หน้า 25 จากทั้งหมด 160

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 1:40 pm
โดย VIB007
ปรัชญา เขียน:
พอท์ตร้อยล้านผมเลิกคิดแล้วครับ คงไปไม่ถึงครึ่งทาง

ผมมีทุนลงแค่3แสน5ปีได้แค่นี้ก็พอสมควรแล้ว และปัจจุบัน

ซื้อหุ้นปันผลซะจะหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหมือนมีเงินประจำแบบเงินเดือนแล้วตามที่เคยฝันไว้ว่า แก่ตัวลงจะให้หุ้นมันเลี้ยงเราครับ

เล่นไฟก็แค่ค่าขนมกับค่าข้าว

เพราะสังเกตุดูคาดว่า...กองทุนอีแร้งมันลากได้70-100%มันลงขายทิ้ง

ขายขว้างลงมาแบบดูไม่จืด แต่คนเข้าตลาดใหม่กับกองทุนที่ตั้งขึ้นมาก็เข้าไปรับของหุ้นไม่ยอมลงสักที ผมถือBKIเอาปันผลแบบฝากเงินประจำกินปันผล3เดือนไปกว่าครึ่งพอท์ตแล้วครับ แก่แล้วบางวันหัวใจจะวายครับ สนุกมาก ถ้ารับไม้สุดท้ายวิ่งร้อยเมตรก็คงทุกข์มากครับ
[/color]

ขอบคุณที่อวยพรให้คุณแม่ผมหายป่วย แต่ผมหมดหวังครับ
ตอนนี้ก็เท่ากับเอาเงินซื้อลมหายใจไว้เท่านั้น ไม่ทรุดลงแต่ไม่ดีขึ้น


ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ
[/quote]

สวัสดีครับพี่ปรัชญา
ผมฝันเหมือนกันว่า วันนึงจะมีหุ้นมากพอทำมาหาเลี้ยงผม
แต่ตอนนี้ พวกมันยังเด็กอยู่
ผมก็เลยต้องเลี้ยงมันไปก่อน
เดี๋ยวพอโตขึ้นก็คงกลับตัวกลับใจมาเลี้ยงผมบ้าง
คิดว่าพวกมันคงไม่อกตัญญู

พูดเรื่องคุณแม่พี่แล้วนึกถึงคุณยายผม
คุณยายผมอายุ 93 ปีไม่ยอมทานข้าวพูดไม่ได้เดินไม่ได้มาหลายเดือน
วันนี้เริ่มเดินได้แล้ว พูดได้มากขึ้น
ปาฏิหารย์มีจริงครับ
สำคัญที่สุดคือกำลังใจจากลูกๆหลานๆครับ
ยังไงก็ให้กำลังใจคุณแม่พี่เหมือนเดิมให้หายเร็วๆๆครับ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 3:25 pm
โดย ayethebing
VIB007 wrote:
ไม่ต้องกลัวว่าที่นี่จะกลายเป็นสวนสนุกครับ
ยินดีต้อนรับทุกท่านทุกความเห็น
อยากให้แสดงความคิดเห็นกันให้มากๆครับ
ดังนั้น คุณayethebing ใส่มาได้เต็มที่เลยครับ
น้องๆรอรับกันอยู่
รวมทั้งผมด้วยจะได้รู้ว่าโลกอื่นเป็นอย่างไรบ้าง
อ้อ......ผมไม่เรียกว่าอาจารย์ aye ก็ได้
แต่จะเรียกว่า ซือแป๋ aye แทน ฮ่า ฮ่า (ล้อเล่นนะครับ)
ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ

แหมเรื่องที่ผมคุยๆไป มันก้อไม่ถึงกับอยู่โลกอื่นหรอกครับ มันแค่อีกมุมมองนึงเท่านั้นเอง

VIB007 wrote:
Peter Lynch บอกว่า
"ในการลงทุน ให้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แล้วจะดีเอง"
หลังๆผมก็เลยไม่ได้สนใจสูตรมากมายครับ
เอาไว้เป็นหลักให้เราดูเท่านั้นเอง
เราสามารถคำนวณหามูลค่าออกมาได้
แต่เวลาตัดสินใจก็ใช้ประสบการณ์และความเข้าใจเป็นหลักครับ
ผมว่า "การลงทุนเป็นศิลปะ"อย่างนึงนะครับ
เหมือนเราวาดรูปนะครับ
แรกๆเราก็มีสเกลในการวาดรูป
มีการวัดขนาด กว้าง ยาว สูง ให้สมส่วน
แต่พอเวลาผ่านไป
เราพบว่า
การวาดรูปต้องมาจากภายใน
ไม่ใช่จากภายนอก
ในที่สุดแล้ว
เราคงต้องอาศัยสิ่งที่เรามีอยู่ในจิตใจเราปาดพู่กันไป
มากกว่าที่จะวาดตามไม้บรรทัดจริงมั๊ยครับ
อาจารย์บัฟเฟตเคยบอกไว้ครับว่า
"การหามูลค่าหุ้น ใครๆก็หาได้
แต่การสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องในตลาด
ต้องการอะไรมากกว่าการหามูลค่าหุ้นเพียงอย่างเดียว"
เห็นด้วยพันเปอร์เซนต์สำหรับข้อนี้ ผมเลยชอบแนวคิดของ Philip Fisher ในแง่การเลือกหุ้นจากปัจจัยคุณภาพมากเป็นพิเศษไง

VIB007 wrote:

[/quote]

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 4:29 pm
โดย บุคคลทั่วไป
ผมลองอ่านเรื่อง การกำหนดราคาหุ้นดู (ใน "ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ) ในส่วนของ Terminal value เค้าใช้
Terminal Value (ของปีสุดท้าย ) = FC (1+g) / (WACC-g) x (ส่วนที่ปรับให้เป็น PV)
ผมเข้าใจว่าหลักการหาค่าราคาปีสุดท้ายคล้ายๆกับการใช้วิธี earning power value (ในกระทู้เก่า) ถ้าใช่ส่วนหารน่าจะเป็นสัดส่วน % ผลตอบแทนที่อยากได้ แต่สงสัยว่าทำไมใช้ (WACC - g) อีกอย่างค่า g (growth) ที่ใช้ควรกำหนดจาก ค่าการเติบโต ในอดีดของ earnings มากกว่า retained earnings ไช่เปล่าครับ ในหนังสือพูดคล้ายกับให้ใช้สัดส่วนที่เพิ่มเข้าไปใน retained earning เป็นหลัก

อู้ ... ไม่รู้ตั้งคำถามรู้เรื่องหรือเปล่า มือใหม่ครับ (แต่ไม่เด็กแล้ว แฮ่ แฮ่ ) ขอโทษด้วยที่ถามนอกเรื่องที่คุยกันอยู่ ... ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ
อ่านคำถามก็ยังงงๆ
แต่ก็พยายามตอบครับ
ยังไงคุณมนช่วยด้วยแล้วกันครับ เรื่อง WACC

ในส่วนการเติบโต
ในการเติบโตของ Retain Earning ก็คือกำไรสุทธิหักด้วยเงินปันผล
ดังนั้น ถ้าบริษัทมีปันผล อัตราการเติบโตของRetain Earning จะน้อยกว่ากำไรสุทธิครับ
ถามว่า ใช้ตัวไหน
ผมก็ตอบตรงๆไม่ได้
เพราะต่างจิตต่างใจ
ถ้าผมแนะนำก็ใช้ทั้งสองตัวเลย แล้วดูว่าต่างกันเท่าไหร่
ตัวไหนเหมาะสมก็ใช้ตัวนั้นหละครับ
ง่ายไปไหมครับ

Peter Lynch บอกว่า
"ในการลงทุน ให้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แล้วจะดีเอง"
หลังๆผมก็เลยไม่ได้สนใจสูตรมากมายครับ
เอาไว้เป็นหลักให้เราดูเท่านั้นเอง
เราสามารถคำนวณหามูลค่าออกมาได้
แต่เวลาตัดสินใจก็ใช้ประสบการณ์และความเข้าใจเป็นหลักครับ
ผมว่า "การลงทุนเป็นศิลปะ"อย่างนึงนะครับ
เหมือนเราวาดรูปนะครับ
แรกๆเราก็มีสเกลในการวาดรูป
มีการวัดขนาด กว้าง ยาว สูง ให้สมส่วน
แต่พอเวลาผ่านไป
เราพบว่า
การวาดรูปต้องมาจากภายใน
ไม่ใช่จากภายนอก
ในที่สุดแล้ว
เราคงต้องอาศัยสิ่งที่เรามีอยู่ในจิตใจเราปาดพู่กันไป
มากกว่าที่จะวาดตามไม้บรรทัดจริงมั๊ยครับ
อาจารย์บัฟเฟตเคยบอกไว้ครับว่า
"การหามูลค่าหุ้น ใครๆก็หาได้
แต่การสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องในตลาด
ต้องการอะไรมากกว่าการหามูลค่าหุ้นเพียงอย่างเดียว"


เอาล่ะ กลับมาที่สูตรกันต่อ
ถามว่า ทำไมใช้ (WACC - g) แทนที่จะเป็น อัตราผลตอบแทนที่เราต้องการ
ตอบว่า อันนี้แล้วแต่ใครจะใช้อะไรครับ
บางตำราก็ใช้ WACC
บางตำราก็ใช้ WACC-g
บางตำราก็ใช้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว
บางตำราก็ใช้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ดังนั้น ก็ขึ้นกับว่าผู้ใช้ต้องการอะไร

การใช้ WACC บางตำราอ้างอิงถึงค่า Beta ด้วย

อย่าหาว่าผมตอบกวน....จุด จุด จุดเลยนะครับ
ผมก็คงตอบเหมือนเดิม คือ
ก็ลองใช้หลายๆตัว
ตัวไหนดูท่าทีแล้วเหมาะสมที่สุด
ก็ใช้ตัวนั้นเป็นเกณท์
อย่างที่ผมเคยบอกว่า
ไม่มีสูตรสำเร็จในการลงทุนครับ
ไม่งั้นทุกคนก็กลายเป็นมหาเศรษฐีเท่าบัฟเฟต์กันหมดแล้ว
จริงมั๊ยครับ

ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ[/quote]

ขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำ สังสัยต้องเร่งอ่านเพิ่มเติม จนสามารถเข้าใจศาสตร์ของมัน จนเอามาใช้ในแนวศิลป์ได้ :wink: น่าจะมีการสอนการหา intrinsic value อีกนะครับ ก่อนอื่นต้องไปสมัครสมาชิกก่อน :) ขอบคุณอีกครั้งครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 5:09 pm
โดย CK
VIB007 เขียน: "ในการลงทุน ให้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แล้วจะดีเอง"
หลังๆผมก็เลยไม่ได้สนใจสูตรมากมายครับ
เอาไว้เป็นหลักให้เราดูเท่านั้นเอง
เราสามารถคำนวณหามูลค่าออกมาได้
แต่เวลาตัดสินใจก็ใช้ประสบการณ์และความเข้าใจเป็นหลักครับ
ผมว่า "การลงทุนเป็นศิลปะ"อย่างนึงนะครับ
พูดถูกใจจริงท่านอาจารย์ ผมไม่ชอบเรื่องยากๆ ครับ
แค่เห็นสูตรยุบยับ อาหารเช้า-กลางวันมันพาลจะหนี
ออกมาข้างนอกเอาดื้อๆ

ถ้าใช้สูตรแล้วรวยได้ คนที่เป็นนักบัญชีคงจะรวยกันหมดแล้ว
อ้า ไม่ได้หมายความว่านักบัญชีไม่มีรวยสักคนนะครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 7:32 pm
โดย chatchai
ผมมีเพื่อนอย่คนหนึ่งจบปริญญาเอกบัญชีที่จฬาฯ ทำงานตำแหน่งก็ใหญ่โตพอควรที่ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งหนึ่ง ทกวันนี้เพื่อนผมมันยังเล่นห้นเก็งกำไรตามข่าว เข้าๆออกๆอย่เลยครับ

การเป็น VI นั้นผมว่ายากที่ใจนะครับ ยิ่งห้นขึ้นแบบนี้ ไม่ค่อยมีใครสนใจครับ รวยช้าไป

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 10:12 pm
โดย ลูกอิสาน
คุณวิบูลย์ครับ หลังจากผมอ่าน The ืNew Buffetology จบแล้ว
ผมสรุปง่ายๆว่า
สูตรทำเงินของ Buffet คือ
ซื้อหุ้นของกิจการที่มีความสามารถในการแข่งขัน(ที่ยั่งยืน)
ที่ราคาเหมาะสม (ตอนเศรษกิจหรืออุตสาหกรรมตกต่ำ)

ผมสงสัยประการหลังครับ คือ แม้แต่ตอนนี้ที่เป็นตลาดกระทิง
ผมก็คิดว่ายังมีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
ผมก็เลยยังถือหุ้นเหล่านั้น เต็มพอร์ทร้อยเปอร์เซนต์

แล้วตอนภาวะตกต่ำ ผม (หรือวอร์เรนต์) จะเอาเงินจากไหน
ไปซื้อหุ้นราคาถูกละครับ
เพราะตอนซบเซา แม้แต่หุ้นดีๆ ราคาก็ตกลงไปมากครับ

ก็เลยแปลกใจว่าทำไม แม้แต่ในปีที่หุ้นตกอย่างรุนแรง
พอร์ทของวอร์เรนก็ยังเป็นบวกได้ครับ
รบกวนแค่นี้นะครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 10:41 pm
โดย CK
ลูกอีสาน เขียน: คุณลูกอีสานครับแล้วตอนภาวะตกต่ำ ผม (หรือวอร์เรนต์) จะเอาเงินจากไหน
ไปซื้อหุ้นราคาถูกละครับ เพราะตอนซบเซา แม้แต่หุ้นดีๆ ราคาก็ตกลงไปมาก


ผมเคยได้ยินวอร์เร็นพูดทำนองว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ก็ขาย
หุ้นที่คิดว่าใกล้เต็มมูลค่าหรือเกินมูลค่ามากที่สุดออกไป (ซึ่งถึงแม้ราคา
จะตกเหมือนกัน แต่ตกน้อยกว่าหรือโอกาสขึ้นน้อยกว่า) แล้วนำเงิน
มาซื้อหุ้นซุปเปอร์ถูก

ส่วนตัวผมเองจะใช้วิธีถือหุ้น defensive stock ไว้สักตัวสองตัวครับ
เป็นการพักเงิน คือถ้าหุ้นมันขึ้นแล้วเรายังหาตัวดีๆซื้อไม่ได้ อย่างน้อย
เงินเราก็ยังงอกเงยจากปันผลมากกว่าดอกเบี้ย พอเจอหุ้นดีๆปั๊บก็ขาย
หุ้น defensive (ตามที่ Mr. Market เรียกร้อง) แล้วโดดไปซื้อครับ

หุ้น defensive ที่ผมเลือกจะต้องมี liquidity พอควรด้วยครับ ม่ายงั้น
ขายไม่ออก ตอนนี้ก็เป็นหุ้นประกันขนาดกลางกับสิ่งทอครับ ซึ่งโดยปกติ
จะขึ้นน้อยและลงน้อยกว่าตลาด

ผมไม่ค่อยชอบถือเงินสดไว้ในพอร์ตเหมือนกัน

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 13, 2004 10:54 pm
โดย house
คำถามครับ ผมเพิ่งอ่าน new buffetology ไปแบบกระโดดๆ(กะจะมาใหม่ละเอียดอีกรอบทีหลัง)แล้วสงสัยครับ
วอเรนต์ สวอปหุ้นของเบิร์กไชน์ 2.2 พันล้าน กับหุ้นบริษัทประกัน
100 % นี่หมายความว่าไงครับ หุ้นบริษัทประกันก็ต้องอยู่ในมือผู้ถือหุ้นไม่ใช่เหรอครับ หรือวอเรนต์ซื้อบริษัทเลยจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด หรือว่าแค่แลกพอร์ต งง ครับ แล้วกรณีนี้เหมือนหรือแตกต่างกับกรณีหุ้นราชบุรียังไงครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 14, 2004 2:57 pm
โดย ayethebing
สงสัยจะเป็นการเทคโอเวอร์แบบเป็นมิตร นะครับ (ไม่งั้นผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัทประกันนั้นคงไม่ยอมแลกเป็นหุ้นหรอก)

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 14, 2004 4:09 pm
โดย VIB007
CK เขียน: พูดถูกใจจริงท่านอาจารย์ ผมไม่ชอบเรื่องยากๆ ครับ
แค่เห็นสูตรยุบยับ อาหารเช้า-กลางวันมันพาลจะหนี
ออกมาข้างนอกเอาดื้อๆ

ถ้าใช้สูตรแล้วรวยได้ คนที่เป็นนักบัญชีคงจะรวยกันหมดแล้ว
อ้า ไม่ได้หมายความว่านักบัญชีไม่มีรวยสักคนนะครับ
chatchai เขียน: ผมมีเพื่อนอย่คนหนึ่งจบปริญญาเอกบัญชีที่จฬาฯ ทำงานตำแหน่งก็ใหญ่โตพอควรที่ธนาคารพาณิชย์ไทยแห่งหนึ่ง ทกวันนี้เพื่อนผมมันยังเล่นห้นเก็งกำไรตามข่าว เข้าๆออกๆอย่เลยครับ

การเป็น VI นั้นผมว่ายากที่ใจนะครับ ยิ่งห้นขึ้นแบบนี้ ไม่ค่อยมีใครสนใจครับ รวยช้าไป
คุณพี่CK ครับ อย่าเรียกผมว่า อาจารย์เลยครับ
เพราะผมยังไม่แก่ (ยังเอ๊าะเอ๊าะอยู่ อิ อิ)

เห็นด้วยกับพี่CK และพี่Chatchai ครับ
ขนาด CFO ของบริษัทผมมีดีกรีเป็น CFA
ยังถือหุ้นไม่เกินสามวันเลยครับ
วันก่อนมาบอกพวกผมที่ออฟฟิศว่า ได้มาสองแสน
พอวันถัดมาบอกเสียไปแล้ว 30%
แต่ผมไม่ได้บอกหรอกครับว่าผมเล่นหุ้นยังไง
พอดีก้วน CFO เป็นก้วนเดียวกับเจ้านายผม
มาปรึกษากันที่ห้องเจ้านายผมทุกเย็นว่า
พรุ่งนี้จะ"เล่น"ตัวไหน
พวกเขาก็ทำกำไรได้เรื่อยๆหละครับ
ช่วงขาขึ้นก็อย่างที่เขาบอกกันว่า
เอาลิงมาเลือกหุ้นก็ยังได้กำไร
ท่าทางจะจริงนะครับ
แต่ผมว่าปีนี้ใครคิดว่าจะหาเงินได้ง่ายๆเหมืือนปีที่แล้ว
คงต้องกลับไปคิดใหม่



ตอนนี้ที่ออฟฟิศผม "เซียนหุ้น"เดินชนกันเป็นว่าเล่นเลยละครับ
มีน้องคนนึงเพิ่งเปิดพอร์ตเล่นหุ้นได้หนึ่งอาทิตย์
เดินมาบอกผมว่า ให้ซื้อหุ้นตัวนั้นตัวนี้ซิ
เขาเพิ่งซื้อไป ได่กำไรมาหลายสิบเปอร์เซนต์
ผมเห็นแล้วก็ตลกดี มองเป็นเรื่องขำขันไป
ส่วนตัวผมคิดว่า
ใครจะเซียนไม่เซียน ต้องดูที่ขาลงครับ
วันนั้นจะวัดใจกันว่า ใครจะประสาทแข็งกว่ากัน
ที่แน่ๆเซียนตัวจริงต้องผ่านร้อนผ่านหนาวได้ในตลาดมาได้ตลอด
ถ้าเพียงแค่เพิ่งเล่นหุ้น หรือ เพิ่งเจ็บจากรอบทีแล้วมา
แล้วได้กำไรรอบนี้ ผมยังถือว่ายังไม่เป็น"เซียน"ครับ
เซียนตัวจริง ทำเงินได้ทั้งขาขึ้นและขาลงครับ
เวลาเท่านั้นที่จะพิสูจน์ว่าใครเป็น "ลูกผู้ชายตัวจริง" ฮา
ayethebing เขียน: ขอบคุณครับที่ให้กำลังใจ
แหมเรื่องที่ผมคุยๆไป มันก้อไม่ถึงกับอยู่โลกอื่นหรอกครับ มันแค่อีกมุมมองนึงเท่านั้นเอง
อิ อิ
ยังไงก็รบกวนคุณayethebing ในกระทู้นี้เรื่อยๆนะครับ
รับปากแล้วนะครับ ห้ามปฏิเสธ
ลูกอีสาน เขียน: คุณวิบูลย์ครับ หลังจากผมอ่าน The ืNew Buffetology จบแล้ว
ผมสรุปง่ายๆว่า
สูตรทำเงินของ Buffet คือ
ซื้อหุ้นของกิจการที่มีความสามารถในการแข่งขัน(ที่ยั่งยืน)
ที่ราคาเหมาะสม (ตอนเศรษกิจหรืออุตสาหกรรมตกต่ำ)

ผมสงสัยประการหลังครับ คือ แม้แต่ตอนนี้ที่เป็นตลาดกระทิง
ผมก็คิดว่ายังมีหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น
ผมก็เลยยังถือหุ้นเหล่านั้น เต็มพอร์ทร้อยเปอร์เซนต์

แล้วตอนภาวะตกต่ำ ผม (หรือวอร์เรนต์) จะเอาเงินจากไหน
ไปซื้อหุ้นราคาถูกละครับ
เพราะตอนซบเซา แม้แต่หุ้นดีๆ ราคาก็ตกลงไปมากครับ

ก็เลยแปลกใจว่าทำไม แม้แต่ในปีที่หุ้นตกอย่างรุนแรง
พอร์ทของวอร์เรนก็ยังเป็นบวกได้ครับ
รบกวนแค่นี้นะครับ
คุณพี่CKก็ช่วยตอบไปแล้วนะครับ
คราวนี้ถึงคิวของผมบ้าง

คำถามของคุณลูกอีสาน
ผมก็ถามตัวเองเหมือนกันครับ
ถามมานานๆๆๆๆๆมาก
แต่ก็ไม่ได้คำตอบจากตัวเองสักที
มีวันหนึ่งไม่รุ้อะไรดลใจ
ตอบคำถามนี้ได้ตรงเปรี้ยงเลยละครับ

คือคำตอบมีอยู่ว่า
ที่อาจารย์บัฟเฟตสามารถมีเงินลงทุนได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องขายหุ้นนั้น
ก็เพราะว่า แกไปซื้อธุรกิจประกันมาหลายบริษัทมาก
สิ่งที่แกเห็นในธุรกิจประกันซึ่งที่เป็นธุรกิจที่เป็น Commodity แข่งขันกันด้วยราคานั้น
ไม่ใช่กำไรจากหุ้นที่ถืออยู่
แต่เป็น.................
กระแสเงินสดและ Free Float อันมหาศาลของบริษัทประกัน
Free Float เกิดจากเงินที่ผู้เอาประกันจ่ายล่วงหน้า
ถ้าไม่มีการเคลม เงินนี้ก็คือได้มาฟรี
เงินก้อนนี้เองที่ไหลเข้ากระเป๋าของบัฟเฟตทุกวัน
วันละหลายล้านเหรียญ
สิ่งที่บัฟเฟตต้องคิดเพียงอย่างเดียวคือ
จะเอาเงินก้อนนี้ไป"ลงทุน"อย่างไร
ถึงเวลานั้นไม่ต้องคิดถึงเรื่องซื้อขายแล้วครับ
แค่คิดจะเอาเงินที่ไหลเข้ามาทุกวันไปลงทุนให้หมดก็ปวดหัวแล้ว
ดังนั้นถือหุ้นสิบถึงยี่สิบปีก็ไม่มีปัญหาสำหรับอาจารย์บัฟเฟตแต่อย่างใด

ตอนเริ่มตั้ง Buffet Partnership ใหม่ๆ
บัฟเฟตก็หา Cashflow จากก้นบุหรี่ครับ
จนแกพบทางสว่างจากเงินฟรีของบริษัทประกัน
ก็เลยกว้านซื้อบริษัทประกันเข้าพอร์ตเป็นว่าเล่น
ฉลาดไหมครับ

ทีนี้คำถามที่ว่า ถ้าเกิดตลาดเข้าสู่ภาวะตกต่ำจะทำอย่างไร
ถ้าไม่ขายหุ้น จะเอาเงินจากไหนไปซื้อหุ้นล่ะ
แต่ก่อนผมก็ตอบคำถามนี้กับตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
คิด คิดเท่าไร คิดไม่ออกซะที ๆ ๆ ๆ
(ลองร้องซ้ำๆหลายๆครั้งจะเหมือนเพลงดังในอดีตเพลงหนึ่ง)
จนวันนึงมีอะไรมาดลใจก็ไม่รู้
ตอบคำถามนี้ได้ตรงเปรี้ยงเลยละครับ

คำตอบมีอยู่ว่า..........
เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้ขายหุ้นที่ดูแล้วแย่ที่สุดในพอร์ตออกไป
จำพวกเกรดบี เกรดซี อะไรทำนองนั้น
แต่ถือหุ้นที่ดีที่สุดในระยะยาวไว้
เพื่อเอาเงินที่ขายหุ้นเกรดรองไปซื้อหุ้นเกรดเอที่ถือไว้
ในราคาที่ต่ำสุดๆ
เพื่อรอวันตลาดหวนกลับ
ซึ่งสักวันมันจะกลับมาแน่นอน

ถ้าไม่หุ้นเกรดเอเลยก็ล้างพอร์ต
เอาเงินไปรอซื้อหุ้นเกรดเอในตอนตลาดตกต่ำ

แต่ต้องดูด้วยนะครับ
ไม่ใช่ล้างพอร์ตแล้วหุ้นขึ้นต่อนะครับ
เสียโอกาสแย่เลย

ส่วนคำถามที่ว่า
"ก็เลยแปลกใจว่าทำไม แม้แต่ในปีที่หุ้นตกอย่างรุนแรง
พอร์ทของวอร์เรนก็ยังเป็นบวกได้ครับ"

ผมก็ตอบไม่ได้ครับ
ถ้าใครตอบได้ ช่วยบอกผมด้วยนะครับ
ผมว่านี่ละครับ "ยอดเซียนหุ้นตัวจริง"
ตลาดตก แต่พอร์ตยังเป็นบวกได้
สุดยอดครับ สุดยอด
ก็กำลังค้นหาอยู่เหมือนกันครับ
ว่าจะทำได้ยังไง ต้องค้นหาและศึกษาต่อไปครับ
อย่ายอมแพ้นะ ไอ้มดแดง ฮ่า ฮ่า

หวังว่าคุณอาจารย์ลูกอีสาน คงได้อะไรจากคำตอบผมบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ
house เขียน:
คำถามครับ ผมเพิ่งอ่าน new buffetology ไปแบบกระโดดๆ(กะจะมาใหม่ละเอียดอีกรอบทีหลัง)แล้วสงสัยครับ
วอเรนต์ สวอปหุ้นของเบิร์กไชน์ 2.2 พันล้าน กับหุ้นบริษัทประกัน
100 % นี่หมายความว่าไงครับ หุ้นบริษัทประกันก็ต้องอยู่ในมือผู้ถือหุ้นไม่ใช่เหรอครับ หรือวอเรนต์ซื้อบริษัทเลยจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด หรือว่าแค่แลกพอร์ต งง ครับ แล้วกรณีนี้เหมือนหรือแตกต่างกับกรณีหุ้นราชบุรียังไงครับ
ฮ่า ฮ่า
ลองไปอ่านดูอีกสักรอบมั๊ยครับ
เพื่อจะเจอคำตอบเอง อิ อิ

แซวเล่นนะครับ
ตัวอย่างทีเห็นคือการแสดงให้เห็นความเป็นอัจฉริยะของอาจารย์บัฟเฟต
คือว่า บัฟเฟตมองว่า
ราคาหุ้นเบริคไชน์ตอนนั้นมีมูลค่าสูงเกินจริงไปแล้ว
ในทางทฤษฏีก็ควรขายหุ้นมาถือพันธบัตรใช่ไหมครับ
แต่ถ้าจะขายออกมาในตลาดตอนนั้นก็จะทำให้ราคาหุ้นลดลงฮวบฮาบ
เพราะแกเล่นถือไว้เกือบครึ่งบริษัท
อีกอย่างแกคงไม่ยอมขายหุ้นเบริคไชน์ง่ายๆ
ดังนั้นจะทำอย่างไรดี..........
ช่วยแกคิดหน่อยซิครับ ...............ติ้กต้อก ติ้กต้อก ๆ ๆ ๆ

วิธีการก็คือ
เอาหุ้นเบริคไชน์(ที่มีมูลค่าสูงเกินจริง)
ไปแลกกับหุ้นของบริษัทประกัน
(น่าจะเป็น General Re น่ะถ้าผมจำไม่ผิด)
สิ่งที่ได้มาก็คือ มูลค่าพอร์ตการลงทุนในพันธบัตรของบริษัทประกันนั้นเต็มๆ
นั่นหมายความว่า
เอาหุ้นเบริคไชน์ไปแลกเป็นพันธบัตรมาโดยไม่ต้องขายหุ้นสักหุ้น
ฉลาดไหมครับ
อย่างนี้เขาเรียกว่า "อัจฉริยะ"ครับ
สมแล้วที่เขายกย่องกันว่า บัฟเฟตเป็นสุดยอดนักลงทุน
เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย

ลองศึกษาCaseนี้ดูดีๆแล้วกันครับ
จะเจออะไรดีดีๆอีกมากเลยครับ

ส่วนที่ถามว่าเหมือนหรือต่างจากราชบุรี
ผมว่าไม่เหมือนกันเลย
เพราะการที่ กฟผ ซื้อหุ้นราชบุรี
เป็นเรื่องของ Politic มากกว่าเรื่องการลงทุน

จริงไม่จริง ถามผู้รู้ท่านอื่นๆด้วยแล้วกันครับ
ผมไม่ใช่มนุษย์ไฟฟ้าเลยไม่ถนัดเรื่องไฟฟ้งไฟฟ้ากับเขา
ลองอ่านบทความของ ดร.ปิยะสวัสดิ์ อมรนันท์ ในกรุงเทพธุรกิจซิครับ
จะเข้าใจเรื่องมนุษย์ไฟฟ้าได้ถึงกึ๋นจริงๆ

เอาล่ะครับ
สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 14, 2004 4:22 pm
โดย CK
:shock:

อย่างนี้ไม่เรียกท่านอาจารย์ได้ไงครับ เห็นทางสว่างแจ้งขึ้นมาทันที
ขอบคุณครับ มิน่า พี่เจ๋งถึงได้ชมนักชมหนาว่า VI ตัวจริงเสียงจริง
ศิษย์เอกอาจารย์บัฟเฟตต์

ง่า คุณวิบูลย์ซื้อบริษัทประกันไปกี่บริษัทแล้วครับ?

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 14, 2004 5:00 pm
โดย VIB007
ว่าจะกลับบ้านแล้วนะเนี่ย
พอดีเห็นโพสคุณพี่CK เลยขอตอบก่อน
ก่อนที่ทุกคนจะไปซื้อหุ้นประกันจนหมดพอร์ต

พี่CK ครับ
ผมไม่มีหุ้นประกันในพอร์ตเลยครับ (ไม่น่าเชื่อ)
ถามว่าทำไมไม่ซื้อหุ้นประกันเหมือนอาจารย์บัฟเฟต
คำตอบก็คือว่า
1) ถ้าผมซื้อหุ้นบริษัทประกัน ผมเป็นเพียงผู้ถือหุ้นส่วนน้อย
ดังนั้นผมไม่ได้เป็นเจ้าของ Free Float ตัวจริง
ดังนั้น Cashflow ที่ผมได้ก็คือแค่ Dividend

ถ้าให้ดีต้อง Takeover บริษัทประกันมาเลย
แล้วเอาพอร์ตประกันมาบริหารการลงทุน

2) ถึงแม้ผมจะได้บริหารพอร์ตประกัน
แต่บริษัทประกันในเมืองไทย
ถูกราชการกำหนดให้นำเงินที่ได้จากเบี้ยประกัน
ไปลงทุนในการลงทุนที่ไร้ความเสี่ยงเป็นจำนวนมากๆๆๆๆๆๆ
เช่น พันธบัตร หรือ เงินฝากประจำ
โดยกำหนดให้ไปลงทุนในหุ้นได้จำกัด หรือน้อยมากๆๆๆๆๆๆ
เพราะราชการกลัวบริษัทประกันไป"เล่น"หุ้นจนเจ๊ง
แล้วตัวเองจะเดือดร้อน
(มุมมองของราชการต่อตลาดหุ้นยังคิดว่าเป็น "การพนัน" เหมียนเดิม ...เศร้า)
(ขณะที่อเมริกา บริษัทประกันไม่มีข้อจำกัดด้านการลงทุน)
ดังนั้น ผลตอบแทนจากการลงทุนของประกันไทยจึงต่ำมาก

3) จึงทำให้ ROE ของบริษัทประกันในเมืองไทย
ต่ำกว่ามาตรฐานของบริษัททั่วไป
สู้บริษัทขายน้ำยังไม่ได้เลยครับ

4) เนื่องด้วยผลตอบแทนการลงทุนต่ำ
บริษัทประกันในเมืองไทยจึงน่าสนใจน้อย(สำหรับผมคนเดียวนะครับ)

ก็เป็นเหตุผลนะครับ
ที่ใครอยากจะเลียนแบบอาจารย์บัฟเฟต
ด้วยการซื้อหุ้นประกันแล้วคิดว่าจะเป็นมหาเศรษฐีได้
ก็ลองพิจารณาดูเอาเองแล้วกันนะครับ

อ้อ! พี่เจ่ง
พี่คิดว่ากระทู้นี้จะอ่านถึง 30,000 ครั้งหรือเปล่า
มีใครจะตั้งข้อเสนอต่อรองรึเปล่าครับ
อิ อิ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 14, 2004 7:46 pm
โดย chatchai
เอาหุ้นเบริคไชน์(ที่มีมูลค่าสูงเกินจริง)
ไปแลกกับหุ้นของบริษัทประกัน
(น่าจะเป็น General Re น่ะถ้าผมจำไม่ผิด)
สิ่งที่ได้มาก็คือ มูลค่าพอร์ตการลงทุนในพันธบัตรของบริษัทประกันนั้นเต็มๆ
นั่นหมายความว่า
เอาหุ้นเบริคไชน์ไปแลกเป็นพันธบัตรมาโดยไม่ต้องขายหุ้นสักหุ้น
ฉลาดไหมครับ
อย่างนี้เขาเรียกว่า "อัจฉริยะ"ครับ
สมแล้วที่เขายกย่องกันว่า บัฟเฟตเป็นสุดยอดนักลงทุน
เป็นคำกล่าวที่ไม่เกินจริงเลย
ผมว่างานนี้ผ้บริหาร General Re น่าจะโดนไล่ออกนะครับ คล้ายโดนหลอกเลยครับ[/code]

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ ม.ค. 14, 2004 8:22 pm
โดย harry
พี่วิบูลย์ครับ วอร์เรน ดูกราฟ ดูชาร์ตมั้ยครับ แบบประมาณว่าดูย้อนหลังว่าช่วงตกต่ำเคยลงไปที่เท่าไหร่ ถ้าเกิดข่าวร้ายและตกลงไปถึงใกล้เคียงจุดต่ำสุดที่เคยเป็น ก็แสดงว่าให้ซื้อเก็บได้

พี่ว่างัยครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 12:19 am
โดย CK
chatchai เขียน: ผมว่างานนี้ผ้บริหาร General Re น่าจะโดนไล่ออกนะครับ คล้ายโดนหลอกเลยครับ
ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยวกับผู้บริหารนะครับ ถ้าแลกหุ้น Berkshire Hathaway
กับหุ้นของ General Re เพราะคนตัดสินใจน่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่นะครับ
ไม่ใช่ผู้บริหาร

และอีกอย่าง performance ของ Berkshire Hathaway นั้นนับว่าสุดยอด
ครับ ชนะอินเด็กซ์ทุกตัวประดามี ถ้าผมเป็นเจ้าของหุ้นของ General Re ผม
น่าจะพอใจมากกว่านะครับ Win-Win ครับ

ส่วนเรื่องประกันผมพูดเล่นนะครับ ส่วนผมมีเหตุผลที่ซื้อหุ้นประกันดังนี้

1. เอาไว้พักเงินในช่วงที่ยังตัดสินใจไม่ถูกว่า ซ้ายดีหรือขวาดี
2. Asset Play รอ merger and acquisition ของบริษัทประกันด้วยกัน

Harry เรื่องดูกราฟ ผมก็ไม่รู้ว่า Buffett ดูหรือไม่ แต่ผมดูครับ

ช่วงที่ตลาดเป้นหมี ราคาหุ้นไม่สูง อัตราปันผลเทียบกับราคา

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 9:49 am
โดย GUEST
ผมเพิ่งเล่นหุ้น เมือ่ ธันวา 46 นี้เองครับ อยากถามพี่ๆ vi ว่า ช่วงที่ตลาดเป้นหมี ราคาหุ้นไม่สูง
อัตราปันผลเทียบกับราคา (ใช่ที่เขาเรียกว่า dividen yield ใช้เป่าคับ) จะสูง กว่า ตอนตลาดกระทิงอย่างปัจจุบันหรือไม่
อย่างไร มากน้อยเท่าไร พอจะบอกคร่าวๆได้ไหมครับ เช่น ตอนหมี เฉลี่ย yield กี่ % ตอนกระทิง กี่ %
แล้วอย่างที่ผมคิด จะดีไหมครับ คือว่า ตอน ตลาดกระทิงอย่างตอนนี้ก็ เล่นแบบเก็งกำไร เพือ่หวังส่วนต่างราคา
แล้วตอนตลาดหมี ค่อยเล่นแนว vi เพื่อหวังปันผล อะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 10:24 am
โดย CK
ตอนตลาดตกต่ำขีดสุด ผมได้ dividend yield ราวๆ 10% ครับ
ตอนนี้ได้ประมาณ 5-7%

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 11:28 am
โดย นักดูดาว
หุ้นประกัน น่าจะอยู่ในกลุ่ม Dividend play + Asset play เหมือนที่คุณ CK ว่าครับ หากหวัง Growth ก็คงไม่ยั่งยืนนัก อาจจะเริ่มอิ่มตัว เพราะแข่งขันกันน่าดู เงินประกันก็เป็นเบี้ยหัวแตก แย่งลูกค้า แย่งกันลงทุน ล่าส่วนเกินทุนกันไปๆมาๆ แต่หากมีการควบรวมกัน ภาพอุตสาหกรรมน่าจะเปลี่ยนไปครับ

คุณวิบูลย์ครับ ผลตอบแทนจากการลงทุนของบริษัทประกัน ไม่น้อยเลยนะ ลองดู PHA ได้ แต่ตัวนี่จะบอกว่ากำไรมากน้อยขึ้นอยู่กับว่าประกันอะไร และมีวิธีบริหารความเสี่ยงอย่างไรมากกว่า

บริษัทที่ประกันอัคคีภัย อาคาร หรือการขนส่ง ดูจะมีการเคลมน้อยกว่า อาจจะเป็นเพราะระบบความปลอดภัยได้ถูกพัฒนาขึ้นมาก แต่หากเกิดภัยขึ้นจริงๆ ก็ขาดทุนบักโกรกเลยครับ ดูเหตุการณ์ 9-11 สิครับ บ.ประกันของบัฟเฟตถึงกับกระชากให้เบิร์กไชร์ขาดทุนเลยล่ะ

บริษัทประกันรถยนต์ คิดต่างกันไปครับ อัตราการเคลมสูงกว่า แต่ก็กระจายตัวมาก ทำให้กำไรจากส่วนนี้น้อย แต่ปริมาณลูกค้าและเบี้ยรับมหาศาลก็ทำให้ผลตอบแทนรวมดูน่าสนใจ

มาดูกันที่พอร์ตลงทุนของบริษัทประกัน ลักษณะการจัดพอร์ตคงจะต้องแยกกัน ส่วนที่จำเป็นต้องลงทุนในตราสารที่ผลตอบแทนน้อยๆ สภาพคล่องสูงๆ (ฝากธนาคาร ตั๋วเงินคงคลัง) เป็นส่วนที่เป็นเบี้ยประกันที่ยังไม่ถือเป็นรายได้ครับ เงินส่วนนี้ต้องสำรองจ่ายค่าสินไหมชดเชยครับ ถือว่ายังไม่ใช่เป็นรายได้ของบริษัท ..เงินก้อนนี้ไม่อยู่นิ่งๆครับ เดี๋ยวก็ไหลกลับไปสู่ผู้เอาประกัน ..หากหมดระยะเวลาเอาประกัน ส่วนที่เหลือก็ไหลเข้าไปเป็นรายได้ บริษัทประกันจะลงทุนอย่างไร น่าจะแล้วแต่บริษัทนะ

เรื่องประกันเป็นธุรกิจที่ว่าด้วยการเงินและกฎหมาย .. นักลงทุนในกลุ่มนี้ควรศึกษากฏหมายประกันภัยประกอบการอ่านงบการเงิน จะเข้าใจมากขึ้นครับ

http://www.doi.go.th/law/insurweb/lawnonlife.asp

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 11:37 am
โดย VIB007
chatchai เขียน:ผมว่างานนี้ผ้บริหาร General Re น่าจะโดนไล่ออกนะครับ คล้ายโดนหลอกเลยครับ
รู้ว่าเขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอกครับ

ผู้ถือหุ้นของ General Re ที่แลกเห็นหุ้น Berkshire
ตอนนี้คงเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วครับ
ถ้าไม่แลกหุ้นแต่ถือหุ้นGeneral Re จนถึงตอนนี้ คงเป็นแค่คนรวยธรรมดา
ฮ่า ฮ่า
Guest เขียน:ผมเพิ่งเล่นหุ้น เมือ่ ธันวา 46 นี้เองครับ อยากถามพี่ๆ vi ว่า ช่วงที่ตลาดเป้นหมี ราคาหุ้นไม่สูง
อัตราปันผลเทียบกับราคา (ใช่ที่เขาเรียกว่า dividen yield ใช้เป่าคับ) จะสูง กว่า ตอนตลาดกระทิงอย่างปัจจุบันหรือไม่
อย่างไร มากน้อยเท่าไร พอจะบอกคร่าวๆได้ไหมครับ เช่น ตอนหมี เฉลี่ย yield กี่ % ตอนกระทิง กี่ %
แล้วอย่างที่ผมคิด จะดีไหมครับ คือว่า ตอน ตลาดกระทิงอย่างตอนนี้ก็ เล่นแบบเก็งกำไร เพือ่หวังส่วนต่างราคา
แล้วตอนตลาดหมี ค่อยเล่นแนว vi เพื่อหวังปันผล อะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ
สวัสดีครับคุณแขก(ไม่มีหนวด)

ขอบคุณคุณพี่CK ครับสำหรับคำตอบ

คำตอบของผมมีอยู่ว่า........
ถ้าเอาคร่าวๆก็เอา dividen yield ไปเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก
ถ้า D/Y มากกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมาก ก็คือ ภาวะหมี
แต่ถ้า D/Y ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าดอกเบี้ยเงินฝากมาก นั่นคือ กระทิงแน่นอน
เป็นหลักคร่าวๆครับ
ปีที่แล้ว D/Y ของตลาดประมาณ 4-5% ขณะที่เงินฝากประมาณ 1-2%
ตอนนี้ D/Y ของตลาดประมาณ 2-3% ขณะที่เงินฝากประมาณ 1-2%
แล้วตอนนี้เป็นกระทิงหรือยัง
ไม่บอกทุกคนคงรู้นะครับ

ส่วนจะเล่นแนวไหน แบบไหน
อันนี้ต่างจิตต่างใจ
บังคับกันไม่ได้
ต้องค่อยๆศึกษาไปครับ
ว่าเราถนัดแนวไหน

นี่เล่นหุ้นแค่สองสามเดือน
จะเอาผลตอบแทนสูงๆแบบไม่พลาดเลยเหรอครับ
ระวังกระทิงจะขวิดเอานะครับ
กว่าจะถึงวันนี้ บัฟเฟตใช้เวลา 50 ปีนะครับในตลาด
ดังนั้น ใจเย็นๆครับ ค่อยๆไป อย่าใจร้อน
ขอเตือนด้วยความเป็นห่วงครับ
โอกาสในการลงทุนไม่ได้มีทุกวันครับ
แต่โอกาสนั้นก็มีอยู่เสมอสำหรับคนเข้าใจหลักการลงทุนที่แท้จริง

ถ้าใครคิดจะเอา Capital Gain สูงๆ
ก็ต้องเตรียมใจให้พร้อมสำหรับความผันผวนของราคาที่จะต้องมีมากกว่าหุ้นปันผลแน่นอน
ว่าแต่ว่าคุณพร้อมหรือยัง??????



harry เขียน:พี่วิบูลย์ครับ วอร์เรน ดูกราฟ ดูชาร์ตมั้ยครับ แบบประมาณว่าดูย้อนหลังว่าช่วงตกต่ำเคยลงไปที่เท่าไหร่ ถ้าเกิดข่าวร้ายและตกลงไปถึงใกล้เคียงจุดต่ำสุดที่เคยเป็น ก็แสดงว่าให้ซื้อเก็บได้

พี่ว่างัยครับ
ไม่ทราบครับ
ว่าบัฟเฟตดูกราฟหรือเปล่า
การลงทุนในหลักทรัพย์เป็นการดูอนาคต
บางครั้งจุดต่ำสุดของหุ้นหนึ่งตัวอาจจะสูงกว่าในอดีตก็ได้
ไม่มีสูตรตายตัวครับ
แต่ที่แน่ๆ ผมว่าบัฟเฟตใช้หลักการของ"ปรัชญาเต๋า"และ"พุทธ"ครับที่ว่า
"มีเกิดก็ต้องมีดับ มีดับก็ต้องมีเกิด
โลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน
ความแน่นอนก็คือความไม่แน่นอน"
ดังนั้น หุ้นมีขึ้นก็ต้องมีลง มีลงก็ต้องมีขึ้น

เป็นเรื่องธรรมดาแท้ๆ แต่คนกลับไปคิดว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา
ดูไปดูมาก็คือ ใช้หลัก"ธรรมะ"ในการลงทุนนั่นเอง

นอกเหนือจากหลักคณิตศาสตร์แล้ว
ผมแนะนำให้ทุกท่านศึกษา"ปรัชญาตะวันออก"ให้ลึกซึ้งด้วยครับ
มีประโยชน์มากๆในการลงทุน

พี่ๆท่านอื่นๆมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
กับ การนำ"ธรรมะ"มาใช้ในการลงทุนในตลาดหุ้น
ช่วยแสดงความคิดเห็นดังๆหน่อยครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 11:44 am
โดย นักดูดาว
สวัสดีครับคุณวิบูลย์

1. อัตตาหิ อัตโนนาโถ .. ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

2. ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน (เขียนบาลีไม่เป็น หุๆๆ)

3. อนิจจัง วัฎสังขารา

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 12:12 pm
โดย ayethebing
สวัสดีครับทุกท่าน อืม อ่านอย่างเดียวมานาน มันชักคันมือ ยิ่งคุณนักดูดาวคุยถึงธุรกิจประกันยิ่ง อยากโพสต์จิงจิง เลยยยย

เห็นด้วยกับคุณนักดูดาวครับ ประกันนี่ได้ลุ้น capital gain บ้างแต่หลักๆ คือ การได้เงินปันผลมากกว่า อย่าง PHA เนี่ย กำไรต่อเนื่องกันมาตลอด ปันผลก้อเพิ่มขึ้นทุกปีครับ

PHA นี่รายได้หลักมาจากประกันอัคคีภัยครับ การเคลมของอัคคีภัยต่ำกว่าประกันรถยนต์ แต่การเติบโตก้อน้อยกว่าและตลาดก้อเล็กกว่าด้วย อ้อเหตุการณ์แบบ 9-11 มันคงเกิดไม่บ่อยหรอกครับ

เอ วิริยะประกันภัยนี่อยู่ในตลาดหุ้นหรือเปล่าครับ เค้าเป็นเจ้าตลาดประกันรถยนต์อยู่ไม่ใช่เหรอ ขออภัยที่รู้แต่ PHA ไม่ใช่ว่าหุ้นประกันตัวอื่นๆ ไม่ดีนะครับ แต่รู้จักแค่ตัวเดียวอะ

เอ แต่ประกันภัยนี่ ถ้าไม่มีเคลมก้อไม่ต้องคืนเงินให้กับผู้เอาประกันนี่ครับ ถ้าเป็นประกันชีวิตถึงต้องคืนครับ อัตราส่วนของการเคลมต่อเบี้ยประกันรับสุทธิ อันนี้สำคัญมากสำหรับธุรกิจประกันเลย เพราะว่าแสดงให้เห็นว่าเค้า underwrite เพื่อลดความเสี่ยงได้ดีแค่ไหน PHA อยู่ที่ประมาณ 20 % ครับ (เงินประกัน 100 บาท มีเคลม 20 บาท กำไร 80 บาทก่อนพวกรายจ่ายอื่นๆ)

อ้อเท่าที่เคยอ่านในหนังสือ warren buffet way เค้าว่า วอเรน ไม่มีแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ที่โต๊ะทำงานเค้าคับ กราฟราคาเคลื่อนไหวคงไม่ได้ดูกระมังครับ น้อง harry

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 3:08 pm
โดย VIB007
ขอบคุณคุณนักดูดาวและคุณayethebing ครับ

อยากบอกท่านอื่นๆว่า
ในธุรกิจประกันก็มีหุ้นดีๆนะครับ
ไม่ใช่จะแย่ไปหมด
ก็อยู่ที่ว่า ผู้บริหารมีความสามารถในการบริหารเงินแค่ไหน
เหมือนที่ท่าน"เล่าจื้อ" กล่าวเอาไว้ว่า
"ในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี" ครับ

ดังนั้น
ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ที่ไม่ได้ลงทุนในธุรกิจประกัน
ในการลงทุน เชื่อตัวท่านเองดีที่สุดครับ
ดังกาลามาลสูตร 12 ละครับที่ว่า
1) อย่าเชื่อเพราะได้ยินมา
2) อย่าเชื่อเพราะ...........
3) อย่าเชื่อเพราะ...........
4) อย่าเชื่อเพราะ...........
5) อย่าเชื่อเพราะ...........
............. จำไม่ได้ครับ

ใครรู้จริง วานบอกนะครับ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 3:41 pm
โดย ayethebing
เป้าหมายการลงทุนในหุ้นแต่ละตัวของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันครับ ดังนั้นที่คุณวิบูลย์พูดนะถูกแล้วครับที่อย่าเชื่ออะไรง่ายๆ มันต้องมีเป้าหมายของตัวเองไม่ปล่อยให้อารมณ์ เพื่อนๆ หรือ ความเห็นอื่นๆ มันพาไป แต่ก้อไม่ได้หมายความว่าเราจะปิดกั้นตัวเองจากความเห็นของคนอื่นนะครับ เช่นที่คุณวิบูลย์ พูดเกี่ยวกับธุรกิจประกันก้อมีส่วนจริงอยู่มาก มันแล้วแต่วิจารณญานและเป้าหมายหรือแผนกลยุทธ์ในการลงทุนแต่ละท่านละครับ คราวนี้

มีท่านนึงเค้าถามว่า หุ้นที่จะถูกย้ายเข้ากลุ่ม rehabco มันมีหลักเกณฑ์อย่างไร ใครรู้ช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 3:48 pm
โดย CK
เรื่องการย้ายหมวดเข้า Rehabco
กระแสหุ้น เขียน: รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์ได้
กำหนดหลักเกณฑ์การต้องจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการหรือแก้ไขคุณสมบัติใน
การเป็นบริษัทจดทะเบียนเมื่อบริษัทมีส่วนของผู้ถือหุ้น (Equity) ต่ำกว่า
ศูนย์ ทั้งนี้ในการพิจารณาส่วนของผู้ถือหุ้นดังกล่าว ตลาดหลักทรัพย์จะ
พิจารณาปรับปรุงบวกกลับด้วยผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่าง
ประเทศที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่หากผู้สอบบัญชีแสดงความเห็นอย่างมี
เงื่อนไข (Qualified) ในรายงานของผู้สอบบัญชีในงบการเงินอันเป็นผลให้
ส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงจากที่แสดงไว้ในงบดุล ตลาดหลักทรัพย์จะปรับปรุง
เป็นส่วนหักกับส่วนของผู้ถือหุ้น ในกรณีที่ส่วนของผู้ถือหุ้นหลังปรับปรุงมี
ค่าต่ำกว่าศูนย์ก็ให้นำมาพิจารณาตามเกณฑ์เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอนด้วย
ใครแปลออกช่วยแปลด้วยครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 4:04 pm
โดย VIB007
มันคันไม้คันมือนะครับ
เลยขอบันทึกประวัติศาสตร์ไว้นิดนึง
ว่าวันนี้ 15 มกราคม 2547
SET ลดลง 24 จุด
ตกจาก 790 เหลือ 766 จุด
แมงมุม แมงเม่าคงแตกรังกระเจิงวันนี้
วันนี้เป็นการทดสอบว่า ใครจะประสาทแข็งกว่ากันของจริง

ส่วนผม
อย่าหาว่าผมอวดดีอะไรเลยนะครับ
คือว่า
"ผมอยากให้ตลาดตกหนักๆกว่านี้อีกน่ะครับ"
ยิ่งตลาดตกมากเท่าไหร่ ผมยิ่งอารมณ์ดีมากขึ้นเท่านั้น

มิน่า ผู้คนถึงหาว่าผม"บ้า"
คนอื่นชอบหุ้นให้ขึ้น
แต่ผมชอบหุ้นให้ตกครับ
ใครไม่เข้าใจก็หาว่า "ไม่บ้าก็เมาแล้ว"
ป่านนี้เจ้านายกับ CFO ของผมคงโทรศัพท์ถึงโบรกเป็นพัลวัน
ผมเดาเอานะครับ

แล้วเพื่อนๆละครับ วันนี้ช่วงบ่ายๆท่านทำอะไรอยู่????

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 4:21 pm
โดย VIB007
ayethebing เขียน: มีท่านนึงเค้าถามว่า หุ้นที่จะถูกย้ายเข้ากลุ่ม rehabco มันมีหลักเกณฑ์อย่างไร ใครรู้ช่วยตอบหน่อยครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ
ไม่ทราบครับ พอดีผมไม่ชอบเล่นกับไฟ
แต่ถ้าเอาคร่าวๆ
บริษัทที่เข้าข่ายก็น่าจะเป็น บริษัทที่มีส่วนผู้ถือหุ้นติดลบครับ

ที่คุณพี่CK โพสมาก็อ่านไม่รู้เรื่องครับ
คงต้องรบกวนมือบัญชีมาอธิบายครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 4:26 pm
โดย CK
สองวันนี้ ผมขายล้างบางหุ้นเกรด C ครับ ขาดทุนไป 2-3 หมื่นแล้ว...

หุ้นเกรด B บางตัว ยังอมไว้ครับ ทดสอบความอดทน แดงกันเป็นแถว

หุ้นเกรด A ก็ได้ซื้อเพิ่มนิดเดียว เจ็บใจจริง index ลบไปเกือบ
3% หุ้นเกรด A ตกไปแค่ 2 ช่อง :(

สรุปบทเรียนหลังจากไปเข้าอนุบาลมาครับ
"ผมไม่สามารถเป็นนักเก็งกำไรได้ ถ้าไม่โลภเกินไปก็ใจไม่ถึง"

ขาดทุนทั้งขึ้นทั้งล่อง

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 5:10 pm
โดย Mon money
อารมณ์เดียวกับคุณวิบูลย์เลย มีหุ้นอยู่ตัวหนึ่งลงมายังเฉลี่ยเลย ไม่รู้จะลงมาให้ได้เก็บหรือเปล่า

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 5:51 pm
โดย Kao
CK เขียน:เรื่องการย้ายหมวดเข้า Rehabco

ใครแปลออกช่วยแปลด้วยครับ
ตามที่ผมเข้าใจนั้นหมายความว่า

ในการพิจารณาว่าบริษัทใดเข้าเกณฑ์ที่จะต้องจัดทำแผนฟื้นฟูกิจการ(ถูกย้ายเข้าหมวดRehabco)หรือไม่นั้น จะต้องนำEquityของบริษัทมาปรับปรุงก่อน แล้วดูว่าEquityหลังปรับปรุงนั้นติดลบหรือไม่ ถ้าติดลบก็จะถูกย้ายเข้าหมวดRehabco

สาเหตุที่ต้องนำEquityมาปรับปรุงนั้น เนื่องจากว่าEquityที่แสดงอยู่ในงบดุลนั้นไม่ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการดำเนินงานที่แท้จริงของบริษัท

โดยนำEquityที่แสดงไว้ในงบดุลมาปรับปรุงดังนี้...
บวกกลับด้วยรายการที่ไม่ใช่ความบกพร่องของบริษัทในการดำเนินงาน เช่น รายการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนนั้นเป็นรายการที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ แต่ทางบัญชีได้บันทึกเป็นขาดทุนซึ่งส่งผลให้งบขาดทุนมากขึ้น

หักด้วยรายการที่มีนัยสำคัญแต่ไม่ได้แสดงไว้ในงบกำไรขาดทุน อันเกิดจากยังมีความไม่แน่นอนว่ารายการนั้นจะเกิดหรือไม่ แต่ผู้สอบบัญชีได้ให้ข้อสังเกตกับรายการดังกล่าวในรายงานผู้สอบบัญชี

Equityหลังการปรับปรุงจะแสดงภาพที่ชัดเจนขึ้นว่า บริษัทมีความสามารถในการดำเนินงานหรือไม่ จะต้องฟื้นฟูกิจการหรือเปล่า

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 5:53 pm
โดย ayethebing
ขอบคุณพี่ CK ครับเรื่องหลักเกณฑ์เรื่อง rehabco ผมไปตอบคุณ TATA ในกระทู้อีกระทู้แล้ว อ่านไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันครับ

แหมวันนี้มันส์ดีนะครับ ดูเค้าขายกันอย่างเมามัน ผมอยากรู้จังที่ the end of the day ใครขายสุทธิ ให้ผมเดานะ อาจพลิกล็อกว่าคนขายจริงๆ คือ รายย่อยก้อได้ ไม่ใช่ต่างชาติอย่างที่คิดครับ

สรุปที่ลงนี่สังสัยเพราะพานิกเกี่ยวกับเรื่องไข้หวัดนกกระมัง กลัวเหมือนพี่ซาร์เมื่อปีที่แล้ว พักฐานคราวนี้คงมีหุ้นที่มีราคาย่อมาให้ซื้อบ้างละครับ

เหอ เหอ ร่วมด้วยช่วยขายเหมือนกันครับ ขายหุ้นเกรด B (ตอนซื้อก้อว่าเกรด A แล้วนา แต่ดันไม่ขยัน ตอบคำถามไม่ตรงใจ เอ หรือว่าเราตั้งคำถามไม่ตรงคำตอบเองกระมัง งงๆ ตัวเองเหมือนกัน) ตั้งใจว่าจะเอาเงินสดมาซื้อแหลกเลย แต่ดันซื้อบ่ได้เหมียนกัน ไม่เป็นไรครับ วันพระไม่ได้มีหนเดียว วันแดงเดือดก้อไม่ได้มีวันนี้วันเดียวเหมือนกัน ไว้รอตอน ลิเวอร์พูลแข่งกับแมนยู ค่อยซื้อก้อได้ เอ เกี่ยวกันมั้ยนี่