สืบเนื่องจากที่ผมเขียนเกี่ยวกับเรื่องขีดความสามารถของนักลงทุนไทยในการแข่งขันในโลกด้วยความสามารถแบบพุทธในการจัดการกับใจตัวเอง ก็ได้รับคอมเม้นท์จากอาจารย์ตู้ว่า "...ช่วงนี้เห็นคนใกล้ตัวบางคนล้างพอร์ตหุ้นต่างประเทศไปแล้ว..." ประกอบกับนายกหลิน กับ คุณ Peter1011 ออกมาพูดถึงความยากในการลงทุนหุ้นต่างประเทศ ด้วยความที่ผมไม่เข้าสังคมเลย จึงเดาๆ ว่าสถานการณ์ทางจิตใจของนักลงทุนที่ถือหุ้นเทคฯ ต่างประเทศคงจะหดหู่ เศร้าหมอง บีบคั้นจิตใจเป็นอย่างยิ่ง จนอาจจะทำให้ใครบางคนตัดสินใจทำสิ่งที่ผิดพลาดลงไป ผมเลยอยากจะใช้ความสามารถบางอย่างที่ได้ผมจากการจะฝึกที่เป็นชาวพุทธเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ นักลงทุนไม่มากก็น้อย
ใน
สีติสูตร พระพุทธเจ้าได้สอนถึงการฝึกจิตเอาไว้ 6 อย่าง โดยมีการฝึกจิต 4 อย่างที่ผลลัพธ์ของมันมีผลต่อการลงทุนเป็นอย่างมาก
"...
ย่อมข่มจิตในสมัยที่ควรข่ม ๑
ย่อมประคองจิตในสมัยที่ควรประคอง ๑
ย่อมยังจิตให้ร่าเริงในสมัยที่ควรให้ร่าเริง ๑
ย่อมวางเฉยจิตในสมัยที่ควรวางเฉย ๑
..."
ถ้าจะพูดในภาษานักลงทุนก็อาจจะเทียบเคียงได้กับคำว่า
ในเวลาที่หุ้นขึ้น เรากำลังคึกคะนอง โลภ อยากจะเชียร์หุ้น อยากจะซื้อเพิ่ม เราก็ควรที่จะข่มความโลภ ความคึกคะนอง ความพองฟูของใจตัวเอง เพื่อให้ตัดสินใจลงทุนต่อด้วยเหตุผล ประกอบด้วยสติ ผ่านการวิเคราะห์อย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป 1
ในเวลาที่หุ้นตก ตลาดและตัวเราจิตตก หวาดกลัว เราก็ควรจะที่ประคองจิต ยกจิตที่เศร้าหมอง หวาดกลัว ให้ขึ้นมาอยู่ในสภาพที่ปกติ เพื่อให้ตัดสินใจลงทุนต่อด้วยเหตุผลประกอบด้วยสติ ผ่านการวิเคราะห์อย่างดีก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรลงไป 1
ในยามที่จิตใจหดหู่ หมดพลัง ขี้เกียจ อ่อนล้า ไม่อยากขยัน ไม่อยากศึกษา ก็ยังจิตให้ร่าเริง มีพลัง มีความหมั่นเพียรวิริยะ ในการวิเคราะห์ ศึกษาการลงทุน 1
ในยามที่จิตใจเสียสมดุล เสียความเป็นกลาง ข้อมูลข่าวสาร สถานการณ์ต่างๆ เร่งเร้า เราก็ควรที่จะวางเฉยกับข้อมูลข่าวสารที่ไหลเข้ามา วางเฉยกับความเป็นไปของจิต เพื่อไม่ Feed อาหารที่ไม่เหมาะสมกับจิต เพื่อปล่อยชะลอโมเมนตัน และปล่อยให้สภาพของจิตที่ขาดสมดุลดับลงไป กลับเข้าสู่ความสงบ เป็นกลาง จะได้ลงทุนต่อได้ด้วยเหตุผล ประกอบด้วยสติ 1
สิ่งที่เกิดขึ้นกับสถานการณ์ในขณะนี้ อาจจะบีบคั้นจนทำให้ใครบางคนตัดสินใจล้างพอร์ตไป ผมคิดว่าเราจำเป็นต้อง "ประคองจิต" ของเราให้ขึ้นมาอยู่ในสภาพที่เหมาะสมก่อนที่จะทำการวิเคราะห์การลงทุนต่อไป ผมจึงขอให้โอกาสนี้ เป็นเพื่อนคนหนึ่งที่ปรารถนาดีต่อใครบางคนที่กำลังจมน้ำ และต้องการห่วง ต้องการชูชีพ
เวลาหุ้นตกหนักๆ จิตที่ยังไม่ถูกฝึกยกจิตข่มจิตอย่างดี จะถูกบีบคั้นอย่างหนัก ข่าวสารทุกอย่างเหมือนจะมีแต่ข่าวร้าย จนถึงจุดหนึ่งความบีบคั้นทางใจของเราจะทำให้เราอยากที่จะหนีออกจากปัญหา หนีออกจากสถานการณ์ จนถึงจุดหนึ่งเราจะทนไม่ไหว ยกธงขาว ยอมแพ้ และถ้ายอมแพ้ขนาดล้างพอร์ต ข่าวร้ายก็คือ นี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน
บทความล่าสุดของ Howard Mark ผู้ที่เชี่ยวชาญเรื่องการซื้อของถูกจากคนที่ยกธงขาว ยอมแพ้ เขียนประเด็นนี้เอาไว้จากชัดเจนว่า
"
Selling Because It’s Down
As wrong as it is to sell appreciated assets solely to crystalize gains, it’s even worse to sell them just because they’re down. Nevertheless, I’m sure many people do it.
...
What about the ultimate proof? The essential ingredient in Oaktree’s investments in distressed debt – bargain purchases – has emanated from the great opportunities sellers gave us. Negativity reaches a crescendo during economic and market crises, causing many investors to become depressed or fearful and sell in panic. Results like those we target in distressed debt can only be achieved when holders sell to us at irrationally low prices.
Superior investing consists largely of taking advantage of mistakes made by others. Clearly, selling things because they’re down is a mistake that can give the buyers great opportunities."
ในขณะที่อาจารย์ Mauboussin ก็ได้เขียนและทำงานวิจัยเอาไว้ในหัวข้อ
Managing the Man Overboard Moment : Making an Informed Decision After a Large Price Drop ว่าถ้าหากหุ้นมี Valuation ที่ถูกแล้ว แต่ Momentum แย่ ราคาไหลลงมาเรื่อยๆ วันหนึ่งราคาเกิดตกหนักๆ สภาพอารมณ์ของเราถูกบีบคั้นอย่างถึงขีดสุด การขายเป็นกลยุทธ์ที่ผิด เพราะว่า จากข้อมูลทางสถิติกว่า 5,400 เคส สรุปได้ว่า นั่นคือสัญญาณซื้อต่างหาก
เพื่อหยุดการกระทำที่ผิดพลาด ขั้นแรกเราต้องย้อนกลับมาดูสถานการณ์ในปัจจุบันนิดนึงว่า หุ้นที่ลงรอบนี้เกิดจากอะไร?
ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ตลาด นักข่าว นักวิเคราะห์ กูรู บอกว่า เพราะ เงินเฟ้อ แล้วดอกเบี้ยจะขึ้น ถ้าดอกเบี้ยขึ้นจะทำให้ฟองสบู่แตก และทุกอย่างจะกลายเป็น ศูนย์
ขอย้อนอดีตเล็กน้อย จากประสบการณ์การลงทุนที่ผมมี ผมจำได้ว่า ครั้งหนึ่งหุ้นตก เพราะ เกิดวิกฤต Euro ที่คนกลัวๆ กันว่าจะจ่ายหนี้กันไม่ได้ และ Euro จะล่มสลาย แล้วลามไปทั่ว และทุกอย่างจะมลายหายไปหมด แต่สุดท้ายทุกคนก็ร่วมมือกันประคองให้ผ่านสถานการณ์มาได้ ล่าสุดตอนเกิด COVID สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนแรก มีคนบอกว่ามันแรงระดับสงครามโลก แต่สุดท้ายแล้ว เราก็ใช้เครื่องมือต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี การเงิน และการคลัง ทำให้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายมาได้ ที่จีนตอนนี้ก็เช่นกัน คนกลัวกันว่ารัฐบาลจีนจะทำอะไรอีกก็ไม่รู้ เทขายอย่างหนัก หนีออกจากตลาด จนทำให้ Howard Mark ต้องยุ่งวุ่นวายกับการเลือกซื้อ Distress Asset กันอย่างเมามัน
กลับมาที่ปัจจุบันกันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ผมจำได้ว่า คนกลัวเงินฝืด บอกว่าเงินฝืดไม่ดี จะทำให้เศรษฐกิจแย่ แต่พอมาตอนนี้เงินเฟ้อก็บอกเงินเฟ้อไม่ดีจะทำให้เศรษฐกิจพัง คำถามแรกที่เราควรจะถามก็คือ เงินเฟ้อ เงินฝืด ไม่ดีจริงหรือ ถ้าเงินไม่เฟ้อเงินก็ต้องฝืด ถ้าเงินไม่ฝืดเงินก็ต้องเฟ้อ มันก็ต้องเป็นอะไรสักอย่าง แต่ไม่ว่าอะไรมันจะเป็นอะไร มันก็ต้องแย่อย่างนั้นหรือ
หรือว่าจริงๆ แล้ว เงินเฟ้อเงินฝืดเป็นเพียงแค่แพะรับบาปตัวหนึ่ง ที่เราหาข้ออ้างมาอธิบายหุ้นของเราที่มันตกลงมา และเป็นข้ออ้างทางอารมณ์ของเราในการขายหุ้นหนีตาย
เอาจริงๆ ในเรื่องเงินเฟ้อเงินฝืด ถ้าเราจะมองตามความเป็นจริงตามทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ เราต้องแบ่งแยกมันระหว่างเงินเฟ้อที่ดี กับเงินเฟ้อที่ไม่ดี ในขณะที่เงินฝืดก็มีเงินฝืดที่ดี และเงินฝืดที่ไม่ดี เพราะถ้า เงินฝืดเกิดความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ทำให้ผลิตสินค้าและบริการได้ดีขึ้นในราคาที่ถูกลง นี่หมายความว่าอำนาจในการซื้อของคนกำลังเพิ่มขึ้น มี Consumer Surplus ที่สูงขึ้น ในขณะที่เงินเฟ้อถ้าเกิดจากเศรษฐกิจดี คนมีเงิน มีกำลังใช้จ่าย มี Demand สูง มันก็จะเข้ากับตำรา Phillips Curve ที่อธิบายปรากฎการณ์ว่าเงินเฟ้อช่วยให้เศรษฐกิจดี คนตกงานน้อย
มาดูฝั่งไม่ดีบ้าง คือ ถ้าเงินฝืด เกิดจากกำลังซื้อที่หดตัว โครงสร้าง Demography มีปัญหา อันนี้ไม่ค่อยดี ในขณะที่ถ้าเงินเฟ้อมาจาก Supply ที่มีอยู่จำกัด หรือถูกควบคุมอย่างที่ OPEC รวมหัวกันขึ้นราคาน้ำมันอย่างในอดีต หรือถ้าเงินเฟ้อมาจากการสูญเสียวินัยทางการเงิน พิมพ์เงิน ให้รัฐบาลถังแตกใช้จ่าย อันนี้ถึงจะเกิด Self-Fulfilling Inflation อันนี้อาจจะเกิด Hyper Inflation และทำให้เศรษฐกิจพังได้
มาดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกัน ผมคิดว่าเงินฝืดในช่วงก่อนหน้าเกิดจาก Technology Deflation ซะส่วนใหญ่ โอเคว่า โครงสร้าง Demography อาจจะมีส่วนอยู่บ้าง แต่ Demography มันต้องใช้เวลาระดับ 20 ปี ถึงจะเกิดผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ Technology Deflation ที่เกิดจาก Innovation และ Business Model แบบใหม่ๆ ทำให้ต้นทุนการใช้ชีวิตถูกลงมันเปลี่ยนชีวิตของเราในระดับ 5-10 ปี แบบลดค่าใช้จ่ายลงอย่างมหาศาล
ในขณะที่ Inflation ที่เกิดขึ้นในรอบนี้ หลายๆ คนบอกว่ามาจาก Pent-Up Demand ซึ่งก็สะท้อนว่าเงินเฟ้อมาจากฝั่ง Demand ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี ในขณะที่เงินเฟ้อที่มาจาก Supply Chain Disruption ที่เกิดจาก COVID ก็ชัดเจนว่าวันหนึ่ง COVID ก็จะกลายเป็นโลกประจำถิ่น และราคาที่สูงก็จะดึงดูดให้คนเข้ามาทำสินค้าที่กำไรสูงมากยิ่งขึ้น สุดท้ายราคาก็จะลดลงเพราะการแข่งขัน แต่ก็อาจจะต้องใช้เวลาอยู่บ้าง แต่ผมเชื่อว่าสั้นมาก เพราะ อย่าง Tesla ใช้เวลาสร้าง GigaFactory ที่จีนแค่ 168 วัน นับตั้งแต่ได้ Permit จนถึงสร้างเสร็จ ในช่วง COVID เราได้เห็นโรงพยาบาลที่ Wuhan สร้างเสร็จใน 10 วัน เราได้เห็นโรงสร้างผลิตวัคซีน mRNA ที่ Ramp-Up Production อย่างรวดเร็ว ผมเชื่อว่าปัจจุบันนี้ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เปลี่ยนโครงสร้างของ Supply Chain ไปมาก ซึ่งเหล่านี้จะทำให้ Inflation ในปัจจุบันไม่เหมือนในอดีต คล้ายๆ กับการแก้ปัญหาวิกฤต COVID ในปัจจุบันที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับในอดีต
ย้อนกลับมาที่คำถามเดิมว่า "หุ้นลงรอบนี้เกิดจากอะไร?" จริงๆ คำตอบสำหรับผม มันง่ายมากๆ เลยครับว่า หุ้นที่ลงรอบนี้ เกิดจากก่อนหน้านี้ หุ้นขึ้นมากเกินไป ตลาดมันร้อนแรงเกินไป มันก็ต้องพักลงมาบ้างเป็นธรรมดา ยิ่งถ้าหุ้นถูกไล่ขึ้นมาหลายๆ เท่าในช่วงไม่ถึง 1 ปี มันก็เป็นธรรมดาที่ต้องพักลงมาบ้าง เพราะ หุ้นหลายๆ ตัวที่ถูกไล่ขึ้นมานั้นดีแค่ในระยะสั้น แต่ไม่ได้ดีมากนักในระยะยาว พอการเติบโตไม่ได้มากอย่างที่บางคนคิด ก็โดนเทขายลงมา
ในมุมของ Valuation บ้าง...
ในช่วงที่ตลาดร้อนแรง นักลงทุนในหุ้น High Growth จะมองไปที่ TAM และ Market Share เวลาทำ DCF Valuation ก็จะใช้โมเดลสำหรับหุ้น Young-Growth ที่ใส่ TAM, Market Share และ Take Rate ลงไปในโมเดล โดยไม่แคร์ว่า Growth Rate ที่เกิดขึ้นสอดคล้องกับ Base Rate ขนาดไหน แต่เวลาตลาดกังวลใจ ก็จะกลับมาใช้ Three Stage DCF Valuation กลับมาดูที่ Base Rate เพราะ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบริษัทฯ ที่เราวิเคราะห์ จะชนะและครองตลาดได้จริงรึเปล่าในอนาคต
ในภาษาการลงทุนมันจะมีคำว่า GARP ซึ่งย่อมาจาก Growth At Reasonable Price ซึ่งผมเข้าใจว่า คำๆ นี้เกิดขึ้นหลังจากฟองสบู่ Nifty Fifty แตกไปในช่วงปี '70 คำถามคือ Reasonable Price ในมุมของ 3-Stage DCF Valuation มันหมายถึง Implied Sales Growth ในช่วง 1-5 ปี เท่าไหร่กันแน่?
ผมได้ทดลองดึงข้อมูลหุ้นเทคฯ ทั้งโลกที่มี Market Cap มากว่า $1b และยอดขายมากกว่า $100m จาก FactSet แล้วมาดูว่า การเติบโตของยอดขายในช่วง 5 ปี ในทางสถิติแล้วหุ้นเทคทำกันได้เท่าไหร่ ซึ่งจากบริษัท 928 บริษัท ค่า Median ของการเติบโตจะอยู่ที่ 11.61% ในขณะที่ Percentile 75% อยู่ที่ 22.60%
ผมได้ลองคำนวน Implied Growth จากหลายๆ บริษัทที่ผมติดตามอยู่ พบว่าราคาที่ซื้อขายอยู่แถวๆ นี้ Implied Sales Growth กันอยู่ที่ประมาณ 20% ซึ่งนี่ก็อาจจะหมายความว่า ราคาหุ้น High Growth นี้ที่ตลาดซื้อขายกันอยู่แถวๆ นี้ ไม่แพงแล้วครับ เป็นราคาที่ซื้อได้ GARP มากๆ
การซื้อหุ้นการ์ฟๆ แบบนี้มีข้อดีคือ เราได้ Optionality ฟรีครับ เพราะ อย่างที่เราคุยกันเรื่อง Platform Business Model เรื่อง Network Effect จะรู้ว่าถ้าถูกหวยนี่รวยไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าไม่ถูกหวย ราคาที่ Implied Growth แบบนี้ ถ้าเชื่อว่าเศรษฐกิจจะโอเค ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ซื้อถือลงทุนไปได้ยาวๆ ถ้าวิเคราะห์คุณภาพแล้วโอเค ซึ่งส่วนใหญ่ผมเห็นหุ้นที่เพื่อนๆ เลือกๆ กันมา คุณภาพหลายๆ ตัวระดับ A+ แต่ราคาตอนนี้ Implied Expectation อยู่ที่ประมาณ B- ได้ เราจะหวังที่จะไปซื้อคืนที่ราคา Crisis ที่ C- หรือ D กันเลยเหรอ?
ตลาดตอนนี้ฟองสบู่รึเปล่า? เราจะมีโอกาสได้ซื้อที่ C- หรือ D ไหม? มาลองฟังอาจารย์ Damodaran
ทำ Valuation ตลาดล่าสุดดูครับ
อาจารย์บอกว่าตลาดโดยรวมตอนนี้ไม่เป็นฟองสบู่ครับ ราคาตอนนี้อาจจะแพงกว่าที่อาจารย์ Valuation ไปสัก 10% ได้ Implied ERP ที่ 4.24% ไม่ได้ผิดปกติอะไร ถ้าไม่ได้คิดว่า Inflation จะมีปัญหาอะไรมากมาย ก็ลงทุนได้ อารมณ์คล้ายๆ กับต้นปี 2021 เลยที่ก็ Over Value ประมาณ 10% กล่าวคือ ตลาดที่ขึ้นมารอบนี้มาจาก Earnings ที่ทำได้จริง และ Earnings ในอนาคตที่เศรษฐกิจดี
เศรษฐกิจดีจริงหรือ? ดีเพราะอะไร?
เพื่อนๆ รู้ไหมครับว่า ช่วง Great Depression และ สงครามโลกครั้งที่ 2 เวลาที่เกิดเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนต่อชีวิตความเป็นอยู่และความเป็นความตาย ทำให้เกิดความพยายามในการเอาตัวรอด ใช้ชีวิต และเกิดเป็น Innovation มากมาย และส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตในเวลาต่อมาผลของ Great Depression ทำให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในช่วงปี 1934-1944 ในขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นผู้นำโลกในเวลาถัดมา
สิ่งที่เกิดขึ้นกับ COVID ได้ทำให้เกิดการปฏิวัติวิถีการใช้ชีวิตของคนเป็นอย่างมาก มีความพยายามเอาตัวรอด และเกิดการลงทุนครั้งใหญ่เป็นประวัติการณ์ ทุกคนทุกที่ในโลก พร้อมที่จะปรับรับเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ความร้อนแรงทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในขณะนี้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
กระแสน้ำที่ไหลผ่านไปแล้ว ไม่ไหลย้อนกลับ เรายอมหรือที่จะเลิกใช้ Smart Phone แล้วกลับไปใช้โทรศัพท์ Landline เทคโนโลยีที่ดีขึ้นเมื่อใช้แล้วได้ประโยชน์ ก็มีแต่จะใช้มันมากขึ้น โลกทุกวันนี้มีความหยืดหยุ่น และแข็งแกร่งในการปรับตัวมากกว่าเดิมมาก
Stagflation ในช่วงปี '70 เกิดขึ้น เพราะ องค์ความรู้ เทคโนโลยี ข้อมูล การติดต่อสื่อสาร ยังไม่สมบูรณ์ จึงเป็นความผิดพลาดทางเทคนิคที่ต้องใช้เวลาในการแก้ไขปัญหานานหลายปี แต่ในยุคสมัยที่คนทุกคนเก่งขึ้น ฉลาดขึ้น รับรู้ข้อมูลข่าวสารได้เร็วขึ้น วิกฤตระดับโลกอย่าง COVID เรายังใช้เวลาไม่กี่เดือนในการพัฒนาวัคซีนได้เลย เรื่องจิ๊บๆ อย่าง Inflation ดูแล้วเป็นเรื่องเล็กไปเลย
แถม Inflation ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ยังเป็น Inflation ที่ดีด้วยซ้ำ Inflation ที่ดีทำให้ยอดขายและกำไรของบริษัทดีกว่าที่คาดเสมอ
ดังนั้นนี่คือเวลาซื้อไม่ใช่เวลาขาย นี่คือเวลาฮึกเหิมไม่ใช่หดหู่ นี่คือเกมส์ที่สถาบันจะบีบเอาของจากรายย่อยก่อนลากขึ้นรอบใหญ่เพราะเศรษฐกิจรอบนี้มันดีกว่าที่คิด และเพราะเค้ารู้ว่า ถ้าไล่ต้อนรายย่อยอย่างเราๆ ให้จนมุม เราจะคายของคืนเขา เพราะ เค้าอยู่มานานกว่า เค้าเก๋าเกมส์กว่า และเค้าได้ของถูกๆ ทุกครั้งเวลากดราคาถึงจุดหนึ่ง
นี่คือช่วงเวลาที่พวกเรา รายย่อยชาวไทย ที่ข้อมูลและเครื่องมืออาจจะสู้ฝรั่งเขาไม่ได้ แต่มันเป็นเวลาที่วัดความสามารถทางใจมากกว่าทางสมอง และเครื่องมือทางใจเราก็มีอยู่พร้อมอยู่แล้ว ที่จะทำให้เราตัดสินใจลงทุนด้วยสติ ประกอบด้วยความไม่ประมาท และเราก็มี Valuation ที่เป็นหลักปรัชญาการลงทุนของ ThaiVI ที่ทำให้เรารู้ว่า เงินที่เราลงทุนไป เราจะได้อะไรกลับมา
เป็นกำลังใจให้กับทุกๆ คนให้ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไปให้ได้นะครับ