หน้า 4 จากทั้งหมด 4

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 30, 2012 5:10 pm
โดย pak
(6) การปั่นหุ้น

มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ที่เป็นคดีตัวอย่างมีเพียงหนึ่งคดี
แต่ผู้ต้องข้อกล่าวหากับ ชื่อ สอง

เขียนถึง...การปั่นหุ้น
ทุบหุ้น ลากหุ้น ตบหุ้น เทหุ้น ทิ้งหุ้น

อ่านกี่ครั้งกี่หน มันก็มาอีหรอบเดิมนั่นหล่ะ
ซ้ำๆซากๆน่าเบี่ย..ซะงั้น

ก่อนจะปั่นหุ้น เจ้ามือ
ก็ต้องหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์
เก็บหุ้นกันก่อน ให้ได้จำนวนเพื่อคุ้มค่ากับการลงทุน
รอว่าการเก็บ ก็ต้องหาวิธีการมาเขย่าหุ้นก่อน


ลากขึ้นให้คนสนใจ
ให้คนถือครองหุ้นหันมามอง เอ๊ยหุ้น....ไปแร้ววว ไปแล้ว

ทุบหุ้นให้คนสนใจอีก
ทิ้งกันทีละหลายสเต็บ (บางครั้งมองเหมือนหมดสภาพ)
ปล่อยข่าวร้าย จากห้องค้าหนึ่งไปห้องค้าหนึ่งเป็นข่าวลือ
ให้คนถือหุ้นตัวนั้น เกิดการ เสียดาย
รู้งี้ ตรูขายตอนราคาสูงสุดสุด
รู้งี้ ตรูจะมารับกลับตอนมันแดงๆนี่ล่ะ
บวกลบคูณหาร ตรูรับเละ
พอเห็นมันไหลลง บางคนถอดใจก็ขายทิ้ง

เพื่อไปหาหุ้นที่มีอนาคตดีกว่าตัวที่ถือ

หลังจากพวกร่วมมือกันทุบลง (จนน่าพอใจ)
ก็เริ่มตั้งรับ ไม่ให้หลุดราคานั้นๆ
และค่อยขยับดันหุ้นขึ้น วันละนิดละหน่อย
เก็บหุ้นเรื่อยๆบางครั้งต้องใช้เวลาหลายวัน

หลังจากการเก็บหุ้น และทุบเสร็จ
ก็มาถึงตอนลากหุ้น หรือเรียกตามภาษาคอหุ้นลุ้นโชคว่า...
สร้างราคา
ในมือของกลุ่มคน กลุ่มนี้ได้หุ้นมาในจำนวนที่ต้องการแล้ว
ก็เริ่ม ตั้งขายเอง
และให้พวกตัวเองไล่เคาะซื้อกันขึ้นไป
ซื้อกันแบบมีวอลุ่มหนาแน่น ถ้าจะให้คนเข้ามาร่วมแจม
ก็ควรติดTOP10 ของตะหลาด

เฉลี่ยบต้นทุน บวก-ลบ-คูณหาร
ว่าทำกันมาแรมเดือนจะได้กำไรเท่าไหร่ก็ขาย
พร้อมปล่อยข่าวดี ข่าวลือ บางเจ้ามือเก็บหุ้นได้พอ
แล้วให้เด็กเขียนบทวิเคราะห์ให้เวปบอร์ด
หนังสือพิมพ์ ทีวี เป็นข้อมูลพื้นฐานจ่ายแจกฟรีอีก ประมาณนั้น

เวลาขายก็จะมีคนมาช่วยรับด้วยความโลภ
เห็นพฤกติกรรม เจ้าหุ้นตัวนี้
เวลาลงแล้วมันเด้งขึ้นเคยได้เป็นกอรปเป็นกำ
ของเคยกินเคยใช้บริการ
หากเจ้ามือตบสั่งลาครั้งสุดท้ายเข้าไปรับก็เก็บไว้
ไม่ขาย ไม่ขาดทุนเหมือนเดิม

แต่ถ้าไม่อยากมีปัญหาเหมือนเฮียสอง
ควรจะตกลงกับเจ้าของบ้านให้เรียบร้อย
จะได้ไม่เกิดปัญหา ไปขึ้นโรงขึ้นศาล
เสียงเวลา เสียเงิน เสียอารมณ์



ที่มา : น่าอ่านมากๆครับ ที่ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=prachaya555

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 30, 2012 9:22 pm
โดย torpongpak
ขอบคุณครับพี่...อ่านบทความของ จอร์จ ตัน เเล้วรู้สึกว่าผมเป็นเเค่"เเบคทีเรีย"ในตลาดหุ้น
เเต่ผมก็รู้สึกโชคดีมากๆที่ได้เป็นเเค่"เเบคทีเรีย"เพราะอย่างน้อยผมก็มีโอกาส"เบียดเบียน"คนอื่นได้น้อยกว่า

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 14, 2012 8:03 am
โดย pak
บทความเรื่อง "นิยามของหุ้นปั่น(วิธีใช้ประโยชน์และหลีกเลี่ยง)"
จากคุณ applejob
ที่ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=34409

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 21, 2012 10:08 am
โดย pak
ฉาย_หนาว >> เชือด_ประสงค์ คดีปั่นๆๆๆ หุ้น_UNIQ

ไทยรัฐ (ทีมข่าวเศรษฐกิจ) : กลต. สั่งปรับ'ประสงค์' คดีปั่นหุ้น_UNIQ กว่า 80ล้านบ.
ก.ล.ต. ลงดาบสั่งปรับหนักจอมปั่น 'ประสงค์ สุวิวัฒน์ธนชัย' จำนวน 80.99ล้านบ. ฐานปั่นๆๆ หุ้น UNIQ ดอดเปิดบัญชีซื้อขายหุ้น ในSingapore 14บัญชี

เมื่อวันที่ 20 ส.ค. สนง. คณะ กก. กำกับหลักทรัพย์ & ตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า...
ได้รับแจ้งจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า พบสภาพการซื้อ_ขายหุ้น UNIQ ผิดปกติอันเกิดจาก คำสั่งซื้อขายหุ้น UNIQ ที่ส่งผ่านบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ ในต่างประเทศ 2แห่ง (Omnibus Account)
ทำให้ราคา & Vol_รุม (ปริมาณ) ของหุ้น UNIQ มีการเปลี่ยนแปลงที่ไม่ตรงต่อสภาพปกติของตลาด ซึ่งจากการตรวจสอบของ ก.ล.ต. พบว่า นายประสงค์ สุวิวัฒน์ธนชัย ได้รู้เห็นหรือตกลงให้ใช้บัญชีซื้อ_ขายหลักทรัพย์ ของนิติบุคคลต่างประเทศ 14บัญชีที่ตนเองเป็นเจ้าของ & เป็นผู้รับประโยชน์
โดยเปิดบัญชีไว้ที่ UOB Kay Hian Private Limited ประเทศSingapore & EFG Private Bank SA สาขาประเทศSingapore ทำการซื้อ_ขาย หุ้น UNIQ ในระหว่างวันที่ 20 กค. 52 ถึง 7 เม.ย 53 ในลักษณะผลักดัน & พยุง... ราคา รวมทั้งซื้อ_ขายจับคู่กันเองระหว่างบัญชี ทำให้ราคาปิด ของหุ้น UNIQ ปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 2.24บ. ในวันที่ 17 กค. 52 ไปสูงสุดที่ 8.70บ. ในวันที่ 6 พย. 52 เพิ่มขึ้น 6.46บ. & ปิดอยู่ที่ 4.48บ. ในวันที่ 7 เม.ย 53

นอกจากนี้ Vol_รุม = ปริมาณการซื้อ_ขาย เฉลี่ยต่อวัน ได้เพิ่มขึ้นจาก 0.21ล้านหุ้น เป็น 14.78ล้านหุ้น
ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าว มีลักษณะเป็นการอำพราง ให้บุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าหุ้น UNIQ มีการซื้อ_ขาย จำนวนมาก & ต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นเปลี่ยนแปลงไม่สอดคล้องกับสภาพปกติของตลาด เพื่อชักจูงให้บุคคลทั่วไป เข้ามาซื้อ_ขาย หุ้นดังกล่าวการกระทำของนายประสงค์ เข้าข่ายเป็นการซื้อ_ขาย หลักทรัพย์โดยสร้างราคาหุ้น ทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อ ฝ่าฝืน ม.243(1) ประกอบ ม.244 & ม.243(2) แห่งพรบ.หลักทรัพย์ & ตลาดหลักทรัพย์ พศ. 2535 , คณะ กก. เปรียบเทียบจึงได้เปรียบเทียบปรับนายประสงค์ เป็นจำนวนเงิน 80,995,415.67บ.

ก.ล.ต. ขอขอบคุณ Monetary Authority of Singapore (“MAS”) & Securities and Futures Commission, Hong Kong (“SFC”) ที่ให้ความช่วยเหลือในการรวบรวมข้อเท็จจริง & พยานหลักฐานที่เกี่ยวข้อง จนทำให้ ก.ล.ต. สามารถดำเนินการตามกฎหมายกับผู้กระทำผิดในกรณีนี้ ได้


Credit : ศิษย์ซุนวู
ที่มา : http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 42094.html

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ย. 23, 2012 7:25 pm
โดย pak
ไม่เกี่ยวกับกระทู้นัก แต่อยากเก็บไว้อ่านครับ
โดยนำมาจาก Facebook ของคุณ ดวงดาว แห่งความผูกพัน
v
v

(short sell) นั้น เป็นเรื่องที่เป็นที่ยอมรับ และใช้ประโยชน์กันทั่วไป โดยมีการเปิดเครื่องมือใหม่ๆมีมากมายที่อนุญาตให้เกิด “ช็อตเซล” เช่น ระบบการให้ยืมหุ้น อนุพันธ์สัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทั้งของดัชนีตลาดฯ สินค้าโภคภัณฑ์ รวมถึงรายหุ้น ก็เปิดโอกาสให้ช็อตเซลได้อยู่แล้ว ด้วยเห็นว่ามีประโยชน์เหตุผลสนับสนุนดังนี้

1. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาดเป็น “ขาลง” แม้จะยังไม่มีหุ้น แต่สามารถขอยืมหุ้นมา ขายไปก่อน แล้วซื้อคืนภายหลัง

2. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาด “ผันผวน” จับจังหวะซื้อขายไม่ถูก ยินดีถือหุ้นระยะยาว แต่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มจากหุ้นที่ถือ ก็ให้ยืมหุ้นได้ ซึ่งหุ้นก็ยังถืออยู่ แต่จะได้ดอกเบี้ยจากการให้ยืมหุ้น และส่วนใหญ่จะขอหุ้นคืนเมื่อไรก็ได้ ซึ่งก็ไม่แน่ว่าคนยืมไปขายแล้ว จะแม่นทุกคน เขาอาจขายแล้ว ถูกตลาดฟื้นตัวตีกลับ และต้องเร่งซื้อหุ้นคืนจนตลาดปรับตัวสูงขึ้นก็ได้

3. เป็นการเพิ่มทางเลือกกลยุทธให้กับนักลงทุน ที่เห็นว่าตลาด “ปรับลึกแล้ว” แต่นักลงทุนที่ถือก็ถือ ไม่ยอมขาย แต่กลุ่ม
ที่ยินดีช็อตหุ้น เป็นผู้เสนอขายได้ ก็ทำให้เขาซื้อได้
อีกครั้ง เพราะคนที่ช็อตหุ้น ก็ไม่แน่ว่าช็อตแล้วจะถูกทาง อาจกลายเป็นมาขายก่อนในราคาต่ำแล้วราคากลับสูงขึ้นไปก็ได้

4. การช็อตเซลจึงมีส่วนเพิ่มสภาพคล่อง ในยามลำบาก ซึ่งในทุกสภาวะตลาด สภาพคล่องหมายถึงหุ้นมีแรงซื้อแรงขายมากสม่ำเสมอดีเป็นความแข็งแรงของตลาดและเป็นประโยชน์แก่นักลงทุน

5. มีนักเศรษฐศาสตร์กล่าวด้วยว่า การมีช็อตเซลนั้น มีส่วนช่วยให้ตลาดปรับตัวสู่สมดุลทางกลไกตลาดเร็วขึ้น
อย่างจอร์จ โซรอส เคยเป็นแพะที่ถูกประณาม กรณีทุบเงินปอนด์ หรือทุบเงินบาท แต่ก็ช่วยให้ค่าเงิน ปรับตัวไปตามกลไกตลาด (แต่ถ้าใครทุบให้เกินกลไกตลาด เพื่อฉวยโอกาสก็ถือว่าไม่ดี เป็นการทำบาป)
ขณะนี้ สหรัฐฯกลับอยากให้มีคนมาช็อตขายดอลลาร์มากขึ้น ถึงกับบ่นอยู่หลายครั้ง ว่าค่าเงินของสหรัฐฯแข็งเกินไป ในการปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับกลไกตลาด สหรัฐฯขาดดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง จีนและเอเซียก็เกินดุลอย่างต่อเนื่อง ประธานาธิบดีโอบามา ถึงกับบอกว่า “หยวนควรแข็งกว่านี้ เพื่อให้การค้าขายมีสมดุลมากขึ้น” ซึ่งกลไกตลาดที่ปรับตัวช้า อาจถือว่า เพราะ แรงขายดอลลาร์ และแรงช็อตเซลดอลลาร์ไม่พอเพียงเช่นนี้ ก็จึงทำให้ปัญหาทางเศรษฐกิจยังหนักอยู่ คนว่างงานสูงถึง 9% มากว่า 3 ปีแล้วก็ยังสูงระดับนี้ต่อไป

หากกลไกตลาดทำงานได้เร็ว ค่าเงินเขาอ่อน คงไม่ถึงกับที่จะมาทำสินค้าสิ่งทอ รองเท้าทดแทนจีนได้ แต่อาจทำให้คนจีน ไปเที่ยวเวกัส แอลเอ หรือฟลอริด้ากันได้มากขึ้น ซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอเมริกา หรือในยุโรปได้มากขึ้น ก็น่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
นักเศรษฐศาตร์ จึงเชื่อในหลักของกลไกตลาด ว่าจะเป็นไปตาม Invisible Hand คือ พระหัตถ์ที่มองไม่เห็น หรือ พระหัตถ์ของพระเจ้า และเครื่องมือใด ที่ช่วยทำให้กลไกตลาดทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการช็อตเซลด้วย ก็ควรจะให้ทำได้ต่อไป
นักลงทุนจึงควรติดตามสาเหตุของปัญหาที่แท้จริง เมื่อมองไปในโลกแล้ว ก็ยอมรับว่า มีความน่าเป็นห่วงน่ากังวลกับการแก้ปัญหาในปัจจุบัน เพราะ ดูเหมือนไม่ใช่ว่าสูตรเคนเซียนนั้น จะทำได้ผลเป็นสูตรสำเร็จอย่างที่คาดหวังง่ายๆแล้ว คงต้องติดตามกันต่อไปอย่างใกล้ชิด

ติดตามปัจจัยที่ถูกต้องอย่างมีปัจจัยพื้นฐาน จะช่วยให้ตัดสินใจลงทุนได้ถูกต้องมากขึ้นค่ะ

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 24, 2012 8:41 am
โดย pak
อ่านบทความนี้มาจาก Mind Investing Blog แล้วรู้สึกชอบมากครับ
ที่ http://www.facebook.com/#!/pages/Mind-I ... 7346422523
v
v
v
===================================================

ตลาดหุ้นในระยะสั้นเป็น Unfair game - เป็นเกมส์ที่ไม่ยุติธรรมสำหรับคนส่วนใหญ่

นักลงทุนบางกลุ่มรู้ข้อมูลภายในบริษัทมากกว่าคนอื่น
นักลงทุนบางกลุ่มได้หุ้นราคา IPO ขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้
นักลงทุนบางกลุ่มมีเวลาติดตามข้อมูลข่าวสารมากกว่าคนอื่น เป็นต้น

ข้อได้เปรียบเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องภายนอกตัว ยากที่คนทั่วไปจะเลียนแบบได้เพราะคนส่วนใหญ่ขาดโอกาส แต่มองในอีกมุมก็ง่ายที่จะเลียนแบบเช่นกัน...ถ้าคนส่...วนใหญ่มีโอกาสเหมือนนักลงทุนที่ได้เปรียบ

ผมเคยคิดว่า...ถ้าผมจะเป็นตัวอย่างของนักลงทุนรุ่นใหม่ ผมจะขอเป็นตัวแทนเรื่องการลงทุนในขณะที่ทำงานที่เป็นประโยชน์กับสังคมไปด้วย แม้ว่าอาจจะดูมีทรัพยากรจำกัด ทั้งเวลา ทั้งเงินต้น (เพราะงานที่ทำเพื่อสังคมส่วนใหญ่จะเงินน้อยหรือไม่ได้เงินเลย) ทั้งข้อมูลข่าวสาร ทั้งโอกาสต่างๆ ... แต่สิ่งที่จะขยายผลให้เกิดผลตอบแทนที่ดีเยี่ยมไม่ต่างจากนักลงทุนที่ได้เปรียบ คือ...เราต้องมีข้อได้เปรียบที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่มีเช่นกัน และนั่นจะทำให้เราอยู่รอดได้ในห่วงโซ่อาหารของตลาดทุน

ข้อได้เปรียบนั้นคืออะไร?

ตลาดหุ้นในระยะยาวเกิน 1 ปี ผมยังถือว่าเป็น Fair game ในระดับนึง เพราะไม่มีใครรู้อนาคตอย่างแท้จริงแม้แต่คนที่มีข้อมูลในมือมากที่สุดหรือคนที่ได้หุ้นมาในราคาถูกที่สุด

สิ่งที่เราสร้างและพัฒนาได้คือ...สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ (Mind) ทั้งระบบการคิด วิสัยทัศน์ในการมองธุรกิจ การมองอนาคตการเติบโต การเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ และทั้งการควบคุมอารมณ์ การมองโลกตามจริง การใช้เหตุผลเหนืออารมณ์

นั่นเป็นที่มาของชื่อ Mind Investing Blog - คือ...การลงทุนพัฒนาจิตใจใน 2 หน้าที่หลักคือ การคิด (Visual and verbal thinking process) และการรับรู้อารมณ์ (Emotional awareness)

การพัฒนาจิตใจทั้ง 2 ด้านหลักต้องอาศัยเวลาและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง แต่สุดท้ายเมื่อเรามีข้อได้เปรียบในด้านวิสัยทัศน์การมองอนาคตธุรกิจและข้อได้เปรียบทางอารมณ์แล้ว เราจะอยู่รอดในตลาดหุ้นได้อย่างสง่างาม...แม้ดูเหมือนว่าเราจะเสียเปรียบในทุกด้าน

เวลาที่เราเห็นกองทัพขนาดเล็กเอาชนะกองทัพขนาดใหญ่กว่ามากได้ เราจะเชื่อมั่นในกลยุทธ์และข้อได้เปรียบ เพราะชัยชนะไม่ได้มาจากกำลังที่มากกว่าเท่านั้น

และนั่นคือวิถีทางของ Growth investor ครับ

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: เสาร์ ธ.ค. 15, 2012 3:58 pm
โดย pak
ลุยหุ้นเด่น : แฉกลปั่นหุ้น


Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 16, 2012 7:12 pm
โดย pak
ถอดรหัสตลาดหุ้น #4 ยิ่งไม่กล้าเสี่ยง กลับยิ่งเสี่ยง


“ผมถือว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า บนสวรรค์มีไม่รู้ตั้งกี่ชั้น แต่เวลาลงนรกก็มีไม่รู้ตั้งกี่ขุมเช่นกัน จะไม่มีคำว่าถูกว่าแพงในตลาดหุ้น” ………… วัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) นักลงทุนรายใหญ่มืออาชีพ

ความเสี่ยงที่สุดในชีวิต คือ การที่ไม่ยอมเสี่ยงอะไรเลย

หลายครั้งมาก ที่จุดที่ดีที่สุดในการซื้อ คือ จุดที่ไม่มีใครอยากซื้อ และ จุดที่ดีที่สุดในการขาย คือ จุดที่ไม่มีใครอยากขาย

หากราคาหุ้นขึ้นไปแรงเกินเหตุ บางทีก็น่าเสี่ยงขายนะครับ และถ้าหุ้นนั้นมีปัจจัยพื้นฐานดีแต่ลงมาเกินเหตุเพราะตลาดไม่ดี และราคาหุ้นก็หยุดการไหลลงได้แล้ว ก็น่าเสี่ยงซื้อเช่นกัน

ไม่ว่า หุ้นจะขึ้นหรือจะลง คนกลุ่มแรกที่จะซื้อหรือขายหุ้นก่อนเสมอ คือ เจ้าของ หรือ ผู้บริหาร ซึ่งรู้แนวโน้มของกิจการตัวเองก่อนคนอื่นอยู่แล้ว ว่ากำลังจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น ……… ในช่วงนี้ไม่มีใครเข้าใจหรอกครับ ว่าทำไมหุ้นขึ้น หรือ ทำไมหุ้นลง

คนกลุ่มต่อมาที่จะซื้อหรือขาย ในขณะที่หุ้นยังขึ้นหรือลงไม่มากนัก ได้แก่กลุ่มรายใหญ่ กลุ่มกองทุน ซึ่งกลุ่มนี้ติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิด และพยายามเกาะแนวโน้มตลอดเวลา

เมื่อคนกลุ่มนี้ซื้อหรือขาย ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงอย่างรวดเร็ว คราวนี้ก็เป็นหน้าที่ของนักวิเคราะห์ที่จะต้องอธิบายปรากฏการณ์ หาเหตุผลมาใส่ให้ได้ว่าทำไมหุ้นถึงขึ้นหรือทำไมหุ้นถึงลง

วันรุ่ง ขึ้น หนังสือพิมพ์ สื่อ และ ข้อมูลตามเว็บบอร์ดจะออกมาขยายผล จนข่าวนี้เป็นที่รู้กันโดยทั่วไป

เมื่อแรงซื้อของกลุ่มคนจำนวนมากมา แย่งกันซื้อ คนส่วนใหญ่ก็จะมาช่วยกันผลักราคาให้ขึ้นไปเรื่อยๆ คนที่ตั้งขายอยู่ก็รีบถอนที่วางขายออก เพราะกลัวว่า ขายแล้วเดี๋ยวมันจะขึ้น ทั้งๆที่ราคานี้อาจจะวิ่งรอข่าวดีนั้นมาเป็นเดือน จนเกินปัจจัยพื้นฐานที่ควรจะเป็นแล้วก็ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้าว ราคากลับมาเท่าทุนซะแล้ว

ในทำนองเดียวกันครับ เมื่อแรงขายของกลุ่มคนจำนวนมากมาแย่งกันขาย คนส่วนใหญ่ก็จะมาช่วยกันผลักราคาให้ลงไปเรื่อยๆ คนที่ตั้งซื้ออยู่ก็รีบถอนที่วางซื้อออก เพราะกลัวว่า ซื้อแล้วเดี๋ยวมันจะลง ทั้งๆที่ราคานี้อาจจะไหลลงรอรับข่าวร้ายนั้นมาเป็นเดือนจนเกินเหตุกว่าที่ ควรจะเป็น แล้วก็ได้ กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้าว วิ่งขึ้นไปไหนต่อไหนซะแล้ว

เคย เห็นบ่อยใช่ไหมครับ ผลประกอบการออกมาแย่ หุ้นกลับดีดขึ้นทันที แต่พอผลประกอบการออกมาดี ราคาหุ้นดันร่วงลงซะอย่างงั้น

กาลครั้ง หนึ่งนานมาแล้ว พี่คนหนึ่ง เธอเล่าให้ผมฟังว่า จะซื้อหุ้นบริษัท ABC เพราะญาติเธอเป็นผู้บริหารอยู่ในบริษัทนี้ บอกเธอมาว่าบริษัทกำลังจะได้งานประมูลเป็นหมื่นล้าน

ผมเองก็หูผึ่ง เลยล่ะ ไปดูกราฟหุ้นประกอบก็เห็นดีเห็นงามด้วย โครงสร้างกราฟมีแนวโน้มเป็นขาขึ้นเห็นๆ ถึงมันจะขึ้นมาก่อนหน้านั้นแล้วตั้งครึ่งเดือนก็ยังไม่เห็นว่าแนวโน้มการ ขึ้นจะชะลอตัวลงเลย เออ แหะ ท่าทางจะเป็นจริงอย่างที่พี่บอก

“อ้าว เธอซื้อแล้วหรอ พี่ยังไม่ได้ซื้อเลย พี่เห็นว่ามันขึ้นมามากแล้ว อยากจะรอให้ลงมาที่เก่าก่อนแล้วเดี๋ยวพี่จะซื้อ” พี่เธอให้เหตุผลประกอบ เพราะเธอมองว่าเสี่ยงไปที่จะมาซื้อตอนนี้ แบบว่าราคามันขึ้นมามากแล้ว

ตลอด เวลา 3 สัปดาห์นับจากนั้น ราคาหุ้นไม่มีทีท่าว่าจะกลับมาหาพี่อีกเลย จนคนทั้งตลาดเริ่มให้ความสนใจ นักวิเคราะห์ก็รีบทำการเข้าสัมภาษณ์ผู้บริหารบริษัทนั้นในทันที แล้วก็ออกมาแนะนำให้ซื้อหุ้น ABC เพื่อเก็งกำไรข่าวการได้งานโครงการใหญ่

พี่ สาวคนสวยของเราถึงจะยอมปรับราคาขึ้นมานิดนึง ตามคำแนะนำซื้อเก็งกำไรที่ได้ยินมาแล้ว แต่ราคาก็ยังไม่มีทีท่าจะอ่อนตัวลงมารับพี่อีกเลย แม้พี่จะใช้ความพยายามในการปรับราคาขึ้นทีละนิดครั้งแล้วครั้งเล่าก็ตาม

ใน ที่สุด วันตัดสินใจก็มาถึงครับ หนังสือพิมพ์หุ้น 3 ฉบับ ต่างพาดหัวข่าวตรงกันว่าพรุ่งนี้จะรู้ผลการประมูล แล้วมีการคาดการณ์กะเก็งกันว่า บริษัท ABC จะได้งานแน่ๆ …… ราคาหุ้นก็ยิ่งเพิ่มความร้อนแรง กระโดดขึ้นทะยานไกลไปแบบเร่งรีบ ในที่สุดด้วยความกลัวตกรถ พี่สาวก็ตัดสินใจเคาะซื้อเดี๋ยวนั้นในทันที

วัน รุ่งขึ้น ผลประมูลงานใหญ่ออกมา บริษัท ABC ได้งานไปจริงๆด้วย ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอย่างรวดเร็ว แต่ในอีกมุมนึง ผมกลับมองว่า นี่เก็งกำไรกันขึ้นมาจนราคาเว่อร์ไปแล้ว เลยขายเอากำไรออกมาก่อน ขายทั้งๆที่คนส่วนใหญ่ในตลาดที่เพิ่งทราบข่าวดีจากทางหน้าหนังสือพิมพ์กำลัง อยากซื้อนั่นแหละ

“อ้าว เธอขายแล้วหรอ ทำไมรีบขายล่ะค่ะ บริษัทกำลังมีข่าวดี ทุกโบรกฯก็เชียร์ซื้อกัน พี่ยังไม่ขายหรอก กลัวขายแล้วไปต่อ เดี๋ยวรอให้ได้กำไรมากๆก่อนแล้วค่อยขาย” พี่เธอให้เหตุผลประกอบ เพราะเธอมองว่าเสี่ยงไปที่จะมาขายตอนนี้ ก็บริษัทเพิ่งเซ็นงานโครงการหมื่นล้านไปนี่ มันน่าจะขึ้นต่อ

หลังจาก ที่ข่าวออก ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไปอย่างร้อนแรง แล้วการขายทำกำไรก็ตามมา ดังเช่นขนบธรรมเนียมประเพณีของการเก็งกำไรที่มีมาแต่โบราณกาล

มัน เป็นสูตรสำเร็จรูปเลยก็ว่าได้ “ขายเมื่อมีข่าวลือ, ซื้อเมื่อมีข่าวจริง” ถ้าอยากจะอินเตอร์หน่อย ก็ต้องบอกว่า “Buy on Rumor, Sell on Fact”

“เธอ พี่ยังไม่ได้ขายออกไปเลย ตอนนี้มันกลับมาที่ราคาที่พี่ซื้อแล้วอ่ะ เดี๋ยวมันคงขึ้นเนาะ บริษัทนี้ถือลงทุนได้ ปัจจัยพื้นฐานดี” …… พี่เธอปลอบตัวเอง พูดเองคิดเองเออเอง และรอคอยวันนั้นมาเป็นเวลากว่า 3 ปีแล้ว

ถ้าหุ้นมีแนวโน้มจะขึ้น แพงแค่ไหนก็น่าเสี่ยงซื้อครับ หากพลาดขึ้นมาก็แค่ขายตัดขาดทุน เสียหายเล็กน้อย ดีกว่าไปไล่ซื้อตอนที่ใครๆก็รู้ข่าวดีนั้น แล้วแย่งกันขายออกมาแทบไม่ทัน

ใน ฝั่งของข่าวร้ายก็เช่นกันครับ หากหุ้นนั้นมีข่าวร้ายในทางจิตวิทยารออยู่ และใครๆก็ทราบกัน มันก็จะไหลลงมาเรื่อยๆ ท่ามกลางข่าวร้ายที่ออกมาทางสื่อและมาจากบทวิเคราะห์ หากมันปรับตัวลงมาเว่อร์เกิน ขณะที่ปัจจัยพื้นฐานยังไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น กลับน่าหาโอกาสเสี่ยงซื้อมากกว่า

นับตั้งแต่รัฐบาลของคุณทักษิณโดน ยึดอำนาจ ก็มีคนโยงหุ้นบ้านเอสซี กับ หุ้นดาวเทียม ว่าจะได้รับผลลบเลวร้ายเป็นผลพวงตามมา นับตั้งแต่วันที่แบ็งค์ชาติออกมาตรการสำรอง 30% ก็มีคนมองว่า หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์จะเฉาเน่าสุดขีด

เมื่อทุกคนมองในทางลบ แรงขายก็ตามมา หนักหน่วงต่อเนื่อง จนบางทีก็ลงมาเกินเหตุนะครับ จริงอยู่ เวลาที่กระแสข่าวร้ายกำลังมาแรง เราก็ไม่ควรจะทำเก่ง พายเรือทวนน้ำ ให้เรือล่ม แต่เมื่อโอกาสเข้าเก็บมาถึง มันก็น่าเสี่ยง

ไม่ซื้อตอน ที่คนส่วนใหญ่กลัว จะไปซื้อตอนที่คนส่วนใหญ่มั่นใจสุดขีด ก็จะยิ่งเสี่ยงกว่า

“ท่านครับ ทำไมท่านซื้อหุ้นบ้านเอสซี กับ หุ้นดาวเทียม เขาว่ากันว่า หุ้น 2 ตัวนี้ เจอพิษการเมืองอยู่ไม่ใช่หรอครับ แล้วบริษัทหลักทรัพย์ใหญ่ด้วย ท่านซื้อทำไมครับ เห็นเขาว่าตลาดซบเซาอย่างงี้ โบรกเกอร์เจ๊งระนาว” ผมไปเจ๊าะแจ๊ะ กับเซียนหุ้นชั้นครูท่านหนึ่ง ถามท่านตรงๆเลย จนท่านแทบจะสำลักกาแฟ

“มัน ลงมาสุดแล้ว ผมก็ซื้อ” ผมยัง งง อยู่ดี ท่านรู้ได้ไงล่ะเนี่ยะว่าลงมาสุดแล้ว

“ก็คุณดูหน่อยสิ ไม่เห็นรึไง หุ้น 3 ตัวนี้ มันนิ่งแล้ว ไม่มีคนอยากขายแล้ว ก็แสดงว่าราคาหุ้นต่ำเกินไปแล้วไง ไม่มีใครอยากขายแล้วที่ราคานี้ไง เข้าใจไหม” เอาล่ะ ผมพอจะเข้าใจ แต่ลาท่านไปก่อนดีกว่า ท่านกำลังใช้สมาธิอยู่กับหุ้น เดี๋ยวเจ็บตัวเปล่าๆ

ปรากฏการณ์ที่พบ เห็นบ่อยในห้องค้า คือ นักลงทุนส่วนใหญ่จะขึ้นเครื่องหมายแบล็คลิสต์ให้กับหุ้นที่มีข่าวร้าย แล้วท่องแต่ข่าวร้ายนั้นๆ จนลืมดูไปว่าราคาหุ้นได้ลงมารับข่าวร้ายจนเกินเหตุแล้วหรือยัง ในทำนองเดียวกัน นักลงทุนส่วนใหญ่จะยอมจ่ายค่าความนิยมให้กับหุ้นที่มีข่าวดี แล้วท่องแต่ข่าวดีนั้นๆจนขึ้นใจ จนลืมดูไปว่าราคาหุ้นได้ขึ้นมารับข่าวดีไปมากเกินพอแล้วหรือไม่

คน ส่วนใหญ่จึงมักต้องซื้อเป็นคนท้ายๆและขายเป็นคนท้ายๆเสมอ เพราะไม่ได้ทำการประเมินไว้เลยว่าราคาหุ้นได้ซึมซับข่าวดีหรือข่าวร้ายนั้น มากพอแล้วหรือยัง

และที่แปลกแต่จริง …… เวลาราคาหุ้นลงมามากจนนิ่งแล้ว ก็ไม่กล้าซื้อ เพราะมองว่าเสี่ยงเกินไปที่จะซื้อหุ้นตัวนี้ เห็นเขาว่าไม่ดี พอขึ้นไปมากแล้วก็ไม่กล้าขาย เพราะมองว่า เสี่ยงเกินไปที่จะขายหุ้นตัวนี้ เห็นหุ้นกำลังขึ้น

จะทำอะไรก็กลัวเสี่ยง เลยเสี่ยงหนักเลยล่ะคราวนี้ ซื้อก็ช้ากว่าเขาแล้วยังจะขายช้ากว่าเขาอีก

เมื่อคิดจะทำการค้าหุ้น ต้องตัดสินใจไว และ กล้าเสี่ยงครับ

เพราะความไม่ยอมเสี่ยงกับอะไร เลย อาจจะเป็นความเสี่ยงที่สุดในชีวิต


ที่มา : http://7meditation.blogspot.com/2010/10/4.html

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 19, 2012 7:55 pm
โดย David TON
อ่านแล้วอยากให้เจอกับพ่อมดการเงินหน่อย

เจ้านั้นเค้าบอกว่าตลาด USA หมู เจ้านี้บอกว่าตลาดไทยหมู

ขี้โม้....

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 20, 2012 12:46 pm
โดย David TON
เอกยุทธ อัญชันบุตร
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี


เอกยุทธ อัญชันบุตร
นายเอกยุทธ อัญชันบุตร หรือ จอร์จ ตัน นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ เป็นเจ้าของเว็บไซต์ ไทยอินไซเดอร์ ซึ่งต่อต้านรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ในอดีตเคยต้องคดีแชร์ชาร์เตอร์ และกบฏทหารนอกราชการ เมื่อ พ.ศ. 2528 และหลบคดีออกนอกประเทศ เพิ่งจะเดินทางกลับประเทศไทยหลังจากคดีหมดอายุความแล้ว
เอกยุทธ อัญชันบุตร เกิดเมื่อ เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2502 เป็นบุตรคนที่ 3 จากจำนวน 5 คน ของ ร้อยโทแปลก อัญชันบุตร และนางนันทา ฉัตรกุล ณ อยุธยา ศึกษาที่โรงเรียนแม้นศรีวิทยา โรงเรียนเทพประสาทวิทยา และเรียนไฮสกูลที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา สหรัฐอเมริกา กลับมาทำธุรกิจรับเหมาก่อก่อสร้างกับพี่ชาย และไปเรียนต่อด้านเศรษฐศาสตร์การเงิน การคลังที่มหาวิทยาลัยแปซิฟิก ฮาวาย
เมื่อวันที่ 4พ.ย. ที่หอประชุมโรงเรียนสุรวิทยาคาร อ.เมือง จ.สุรินทร์ นางลัดดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ ประธานเสียงสตรี พร้อมด้วยกลุ่มเสียงสตรีจากหลายจังหวัดและประธานเสียงสตรีภาคกลาง ได้ร่วมกันแถลงข่าวตอบโต้ กรณีที่นายเอกยุทธ อันชัญบุตร ได้พิมพ์ข้อความลงในเฟชบุ๊ค ซึ่งข้อความดังกล่าวถือเป็นการดูหมิ่นศักดิ์ศรีของสตรีอย่างรุนแรง[1]
เนื้อหา [ซ่อน]
1 แชร์ชาร์เตอร์
2 กบฏ 9 กันยายน 2528
3 จอร์จ ตัน
4 กลับมาเมืองไทย
5 เว็บไซตส่วนตัว
6 ดูเพิ่ม
7 อ้างอิง
[แก้]แชร์ชาร์เตอร์

เมื่อเรียนจบ เอกยุทธเริ่มทำธุรกิจซื้อขายคอมมอดิตี้ส์ และซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า จากนั้นจึงเปิดบริษัทนายหน้าซื้อขายคอมมอดิตี้ส์ และเงินตราต่างประเทศ ชื่อ ชาร์เตอร์อินเวสต์เมนต์ เมื่อ พ.ศ. 2525
เมื่อ พ.ศ. 2526 เป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากในประเทศสูง ถึง 12% เอกยุทธได้คิดหากำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย โดยกู้เงินจากต่างประเทศด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำ ประมาณ 3% มาฝากในสถาบันการเงินในประเทศเพื่อทำกำไร และนำกำไรที่ได้ไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม


ประกาศจับ คดีฉ้อโกงประชาชน เมื่อ พ.ศ. 2527
บริษัทนายหน้าของเอกยุทธ ในระยะแรกมีเงินลงทุนจากนายทหาร และนักการเมืองเป็นจำนวนมาก เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงจึงมีประชาชนทั่วไปนำเงินเข้ามาลงทุน และรุ่งเรืองที่สุดเมื่อ พ.ศ. 2527 เมื่อประชาชนสมัยนั้นนิยมการลงทุนในเงินนอกระบบเช่น แชร์แม่ชม้อย แชร์แม่นกแก้ว และหันมาลงทุนกับ แชร์ชาร์เตอร์ เป็นทอดๆ
เดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2527 รัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ โดยนายสมหมาย ฮุนตระกูล ประกาศลดค่าเงินบาท และออก พระราชบัญญัติการกู้ยืมเงิน อันเป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 มีการดำเนินการทางกฎหมายกับนางชม้อย ทิพยโส หัวหน้าวงแชร์แม่ชม้อย และพันจ่าอากาศเอกหญิงนกแก้ว ใจยืน หัวหน้าวงแชร์แม่นกแก้ว
เอกยุทธเดินทางออกนอกประเทศหลังจากมีข่าวว่าทางการจะออกหมายจับ เมื่อ กลางปี พ.ศ. 2528 และเกิดความตื่นตระหนกขึ้นเมื่อมีนายทหารฟ้องคดีเช็คของเอกยุทธ ที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และทำให้มีผู้เข้าร้องเรียนกับกองปราบเป็นจำนวนหลายพันคน ทางการประกาศอายัดทรัพย์สินของเอกยุทธ อัญชันบุตร บริษัท ชาร์เตอร์ และผู้ถือหุ้น เพื่อนำออกขายทอดตลาด
[แก้]กบฏ 9 กันยายน 2528

ในระหว่างที่เอกยุทธ หลบคดีแชร์ชาร์เตอร์ อยู่ในประเทศเยอรมนี ก็ได้พบกับพันเอกมนูญ รูปขจร โดยการประสานงานกับกลุ่มผู้นำสหภาพแรงงาน และร่วมกันก่อการกบฏทหารนอกราชการ เมื่อวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2528 เพื่อล้มล้างรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แต่ไม่สำเร็จ ในเหตุการณ์ครั้งนี้ มีประชาชนเสียชีวิต 2 คน เป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศชาวอเมริกันและชาวออสเตรเลีย
หลังเหตุการณ์ เอกยุทธหลบหนีไปอยู่ที่เยอรมนี แล้วย้ายไป เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ และนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา
[แก้]จอร์จ ตัน

เอกยุทธ อัญชันบุตร หลบหนีออกจากประเทศไทย ไปที่มาเลเซีย และเดินทางต่อไปเยอรมนี เปลี่ยนชื่อเป็น จอร์จ ตัน และขอลี้ภัยการเมืองที่สวิตเซอร์แลนด์ จากนั้นจึงย้ายไปนิวยอร์ก และเริ่มทำธุรกิจในตลาดค้าหุ้นวอลล์สตรีท และทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปัจจุบันมีธุรกิจหลักอยู่ในลอนดอน และกัวลาลัมเปอร์
[แก้]กลับมาเมืองไทย

เอกยุทธ อัญชันบุตร กลับมาเป็นข่าวคราวอีกครั้งในกลางปี พ.ศ. 2547 เมื่อได้เข้าไปที่พรรคประชาธิปัตย์พร้อมกับ นายอัมรินทร์ คอมันตร์ เพื่อเจรจาทางการเมืองซึ่งกล่าวกันว่า นายเอกยุทธพยายามจะให้เงินสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใช้ในการโค่นล้มรัฐบาล แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้แถลงข่าวปฏิเสธและไม่ได้รับเงินไว้ จากนั้น นายเอกยุทธได้ร่วมกับกลุ่มประชาชนเพื่อชาติและราชบัลลังก์จัดปราศรัยขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขึ้นที่ท้องสนามหลวงในเดือนกันยายน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากผู้ร่วมชุมนุมมีไม่มากนัก จากนั้น นายเอกยุทธจึงได้ออกข่าวเป็นระยะ ๆ วิพากษ์และโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ เรื่อยมา และได้เปิดเว็บไซต์ส่วนตัว อีกทั้งในบางครั้งบางช่วงก็ได้วิพากษ์และโจมตี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำผู้หนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยด้วย
[แก้]เว็บไซตส่วนตัว

http://www.thaiinsider.com/
[แก้]ดูเพิ่ม

กบฏทหารนอกราชการ
[แก้]อ้างอิง

ไพศาล มังกรไชยา, อัญชลี ไพรีรัก, เถกิง สมทรัพย์. ยุทธการล้มทักษิณ, ความคิด ชีวิตพิสดาร "เอกยุทธ อัญชัญบุตร" เจ้าพ่อแชร์ชาร์เตอร์. นนทบุรี : เบญจภาคี, พ.ศ. 2547. 190 หน้า. ISBN 974-92554-0-2
^ http://www.dailynews.co.th/newstartpage ... tID=174110

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 13, 2013 11:16 am
โดย pak
นำมาจากใน Facebook ของคุณ Yo Non นะครับ
รู้ทันเกมเจ้า ก็เป็นแนวชาวสวน ได้

“ซื้อขายตามกราฟหรือตามสูตรก็มีแต่จะโดนเจ้ามือกิน เพราะมันคือสิ่งที่เจ้ามือทำเอาไว้หลอกหรือดักเรา”

นี่คือความคิดของนักลงทุนส่...วนใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าการลงทุนตามกราฟหรือระบบการลงทุนที่ชัดเจนจะสามารถทำกำไรได้ในระยะยาว และซ้ำร้ายแล้วยังมีแต่จะรอวันโดนเจ้ามือหุ้นเล่นงานเข้าให้จนหมดตัวเสียด้วย

แน่นอนครับว่าเมื่อฟังดูแล้วมันก็ออกจะมีเหตุผลอยู่พอสมควร อย่างไรก็ตาม ผมถือว่านี่เป็นคำพูดของคนที่ไม่ได้รู้จักและเข้าใจในศาสตร์ของการเก็งกำไรกันสักเท่าไหร่นัก ซึ่งผมจะค่อยๆอธิบายให้ฟังกันครับ

กราฟไม่ได้หลอก เพราะไม่ใช่ทุกคนจะมองกราฟและตีความไปในแนวทางเดียวกัน

เหตุผลอย่างแรกของผมเลยก็คือทุกคนไม่ได้ตีความจากกราฟไปในแนวทางเดียวกัน ผมมักจะได้ยินหลายๆคนคุยกันว่าเวลาเกิดสัญญาณซื้อขายขึ้นมาส่วนใหญ่ก็เพราะเจ้ามือทำขึ้นมาหลอกเราทั้งนั้น

ชุดความคิดแบบนี้มี Error ที่เป็นจุดตายอยู่อย่างหนึ่งก็คือคุณกำลังคิดไปเองว่าโลกนี้มีสัญญาณซื้อขายอยู่เพียงสัญญาณเดียว นั่นก็คือสัญญาณที่เจ้ามือเชื่อว่ามันคือสัญญาณและสร้างราคาขึ้นมาเท่านั้น!

แต่หากคุณจะลองคิดให้ดูอีกสักครั้ง คุณจะพบว่าพวกเราแต่ละคนนั้นแทบจะไม่มีใครมองกราฟเหมือนกันเป๊ะๆเลยด้วยซ้ำ (แม้กระทั่งระบบการลงทุนของแต่ละคนก็ไม่ได้มีจุดเข้าออกหรือเงื่อนไขการคัดเลือกหุ้นที่เหมือนกัน) แนวโน้มหุ้นของแต่ละคนที่สรุปออกมาจากกราฟนั้นแทบไม่มีทางตรงกัน, พร้อมกันและเกิดขึ้น ณ จุดเดียวกันตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นแล้วตลาดจะไม่มีการซื้อขายเกิดขึ้นเนื่องจากไม่มีใครที่คิดต่างกัน

นี่คือเหตุผลข้อแรกที่ผมจะขอยกมาค้านว่า เจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร กราฟไม่ได้มีเอาไว้เพื่อให้คุณโดนหลอก และอันที่จริงก็ไม่มีเจ้ามือคนไหนจะมานั่งหลอกหรือพยายามหลอกคุณเพียงแค่คนเดียวอยู่ตลอดเวลา เจ้ามือเองก็ไม่สามารถรู้จนครบได้หรอกครับว่าพวกคุณแต่ละคนในตลาดรอสัญญาณจากเครื่องมืออะไรอยู่ พวกเขาเองก็ไม่ได้ต่างกับเราในจุดที่ว่าต้องลอง Bet เพื่อแหย่ตลาดดูอาการตอบสนองของคนส่วนใหญ่เช่นกัน และก็แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่การซื้อขายของพวกเขาจะมีกำไรอย่างที่เราคิด

ดังนั้นแล้ว สัญญาณการซื้อขายตามกราฟในแต่ละครั้งของคุณจริงๆจึงไม่ได้เกิดจากเจ้ามือ แต่มันคือเงาสะท้อนซึ่งเกิดจากความเชื่อและมุมมองของคุณซึ่งมีต่อกราฟในรูปแบบต่างๆ และตรงนี้ก็จะกลายเป็นประสิทธิภาพของระบบการลงทุนนั้นๆซึ่งจะบ่งชี้ถึงผลกำไรในอนาคตของคุณอย่างแท้จริง

รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้

มีแต่คนที่ไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับใช้กราฟหรือการสร้างระบบการลงทุนเท่านั้นที่คิดว่าพวกเขาจะโดนเจ้ามือกินจนเจ๊ง นั่นก็เพราะเบื้องหลังของวิธีการลงทุนที่ดีและยั่งยืนทุกระบบนั้นเกิดขึ้นจากการวางตัวให้สอดคล้องไปกับกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ต่างหาก (ไม่ว่าจะเป็นการเก็งกำไรตามวิจารณ์ญาณหรือตามระบบการลงทุนก็ตาม)



เจ้ามือที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นของนักเก็งกำไรทุกคนคือสภาวะของตลาด

นี่คือสิ่งที่คุณควรสนใจจริงๆ มันคือกฏที่คุณจะต้องเข้าใจ … และถ้ายังไม่เข้าใจคุณก็จะค่อยๆสะสมชั่วโมงบินในตลาดจนเข้าใจไปเองในที่สุด ผมเองเชื่อว่ากฏธรรมชาติข้อนี้คือกฏที่พวกเราทุกคนในตลาดไม่อาจหนีพ้นไปได้ไม่เว้นแม้แต่เจ้ามือหุ้น

เหตุผลก็เพราะว่าถึงแม้ใครจะเป็นเจ้ามือปั่นหุ้นที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วถ้าตลาดไม่เอื้ออำนวยพวกเขาก็จะไม่สามารถล่อหลอกใครให้มาซื้อมาขายได้สักเท่าไหร่นัก จริงอยู่ว่าเจ้ามืออาจปั่นราคาขึ้นมาได้แต่เจ้ามือก็ไม่ใช่พระเจ้า ถ้าตลาดไม่ดีหรือแนวโน้มของหุ้นตัวนั้นไม่ดึงดูดจริงๆพวกเขาก็จะต้องติดหุ้นไปเองในที่สุด

ด้วยเหตุนี้เองแนวโน้มของตลาดหรือหุ้นจึงเป็นเจ้ามือหุ้นตัวจริงของพวกเรา เจ้ามือหุ้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุบหุ้นให้เละเมื่อตลาดยังคงเอื้ออำนวยต่อการทำกำไรของพวกเขา ผมเองเชื่อว่าด้วยการที่เรารู้จักวางตนให้ลงรอยไปในทิศทางเดียวกับตลาดอยู่เสมอและตัดขาดทุนเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป การกระทำเหล่านี้จะช่วยให้พอร์ทของคุณค่อยๆเติบโตขึ้นไปตามกาลเวลาโดยอัตโนมัติ (ถ้าคุณไม่สติแตกเสียวินัยไปเสียก่อน)

Short Note : แม้ว่าเจ้ามือจะดูยิ่งใหญ่แค่ไหนในสายตาของเรา แต่พวกเขาก็เป็นเพียงแค่คนกลุ่มเล็กๆกับเงินทุนที่ไม่มากสักเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับสถาบันการเงินหรือกองทุนยักษ์ใหญ่ซึ่งมีอำนาจและผลกระทบกับตลาดโดยรวมจริงๆ เจ้ามือหุ้นปั่นจึงยังคงไม่สามารถที่จะปั่นหรือควบคุมสภาวะตลาดโดยรวมเอาไว้ให้เป็นประโยชน์กับตนเองได้

นี่หมายความว่าผมกำลังบอกว่า “เจ้ามือ” ที่แท้จริงคือสถาบันหรือกองทุนยักษ์ใหญ่พวกนี้หรือไม่?

ในมุมมองของผมนั้น คำตอบก็คือทั้งใช่และไม่ใช่ คำตอบที่ว่าใช่ก็คือแน่นอนว่าสภาวะของตลาดโดยรวมส่วนใหญ่คือผลลัพท์จากทิศทางการซื้อขายของพวกเขา ส่วนที่ไม่ใช่ก็คือพวกเขาก็ไม่สามารถที่จะฝืนสภาวะของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นหรือพื้นฐานของกิจการจริงๆไปได้เช่นเดียวกัน (และก็ไม่มีความจำเป็นที่พวกเขาต้องทำเช่นนั้นด้วย) อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากการซื้อขายของพวกเขาก็ยังคงไม่ใช่สิ่งที่อันตรายและน่ากลัวจนตั้งรับไม่ทันด้วยเช่นกันเนื่องมาจากขนาดของเม็ดเงินที่ใหญ่จึงทำให้พวกเขาต้องค่อยๆทยอยซื้อทยอยขาย จนเกิดเป็นแนวโน้มของตลาดซึ่งเราสามารถเห็นกันได้อย่างชัดเจนนั่นเอง

คุณคือผู้กำหนดผลการลงทุนของคุณเองในระยะยาวไม่ใช่เจ้ามือหุ้น

ผมเชื่อว่าหลังจากที่ผมเขียนมาถึงตรงนี้ ก็คงยังจะมีอีกหลายๆคนที่จะพูดกลับมาว่า “แต่ก็มีนักลงทุนหลายๆคนที่ซื้อหุ้นตามกราฟแล้วขาดทุนเพราะหุ้นโดนทุบจนแทบหมดตัวไม่ใช่หรือ?” ผมเองก็หวังว่ามันคงจะไม่ใช่คำพูดที่แรงเกินไปถ้าผมจะพูดว่านั่นเป็นปัญหาของนักเก็งกำไรที่อ่อนหัดเท่านั้น

ที่ผมต้องพูดว่ายังอ่อนหัดนั่นก็เพราะนักเก็งกำไรที่ช่ำชองนั้นจะต้องรู้ถึงขอบเขตและความเสี่ยงของพวกเขาอยู่เสมอ พวกเขาจะต้องรู้ว่าสัญญาณต่างๆที่เกิดขึ้นจากกราฟนั้นเป็นเพียงการพยายามหาช่องทางในการทำกำไรจากความไร้ประสิทธิภาพของตลาด (Market Annomalies) ซึ่งสามารถยืนยันได้อย่างมีมีนัยสำคัญจากผลทางสถิติในอดีตที่ผ่านมา สัญญาณต่างๆไม่ใช่ Holy Grail ที่จะต้องถูกต้องแม่นยำตลอดเวลาและไม่มีใครการันตีได้ว่าคุณจะไม่ขาดทุน เพราะนั่นไม่ใช่สิ่งที่กราฟหรือ Technical Analysis นั้นถูกออกแบบมาเลย

คุณจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าสัญญาณซื้อขายต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นในกราฟนั้น คือเครื่องมือที่ถูกนำมาช่วยให้เรามีกำไรสุทธิเป็นบวกจากตลาดในระยะยาว แต่ไม่ได้จำเป็นว่ามันจะต้องถูกหรือช่วยพยากรณ์อนาคตได้เสมอ ซึ่งนั่นก็จะนำไปสู่ความเข้าใจถึงการควบคุมความเสี่ยงอย่างเหมาะสม (ผ่าน Risk-Money Managmenet) โดยเมื่อกลไกในการควบคุมความเสี่ยงได้ถูกนำมาปรับใช้กับระบบการลงทุนใดๆแล้วล่ะก็ โอกาสที่คุณจะขาดทุนจนแทบหมดตัวจากการโดนทุบหุ้นในแต่ละครั้งจะเป็นไปแทบไม่ได้เลยเพราะคุณจะไม่มีวันถือหุ้นอยู่เพียงตัวเดียวหรือ 2-3 ตัวอีกต่อไป นอกจากนี้แล้วแรงเหวี่ยงหรือผลขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการโดนทุบโดนลากก็จะถูกประเมินและคำนวณเอาไว้ล่วงหน้าอยู่แล้วด้วยซ้ำ

สำหรับนักเก็งกำไรผู้รู้งานนั้น ผลกำไร-ขาดทุนจากการเทรดในแต่ละครั้งจะไม่ใช่สิ่งที่มีผลสำคัญสำหรับพวกเขา พวกมันคือหนึ่งในผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากระบบการลงทุนของพวกเขาเพียงเท่านั้นเอง ข่าวดีก็คือกระบวนการจัดการความเสี่ยงทั้งหลายเหล่านี้นั้นเจ้ามือหุ้นแทบไม่สามารถที่จะเข้ามาบังคับการวางแผนการต่างๆของคุณได้เลยและนี่ก็คือเหตุผลที่ผมจึงกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่า

“เจ้ามือหุ้นไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร” นั่นเองครับ

Re: จ้าวที่ กับ วีไอ!!!

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 17, 2013 5:49 am
โดย pak
ตัดมาเก็บไว้อ่านครับ ตั้งแต่ 2008

Voting..0
UpvoteDownvote ระวังแก็งเสี่ยดกหุ้นอาราวาด ตัวอย่าง หุ้น NNCL
มีเรื่องที่น่ารู้มาเล่าให้ฟัง เกี่ยวกับขบวนการปั่นหุ้นขาลงเพื่อหลอกนักลงทุนรายย่อยให้ขายหุ้น หรือ
ยุทธการเขย่าข่มฝันเพื่อเก็บของ
สึ่งที่ส่งมาด้วยข้อมูลที่แสดงให้เห็นถึงวิธีการหลอกล่อรายย่อยให้ขายหุ้น เป็นวิธีการที่บ่อนทำลายความ
เชื่อมั่นนักลงทุนและเป็นการทำลายความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นทำ ให้นักลงทุนรายย่อยที่มีส่วนสำคัญในการ
พัฒนาตลาดหุ้นไม่มีความมั่นใจในการลงทุน ถ้าปล่อยให้ก็วนนักลงทุนรายใหญ่เอาเปรียบโดยการกดราคา
หุ้นเพื่อมาเก็บของคืน เรื่องมีอยู่ว่า ก็วนผู้ถือหุ้นนักลงทุนรายใหญ่ กลุ่ม IEC , Blistel ที่มีราย
ชื่อ ซ้ำ ๆ กัน รวมถึง สาว ไฮโซ เจ้าของ เมืองไทยประกันภัยในกลุ่ม เสี่ย 2 ทึ่มีวิธีการที่ลำลึก ที่
ชอบไล่ราคาหุ้นที่ไม่มีอนาคตทางธุรกิจ ให้ราคาไปไกลเกินฝันแล้วกดราคาหุ้นดี ให้รายย่อยคายหุ้นเพื่อ
การสะสมหุ้นในราคาถูก ๆ คืน หนึ่งในตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือหุ้น NNCL ที่มีรายชื่อ ปิดสมุดทะเบียนผู้
ถือหุ้น เดือน เก้า ปี ที่แล้ว ที่กลุ่มก็วน ฉัตร์สุดา ตัวแทน เสี่ย มีหุ้นอยู่ในมือ รวมกัน ประมาณ 200
ล้านหุ้น ซึ่งมีหุ้น อยู่ในตลาดหมุนเวียน ประมาณ 300 ล้านหุ้น ส่วนที่เหลือประมาณ 700 ล้านหุ้นอยู่ในมือ
ผู้ถือหุ้นเดิมในครอบคลัวทหารเจ้าของที่ดินที่ตั้งอุตสหกรรม นวนคร สาเหตุมีอยู่ว่าหุ้น ตัวนี้ NNCL มี
รอบเล่นจัด ในปีที่แล้วก็เลยถูกตลาดหลักทรัพย์จัดชั้นให้เป็นหุ้นปั่นโดยปริยาย ทั้ง ๆ ที่พื้นฐานบริษัทนี้มี
ทรัพย์สินที่ดินและธุรกิจต่อเนื่องมหาศาลในครอบครองแต่ก็ถูกจัดชั้นโดยนิยามให้เป็นหุ้นปั่นจากทางตลาด
หลักทรัพย์ เพราะเหตุการเมื่อสองปีที่แล้วตลาดหลักทรัพย์อยู่ในช่วงซบเซาสุดขีด และเมื่อหุ้นตัวเล็กราคา
ขยับขึ้นเลยถูกจัดชั้นให้เป็นหุ้นปั่นโดยปริยาย เลยทำให้ท่านผู้บริหารบริษัททหารเกิดความวิตก จากมาตรา
การตลาด เพื่อลดความร้อนแรงในตัวหุ้นก็เลยมีการระบายของออกมาจากก็วนแล้วหวังว่าอาจจะมีโอกาศ
เก็บของคืน 200 ล้านหุ้นในราคาต่ำเตี้ยติดดิน ในตลาดหุ้นจากรายย่อย ทีหลงกลขาย และต่อไปนี้ ก็ไม่
ใช่เรื่องง่าย ๆ ที่ก็วนรายใหญ่ จะใช้วิธีการกดราคาขย่มรายย่อย เพราะมีรายใหญ่นักลงทุนต่างชาติที่
เห็นโอกาสโดด สอยเก็บหุ้นจากก็วนรายใหญ่ที่หวังตั้ง ราคา offer หลอกช่องละหลายล้านหุ้น ในช่วง
2 เดือนที่ผ่านมา บางครั้งมีจำนวน offer มากถึง 20 ล้านหุ้น ซึ่งแน่นอน ผิดปรกติของคนที่อยากขาย
หุ้น
ก็เลยถูกกองทุน เฮ็ดฟัน ของ โบรกเกอร์ค่าย ทหาร ที่มีฝารั่ง ออสเตเลียถือหุ้นใหญ่ และกองทุนนี้ใหญ่
ไม่ใหญ่ ก็ซื้อหุ้นทั้งหมดของบริษัท นวนครได้สบาย อย่าว่า 200 ล้านหุ้นเลย ที่ก็วนรายใหญ่ขย่มกดลงมา
เอาของเลย กองทุนเค้ามองว่า มูล ค่า บริษัทที่ราคา 2 บาท ที่ถูกกด เทียบกับทรัพย์สิน ที่ดินที่บริษัท
สะสมมาในช่วง 30 ปีมันถูกแถมมีโครงการทำโรงงานไฟฟ้าขายน้ำประปาให้กับโรงงานในอุตสหกรรม
รวมถึงธุรกิจทั้งหมดน่าจะเกือบถึงหมืนล้าน แต่ราคาหุ้นกับถูกเสี่ยกดให้เหลือ 2 บาท แล้วนักลงทุนราย
ย่อยจะไปตกใจทำไมกับการกดราคาของกลุ่มเสี่ย และอยากจะเห็นกลุ่มเสี่ย ไปยืมหุ้นรายใหญ่มาขาย
short กดราคาและคิดว่ารายย่อยจะคายหุ้นออกมา ก็ต้องเจอ กองทุน เฮ้ดฟัน สวน กับเพราะราย
ใหญ่แก็ง
กดหุ้นกระสุนหมด ตอนนี้ก็คอยติดตามชมว่า offer ช่องละ ๆ หลาย ๆ ล้าน ออก มาหลอกอีกหรือไม่
กองทุนจะได้สวนกับยึดคลองหุ้นกินปันผล 8 เปอร์เซ็น ซะเลย และเห็นทีแก็งนี้ถ้า short หุ้นจริงและกะ
ว่าจะ
กดลงมาซึ้อคืนในราคาต่ำคงจะยากเพราะ กองทุนดักรอดู OFFER อยู่ ท่าทาง แก็งเสี่ยกดหุ้นคงต้อง
แพ้ทาง
กองทุนฝรั่งแน่นอนเพราะเงืนหนาและเก็บหุ้น NNCL ได้อีกหลายโขเดอะ เอ้า แฟน หุ้น NNCL ช่วยกัน
เชียรให้เสี่ยทุบหุ้นหน่อย จะได้จบ ๆ ซะที หุ้นจะได้ขึ้นมาซะท้อนราคาธุรกิจเสียที