/1รายการสินค้า เนื่องจากงบประมาณมีจำกัด แทนที่จะเสียค่าโฆษณาออกทีวี นาทีละหลายแสนบาท สู้นำงบโฆษณานั้นมาลดราคาให้ต่ำกว่าทุนเพียงชิ้นละ1-2บาท ช่วยดึงดูดลูกค้าได้มากกว่าและคุ้มค่ากว่ากันเยอะเลย)
--ห้างยักษ์ใหญ่ข้ามชาติ ยังมีรายไดือื่นนอกเหนือจาก รายได้จากการขายสินค้า เช่น
-บริษัทใดอยากให้สินค้าของตัวเองวางอยู่บนชั้นในจุดที่ลูกค้าสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนก็ต้องเสียค่าเช่าเป็นรายเดือน
-บริษัทใหม่ที่เพิ่งผลิตสินค้าสินค้าออกมาขาย ก่อนที่จะขายสินค้าให้กับยักษ์ข้ามชาติจะต้องเสียค่าธรรมเนียมแรกเข้า
-บริษัทที่มีสินค้าใหม่ที่เพิ่งออกวางตลาด ก่อนที่จะได้วางบนชั้นวางสินค้า
-ทุกๆปี ถ้าสินค้าของบริษัทใด สามารถขายถึงเป้าที่กำหนด บริษัทนั้นก็จะต้องจ่ายเงินให้กับยักษืข้ามชาติอีก ลักษณะคล้ายกับโบนัส
ตอนนี้นึกออกแค่นี้ครับ(ดึกแล้ว)
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 716
Chatchai wrote:
VIB007 wrote:
MVA ก้อคือ EVA ในอนาคตที่ discount แล้วครับ มันใช้หามูลค่ากิจการได้เหมือนกับวิธีอื่นๆ แล้วแต่ใครถนัดแบบไหนครับ
VIB007 wrote:
อย่าเรียกอาจารย์ aye เลย มันจั้กกะเดียมอะ
ใช่ครับคุณ chatchai หนี้ก้อต้องทำ NPV มาหามูลค่าตลาดของหนี้ที่กิจการมีเหมือนกันครับในการประเมินราคาบริษัทนั้น สินทรัพย์ส่วนใหญ่ก็คำนวณราคาโดย Discount Cash Flow ที่สินทรัพย์ชิ้นนั้นจะผลิตได้ โดยเมื่อรวมราคาสินทรัพย์แล้วก็จะลบหนี้สินรวม จะสทธิเป็นมลค่าบริษัท
แต่ส่วนใหญ่หนี้สินนั้นมักจะนำยอดเงินต้นทั้งจำนวนมาหักออก
มีใครเคยคำนวณยอดหนี้สินโดยวิธี Discount Cash Flow บ้างไหมครับ
เช่นเงินก้บางวงเงินอาจจะมีดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF จะได้มลค่าหนี้วงเงินน้อยลง หรือถ้าบางวงเงินอาจมีอัตราดอกเบี้ยที่สงกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF ก็จะได้มลหนี้ที่สงกว่าที่ลงในบัญชี
ทางด้านสินทรัพย์เรายังคำนวณโดยวิธี DCF แล้วทำไมด้านหนี้สินไม่คำนวณบ้างละครับ
VIB007 wrote:
เอ ผมเองก้อไม่เคยมีโอกาสใช้ EVA ในงานประจำจริงๆเลย ไม่เหมือนพี่ CK และ คุณวิบูลย์ กับท่านอื่นๆ อย่างที่ผมบอกครับว่า EVA มันเหมือนเป็นตัววัดความสามารถของกิจการเท่านั้นเองตอยแรกเหมือนๆคุณลูกอีสานยังพูดไม่จบ สายหลุดเสียก่อนนะครับ ฮ่า ฮ่า
คืออยากรู้ต่อว่า Market Value Added นี่หน้าตาเป็นอย่างไรนะครับ
แต่ตอนนี้รู้แล้วครับ ซึ้งจริงๆ
คือผมมันรู้จักแต่การหามูลค่ากิจการ แล้วเอามูลค่าไปเทียบกับราคาบนกระดานแค่นั้นจริงๆ
วิธีการอย่างอื่นบอกตามตรงว่า ใบ้กินเหมือนกัน
ไม่เคยใช้เลยครับ EVA MVA เลยไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร
ต้องขอบคุณคุณลูกอีสานมากครับ
สำหรับความรู้ใหม่ๆในการลงทุน
แวะเวียนมาบ่อยๆนะครับ
ต้องบอกว่าพี่ๆแถวนี้ใจดีกันจริงๆ ไม่หวงวิชาเลย เยี่ยมจริงๆ
MVA ก้อคือ EVA ในอนาคตที่ discount แล้วครับ มันใช้หามูลค่ากิจการได้เหมือนกับวิธีอื่นๆ แล้วแต่ใครถนัดแบบไหนครับ
VIB007 wrote:
ไม่ได้เขินหรอกครับ แต่สำนึกตัวดีว่ายังไม่เก่งพอที่จะตอบใครได้อย่างชัดเจนและไม่เก่งขนาดคุณวิบูลย์ คุณ _ลูกอีสาน หรือ ท่านอื่นๆ เอแต่ก้อไม่เห็นมีใครเป็นน้องๆ เลยนะในกระทู้นี้ มีแต่เก่งๆ เซียนๆ ทั้งน้าน อ้อ ผมยังมีไก่ หมู กระบือ ไดโนเสาร์ให้ปล่อยอีกเยอะครับ ถ้าไม่กลัวแถวนี้กลายเป็นจูราสสิก ปาร์ก ก้อจะขออนุญาติโพสต์แสดงความเห็นต่อไปครับให้ความรู้น้องๆขนาดนี้ต้องเรียกอาจารย์แล้วละครับ
อย่ากลัวปล่อยไก่เลยครับ
ผมก็ปล่อยไปหลายเล้าแล้ว
ของอย่างนี้ต้องช่วยกันปล่อยไก่ทำบุญครับ
ว่ากันตามตรงอยากให้พูดกันเยอะๆ ความรู้จะได้ต่อยอดกันได้ครับ
ถ้ากลับเข้าอนุบาลกันหมด แล้วใครจะตอบคำถามน้องๆละครับ
ระดับอย่างรุ่นพี่ๆนี่ น้องๆเขาเรียก"อาจารย์"ได้เต็มปากครับ
ไม่ต้องเขินครับ อาจารย์Aye อิ อิ
อย่าเรียกอาจารย์ aye เลย มันจั้กกะเดียมอะ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 717
ผมเคยเอาบทความเรื่องนี้มาลงให้อ่านกันทีหนึ่งแล้ว
ถึงเวลาแล้วสำหรับมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจ (Economic Value Added)โดย ดร. วรศักดิ์ ทุมมานนท์
อาจารย์ประจำภาควิชาการบัญชี
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงรกรณ์มหาวิทยาลัย
http://www.thaivalueinvestor.com/onstrategy22.html
ลองอ่านดูนะครับ ดีมากเลยครับ
.................................................................................................................
จริงๆแล้วหากเรานำเอาConceptหลายๆอย่างนี้มาIntregrateกันได้ ผมว่ายอดเลย แต่ผู้คิดก็คิดแยกกันไปตามความเชี่ยวชาญของตนเองทำให้ เรื่องราวมันกระจัดกระจาย ทำอย่างลืมอย่างจึงเป็นอย่างที่เห็นกันแหละครับ
ผมยกตัวอย่างบริษัทหนึ่งมี Business Unit 3 unit มีกำไรมากสองunitกำไรน้อยหนึ่งunit ผู้บริหารจึงคิดจะยุบทิ้งเสียโดยไม่ดูปัจจัยอื่นๆเชิงกลยุทธเลยพอยุบไปก็มิได้มีกำไรเพิ่มขึ้นกลับลดลง อันนี้ต้องวิเคราะห์ให้ดี ซึ่งผู้บริหารต้องมองรอบด้าน สั่งการให้ครบ ไม่เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่เห็นแหละครับ
................................................................................................................
เรื่อง EVA รู้สึก Buffettเคยพูดถึงนะครับ ผมเคยเจอเดี่ยวลองหาก่อน
ถึงเวลาแล้วสำหรับมูลค่าเพิ่มเชิงเศรษฐกิจ (Economic Value Added)โดย ดร. วรศักดิ์ ทุมมานนท์
อาจารย์ประจำภาควิชาการบัญชี
คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงรกรณ์มหาวิทยาลัย
http://www.thaivalueinvestor.com/onstrategy22.html
ลองอ่านดูนะครับ ดีมากเลยครับ
.................................................................................................................
จริงๆแล้วหากเรานำเอาConceptหลายๆอย่างนี้มาIntregrateกันได้ ผมว่ายอดเลย แต่ผู้คิดก็คิดแยกกันไปตามความเชี่ยวชาญของตนเองทำให้ เรื่องราวมันกระจัดกระจาย ทำอย่างลืมอย่างจึงเป็นอย่างที่เห็นกันแหละครับ
ผมยกตัวอย่างบริษัทหนึ่งมี Business Unit 3 unit มีกำไรมากสองunitกำไรน้อยหนึ่งunit ผู้บริหารจึงคิดจะยุบทิ้งเสียโดยไม่ดูปัจจัยอื่นๆเชิงกลยุทธเลยพอยุบไปก็มิได้มีกำไรเพิ่มขึ้นกลับลดลง อันนี้ต้องวิเคราะห์ให้ดี ซึ่งผู้บริหารต้องมองรอบด้าน สั่งการให้ครบ ไม่เช่นนั้นก็เป็นอย่างที่เห็นแหละครับ
................................................................................................................
เรื่อง EVA รู้สึก Buffettเคยพูดถึงนะครับ ผมเคยเจอเดี่ยวลองหาก่อน
-
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 718
ขอบคุณครับสำหรับ คำแนะนำเกี่ยวกับหนังสือVIB007 เขียน: ถ้าเกี่ยวกับการหามูลค่าหุ้นก็ต้อง
"การปรับโครงสร้างทางการเงินและการหามูลค่าหุ้น เล่ม2" ของ สนพ FPM Consultant
หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ดครับ
ถ้าหลักการลงทุนแบบคุณค่าก็ต้อง
Value Investing Made Easy และ The New Buffetology ฉบับภาษาไทย
หาซื้อได้ที่ ซีเอ็ด เช่นเดียวกันครับ
ผมได้ หนังสือ"ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ของ FPM (ที่ SE-ED) กับ Value Investing Made Easy มาแล้ว ... แต่ The New Buffettology (ภาษาอังกฤษ ที่ Asiabooks) ไม่มี มีแต่ The Buffettology (ของ Marry Buffet) ไม่ทราบเป็นเล่มเดียวกันหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ ควรอ่าน Buffettology ก่อน The New Buffettology หรือเปล่าครับ
ผมลองอ่านเรื่อง การกำหนดราคาหุ้นดู (ใน "ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ) ในส่วนของ Terminal value เค้าใช้
Terminal Value (ของปีสุดท้าย ) = FC (1+g) / (WACC-g) x (ส่วนที่ปรับให้เป็น PV)
ผมเข้าใจว่าหลักการหาค่าราคาปีสุดท้ายคล้ายๆกับการใช้วิธี earning power value (ในกระทู้เก่า) ถ้าใช่ส่วนหารน่าจะเป็นสัดส่วน % ผลตอบแทนที่อยากได้ แต่สงสัยว่าทำไมใช้ (WACC - g) อีกอย่างค่า g (growth) ที่ใช้ควรกำหนดจาก ค่าการเติบโต ในอดีดของ earnings มากกว่า retained earnings ไช่เปล่าครับ ในหนังสือพูดคล้ายกับให้ใช้สัดส่วนที่เพิ่มเข้าไปใน retained earning เป็นหลัก
อู้ ... ไม่รู้ตั้งคำถามรู้เรื่องหรือเปล่า มือใหม่ครับ (แต่ไม่เด็กแล้ว แฮ่ แฮ่ ) ขอโทษด้วยที่ถามนอกเรื่องที่คุยกันอยู่ ... ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2035
- ผู้ติดตาม: 0
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 719
ไม่ต้องกลัวว่าที่นี่จะกลายเป็นสวนสนุกครับayethebing เขียน: ไม่ได้เขินหรอกครับ แต่สำนึกตัวดีว่ายังไม่เก่งพอที่จะตอบใครได้อย่างชัดเจนและไม่เก่งขนาดคุณวิบูลย์ คุณ _ลูกอีสาน หรือ ท่านอื่นๆ เอแต่ก้อไม่เห็นมีใครเป็นน้องๆ เลยนะในกระทู้นี้ มีแต่เก่งๆ เซียนๆ ทั้งน้าน อ้อ ผมยังมีไก่ หมู กระบือ ไดโนเสาร์ให้ปล่อยอีกเยอะครับ ถ้าไม่กลัวแถวนี้กลายเป็นจูราสสิก ปาร์ก ก้อจะขออนุญาติโพสต์แสดงความเห็นต่อไปครับ
อย่าเรียกอาจารย์ aye เลย มันจั้กกะเดียมอะ
ยินดีต้อนรับทุกท่านทุกความเห็น
อยากให้แสดงความคิดเห็นกันให้มากๆครับ
ดังนั้น คุณayethebing ใส่มาได้เต็มที่เลยครับ
น้องๆรอรับกันอยู่
รวมทั้งผมด้วยจะได้รู้ว่าโลกอื่นเป็นอย่างไรบ้าง
อ้อ......ผมไม่เรียกว่าอาจารย์ aye ก็ได้
แต่จะเรียกว่า ซือแป๋ aye แทน ฮ่า ฮ่า (ล้อเล่นนะครับ)
Chatchai wrote:
ไม่เคยคิดหนี้ด้วย DCF เลยครับ พี่Chatchaiมีใครเคยคำนวณยอดหนี้สินโดยวิธี Discount Cash Flow บ้างไหมครับ
เช่นเงินก้บางวงเงินอาจจะมีดอกเบี้ยต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF จะได้มลค่าหนี้วงเงินน้อยลง หรือถ้าบางวงเงินอาจมีอัตราดอกเบี้ยที่สงกว่าอัตราดอกเบี้ยปัจจบัน การคำนวณ DCF ก็จะได้มลหนี้ที่สงกว่าที่ลงในบัญชี
ทางด้านสินทรัพย์เรายังคำนวณโดยวิธี DCF แล้วทำไมด้านหนี้สินไม่คำนวณบ้างละครับ
รบกวนช่วยยกตัวอย่างเป็นวิทยาทานครับ
ผมว่าความรู้นอกตำรามีเยอะนะครับthanwa เขียน: ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับคุณวิบูลย์
ความรู้ไม่พอหน่ะ ก็เลยขออ่าน
และก็คอยฟังจอมยุทธ์แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น
ผมเห็นด้วยกะคุณวิบูลย์มากเลยว่า
มีคนเก่งในห้องนี้เยอะจริงๆ นับถือ นับถือ
เอาไว้ถีงอะไรที่ง่ายๆ ก่อนจะมาขอแจมด้วยคนครับ
โดยเฉพาะคุณธันวาที่ฟันกำไรก้นบุหรี่ไปหลายร้อยเปอร์เซนต์นี่
ถือว่าไม่ธรรมดา
ยังไงก็ช่วยสั่งสอนวิทยายุทธพวกผมด้วยแล้วกันครับ
จะได้พอมีเงินค่าขนมบ้าง อิ อิ
สวัสดีครับพี่ปรัชญาปรัชญา เขียน:อ้อ...ตอนปีใหม่ผมไปสมุทรสงคราม ไปนั่งกินข้านที่ร้านจินดา
เชิงสะพานข้ามปากอ่าว ตำบลบางจะเกร็ง พยายามหาดูคลังก๊าซ
ของแก๊สยี่ห้อเจ้าดอกไม้ ยังไม่เห็นเลยว่าสร้างตรงไหน มีใครเห็นเขาปรับพื้นที่ช่วยบอกด้วย คงจะได้ไปในวัน2วันนี้จะหาดูว่าระดมเงินจากตลาดแล้วดำเนินงานไปถึงไหน
หายไปนานเลยนะครับ
สงสัยกวาดไปหลายเงินช่วงที่ผ่านมา
อยากทราบว่าพอร์ตถึง"ร้อยล้าน"แล้วหรือยังครับ
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่พี่หายป่วยเร็วๆนะครับ
อ้อ เรื่องพื้นที่ที่ถามมา ผมไม่ทราบครับ
ขับผ่านไปสองสามครั้งแถวนั้น แต่ก็ไม่ได้สังเกตุเห็นอะไรครับ
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
Harry ก็ค่อยๆศึกษาไปแล้วกันนะharry เขียน:ความจริงกระทู้นี้ยิ่งอ่านยิ่งรู้มากนะ แต่ปรากฎว่าผมยิ่งงง เพราะมันเยอะมากๆๆเลย สงสัยต้องตั้งใจอย่างจริงจัง และรอวันได้เจอพี่ๆ แล้วขอถามหน่อยแล้วกันนะครับ
อายุยังน้อย มีเวลา อย่าพลีพลาม
เดี๋ยวจะเสียค่าวิชาเยอะแยะก่อนที่จะเข้าใจ
เหมือนพวกรุ่นพี่ๆ รวมถึงผมด้วยคนนึง
เสียค่าโง่ไปเยอะแล้ว
(ปัจจุบันก็ยังคงเสียค่าวิชาอยู่เรื่อยๆ เป็นเรื่องปกติ)
ขอบคุณครับคุณมนMon Money เขียน: ผมเคยเอาบทความเรื่องนี้มาลงให้อ่านกันทีหนึ่งแล้ว
ลองอ่านดูนะครับ ดีมากเลยครับ
ยังไม่ได้อ่านครับ แต่เดี๋ยวจะลองอ่านดู
Buffetology และ The New Buffetologyผมได้ หนังสือ"ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ของ FPM (ที่ SE-ED) กับ Value Investing Made Easy มาแล้ว ... แต่ The New Buffettology (ภาษาอังกฤษ ที่ Asiabooks) ไม่มี มีแต่ The Buffettology (ของ Marry Buffet) ไม่ทราบเป็นเล่มเดียวกันหรือเปล่าครับ ถ้าไม่ใช่ ควรอ่าน Buffettology ก่อน The New Buffettology หรือเปล่าครับ
คนแต่งคนเดียวกัน เนื้อหาเหมือนกัน ต่างกันนิดหน่อย
ใช้หลักการเดียวกัน
อ่านเล่มไหนก็ได้ครับ
จริงๆไม่ให้เปลืองเงิน อ่านเล่มเดียวก็พอ
อ่านคำถามก็ยังงงๆผมลองอ่านเรื่อง การกำหนดราคาหุ้นดู (ใน "ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ) ในส่วนของ Terminal value เค้าใช้
Terminal Value (ของปีสุดท้าย ) = FC (1+g) / (WACC-g) x (ส่วนที่ปรับให้เป็น PV)
ผมเข้าใจว่าหลักการหาค่าราคาปีสุดท้ายคล้ายๆกับการใช้วิธี earning power value (ในกระทู้เก่า) ถ้าใช่ส่วนหารน่าจะเป็นสัดส่วน % ผลตอบแทนที่อยากได้ แต่สงสัยว่าทำไมใช้ (WACC - g) อีกอย่างค่า g (growth) ที่ใช้ควรกำหนดจาก ค่าการเติบโต ในอดีดของ earnings มากกว่า retained earnings ไช่เปล่าครับ ในหนังสือพูดคล้ายกับให้ใช้สัดส่วนที่เพิ่มเข้าไปใน retained earning เป็นหลัก
อู้ ... ไม่รู้ตั้งคำถามรู้เรื่องหรือเปล่า มือใหม่ครับ (แต่ไม่เด็กแล้ว แฮ่ แฮ่ ) ขอโทษด้วยที่ถามนอกเรื่องที่คุยกันอยู่ ... ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ
แต่ก็พยายามตอบครับ
ยังไงคุณมนช่วยด้วยแล้วกันครับ เรื่อง WACC
ในส่วนการเติบโต
ในการเติบโตของ Retain Earning ก็คือกำไรสุทธิหักด้วยเงินปันผล
ดังนั้น ถ้าบริษัทมีปันผล อัตราการเติบโตของRetain Earning จะน้อยกว่ากำไรสุทธิครับ
ถามว่า ใช้ตัวไหน
ผมก็ตอบตรงๆไม่ได้
เพราะต่างจิตต่างใจ
ถ้าผมแนะนำก็ใช้ทั้งสองตัวเลย แล้วดูว่าต่างกันเท่าไหร่
ตัวไหนเหมาะสมก็ใช้ตัวนั้นหละครับ
ง่ายไปไหมครับ
Peter Lynch บอกว่า
"ในการลงทุน ให้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แล้วจะดีเอง"
หลังๆผมก็เลยไม่ได้สนใจสูตรมากมายครับ
เอาไว้เป็นหลักให้เราดูเท่านั้นเอง
เราสามารถคำนวณหามูลค่าออกมาได้
แต่เวลาตัดสินใจก็ใช้ประสบการณ์และความเข้าใจเป็นหลักครับ
ผมว่า "การลงทุนเป็นศิลปะ"อย่างนึงนะครับ
เหมือนเราวาดรูปนะครับ
แรกๆเราก็มีสเกลในการวาดรูป
มีการวัดขนาด กว้าง ยาว สูง ให้สมส่วน
แต่พอเวลาผ่านไป
เราพบว่า
การวาดรูปต้องมาจากภายใน
ไม่ใช่จากภายนอก
ในที่สุดแล้ว
เราคงต้องอาศัยสิ่งที่เรามีอยู่ในจิตใจเราปาดพู่กันไป
มากกว่าที่จะวาดตามไม้บรรทัดจริงมั๊ยครับ
อาจารย์บัฟเฟตเคยบอกไว้ครับว่า
"การหามูลค่าหุ้น ใครๆก็หาได้
แต่การสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องในตลาด
ต้องการอะไรมากกว่าการหามูลค่าหุ้นเพียงอย่างเดียว"
เอาล่ะ กลับมาที่สูตรกันต่อ
ถามว่า ทำไมใช้ (WACC - g) แทนที่จะเป็น อัตราผลตอบแทนที่เราต้องการ
ตอบว่า อันนี้แล้วแต่ใครจะใช้อะไรครับ
บางตำราก็ใช้ WACC
บางตำราก็ใช้ WACC-g
บางตำราก็ใช้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว
บางตำราก็ใช้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ดังนั้น ก็ขึ้นกับว่าผู้ใช้ต้องการอะไร
การใช้ WACC บางตำราอ้างอิงถึงค่า Beta ด้วย
อย่าหาว่าผมตอบกวน....จุด จุด จุดเลยนะครับ
ผมก็คงตอบเหมือนเดิม คือ
ก็ลองใช้หลายๆตัว
ตัวไหนดูท่าทีแล้วเหมาะสมที่สุด
ก็ใช้ตัวนั้นเป็นเกณท์
อย่างที่ผมเคยบอกว่า
ไม่มีสูตรสำเร็จในการลงทุนครับ
ไม่งั้นทุกคนก็กลายเป็นมหาเศรษฐีเท่าบัฟเฟต์กันหมดแล้ว
จริงมั๊ยครับ
ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ
โพสต์ที่ 720
ปรัชญา เขียน:]อ้อ...ตอนปีใหม่ผมไปสมุทรสงคราม ไปนั่งกินข้านที่ร้านจินดา
เชิงสะพานข้ามปากอ่าว ตำบลบางจะเกร็ง พยายามหาดูคลังก๊าซ
ของแก๊สยี่ห้อเจ้าดอกไม้ ยังไม่เห็นเลยว่าสร้างตรงไหน มีใครเห็นเขาปรับพื้นที่ช่วยบอกด้วย คงจะได้ไปในวัน2วันนี้จะหาดูว่าระดมเงินจากตลาดแล้วดำเนินงานไปถึงไหน
เรื่องก๊าซ รัฐบาลกำลังจะปล่อยลอยตัว
จะให้ขึ้นกันที กิโลกรัมละ3บาท
ข้าวราดแกงผมคงขึ้นไปอีก
คงเป็นปีทองของอุตสหกรรมนี้ครับ
ใครมีคลังเก็บและกักตุนคงได้ส่วนต่างราคาแบบลืมไม่ลงกันเลย
คงเป็นปีทองของก๊าซเลยทีเดียวครับ
สวัสดีครับพี่ปรัชญา
หายไปนานเลยนะครับ
สงสัยกวาดไปหลายเงินช่วงที่ผ่านมา
อยากทราบว่าพอร์ตถึง"ร้อยล้าน"แล้วหรือยังครับ
ยังไงก็ขอเป็นกำลังใจให้คุณแม่พี่หายป่วยเร็วๆนะครับ
พอท์ตร้อยล้านผมเลิกคิดแล้วครับ คงไปไม่ถึงครึ่งทาง
ผมมีทุนลงแค่3แสน5ปีได้แค่นี้ก็พอสมควรแล้ว และปัจจุบัน
ซื้อหุ้นปันผลซะจะหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหมือนมีเงินประจำแบบเงินเดือนแล้วตามที่เคยฝันไว้ว่า แก่ตัวลงจะให้หุ้นมันเลี้ยงเราครับ
เล่นไฟก็แค่ค่าขนมกับค่าข้าว
เพราะสังเกตุดูคาดว่า...กองทุนอีแร้งมันลากได้70-100%มันลงขายทิ้ง
ขายขว้างลงมาแบบดูไม่จืด แต่คนเข้าตลาดใหม่กับกองทุนที่ตั้งขึ้นมาก็เข้าไปรับของหุ้นไม่ยอมลงสักที ผมถือBKIเอาปันผลแบบฝากเงินประจำกินปันผล3เดือนไปกว่าครึ่งพอท์ตแล้วครับ แก่แล้วบางวันหัวใจจะวายครับ สนุกมาก ถ้ารับไม้สุดท้ายวิ่งร้อยเมตรก็คงทุกข์มากครับ
ขอบคุณที่อวยพรให้คุณแม่ผมหายป่วย แต่ผมหมดหวังครับ
ตอนนี้ก็เท่ากับเอาเงินซื้อลมหายใจไว้เท่านั้น ไม่ทรุดลงแต่ไม่ดีขึ้น
ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ[/quote]