Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

Voldtrest เขียน:
ตั้งเป้าหมายในอนาคตไว้ว่า

วันนึงที่พร้อม...ผมจะลงทุน 100 % ของรายรับ/เดือน
(ตอนนี้ 65% ของรายรับ/เดือน)

ไม่ต้องถึง 100% แค่
ทำได้ 80% ของรายได้ทั้งหมดก็รวยแล้ว

ผมก็เริ่มเอาเงินเดือนมาลงทุนตอนนั้น
ใช้ 80 เหลือ 20 มาลงทุน

เป้าหมายแรกผม คือ "เปลี่ยน" ใช้แค่ 20 ลงทุน 80
จะบอกว่า ทำได้ตามเป้าหมายแล้วครับ
แต่ยังม่ายรวยยยย

ปล.เข้ามาเป็นกำลังใจ ให้เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนด้วยกันครับ
สู้ต่อไปครับ

dome@perth เขียน:
ไม่ต้องถึง 100% แค่
ทำได้ 80% ของรายได้ทั้งหมดก็รวยแล้ว

ผมก็เริ่มเอาเงินเดือนมาลงทุนตอนนั้น
ใช้ 80 เหลือ 20 มาลงทุน

เป้าหมายแรกผม คือ "เปลี่ยน" ใช้แค่ 20 ลงทุน 80
จะบอกว่า ทำได้ตามเป้าหมายแล้วครับ
แต่ยังม่ายรวยยยย

ปล.เข้ามาเป็นกำลังใจ ให้เพื่อนๆ มนุษย์เงินเดือนด้วยกันครับ
สู้ต่อไปครับ

ถือโอกาสลงทุนให้ได้สัดส่วนสูงๆๆ ตอนที่ยังไม่มีแฟน ไม่มีลูก อิอิ
 
ถึงมีความสามารถลงทุนให้ได้ ผลตอบแทนทบต้นสูงๆ
ผมว่า ยังไง เรื่องของระดับรายได้/ค่าใช้จ่าย เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้นอยู่ดี

หลายคน กระหายไล่ล่าหุ้นเติบโตสูง รอบจัดจ้าน และวาดหวังว่า
วันนึงจะได้ financial freedom ในเร็ววัน  
 
โดยที่ เรื่องของการเพิ่มรายได้ สำหรับเอามาลงทุน  ถูกมองข้ามไป

เมื่อเป้าหมายที่วาง  กับวัตถุดิบที่มี  มันไม่สอดคล้องกัน  

ก็มักคิดเทียบ  เอารถจ่ายกับข้าว ไปเทียบกับ รถแต่ง รอบจัด  

อย่างนี้ก็เป็นทุกข์เปล่าๆๆ

ปล.  ผมอยากฟังประสบการณ์ ตัวพิมพ์หนา ของพี่ๆ ครับ ว่าทำยังไงดีกว่า

มาช่วยเพื่อนเสริมครับ

จากสมการมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
เงินสุทธิ = เงินต้น*(1+ผลตอบแทน)^ปี
ตัวแปรในการเพิ่มเงินสุทธินั้นมีอยู่ 3 จุด
1. เงินต้น - เพิ่มได้ด้วยการทำงานหาเงินให้มาขึ้น หรือ ลดรายจ่าย เพื่อเอาเงินมาลงทุนให้มากขึ้น หรือทำมันทั้ง 2 อย่างพร้อมกันก็ยิ่งดี
2. ผลตอบแทน - เพิ่มได้ด้วยการขนขวายหาความรู้ในการลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อลับฝีมือในการลงทุนให้คมเฉียบ
3. ปี - อันนี้ง่ายๆตรงตัว ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

ผมว่าทำได้ซัก 2 อย่างเด่นๆ ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว โอกาสมี Financial Freedom ก็สูง
ยิ่งถ้าสามารถเพิ่มตัวแปรทั้ง 3 ตัวนี้ ความเร็วในการเป็นอิสระทางการเงินก็ยิ่งเร็วขึ้นอย่างทวีคูณเลยครับ

จากสมการดอกเบี้ยทบต้นของคุณ YoYo


ตัวแปรสำคัญคือ "เวลา" ครับ เพราะว่าจากสถิติโลก เราคงไม่สามารถ ทำ ROI เกิน 20-30% ได้ติดต่อกันเป็นเวลานานครับ  


และเมื่อ นำค่า "เวลา"  มาจาก สมการชีวิตคือการเดินทาง โดยมีตัวแปรที่สำคัญในการเดินทางคือ "เวลาที่เหลืออยู่" * "ความสุข/ความทุกข์"

สรุป ว่า ได้ว่า "เวลา" = "เวลาที่เหลืออยู่"



และด้วยคำถามง่าย ๆ ครับ

เด็กอายุ 15 กับ ผู้ใหญ่ อายุ 40, ใครมีเวลาที่เหลือ ในชีวิตมากกว่ากันครับ ?



ขอให้โชคดี มีความสุข ในการเดินทางไปสู่เป้าหมายครับ

yoyo เขียน:มาช่วยเพื่อนเสริมครับ

จากสมการมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
เงินสุทธิ = เงินต้น*(1+ผลตอบแทน)^ปี
ตัวแปรในการเพิ่มเงินสุทธินั้นมีอยู่ 3 จุด
1. เงินต้น - เพิ่มได้ด้วยการทำงานหาเงินให้มาขึ้น หรือ ลดรายจ่าย เพื่อเอาเงินมาลงทุนให้มากขึ้น หรือทำมันทั้ง 2 อย่างพร้อมกันก็ยิ่งดี
2. ผลตอบแทน - เพิ่มได้ด้วยการขนขวายหาความรู้ในการลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อลับฝีมือในการลงทุนให้คมเฉียบ
3. ปี - อันนี้ง่ายๆตรงตัว ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

ผมว่าทำได้ซัก 2 อย่างเด่นๆ ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว โอกาสมี Financial Freedom ก็สูง
ยิ่งถ้าสามารถเพิ่มตัวแปรทั้ง 3 ตัวนี้ ความเร็วในการเป็นอิสระทางการเงินก็ยิ่งเร็วขึ้นอย่างทวีคูณเลยครับ

พี่โยครับ
ผมขอสารภาพครับว่า ยังลงทุนได้จำกัดตามความรู้ที่มี และไม่กล้าขี่เสือโดยที่ยังไม่รู้วิธีจับเสือ ต้องศึกษาไปเรื่อยๆตราบเท่าที่ ว่างจากงานประจำ  

ส่วนตัวคิดว่า เริ่มลงทุนเร็ว/ช้า  ส่งผลได้ 2 ด้านครับ
1. เงินหมดเร็วขึ้น.... ถ้าตัดสินใจผิด          
2. เงินเพิ่มเร็วขึ้น....ถ้าตัดสินใจถูก  

ปล. ผมอยู่ในข้อแรก  และยังรักที่จะเติมเงินเพื่อลงทุนต่อไป
     มองย้อนไป ถ้าไม่ผลีผลาม และรู้จักรอโอกาส ปีที่แล้วผมจะมีพอร์ต
     เกือบ 7 หลัก พร้อมลุยสิ่งที่มองเห็นได้ชัด

นอกจาก 2 ที่ต้องทำให้เป็นนิสัยแล้ว  
ผมอยากทำ 1 ให้ดีขึ้นด้วย  (เผื่อว่า 2 ของผมมันยังไม่มากพอ)

มีใครอยากเล่าประสบการณ์ เป็นวิทยาทานบ้างครับ
โดยเฉพาะทัศนะคติการสร้างฐานะ ที่คนหาเช้ากินค่ำ ต้องทำทุกคน

ยังโสดอยู่ ก็เลยรู้ว่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไรพอครับ
ซึ่งประมาณ 9-15K

ดังนั้นคงต้องมีรายได้ที่ Cover ส่วนนี้
ซึ่งเลยหวังไว้ 20K ต่อเดือน ดังนั้นต่อปีคือ 120K

ผลตอบแทน 3%ต่อปี ดังนั้นเงินต้นควรจะประมาณ 4 ล้านบาท

ตอนนี้ยังไม่ถึง 1 ใน 4 เติมเข้าไปทุกเดือน (เพิ่มจากเงินทุน ยังขาดทุนสุทธิอยู่เลย)

ถ้าจากเงินเดือน คงต้องใช้เวลาอีก 10 ปี
ก็สามารถพักจากมนุษย์เงินเดือนได้

ระหว่างนี้ก็พยายามลงทุนในบุญไปด้วยครับ สะสมบุญก็คือทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ไปถึงชาติต่อไปครับ

เป้าหมายทำบุญทุกปี บริจาคเลือดทุก 3 เดือน และเริ่มทำจิตใจให้สงบๆไปด้วยครับ

ไปอ่านหนังสือเล่ม เค้า่ว่าปลูกต้นไม้ ก็เป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
ต้นไม้อายุร้อยปี แม้เราจะจากโลกไปแล้ว แต่ผลบุญจากต้นไม้ยังอาจตามไปให้เราได้ เพราะอาจมี ผู้มีโอกาสได้ใช้ร่มเงา ได้พักพิงอาศัยในร่มไม้ เช่น สัมภเวศี, สัตว์เล็กสัตว์น้อย, คนทั่วไป พระ เณร ที่ไปหลบในใต้นไม้ เมื่อรู้สึกสบายกายสบายใจ ความรู้สึกตรงนั้นก็ตามเป็นบุญไปให้ได้ด้วย อาจไม่มากมาย แต่ก็รู้สึกดี ประมาณนี้ครับ (ดาบวิชัย เป็นตัวอย่างที่ดีท่านหนึ่งเลยครับ)

กระทู้ให้กำลังใจดี
ขอบคุณครับ

Voldtrest เขียน:

ส่วนตัวคิดว่า เริ่มลงทุนเร็ว/ช้า

yoyo เขียน:มาช่วยเพื่อนเสริมครับ

จากสมการมหัศจรรย์ของดอกเบี้ยทบต้น
เงินสุทธิ = เงินต้น*(1+ผลตอบแทน)^ปี
ตัวแปรในการเพิ่มเงินสุทธินั้นมีอยู่ 3 จุด
1. เงินต้น - เพิ่มได้ด้วยการทำงานหาเงินให้มาขึ้น หรือ ลดรายจ่าย เพื่อเอาเงินมาลงทุนให้มากขึ้น หรือทำมันทั้ง 2 อย่างพร้อมกันก็ยิ่งดี
2. ผลตอบแทน - เพิ่มได้ด้วยการขนขวายหาความรู้ในการลงทุนเพิ่มขึ้น เพื่อลับฝีมือในการลงทุนให้คมเฉียบ
3. ปี - อันนี้ง่ายๆตรงตัว ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี

ผมว่าทำได้ซัก 2 อย่างเด่นๆ ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว โอกาสมี Financial Freedom ก็สูง
ยิ่งถ้าสามารถเพิ่มตัวแปรทั้ง 3 ตัวนี้ ความเร็วในการเป็นอิสระทางการเงินก็ยิ่งเร็วขึ้นอย่างทวีคูณเลยครับ

ขอบคุณโย มากครับ หนึ่งในหลายๆท่านที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้น ที่เยี่ยมยอด ครับ

yoyo เขียน:
เงินสุทธิ = เงินต้น*(1+ผลตอบแทน)^ปี

ผมว่าทำได้ซัก 2 อย่างเด่นๆ ก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว โอกาสมี Financial Freedom ก็สูง

ถ้ายังมีความรู้ในการลงทุนไม่มากพอที่จะสร้างผลตอบแทนเป็นบวกในระยะยาวได้ ตัวแปรผลตอบแทนในสมการจะติดลบ เพราะงั้นถ้าผลตอบแทนติดลบ.. ยิ่งเริ่มเร็วเท่าไหร่มันจะยิ่งเจ๊งทวีคูณ เป็นบทเรียนที่บอกว่าอย่ารีบร้อนลงทุนถ้าคิดว่ายังไม่พร้อม ...

เพราะฉะนั้นแล้ว ก็เริ่มลงทุนเร็วๆก็ดี เก็บเกี่ยวประสบการณ์ กำไรบ้างขาดทุนบ้างไม่เป็นไร แต่ผิดแล้วก็ต้องเรียนรู้ และในช่วงที่ลองผิดลองถูกอยู่นี้ ก็ใช้ตัวแปรเงินต้นให้มันน้อยหน่อย เวลาเจ็บจะได้ไม่เจ็บหนัก

แจ่มแจ้งครับ  ความผิดพลาดที่ผมเจอ กับ การแทนค่าในสูตร  มาบรรจบกันพอดี    

ต้องรู้เขา รู้เรา มากกว่านี้แล้ว...  ขอบคุณที่ช่วยกระเทาะเปลือกให้ผมออกมา
ดูโลกกว้างครับ  
ผมต้อง

:lol:


   +1 ให้คุณ yoyo ครับ ยังคงความคมเหมือนเดิม

ไม่retire ครับ จะทำงานไปเรื่อยๆ แต่จะทำงานน้อยลง ทำบุญมากขึ้น ก่อนตาย จะขอให้มีสักพันล้าน จะทำบุญสร้างวัด สักร้อยล้านครับ ที่เหลือให้ลูก

Voldtrest เขียน:
มีใครอยากเล่าประสบการณ์ เป็นวิทยาทานบ้างครับ
โดยเฉพาะทัศนะคติการสร้างฐานะ ที่คนหาเช้ากินค่ำ ต้องทำทุกคน

ผมขอเล่าเป็นตัวอย่างดีกว่าครับ

หมายเหตุก่อนอ่าน
เพื่อป้องกันอคติ ผมคิดว่า ทุกอาชีพสุจริต มีความดี เหมือน ๆ กัน นะครับ

*************************

ลองมองออกไปที่ถนน นะครับ สมมติว่า เห็น คน 2 คน คนหนึ่งกวาดขยะ กับ อีกคนขายบะหมี รถเข็น

คนกวาดขยะ เป็นลูกจ้างกทม มีรายได้แน่นอนถ้ามาทำ งานสบาย เริ่มต้นไม่ต้องลงทุน ทำงานตามสั่งขายแรงอย่างเดียว ไม่ต้องคิดอะไร

กับคนขายบะหมีรถเข็น เป็นลูกจ้างตัวเอง รายได้ไม่แน่นอนแต่มากกว่า  งานหนักกว่า ต้องมีเงินลงทุน ต้องหาทำเล ต้องคิดมากกว่า

*************************


สิ่งที่สำคัญคือ ทัศนะคติ หรือความคิด ของคนสองคนที่ต่างกัน

ยกตัวอย่างเช่น

เงินลงทุน เราจะหามาจากไหน ???

ทำเล เราจะขายตรง ???

บะหมี่ ที่ทำ จะอร่อยหรือไม่ ???

ทำร้านจะเจ๋ง ไหม ???

เพื่อน ๆ จะมองเรายังไง ???


คำถามเหล่านี้ ไม่ยากเลย ถ้าเราคิด และหาคำตอบ


*************************

ความคิดหรือทัศนคติทำให้คนทั้งสองคน เลือกงานไม่เหมือนกัน

ถ้าไม่หยุดทำซะก่อน ไม่เกิน 6 เดือน คนขายบะหมีรถเข็น มี Leverage ของรายได้มากกว่ามาก

ซึ่งถ้่าดูจากแนวโน้มแล้ว โอกาสสร้างฐานะ ของ คนขายบะหมีรถเข็น ดีกว่า คนกวาดขยะ แน่นอน


และที่สำคัญไม่ว่าจะทำอะไร รายได้ ต้องมากกว่า รายจ่าย ของคนที่จะสร้างตัว


*************************

การเปลี่ยนทัศนคติ นั้น ต้อง อ่าน หนังสือที่ดีและเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เราจะทำ มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก มาก ครับ

แล้วเอามาลงมือทำ โดยที่เราคิดดีแล้ว



หวังว่าคง พอเป็นไอเดียบ้างนะครับ

ผมเป็นคนนึงที่สร้างเนื้อสร้างตัวอย่างคนที่ทำงานเก็บเงินเอง ในฐานะลูกจ้าง

ตอนทำงานผมทำงานหนักมากครับ ประมาณวันละ 11- 12 ชม เริ่ม 8โมง เลิก ทุ่มสองทุ่มทุกวัน
จนกระทั่งเงินเดือนเยอะพอที่จะมีเก็บเป็นกอบเป็นกำ

ตอนนั้นในใจคิดว่าต้องทำงานให้หนักใต่เต้าในหน้าที่การงาน มีเงินเก็บพอให้ได้ เพราะจะได้เอาเงินมาลงทุน
ผมมองว่าเวลาสำคัญมากการทำงานให้บริษัทวันละ 10-12 ชม ต้องมีเวลาให้กับตัวเอง
เล่นเกมส์บ้าง อ่านหนังสือบ้าง ทำนู่นทำนี่บ้าง

วันนึ่งผมมีเงินเก็บ ผมเริ่มคิดถึงการเอาเงินมาทำงานให้ผม เลยเริ่มศึกษาแล้วมาเจอหุ้น ว่าสามารถสร้างผลตอบแทนดีๆได้
หลังจากนั้นทุกวัน ผมต้องเอาเวลามาศึกษาหุ้นอย่างน้อย 1 ชม โดยคิดว่าเราทำงานให้คนอื่นวันละ 10-12 ชม
ทำไมเราจะทำงานให้ตัวเองวันละชมไม่ได้

เป็นเวลาต่อเนื่อง 2-3ปีที่เป็นอย่างนั้น
ตอนนี้ผมลงทุนเต็มเวลาแล้วครับ ไม่ได้รวยแค่พอมีพอใช้ แต่คิดว่า
ผมทำงานทั้งสองทาง ทั้งให้นายจ้าง และ ตัวเอง ตอบแทนที่เหนื่อยไปแล้ว
ถ้าขาดขาใดขาหนึง ก็ไม่มีวันนี้
ไม่มีรายได้จากนายจ้าง ผมก็ไม่มีเงินทุนเริ่มต้นที่พอเพียงสร้างฐานเงินของ portfolio
ไม่มีความรู้ที่ลงทุนลงแรงไป ผมก็ไม่มีผลตอบแทนที่ดีพอให้ พอร์ตเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ

ผมเชื่อว่าการไปหาเป้าหมายมีหลายวิธี
แล้วแต่ว่าจะไปทางตรงแบบเหนือยยาก
หรือไปแบบสบายๆ แวะบ้าง

แต่เราต้องทำสิ่งที่เรียกว่า Master Plan สำหรับชีวิต คือรู้ว่ามีเป้าหมายอะไรในชีวิต
แล้วต้องทำอะไรบ้าง เป็นข้อๆ  แล้วหาทางให้จุดนั้นๆเป็นไปได้
ไม่ใช่ตั้งเป้า แต่ไม่มีทางเดิน คิดว่าจะรวยแต่ไม่ทำงาน
หรือคิดแต่จะรวยทางลัด เช่นเล่นหวย แทงบอล

หลายคนในนี้อาจถึงจุดที่เรียกว่า Financial Freedom แล้วแต่ผมเชื่อว่าทุกคนผ่านจุดที่ต้องเหนื่อยมาก่อนทุกคนครับ

กระท้นี้เป็นกระทู้ที่ดี อยากให้คนที่บอกว่าอยากมี Financial freedom บอกว่า
ตอนนี้มีรายได้เท่าไหร่ เก็บเท่าไหร่ ผลตอบแทนเท่าไหร่ต่อปี บอกกับตัวเองนะครับ
หรือ ถ้าอยากทำอะไรดีๆ เขียนตรงนี้แล้วเอามา review ทุกปีว่าที่คิดเป็นไปได้เหรือเปล่า

ขอให้คนมีฝันทุกๆคนประสบความสำเร็จครับ

กะไว้ว่า 40 จะไหวมั้ยหนอ

พี่กบทำครับ 3 ตัวแปรเลย...

ทำงานหนักเก็บตังค์มาลงทุน - เพิ่มเงินต้น
ศึกษาหุ้นวันละ ชม. - เพิ่มผลตอบแทน
เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย - เพิ่มระยะเวลาลงทุน

:lol:  ยินดีด้วยครับ

ตามความคิดของผม
  ผู้ที่ทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย และอยู่ในวัยเรียน  จงให้ความสำคํญกับการ
เรียนให้มากที่สุด เพื่อเป็นทุนรอนในการหาเงินตั้งต้นที่จะนำมาลงทุนในหุ้น

[quote="yoyo"]พี่กบทำครับ 3 ตัวแปรเลย...

1.ทำงานหนักเก็บตังค์มาลงทุน - เพิ่มเงินต้น
2.ศึกษาหุ้นวันละ ชม. - เพิ่มผลตอบแทน
3.เริ่มลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย - เพิ่มระยะเวลาลงทุน

:lol:

sunrise เขียน:ผมเป็นคนนึงที่สร้างเนื้อสร้างตัวอย่างคนที่ทำงานเก็บเงินเอง ในฐานะลูกจ้าง

ตอนทำงานผมทำงานหนักมากครับ ประมาณวันละ 11- 12 ชม เริ่ม 8โมง เลิก ทุ่มสองทุ่มทุกวัน
จนกระทั่งเงินเดือนเยอะพอที่จะมีเก็บเป็นกอบเป็นกำ

ว้าว อ่านตรงนี้แล้ว เหมือนเราตอนนี้เลย ต่างกันที่เวลาเริ่ม

ขอบคุณครับ ที่มาแจมกระทู้ และ เป็นกำลังใจให้เพื่อนๆ

กระท้นี้เป็นกระทู้ที่ดี อยากให้คนที่บอกว่าอยากมี Financial freedom บอกว่า
ตอนนี้มีรายได้เท่าไหร่ เก็บเท่าไหร่ ผลตอบแทนเท่าไหร่ต่อปี บอกกับตัวเองนะครับ
หรือ ถ้าอยากทำอะไรดีๆ เขียนตรงนี้แล้วเอามา review ทุกปีว่าที่คิดเป็นไปได้เหรือเปล่า

เห็นด้วยครับ
รีวิว 2 ครั้งทุก 6 เดือน เหมือนแบงค์
เลยยิ่งดี เป็นการกระตุ้นตัวเองครับ

ขอแสดงความเห็นส่วนตัวนะครับ
หลังจากอ่านไปแล้ว ความคิดที่ "แวบ" เข้ามา มี 2ประเด็น
1 เพื่อนของ จขกท ปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้างครับ คือไม่อยากให้
  รู้สึกเปรียบเทียบกับกรณีบุคคลเพียงตัวอย่างเดียว (ถ้ายกตัว
  อย่าง ดร. น  จะมีตัวจริงเสียงจริงอยู่ไม่กี่คนหรอกครับในตลาด)
  ผมลองย้อนกลับไปดู case ของ จขกท ปีที่เพื่อนคุณเริ่มลงทุน
  คือปี 2546 ซึ่งเป็นปีที่หุ้น boom , set +100% ผมจำได้ว่า
  ในช่วงนั้นมีแต่คนพูดถึง retire โดยหวังว่า early retire โดย
  การลงทุนอย่างเดียว

2 กลับมาดูภาวะตลาด ปัจจุบัน( สิงหาคม 2552 ) ตลาด +ขึ้นมา
  ประมาณ 70% จากช่วงปลายปี 2551-ต้นปี 2552 มีหลายคนเริ่มกลับ
  มาพูด เรื่อง อิสระทางการเงินกันให้ได้ยินกันหนาหูมากขึ้น
  หรือประวัตศาสตร์ จะซ้ำรอย  ?
  ( แต่คงไม่ใช่ มั้งครับ เพราะ กระทู้เริ่มตั้งตอนช่วง JAN 2552 ซึ่ง
    อยู่ในภาวะตกต่ำ  

สำหรับผมเคยคิดเหมือนกันตอน ปี 2546 แหม retire ได้แล้วเรา แต่
ก็โชคดีนะครับ ที่ไม่ได้ตัดสินใจ retire ตอนนั้น เพราะความที่เรา
อาจจะยังไม่ใช่ตัวจริงเสียงจริง ปี 2547 และ ปลายปี 2551 โดนไปเต็มๆ
เลยครับ

ปัจจุบัน port ผมกลับมาโตกว่าปี 2546 แล้ว แต่ไม่เคยคิด retire โดยไม่
จำเป็น และใจมีความสุขกับงานที่ทำ

ขอบคุณครับ

[quote="GUNN"]ขอแสดงความเห็นส่วนตัวนะครับ
หลังจากอ่านไปแล้ว ความคิดที่ "แวบ" เข้ามา มี 2ประเด็น
1 เพื่อนของ จขกท ปัจจุบัน เป็นอย่างไรบ้างครับ คือไม่อยากให้

Voldtrest เขียน: ข้อ 1 คงไม่เกิดขึ้นในปีสองปีนี้เลย ถ้าไม่เปลี่ยนงาน ไม่ได้ถูกโปรโมต
(ตอนนี้เก็บ+ลดcost จนรู้สึกตึงๆๆยังไงชอบกล มากกว่านี้ ได้ต้มม่าม่ากิน 3 มื้อ แหงๆๆ)

สร้างความรุ้แล้วเปลี่ยนงาน
ทำงานบริษัทฝรั่งโตเร็วกว่าไทย

ถ้ายังอยากทำงานที่เดิมลองดุตัวเองด้วยว่าพร้อมจะโดนโปรโมตหรือยัง
1. ทางจิตใจ ยังเป็นเด็กหรือเปล่า ลองให้เพือนที่ทำงานประเมินดู เอาพวกขวานผ่าซากนะ
2. ทางงานได้ดีกว่าคนอื่นหรือเปล่า
3. ทำงานแล้วเป็นผุ้นำหรือเปล่า บางครั้งก็แค่พยายามลุกขึ้นมา ไม่ใช่รอโอกาสเป็นผู้นำ

อ้อการลด cost เกี่ยวกับตัวเองมากเกินไม่ดีนะ
ลองเดินแวะบ้างให้ชีวิตมีความสุขระยะยาวดีกว่าทางตรงแต่เหนื่อยจนไม่มีความสุด
ไม่งั้นถึงเวลาที่เจอเป้าหมาย อาจเสียดายชีวิตที่ผ่านไปอย่างมาก ตอนนั้นหมุนเวลากลับไม่ได้แล้วนะ
สุ้ๆ  

คิดอย่างกบนี่
     ใช้(ไปซื้อของ)ได้

sunrise เขียน:

สร้างความรุ้แล้วเปลี่ยนงาน
ทำงานบริษัทฝรั่งโตเร็วกว่าไทย

ถ้ายังอยากทำงานที่เดิมลองดุตัวเองด้วยว่าพร้อมจะโดนโปรโมตหรือยัง
1. ทางจิตใจ ยังเป็นเด็กหรือเปล่า ลองให้เพือนที่ทำงานประเมินดู เอาพวกขวานผ่าซากนะ
2. ทางงานได้ดีกว่าคนอื่นหรือเปล่า
3. ทำงานแล้วเป็นผุ้นำหรือเปล่า บางครั้งก็แค่พยายามลุกขึ้นมา ไม่ใช่รอโอกาสเป็นผู้นำ

อ้อการลด cost เกี่ยวกับตัวเองมากเกินไม่ดีนะ
ลองเดินแวะบ้างให้ชีวิตมีความสุขระยะยาวดีกว่าทางตรงแต่เหนื่อยจนไม่มีความสุด
ไม่งั้นถึงเวลาที่เจอเป้าหมาย อาจเสียดายชีวิตที่ผ่านไปอย่างมาก ตอนนั้นหมุนเวลากลับไม่ได้แล้วนะ
สุ้ๆ

เรื่องหางานใหม่ งานไม่ได้หายากขนาดนั้น ตั้ง spec กันไปเองทั้งนั้นแหละ บางทีอยากได้ความรู้ เราก็เอาเงินเดือนเข้าแลก ก็มันอยากทำนี่นา  :lol:

อย่างคุณ sunrise ว่าไว้ก็ใช่เลยค่ะ คนไทยไม่ชอบขอโอกาสแต่ชอบฝันถึงโอกาส เราก็โดนมาแล้วกับตัว ตอนนี้ดีขึ้น อยากทำอะไรก็ขอค่ะ แต่ชีวิตไม่ได้หอมหวานขนาดนั้นเพราะเค้าก็ไม่ได้ให้ทำ  :oops: แต่อย่างน้อย เค้าไม่ได้ say no เฉยๆแน่นอน เหตุผลมาเป็นกระบุง ก็จะได้ความชัดเจนเรื่องเนื้องานไปด้วย แ

ขยันทำงานนั่นมันประเด็นหลัก ประเด็นรองๆก็ต้องใส่ใจด้วย นิสัยไหนไม่ดีก็ต้องแก้ อย่างเราถูกว่าเรื่องตรงเป็นขวานผ่ามันทั้งป่ามาหลายปี แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น สุดท้ายแก้ไงรู้ไหมค่ะ เราก็เป็นฝ่ายเลือกนายแทน (ก็บอกแล้ว งานหาไม่ยากเล้ย อิอิ)

[quote="GUNN"]

2 กลับมาดูภาวะตลาด ปัจจุบัน( สิงหาคม 2552 ) ตลาด +ขึ้นมา

[quote="dome@perth]
วันนี้เราไปกำหนดตลาดไม่ได้้ แต่ เรากำหนดตัวเองได้
เราก็เดินตาม Plan ของเราให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ครับ

ปล.

[quote="dome@perthพี่ sunrise YoYo พี่ GUNN น้องVoldrest และทุกท่านที่เข้ามาแสดงความเห็นครับ [/quote]

เรียกผมน้องเถอะครับ แก่กว่าเจ้าโย ไม่กี่ปี ถ้าพี่เป็นเพื่อนกับ ดร ละก็ .... แฮะๆ เรียกผมพี่นี่ผิดแน่นอน

ท่าน dome@perth คงยกย่องท่าน Sunrise ในเรื่องความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้นน่ะครับ  ไม่เกี่ยวกับอายุตัว :lol:  :lol:  :lol:

sunrise เขียน: เรียกผมน้องเถอะครับ แก่กว่าเจ้าโย ไม่กี่ปี ถ้าพี่เป็นเพื่อนกับ ดร ละก็ .... แฮะๆ เรียกผมพี่นี่ผิดแน่นอน

ผมโดนพี่พอใจเรียกพี่ ทีหนึง
ตอนนี้ขี้กลากยังกินหัวผมอยู่เลย

จะเรียกพี่หรือน้องไม่สำคัญหรอกครับ ผมนับถือความเป็นผู้ใหญ่ทางความคิดครับ

ผู้ใหญ่บางคน มีความคิดเหมือนเด็กไร้เดียงสา
ผมก็ให้ความเคารพนับถือ ต่อ วัยเท่านั้น ผมคงไม่ให้ความเคารพด้านความคิดครับ

เด็กอายุแค่ 13 ยังรู้จักเรื่องการลงทุน อย่าง พี่ Hutza
น่ายกย่องครับ

[quote="Eragon"]ท่าน dome@perth คงยกย่องท่าน Sunrise ในเรื่องความรอบรู้เกี่ยวกับเรื่องหุ้นน่ะครับ