ขอบคุณทั้งพี่ tum_H และ คุณ sakkaphan นะครับ
sakkaphan เขียน:ขออนุญาติแชร์เทคนิคของผมนะครับพี่ picatos ระหว่างรอพี่ tum_H มาตอบ
เคยได้ยินว่าหากกามราคะแรง ให้ใช้การพิจารณาอสุภะอสุภังเนืองๆ แต่ผมลองทำดูรู้สึกว่าไม่ค่อยเวิร์คเท่าไร เหมือนฝืนๆคิด รู้สึกไม่ค่อยตรงกับจริต ก็เลยใช้วิธีดูจิตดูอารมณ์ ใช้สติกำกับ พอเกิดกำหนัดขึ้นก็รู้ รู้อยู่เฉยๆ รู้แล้วก็วาง หรือคิดซะว่ามันก็แค่ขันธ์ขันธ์หนึ่ง ไม่ต่างจากขันธ์หรืออารมณ์อื่นๆ เวลาอารมณ์เกิดขึ้น มันก็เหมือนกับเวลาโดนยุงกัดเป็นตุ่ม เราคัน อยากเกา แต่รู้ว่าถ้าเกาแล้วเด๋วมันก็คันยิ่งกว่าเดิม กลายเป็นแผลเป็นอีก ก็ช่างหัวมัน เฉยๆกะมันซะ เด๋วก็หายคัน สักพักก็คันใหม่ แล้วก็ลืม หายคันอีก มันก็เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ แต่โดยรวมแล้วพอทำบ่อยๆ สำหรับตัวผมเองพบว่าช่วยแก้เรื่องกามราคะได้เยอะเลยครับ เหมือนพอทำเรื่อยๆแล้ว สักพักอารมณ์มันจะเบาขึ้น ไม่หนักหน่วงรุนแรง แล้วก็กามราคะลดลงได้จริงๆ
สรุปคือจริงๆแล้วตอนนี้ ไม่ว่าจะกิเลสตัวไหน ผมใช้วิธีเดียวกันหมดเลยคือ เมื่อสติตามรู้อารมณ์เกิดขึ้น รู้แล้วก็วางมัน แล้วก็ใช้ปัญญาเข้ากำกับด้วยว่า มันไม่ใช่เรา กำหนัดไม่ใช่เรา มันแค่ขันธ์ โลภ โกรธ หลง ไม่ใช่เรา ความคิดที่ฟุ้งซ่านขึ้นมา ก็ไม่ใช่เรา ไม่ต้องไปยึดติดมัน ซึ่งเท่าที่ทำมา ผมก็พอใจกับผลลัพธ์ที่ได้อยู่พอควรเลยครับ
ไม่ทราบว่าพี่ picatos เป็นอย่างไรบ้าง การปฏิบัติมีความก้าวหน้าหรือติดขัดประการใด หากติดขัดแล้วแก้ไขไปได้อย่างไรบ้าง รวมถึงคำถามเรื่องกามราคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้พี่ใช้วิธีใดในการขัดเกลา และผลลัพธ์เป็นอย่างไรบ้าง อยากให้พี่แชร์บ้างเพื่อเป็นวิทยาทานให้แก่ทุกคนครับ
โดยจริตทางวิปัสสนาแล้ว ผมได้เคยอ่านมาว่าผู้ปฏิบัติอาจแบ่งได้เป็น 2 จริต คือ ตัณหาจริต และ ทิฎฐิจิริต
โดยธรรมชาติของผม กิเลสของผมจะไม่ค่อยถูกกระตุ้นทางตัณหามากนัก แต่จะหนักไปทางทิฎฐิ กล่าวคือ บ้าและยึดติดในความคิด ความถูกต้อง และสถานะซะมากกว่า โดยนิสัยตั้งแต่เด็กเลยไม่ค่อยสนใจกามคุณ 5 มากนัก ก็รู้แค่ว่าอะไรงาม อะไรปราณีต มีใช้ก็สักแต่ว่าใช้ ไม่มีใช้ก็ไม่ได้ลำบากอะไร รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร เห็นคนมีรถเท่ห์ โทรศัพท์สวยๆ ก็ไม่เคยรู้สึกว่าต้องดิ้นรนจะไปซื้ออะไร ด้วยเหตุนี้เรื่องกามราคะจึงไม่ใช่ปัญหาอะไรของผมมากมายนักในการปฎิบัติขั้นต้น
ในการปฏิบัติขั้นต้น ผมจึงไม่ค่อยมีความฟุ้งซ่านใจอะไรที่เนื่องมาจากกามราคะ แต่เมื่อเกิดความฟุ้นซ่านทางใจที่เกิดจากกามราคะผมก็ใช้วิธีการเดียวกันกับคุณ sakkhaphan ซึ่งสอดคล้องกับพุทธพจน์นี้ใน
มหาสุญญตสูตร โดยมีข้อความดังนี้
"...
[๓๔๙] ดูกรอานนท์ กามคุณนี้มี ๕ อย่างแล ๕ อย่างเป็นไฉน คือ
รูปที่รู้ได้ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด เสียงที่รู้ด้วยโสต ... กลิ่นที่รู้ได้ด้วยฆานะ ... รสที่รู้
ได้ด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะที่รู้ได้ด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด ดูกรอานนท์ นี้แล กาม
คุณ ๕ อย่าง ซึ่งเป็นที่ที่ภิกษุพึงพิจารณาจิตของตนเนืองๆ ว่า มีอยู่หรือหนอแล
ที่ความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้นแก่เราเพราะกามคุณ ๕ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเพราะ
อายตนะใดอายตนะหนึ่ง ดูกรอานนท์ ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้ชัดอย่างนี้ว่า มีอยู่แล
ที่ความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้นแก่เราเพราะกามคุณ ๕ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเพราะ
อายตนะใดอายตนะหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ความกำหนัด
พอใจในกามคุณ ๕ นี้แล เรายังละไม่ได้แล้ว แต่ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่ รู้อย่างนี้ว่า
ไม่มีเลยที่ความฟุ้งซ่านแห่งใจเกิดขึ้นแก่เราเพราะกามคุณ ๕ นี้อย่างใดอย่างหนึ่ง
หรือเพราะอายตนะใดอายตนะหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น ภิกษุย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า
ความกำหนัดพอใจในกามคุณ ๕ นี้แล เราละได้แล้ว ด้วยอาการนี้แล เป็นอัน
เธอรู้สึกตัวในเรื่องกามคุณ ๕ ฯ
..."
ในภาคปฏิบัติในขั้นต้น เวลาผมเกิดความฟุ้งซ่าน ก็แค่กำหนดรู้ โดยส่วนใหญ่ก็มักจะดับไป แต่ก็มีบางอย่างที่เอาไม่อยู่ พัฒนาต่อไปเป็นคำพูด และการกระทำ แต่ในขั้นต้นในการปฏิบัติผมก็ไม่ได้ตั้งใจจะขัดเกลากามราคะมากนัก เลยไม่ค่อยได้ใส่ใจสักเท่าไร ทำก็ทำ ก็รู้ว่ามันเป็นกิเลส ในขณะทำถ้ามีสติ สมาธิ มากเพียงพอ ก็จะกำหนดรู้ กำหนดดู อาการทางกายทางใจเพื่อเรียนรู้มันไป
ออกตัวก่อนว่า ผมเป็นคนที่ไม่ได้เคร่งเรื่องศีลมากนัก ศีลของผมถ้าผมถือข้อไหน มันต้องมาจากคุณสมบัติของจิต ที่เห็นทุกข์โทษจริงๆ ก่อนจึงถือ ถ้ายังไม่เห็นทุกข์โทษจริงๆ ผมจะถือศีลที่เกินความสามารถของผม ก็แค่ในช่วงเวลาที่จำเป็นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามในขั้นกลาง เมื่อตัวผมเองเริ่มเห็นทุกข์โทษจากการเกิดเป็นมนุษย์มากขึ้น เมื่อพิจารณาเหตุถึงการเกิดเป็นมนุษย์ ก็รู้สึกว่า กามราคะนี่แหละเป็นเหตุที่ทำให้ตัวเองต้องเป็นมนุษย์อีก อีกทั้งเราได้ฝึกที่จะตามดูจิตของตัวเองในการเสวยกามเมื่อมีกามราคะเกิดขึ้นในขั้นต้นแล้ว และทุกๆ ครั้งที่ดู ก็จะได้ข้อสรุปเดียวกันว่า ไอ้ที่เราคิดว่าสุข จริงๆ แล้วมันมีแต่ทุกข์ ไอ้ที่เราคิดว่าสุข จริงๆ แล้วมันเกิดจากแรงบีบคั้นของทุกข์ และเมื่อทุกข์นั้นมันคลายไปจากกามที่เราได้เสวย ผลที่เกิดขึ้นทางกายก็มี ก็เป็นภาระ ผลที่เกิดขึ้นทางใจก็ทำให้ติดใจยินดีอยากเสวยอีก ข้อสรุปคือ มันหาสาระอะไรไม่ค่อยได้จริงๆ
ในขั้นกลางนี้ ผมจึงพยายามที่จะสังเกต และตัดกระแสการปรุงแต่งของกามราคะที่เกิดขึ้นในจิต ทั้งที่ลืมตาตื่น และที่นอนหลับ ผมถือศีลข้อ "อพรหมจริยา" เพิ่ม เพราะ รู้ว่านี่คือทางในการที่จะทำให้เราไม่ต้องกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ และต้องมาทนทุกข์กับสภาพทางกายอันหยาบ มีโรคมาก มีทุกข์มาก แบบนี้อีก
ในการตัดกระแสการปรุงแต่งของกามราคะ ผมใช้วิธีการของสมถะซะมากกว่า เพราะ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมเห็นทุกข์โทษของกามราคะมากพอแล้ว ในเรื่องของความเข้าใจทางปัญญาผมคิดว่าตัวเองมีพร้อมแล้ว แต่ปัญหาคือ ร่องจิต ความเคยชินของจิต ที่สั่งสมมาเป็นอาจิณกรรม ที่บางทีมันกระทบผัสสะแล้วก็ไหลไปตามสัญญา ดังนั้นเมื่อเกิดกามราคะขึ้นในจิต ถ้ากำหนดรู้แล้วมันไม่ดับ ไม่ขาด ผมก็จะใช้อสุภกรรมฐาน คิดถึงภาพอสุภะหลายๆ อย่างที่เราเตรียมเอาไว้ในจิต ยกขึ้นมาพิจารณาจนอาการดิ้นรนของจิตอันเนื่องจากกามราคะนั้นดับลงไป
ในความฝัน ปกติผมจะเป็นคนไม่ค่อยฝันมาแต่ไหนแต่ไร ตามธรรมชาติผมมักจะหลับในองค์แห่งสมาธิ กล่าวคือ เมื่อมีสติอ่อนๆ รู้สึกตัวขึ้นมาในช่วงหลับตื้น ซึ่งโดยทั่วไปเราจะฝันในช่วงนี้ ธรรมชาติจิตผมจะเกาไปกับอารมณ์สมาธิ มันจะมีคำบริกรรม หรือสภาวะอะไรบางอย่างที่จิตจะเคล้าคลึง ยกขึ้นมาเพื่อในจิตหลับอยู่ในองค์สมาธิ แต่ก็มีบ้างที่เกิดความฝันขึ้นอันเนื่องมาจากอาการกดข่มกามราคะในช่วงที่ลืมตาตื่น ที่จุดนี้ ถ้าหากผมไม่สามารถใช้สติตัดกระแสการปรุงแต่งในความฝัน ตัดเข้าสมาธิได้ ผมก็จะลุกตื่นขึ้นมา แล้วก็เปิดภาพอสุภะในอินเตอร์เน็ตขึ้นมาดูบ้าง เปิดพุทธพจน์ในพระไตรปิฎกขึ้นมาอ่านบ้าง ซึ่งเท่าที่ทำมากามราคะอย่างหยาบก็สงบลงได้
ปัญหาของผมตอนนี้มันมาอยู่ในขั้นนี้ครับ คือ ตอนนี้ต้องการฝึกที่จะตัดกามราคะอย่างละเอียดจริงๆ ในบางครั้งเดินจงกรม นั่งสมาธิเสร็จไป 1 บัลลังค์บ้าง 2 บัลลังค์บ้าง บางทีจิตมันจะอึดอัดกับสภาวะที่มันสงบ ว่างเปล่า และดิ้นรนวุ่นวายไม่อยากจะทำต่อ อยากจะได้อารมณ์ที่เราเคยเสพ เคยเสวยตามสัญญา อยากจะเลิกทำ ออกไปหาอารมณ์อันปราณีตเสวย อยากไปเที่ยว อยากไปกิน อยากไปเจอผู้คน ซึ่งทุกวันนี้ก็พยายามแก้ไปตามเรื่องตามราว ตามใจกิเลสบ้าง ฝืนกิเลสบ้าง เอาสมถะเข้าข่มบ้าง เอาวิปัสสนาเข้าตัดบ้าง อ่านธรรมะบ้าง ออกไปเรียนรู้ธรรมที่กระทบกับโลกบ้าง แต่ก็ยังจัดการไม่ได้เด็ดขาดเสียที พอเห็นพี่ tum_H พูดถึง จึงสอบถามดู เผื่อจะมีเทคนิคอะไรที่ผมจะเอามาพัฒนาตัวเองได้
อันนี้ก็เป็นประสบการณ์คร่าวๆ ของผมนะครับ ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆ เห็นว่าถูกผิดอย่างไร มีคำชี้แนะ ตัดเตือนอย่างไร จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับคนที่เป็นผู้ปฏิบัติสายปัจเจกอย่างผม ผมกราบขอบพระคุณ สำหรับคำแนะนำทุกประการครับ