หน้า 31 จากทั้งหมด 160

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 02, 2004 1:10 pm
โดย VIB007
chatchai เขียน:ถ้าร้านอาหารจีนแถวสามย่าน ผมเดาว่าเป็น นิวสามย่าน ครับ
สวัสดีครับ
เรื่องร้านอาหารจีนและเจ๊คนนั้น
ผมเดาเล่นๆว่าเป็น "อี่โภชนา" ใช่รึป่าวครับ
เพราะแม่ผมก็ชอบ ฮ่าๆ
ถ้าทายถูก ขอให้นายตลาดฉุนเฉียวหอบ สผ ของพี่วิบูลย์ มาขายผมถูกๆสัก 170 ละกันนะครับ ฮิๆ
แฮะ แฮะ หายไปหลายวันไม่ได้เข้าเวปครับ เพราะไม่ได้เข้าบริษัท
เอาล่ะ ไหนๆ พี่Chatchai อาจารย์ก้นบุหรี่ของผมอยากรู้
เดี๋ยวจะหาว่าใจดำ ไม่ยอมบอกชื่อร้านเหมือนไม่ยอมบอกชื่อหุ้น

ผมเฉลยก็ได้ครับ ชื่อร้าน "นครโภชนา" ครับ
อยู่หลังตลาดสามย่าน
ถ้าเข้าทางนิติจุฬา ด้านถนนใหญ่ก็เลี้ยวขวา
ขับเข้ามาจะถูกบังคับเลี้ยวซ้าย
แล้วก็บังคับเลี้ยวขวาอีกที ถ้าไม่เข้าที่จอดรถเสียเงินของตลาด
ร้านอยู่สุดซอยครับ เห็นตั้งแต่เลี้ยวขวาแล้ว
มีที่จอดรถหน้าร้าน มีป้าย"เชลล์ชวนชิม"
แต่ก่อนร้านอยู่แถวราชวงค์แล้วย้ายมาที่นี่หลายปีแล้ว
เพื่อนผมก็ตามมาทานตลอด
เมนูแนะนำก็มี ดอกไม้จีนสดผัดน้ำมัน คะน้าผัดเป๋าฮื้อ
วุ้นเส้นผักกระเฉด ปลาบู๋นึงซีอิ้ว ฯลฯ
เป็นอาหารจีน อร่อยมากครับ
ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อย่างใดครับ ของดีเลยบอกต่อ

พูดถึงของดี
วันก่อนไปดูหนัง "โหมโรง" มา
ดีมากครับ ผมว่าสร้างได้ดี
ชอบมากๆก็ตอนแข่งประชันระนาดระหว่าง "ขุนอิน" กับ "นายศร" ตอนท้ายเรื่อง
เพลงระนาดของ "ขุนอิน" มีพลัง หนักแน่น ปานขุนเขาที่ตั้งตระหง่าน
เพลงระนาดของ "นายศร" อ่อนไหว ลื่นไหล เหมือนสายลมพัดใบไม้ไหว
ต่างคนต่างมีเอกลักษณ์ของตัวเอง
สุดท้ายเป็นอย่างไรก็ต้องไปชมกันเองนะครับ

อ้อ เห็นพูดถึงเจ้าสะดือทะเล ถ้าดันร่วงลงมาขนาดนั้น
เป็นผมก็อดใจไว้ไม่อยู่เหมือนกันครับ
จะคายก้นบุหรี่แล้วรีบคว้าไว้ให้หมดตลาดเลย
เจ้าหุ้นตัวนี้ขึ้น List Superstock ของอาจารย์นิเวศน์ใน นสพ กรุงเทพธุรกิจวันนี้ด้วยนะครับ
ไม่ใช่ธรรมดานะเนี่ย

ต้องขอบคุณคุณ Mon ครับที่ช่วยอธิบายหลักการ"การลงทุนแบบเน้นความสุข"
ให้พวกเราได้รับทราบกัน
ใครจะนำหลักการไปใช้
คุณMonบอกผมว่าไม่คิดค่าลิขสิทธิ์ครับ

เอาล่ะ เราขีดๆเขียนๆกันมาในกระทู้นี้จะหกเดือนแล้วนะคุณMon
ต้องยอมรับว่า มุขเริ่มร่อยหรอ
แฟนๆเริ่มบ่นว่า ไม่มีอะไรใหม่ เหมือนเดิม ซ้ำไปซ้ำมา
ความรู้เริ่มงวดลงไปเรื่อยๆ

ก็ถือว่า เป็นตำราเล่มนึงแล้วกันครับ
มีไว้ให้ผู้สนใจอ่านย้อนหลัง
บางครั้งผมก็เอาที่ผมแอบพิมพ์เก็บไว้มาอ่านเหมือนกัน
อ่านดูอีกที ก็ได้อะไรที่เราลืมๆไปแล้วเหมือนกันนะ

ช่วงนี้ตลาดกำลังผันผวน
Mr Market กำลังสับสนกับชีวิต
วันก่อนบวก 17 จุด เมื่อวาน ลบ11จุด
นักเก็งกำไรคงอยากเอามือทุบหัวตัวเอง พลางร้องตะโกน "รู้งี้ รู้งี้"

ความเห็นผมก็คือว่า ช่วงนี้เป็นโอกาสดีที่จะเก็บหุ้นดีราคาไม่แพงใส่ในกระเป๋า
เลือกหุ้นที่มีอนาคตดี ราคาสมเหตุสมผล
ซื้อแล้วถือไว้ สักปีสองปี หรือ ห้าปีก็ได้ตามความพอใจ

มีคนถามผมว่า ไม่กลัวหุ้นราคาตกมากๆแล้วขาดทุนเหรอ
ผมตอบว่า ถ้าผมจะเจ๊งก็เพราะบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่เจ๊ง
ถ้าบริษัทที่ผมถือหุ้นอยู่มีผลประกอบการที่ดี ราคาเหมาะสมไม่โอเวอร์แวลู
แล้วผมจะกลัวทำไม

ถ้าเราไม่สนใจใน"ราคา"หุ้นแต่สนใจใน"ผลประกอบการ"
ด้วยสมมุติฐานที่ว่า "ราคาหุ้น"จะแปรตาม"ผลประกอบการ"ของบริษัทในระยะยาว
ดังนั้น ราคาหุ้นที่ผันผวน ขึ้นๆลงๆในระยะสั้นก็ไม่ได้สะท้อนถึงมูลค่าของบริษัทนั้นจริงๆ
ดังนั้น จึงไม่ต้องกังวลกับ"ราคา"แต่อย่างใด ตราบใดที่มูลค่าของบริษัทไม่ได้ลดลง

มีคนมากมายในตลาดหุ้น ผมว่าประมาณ 90% ในตลาด
รู้จักทุกอย่างเกี่ยวกับ "ราคาหุ้น" แต่ไม่รู้จักกับ "มูลค่า"ของมันเลย
ในสถานการณ์เดียวกัน เช่น การซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 100 บาท
ถ้าราคาหุ้นนั้นตกลงเหลือ 80 บาท
นักลงทุนแบบ Value Investor จะคิดว่า เขาซื้อบริษัทที่เขาคิดว่าถูกที่ 100 บาทได้ในราคาที่ถูกลง
ขณะที่ นักลงทุนทั่วไปจะกลัวและขายหุ้นออก
เพราะพวกเขากลัวว่า "ราคา"หุ้นจะตกลงไปอีก อาจจะเหลือ 50 บาท

ผมว่านี่คือจุดแข็งของ VI ที่แท้จริง
เพราะการที่ตลาดหุ้นแกว่งไปแกว่งมา ก็ไม่สามารถทำอะไรนักลงทุนคุณค่าได้
เพราะ เรามองที่"มูลค่า" ไม่ใช่ "ราคา"
ขณะที่ นักลงทุนแบบอื่นเน้น "ราคาหุ้น" เป็นจุดศูนย์กลาง
แค่เห็นราคาหุ้นที่ตัวเองถืออยู่ตกลงมามากๆก็นอนไม่หลับแล้ว

ผมไม่แปลกใจครับว่า ทำไม VI อย่างบัฟเฟตถึงสามารถทนทานกับตลาดหุ้นมาได้ตลอดเวลากว่าห้าสิบปี
ไม่ว่าจะเกิดสงคราม เงินเฝ้อ โรคระบาด หรือ อื่นๆอีกมากมายสารพัด
เขาก็ยังยืนหยัดอยู่ได้

ลองดูสถานการณ์์ตลาดหุ้นเมืองไทยตอนนี้ซิครับ
เพื่อนๆคิดว่า ใครหรือนักลงทุนแบบไหนจะทนกับความผันผวนของตลาดแบบนี้ได้ดีที่สุด

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 02, 2004 4:00 pm
โดย นักดูดาว
เพิ่งได้หนังสือ "ป่ามรดกไทย" จากสะดือทะเลครับ รูปสวยจิงๆ
เค้าทำไว้หลายปีแล้ว(มั้ง) นับว่าเป็น "หุ้นเพื่อสังคม" หุ้นหนึ่งเลยนะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 02, 2004 4:39 pm
โดย supachail
รบกวนถามความเห็นพี่วิบูลย์ หรือ พี่ๆ ท่านอื่นๆ เกี่ยวกับธนาคาร ตัวหนึ่ง ที่ ROE สูงๆ แต่อยู่ๆมาก็ประกาศเพิ่มทุน กระทันหัน ทั้งๆที่ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด จนตลาดตกใจมากๆ พี่มีความเห็นอย่างไรบ้าง และ สำหรับคนที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิม

สมมุติ เราคิดว่า ราคาเหมาะสม คือ X พอมีข่าวนี้ ราคาควรเป็น 0.8X ใช่มั้ยครับ เนื่องจากผลของ dillution effect ( หุ้นที่เพิ่ม ประมาณ 25% ของหุ้นเดิม ดังนั้น สัดส่วนหุ้นเดิมต่อหุ้นใหม่ จะเป็น 4: 5 or 80% ) ใช่หรือไม่ครับ

หากเป็นอย่างนี้ หากราคายังลงไปต่ำกว่านี้อีก เราก็ควรรอต่ำกว่า 0.8X ถึงจะเหมาะสม ที่จะซื้อเพิ่ม หรือไม่ ( พื้นฐานก็ยังดีอยู่) หรือ ว่า ถือรอใช้สิทธิซื้อหุ้นใหม่ ( ไม่รู้จะมีสิทธิหรือเปล่า)

คำถามต่อเนื่องครับ ทำไม อีกธนาคารใหญ่ ตอนเพิ่มทุนเมื่อปลายปี ไม่มีผล dillution effect เลย ขึ้นอย่างเดียวเลย หรือ ว่า ไม่ค่อยปกปิดข้อมูล คนเลยมองว่าเป็นข่าวดีมากกว่า

ขอบคุณครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 02, 2004 10:48 pm
โดย raruen
VIB007 เขียน: อ้อ เห็นพูดถึงเจ้าสะดือทะเล ถ้าดันร่วงลงมาขนาดนั้น
เป็นผมก็อดใจไว้ไม่อยู่เหมือนกันครับ
จะคายก้นบุหรี่แล้วรีบคว้าไว้ให้หมดตลาดเลย
เจ้าหุ้นตัวนี้ขึ้น List Superstock ของอาจารย์นิเวศน์ใน นสพ กรุงเทพธุรกิจวันนี้ด้วยนะครับ
ไม่ใช่ธรรมดานะเนี่ย
อ่านเหมือนกันครับ
คุณอาจารย์นิเวศกำกับตอนท้ายด้วยว่า Superstock จากการมองย้อนหลัง
อาจจะเป็น Superstock ในอดีต แต่อาจจะไม่เสมอไปสำหรับอนาคตครับ

การวิเคราะห์คุณภาพก็ยังสำคัญอยู่ดี
เห็นว่าหมดเรื่องคุย งั้นเอาคุณภาพมาคุยอีกรอบไหมครับ
ผมเห็นหลายคนพูดถึงคุณ fisher ไม่ทราบเค้ามีหลักการประจำใจว่าอย่างไรมั่งครับ
^__^

ส่วนเรื่องหนังสือ ที่ท่านๆทำงานกันอยู่
ผมความรู้น้อย แต่ตอนเรียนเคยทำหนังสือมาบ้าง
จัดหน้าวางเลย์เอ๊าอะไรพวกนี้ก็พอมั่วๆไปได้บ้าง
มีอะไรให้ลงแรงก็ยินดีนะครับ.

ปล. โหมโรงดีครับ
ชอบตอนเล่นระนาดล้อกับเปียโน
เหมือนบอกเลาๆว่าของเก่าต้องผสมกับของใหม่ให้ลงตัว
หากประนีประนอมแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง
ก็จะได้รสอร่อย
และสิ่งที่ปรับเปลี่ยนตามสมัยและสถานการณ์ได้จะอยู่ยั้งยืนยงครับ.

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 02, 2004 10:51 pm
โดย Mon money
ช่วงนี้เกิดอาการฝรั่งทุบหุ้นครับคุณวิบูลย์และเพื่อนๆ
เมื่อปลายปีที่หุ้นขึ้นกระเจิงมันก็ขายสวนมาตลอดจนต้นปี
หุ้นตกมันก็ยังขายๆซื้อๆสลับการ์ดหลอกไปมาให้นักเก็งทั้งหลายงง
พอทำท่าจะขายหมดก็ออกบทวิเคราะห์มาทุบให้ลงอีกจะได้ซื้อได้ถูกกว่าที่ขายไป
สองสามวันนี้เห็นเข้ามาตอดเล็กตอดน้อยอีกแล้ว

แมงเม่าไทยหัวใจเกินร้อยกลับลดดีกรีลงเพื่อลดความเสียวลง
ปล่อยฝรั่งตอดหุ้นไป ขึ้นมาขายลงมาซื้อ ทำเอาผันผวนได้ตลอด

ที่แน่ๆAPRINTกำไรไม่ลดครับ ถึงจะไม่โตขึ้นก็ยังไม่ทำให้ผิดหวัง
คาดว่าน่าจะปันผลสัก5บาท ณ ราคา100บาทก็ 5%แล้วนา
คิดแบบน้าNeffตอนนี้มีYield Protection 5 % เป็นที่สุขใจโก๋มาก

ผมว่าช่วงนี้ซุ่มทำการบ้านหาหุ้นดีๆ และยังไม่มีใครมองมาเป็นเจ้าของเถิดครับ หาให้ดีๆเจอแน่ๆ ผมยังเจอบ่อยๆเลย

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 03, 2004 1:18 am
โดย นักดูดาว
เจออะไรบอกกันมั่งคับท่านมน ส่งข้อความก็ได้คับ มาดูกันว่าหุ้นเดียวกันหรือเปล่า

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 03, 2004 10:27 am
โดย VIB007
supachail เขียน:รบกวนถามความเห็นพี่วิบูลย์ หรือ พี่ๆ ท่านอื่นๆ เกี่ยวกับธนาคาร ตัวหนึ่ง ที่ ROE สูงๆ แต่อยู่ๆมาก็ประกาศเพิ่มทุน กระทันหัน ทั้งๆที่ก็ปฏิเสธมาโดยตลอด จนตลาดตกใจมากๆ พี่มีความเห็นอย่างไรบ้าง และ สำหรับคนที่เป็นผู้ถือหุ้นเดิม

สมมุติ เราคิดว่า ราคาเหมาะสม คือ X พอมีข่าวนี้ ราคาควรเป็น 0.8X ใช่มั้ยครับ เนื่องจากผลของ dillution effect ( หุ้นที่เพิ่ม ประมาณ 25% ของหุ้นเดิม ดังนั้น สัดส่วนหุ้นเดิมต่อหุ้นใหม่ จะเป็น 4: 5 or 80% ) ใช่หรือไม่ครับ

หากเป็นอย่างนี้ หากราคายังลงไปต่ำกว่านี้อีก เราก็ควรรอต่ำกว่า 0.8X ถึงจะเหมาะสม ที่จะซื้อเพิ่ม หรือไม่ ( พื้นฐานก็ยังดีอยู่) หรือ ว่า ถือรอใช้สิทธิซื้อหุ้นใหม่ ( ไม่รู้จะมีสิทธิหรือเปล่า)

คำถามต่อเนื่องครับ ทำไม อีกธนาคารใหญ่ ตอนเพิ่มทุนเมื่อปลายปี ไม่มีผล dillution effect เลย ขึ้นอย่างเดียวเลย หรือ ว่า ไม่ค่อยปกปิดข้อมูล คนเลยมองว่าเป็นข่าวดีมากกว่า

ขอบคุณครับ
ต้องบอกก่อนว่า ผมซื้อหุ้นตัวนี้มาแบบก้นบุหรี่
เพราะผมมองว่า ธุรกิจธนาคารก็เป็น Cyclical อย่างหนึ่ง
วิธีการของผมถึงแม้จะเป็นก้นบุหรี่ แต่ถ้าหุ้นนั้นมีศักยภาพก็จะถือต่อ
ไม่ได้ปล่อยไปถึงแม้จะขึ้นมาถึง"มูลค่า"ที่คิดไว้
เพราะ"มูลค่า"จะแปลตามความสามารถในการดำเนินงานของบริษัท
ถ้าบริษัทมีผลประกอบการที่ดีกว่าที่คาดคิด
"มูลค่า"ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปตามนั้น

เรื่องการเพิ่มทุนนั้นก็ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
สมมุติฐานเดิมก็คือแบงค์นี้จะไม่มีการเพิ่มทุนตามที่ผู้บริหารป่าวประกาศไว้
เพราะมีเงินเพียงพอสำหรับไถ่ถอน Slip/Cap
และนักลงทุนตกใจเทขายหุ้นแบงค์ทั้งกระดาน
เพราะตกใจกับข่าวของการเพิ่มทุนของแบงค์กรุงเทพ
นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมเข้าไปเก็บหุ้นในช่วงปลายปีที่แล้ว

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มีพรบ.สถาบันการเงินออกมา
ทำให้สมมุติฐานเดิมต้องเปลี่ยนไป
ทางการออกมากำหนดให้บริษัทเงินทุนต้องยุบ
แบงค์มีได้สองอย่างคือ แบงค์แบบเต็มกำลัง (Full Scale Bank)
ด้วยสินทรัพย์อย่างน้อย 20,000 ล้านบาท
และแบงค์สหกรณ์ที่มีสินทรัพย์เพียง 250 ล้านบาท

ดังนั้น จะเกิดการควบรวมอย่างมโหฬารในสถาบันการเงิน
เพราะบริษัทเงินทุนจะต้องไม่มีเหลือ
แบงค์สามารถทำธุรกิจประกันและเช่าซื้อรถยนต์ได้

นั่นหมายความว่า ความสามารถในการดำเนินงานของแบงค์จะมากขึ้น
ในอนาคตแบงค์จะเหลือน้อยลง แต่แข็งแกร่งขึ้น
แบงค์เล็กจะอยู่ไม่ได้ หรืออยู่ได้ก็ไม่โต

การที่แบงค์ที่ผมถือหุ้นอยู่มีการเพิ่มทุน
ผมก็แปลกใจนิดหน่อย
แต่มาดูที่เหตุและผลแล้วพบว่า
การเพิ่มทุนเพื่อจะซื้อหรือรวมกิจการที่แบงค์ยังขาดอยู่ เช่น
ประกัน หรือ เช่าซื้อรถยนต์
รายได้ที่มากขึ้นก็จะช่วยชดเชยการเกิด Dilution Effect ได้
ถ้าผู้บริหารเลือกธุรกิจที่ควบรวมที่ดี

ถ้าเพิ่มทุนไปจ่ายหนี้อย่างแบงค์ดอกบัวจะได้ประโยชน์น้อยกว่าไปซื้อกิจการ
แต่ที่ราคาหุ้นเพิ่มทุนแล้วขึ้นตอนปลายปีที่แล้ว ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
เดาใจ"นายตลาด"ไม่ถูก เดี๋ยวดีเดี๋ยวบ้า

เท่าที่ดูตอนนี้ การเพิ่มทุนเพือดควบรวมกิจการ
น่าจะเป็นผลบวกกับแบงค์มากกว่า
เพราะสามารถขยายกิจการไปในส่วนที่ไม่มีมาก่อน
ผมคงรอดูอีกสักพักก่อนตัดสินใจว่าเป็นอย่างไร
เพราะต้องดูว่า ผู้บริหารตัดสินใจไปซื้อสถาบันการเงินไหน
ถ้าไปเอาสถาบันการเงินที่มีหนี้เสียมาควบรวม คงต้อง"ลากันก่อน"
แต่ถ้าไปเลือกบริษัทเงินทุนที่มีพอร์ตเช่าซื้อดีๆมาก็"เยี่ยม"

ส่วนการคำนวณ"มูลค่า"ของกิจการตอนนี้
ผมก็ใช้หลักการง่ายๆอย่างที่บอกมานะครับ ก็คือ ใช้ 0.8X Original Fair Value
เท่าที่ผมดูตอนนี้ ราคาปัจจุบันก็ยังลงทุนได้ครับ
แต่ก็ยังมี"ความเสี่ยง"ที่ไม่รู้ว่าผู้บริหารจะควบรวมกิจการกับใคร

ส่วนผู้ถือหุ้นเดิมอย่างผมก็ยังถืออยู่ครับ
ถึงแม้จะเป็น"ก้นบุหรี่"แต่ของผมแบบมี"ก้นกรอง"
ดังนั้น หุ้นตัวนี้ผมถือได้ 2-3 ปีสบายๆ
ถ้าภายในสองสามปีนี้ บริษัทนี้ยังไม่ดีขึ้น
ก็คงเป็นความ"ซวย"ของผมละครับที่เลือกหุ้นตัวนี้เข้าพอร์ต
และก็เก็บไว้เป็น"บทเรียน"ของตัวเองอีกหนึ่งบท
ที่ถึงแม้จะเลือกบริษัทที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรมแล้ว
ก็ยังไปไม่ถึงดวงดาว

เอาล่ะครับ ตอนนี้ขอไปประชุมก่อน

ไว้คราวหน้าจะมาคุยเรื่อง อาจารย์Fisherนะครับ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 03, 2004 11:42 am
โดย zippo
พี่วิบูลย์ค่ะ
ไอ้รองเท้าเขียว ( Greenshoes option) นี่คืออะไรค่ะ :shock:
ไม่รู้สะกดผิดหรือฟังไม่ถนัดหรือเปล่า :roll:
เมื่อกี้ฟังข่าวเกี่ยวกับ AOT น่ะค่ะ
รายละเอียดอยู่ที่ link นี้ค่ะ

http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... 7444#27444

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 03, 2004 11:54 am
โดย ayethebing
greenshoe เข้าใจว่าเป็นการที่ underwriter จะตกลงกับบริษัทที่จะ IPO ว่าหลังจากระยะเวลานึงแล้ว underwriter จะมีการซื้อหุ้นของบริษัทจำนวนนึง และถือไว้เป็นระยะเวลานึงก่อนที่จะขายมาได้ ประมาณว่าเป็นการรับประกันราคาหุ้นว่าไม่หลุดราคาจองมากนัก

ตอน TOC มี greenshoe พอหมดระยะเวลาก็จะมีแรงขายจาก underwriter ออกมาครับ

อันนี้ถ้าผิดถูกยังไงก็ให้ผู้รู้ท่านอื่นมาแก้ไขครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 03, 2004 12:59 pm
โดย bigK
สวัสดีครับ ผมอยากทราบว่าเราจะหา return on capital ได้จากที่ไหนเพราะส่วนมากผมเห็นแต่ ค่าP/E,ROE และตัว return on capital มีความสำคัญอย่างไร อีกเรื่องครับ ผมไม่รู้ว่าเราจะหาข้อมูลว่ามีบริษัทไหนบ้างที่ซื้อหุ้นคืนได้จากที่ไหนบ้าง ขอบคุณครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 03, 2004 5:52 pm
โดย VIB007
zippo เขียน:พี่วิบูลย์ค่ะ
ไอ้รองเท้าเขียว ( Greenshoes option) นี่คืออะไรค่ะ :shock:
ไม่รู้สะกดผิดหรือฟังไม่ถนัดหรือเปล่า :roll:
เมื่อกี้ฟังข่าวเกี่ยวกับ AOT น่ะค่ะ
อันนี้ไม่ทราบครับ
สวัสดีครับ ผมอยากทราบว่าเราจะหา return on capital ได้จากที่ไหนเพราะส่วนมากผมเห็นแต่ ค่าP/E,ROE และตัว return on capital มีความสำคัญอย่างไร อีกเรื่องครับ ผมไม่รู้ว่าเราจะหาข้อมูลว่ามีบริษัทไหนบ้างที่ซื้อหุ้นคืนได้จากที่ไหนบ้าง ขอบคุณครับ
ในกรณีบริษัทที่ไม่มีหนี้
capital = Equity
ดังนั้น return on capital = ROE

ในกรณีที่บริษัทมีหนี้ระยะยาว
return on capital = ROTC = NIAT/(Equity+Longterm Liability)

บริษัทที่ซื้อหุ้นคืนเท่าที่ผมทราบน่าจะมี
EGCOMP
GRAMMY
SCCC
SE-ED

ส่วนข้อมูลที่จะหาเรื่องการซื้อหุ้นคืน
ผมไม่เคยหา อาจจะลองดูที่เวปของตลาดก็น่าจะมีนะครับ
http://www.Set.Or.Th

ผมว่าข้อมูลนี่หละป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการลงทุน
ดังนั้น การรวบรวมข้อมูลที่เราต้องการจึงสำคัญและใช้เวลาค่อนข้างมากครับ
ขอให้โชคดีครับ

สวัสดีครับ

ขอต๊ะเรื่องอาจารย์ Fisher ไว้ก่อนนะครับ เดี๋ยวจะกลับมาเล่าต่อวันหลัง
เพราะต้องใช้เวลานานทีเดียวละ
เอายังงี้ก็ได้ ให้คุณayethebing มาเล่าเรื่องอาจารย์Fisher ให้ฟังก่อนแล้วกันครับ ดีมั๊ย

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 03, 2004 9:10 pm
โดย thanwa
พอมีเวลาหายใจขึ้นมาบ้าง
เลยขอช่วยเพิ่มเติมจากคุณวิบูลย์เรื่องซื้อหุ้นคืนครับ

ยังมี
MBK สิ้นเสร็จการซื้อคืนแล้ว เข้าใจว่าซื้อได้เพียงเกือบ 6% เท่านั้นจากประกาศ 10%
DTC ยังอยู่ในระหว่างการซื้อคืน แต่ก็ใกล้ครบระยะเวลา
LST น่าจะยังอยู่ในระหว่างการซื้อคนครับ
SE-ED ประกาศแล้ว คงจะเริ่มทำการซื้อคืนด้วยเงิน 160 ล้านบาทเร็วๆนี้ครับ
GRAMMY ซื้อคืนผ่านไปแล้ว ตอนนี้ประกาศบอกว่าจะขายหุ้นที่ซื้อคืนกลับมา
SCCC น่าจะอยู่ให้ระหว่างซื้อคืน
EGCOMP น่าจะซื้อคืนแล้วแต่ไม่แน่ใจว่าครบกำหนดหรือยังครับ

ในทางตรงข้ามจะมี warrant ที่ excercise อยู่เป็นระยะทำให้ EPS ถูก diluted เป็นระยะเช่นกันครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 04, 2004 3:31 pm
โดย VIB007
raruen เขียน: ส่วนเรื่องหนังสือ ที่ท่านๆทำงานกันอยู่
ผมความรู้น้อย แต่ตอนเรียนเคยทำหนังสือมาบ้าง
จัดหน้าวางเลย์เอ๊าอะไรพวกนี้ก็พอมั่วๆไปได้บ้าง
มีอะไรให้ลงแรงก็ยินดีนะครับ.
ขอขอบคุณครับสำหรับความีน้ำใจ
ถ้า บก. Ayethebing กับ บก. Mon Money ต้องการความช่วยเหลือ
ก็ติดต่อคุณ raruen ได้เลยนะครับ
raruen เขียน:
การวิเคราะห์คุณภาพก็ยังสำคัญอยู่ดี
เห็นว่าหมดเรื่องคุย งั้นเอาคุณภาพมาคุยอีกรอบไหมครับ
ผมเห็นหลายคนพูดถึงคุณ fisher ไม่ทราบเค้ามีหลักการประจำใจว่าอย่างไรมั่งครับ
มาตามคำสัญญาครับเรื่องอาจารย์ Fisher
แต่เอ.......จะพูดเกี่ยวกับเรื่องอะไรของอาจารย์ดีหละ
มันเยอะเอาเรื่องทีเดียวนา

เอางี้แล้วกันง่ายๆ
อาจารย์ Fisher จะถือหุ้นในพอร์ตไม่เกินห้าตัว
และแต่ละตัวจะถูกคัดเลือกมาอย่างดี
หุ้นที่อาจารย์ชื่นชอบก็คือ หุ้นที่มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
สามารถสร้างความเจริญเติบโตให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นได้อย่างมากในอนาคต
อาจารย์ Fisher จะถือหุ้นเหล่านี้นาน.......มากกกกกกก
บางตัวถือเป็นเวลาสิบๆปี ไม่ยอมขายแม้แต่หุ้นเดียว
(ฟังดูคุ้นๆมั๊ย)

มีคนถามว่า เมื่อไหร่ท่านอาจารย์จะขายหุ้นที่ถืออยู่สักที
อาจารย์บอกว่า จะขายก็ต่อเมื่อ
หนึ่ง บริษัทนั้นขาดความสามารถในการแข่งขันที่มี
สอง มองเห็นโอกาสที่ดีกว่าในธุรกิจอื่น
สาม บริษัทนั้นไม่เติบโตกว่าชาวบ้านอีกแล้ว

บริษัทที่อาจารย์ถือในช่วงปี 60-70 และยังถือมาจนถึง 80
ได้แก่ Dow Chemical, Texas Instrument และ Motorola
บริษัทเหล่านี้ทำกำไรให้กับนักลงทุนที่ฝากไว้ในกองทุน
ที่อาจารย์เป็นผู้จัดการกองทุนอยู่หลายสิบหลายร้อยเท่า
ในช่วงเวลาดังกล่าว

อาจารย์บอกว่า ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะซื้อหุ้นเหล่านี้ก็คือ
ตอนที่เกิดเหตุการณ์ร้ายกับบริษัทเหล่านี้เป็นการ"ชั่วคราว"
ที่ทำให้ราคาหุ้นตก เช่น ผลประกอบการรายไตรมาศไม่เข้าเป้า
หรือ ตอนที่ตลาดกำลังตกต่ำหรือตกใจ เช่น สงคราม โรคระบาด (คุ้นๆมั๊ย)

หลังจากที่ซื้อมาแล้วก็เก็บเอาไว้
แล้วติดตามการดำเนินงานของบริษัทเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด
ถือไว้ตราบเท่าที่บริษัทนั้นยังเป็นบริษัทที่ดี

ฟังๆดู เหมือนมันคุ้นๆยังไงก็ไม่รู้น่ะ
ไม่น่าแปลกใจหรอกครับที่เราจะเคยได้ยินสิ่งเหล่านี้
เพราะบัฟเฟตนำหลักการของอาจารย์ Fisher มาใช้ในการลงทุน
จนกลายเป็นมหาเศรษฐีของโลกเลยเชียวหละ
และสิ่งที่บัฟเฟตกล่าวไว้ก็มาจาก"ตำรา"ของอาจารย์แทบทั้งสิ้น

ดังนั้น เราๆท่านๆก็ถ้าป็นไปได้ ควรจะหาหนังสือของอาจารย์ Fisher มาอ่านดู
ถึงแม้จะอ่านยาก แต่ถ้าทนฝืนอ่านได้สักสองรอบจะได้ความรู้มาก

หลักการของอาจารย์ Fisher ก็คล้ายๆกับที่ท่าน ดร.นิเวศน์เขียนเอาไว้หละครับ
ที่ให้เฟ้นหา Superstock ให้เจอแล้วถือเอาไว้ตราบนานเท่านาน

แล้วเพื่อนๆหละครับ ตอนนี้มี Superstock ไว้นอนกอดหรือยังครับ

ถ้ามีประดับไว้ในปอดสักตัวสองตัว จะอุ่นใจมากเลยครับ
เหมือนมีพระดีคอยคุ้มครองยังไงยังงั้น

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 04, 2004 3:42 pm
โดย supachail
ขอบคุณพี่วิบูลย์สำหรับข้อคิดเห็นครับ

ถามเพิ่มเติมจากท่านผู้รู้ อีกเรื่องครับ

คือในหนังสืออาจารย์บัฟเฟต จะแนะนำให้เราหาหุ้นที่มี EPS เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ครับ แต่มันก็หายากเหมือนกัน ทีนี้ ผมอยากทราบว่า แล้วบริษัทที่กำไรมาตลอด แต่ว่าอาจเติบโตน้อย หรือ กำไรคงที่ แต่ก็กำไรทุกปี ก็ทำให้มูลค่ากิจการเพิ่มขึ้น แม้จะมีปันผลอยู่บางส่วน ใช่มั้นครับ เพราะกำไรสุทธิแต่ละปี ทำให้ ส่วนของผู้ถือหุ้น ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆอยู่ดี ราคาหุ้น ก็ควรจะค่อยๆเพิ่มขึ้นเช่นกัน ทีนี้ สมมุติว่า กำไรต่อหุ้นลดลง แต่ก็ยังเป็นบวกอยู่
เช่น
EPS 45 = 10 Baht ราคา หุ้น 100 B , P/E = 10
EPS 46 = 7 Baht
คือถ้าดูจาก ส่วนของผู้ถือหุ้น 46 ก็จะเพิ่มขึ้นจากปี 45 เนื่องจากกำไรสะสมเพิ่มขึ้น ดังนั้น BVPS ก็สูงขึ้น Price ควรสูงขึ้นด้วย
แต่หาก ดูจาก P/E พอประกาศ EPS ลดลงจากปีก่อน ราคาจะลดลง จาก 100 ลงไปเหลือ 70 หรือเปล่า หากตลาดคิดว่า P/E 10 หรือ ว่า
หากราคาเท่าเดิม P/E ใหม่ จะเป็น 15 เท่า ดูเหมือนแพงขึ้น (หากดู P/E อย่างเดียว)
ผมคิดว่า ราคาหุ้น ก็น่าจะยังสูงขึ้นได้ แต่เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป
ตรงนี้ ถือเป็นข้อควรระวัง สำหรับการใช้ P/E ด้วยมั้ยครับ

รบกวนขอคำชี้แนะด้วยครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 04, 2004 4:25 pm
โดย tk
เคยอ่านผ่านๆ มาว่าคุณวิบูลย์เคยสนใจ stanly ตั้งแต่ราคาไม่สูงขนาดนี้ เคยเที่ยวไปส่องท้ายรถชาวบ้านจนยามเหล่ แต่ก็ไม่ได้ซื้อซักทีจนราคามันวิ่งหนีไป อยากทราบว่าทำไมไม่ซื้อตั้งแต่ตอนนั้น เป็นเพราะอะไร งบการเงินดูไม่ดี ข้อมูลเชิงคุณภาพไม่ถึงระดับที่ดี หรือเหตุผลอื่นๆ

สำหรับผมซื้อเพราะดูแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะดี รวมทั้งมาร์เก็ตแชร์เขาสูงมากๆ บอกตามตรงว่ากำลังหัดวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณอยู่

ป.ล.ไม่ได้บอกว่าคุณวิบูลย์วิเคราะห์ไม่เก่งเลยไม่ได้ซื้อนะ ทุกคนมีความคิดมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้ว :D

ขอบคุณครับบบบบบ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 04, 2004 4:34 pm
โดย VIB007
ตอบน้อง Supachail

ในความเห็นของผม
บริษัทที่ทำกำไรและจ่ายเงินปันผลน้อยกว่ากำไรสุทธิ
ส่วนผู้ถือหุ้นก็ต้องเพิ่มอยู่แล้วแน่นอน

บริษัทที่มีกำไรเท่าๆเดิมทุกปี
ต้องดูอย่างอื่นประกอบด้วยครับ เช่น
ยอดขายลดลง แต่กำไรเท่าเดิม แสดงว่าลดต้นทุนได้
ยอดขายสูงขึ้น กำไรเท่าเดิม แสดงว่า ต้นทุนสูงขึ้น
อย่าไปดูบรรทัดสุดท้ายเป็นบทสรุป เพราะกำไรต่อหุ้นมันแต่งกันได้
ต้องดูหลายๆอย่างประกอบด้วยครับ

ถ้าบริษัทมีกำไรลดลงตามตัวอย่าง
ตามหลักการแล้ว ราคาก็จะลดลงเหลือที่ P/E=10 อย่างที่ว่าหละครับ
สมมุติจาก EPS 45 = 10 Baht ราคา หุ้น 100 B , P/E = 10
EPS 46 =7
ดังนั้น ราคาใหม่ควรจะเท่ากับ 7x10=70 บาท

แต่ในตลาดหุ้นมีความไม่แน่นอนเป็นที่ตั้งอยู่แล้วนะครับ

ดังนั้น ในความเป็นจริง ราคาที่ตลาดกำหนดอาจจะลดลงต่ำกว่า P/E=10 ก็ได้ เช่นเหลือเพียง P/E=7
EPS 46 = 7 Baht
ดังน้น ราคาอาจจะกลายเป็น 7x7 = 49 บาท
เพราะตลาดคิดว่า บริษัทนี้ไม่มีการเติบโต จึงไม่มีใครจ่ายสำหรับราคาที่สูงขึ้น

ในทางกลับกัน
ถ้าบริษัทมีกำไรมากขึ้น
EPS 46 = 13 Baht
ตลาดอาจจะคิดว่า บริษัทนี้มีการเติบโตจึงอาจจะให้ราคาใหม่ที่ P/E = 13 ก็ได้
ดังนั้น แทนที่ราคาจะเท่ากับ 13x10=130
ก็กลายเป็น 13x13=169 บาทก็เป็นไปได้ครับ

ของอย่างนี้มันไม่แน่นอน แล้วแต่ว่าราคาจะกำหนดเท่าไหร่ก็ขึ้นกับผู้เล่นทั้งหลายในตลาด

ส่วนที่ถามว่า ถ้ากำไรลดลงแต่ยังกำไรอยู่ ดังนั้น Book Value ก็ต้องสูงขึ้น
แล้วราคาจะสูงตามหรือเปล่า
ผมว่าอันนี้ก็ต้องแล้วแต่อุตสาหกรรมนะครับ
บางอุตสาหกรรมจะใช้ P/B เป็นหลัก เช่น บริษัทประกัน

แต่บางอุตสาหกรรมจะใช้มูลค่าบัญชีแทบไม่ได้ เช่น ธุรกิจโฆษณา
เพราะแทบไม่มีทรัพย์สินอะไรเลย นอกจากความสามารถของพนักงาน

ดังนั้นต้องดูเป็นบริษัทๆไปละครับ ว่าธุรกิจแบบไหนจะใช้การหามูลค่าด้วยอะไร

เอาล่ะครับ
ช่วงนี้ผมจะไปพักผ่อนต่างจังหวัดสักสองสามวัน
พบกันใหม่อีกทีวันจันทร์หน้านะครับ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 04, 2004 4:55 pm
โดย VIB007
tk เขียน:เคยอ่านผ่านๆ มาว่าคุณวิบูลย์เคยสนใจ stanly ตั้งแต่ราคาไม่สูงขนาดนี้ เคยเที่ยวไปส่องท้ายรถชาวบ้านจนยามเหล่ แต่ก็ไม่ได้ซื้อซักทีจนราคามันวิ่งหนีไป อยากทราบว่าทำไมไม่ซื้อตั้งแต่ตอนนั้น เป็นเพราะอะไร งบการเงินดูไม่ดี ข้อมูลเชิงคุณภาพไม่ถึงระดับที่ดี หรือเหตุผลอื่นๆ

สำหรับผมซื้อเพราะดูแนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์น่าจะดี รวมทั้งมาร์เก็ตแชร์เขาสูงมากๆ บอกตามตรงว่ากำลังหัดวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณอยู่

ป.ล.ไม่ได้บอกว่าคุณวิบูลย์วิเคราะห์ไม่เก่งเลยไม่ได้ซื้อนะ ทุกคนมีความคิดมีเหตุผลของตัวเองอยู่แล้ว :D

ขอบคุณครับบบบบบ
คำตอบก็คือว่า ตอนนั้นยัง"โง่"อยู่ครับ
ช่วงนั้นเพิ่งอ่าน Buffetology ได้เล่มเดียว
แล้วก็มาคำนวณตามหนังสือ
ปรากฏว่า ราคาที่น่าสนใจนั้นต่ำกว่าราคาในกระดานประมาณ 20-30%
ก็เลยรอราคาร่วงลงมาให้ตรงกับที่"คำนวณ"ไว้

แล้วมันก็ไม่เคยลงมาให้เห็นอีกเลย

อย่างที่ผมเคยบอกหละครับ
ในหนังสือ Buffetology ไม่ได้สอนการหา Intrinsic Value
เขาสอนให้ดูแค่ว่า ราคาที่ซื้อแล้วถือไปสิบปีจะได้ผลตอบแทนเท่าไหร่
ถ้าเราใส่ข้อมูลผิด ใส่อัตราการเติบโตผิด เราก็พลาด

ผมก็เลยรู้ว่า หนังสือเล่มเดียวบอกอะไรเราได้ไม่หมด
ดังนั้นก็เลยหาเล่มอื่นๆมาอ่าน ประเทืองปัญญา
ปัจจุบันก็มี"ความรู้"มากขึ้น
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ"ฉลาด"ขึ้น
เพียงแต่เรารู้อะไรมากขึ้น และทำผิดพลาดน้อยลง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่พลาดเลย
อะไรที่เราพลาดไปก็จำไว้เป็น"บทเรียน"จะได้ไม่พลาดซ้ำสอง

เราเรียนรู้อะไรใหม่ๆได้เรื่อยๆจากการลงทุนครับ
ทุกวันนี้ บัฟเฟตก็ยัง"สนุก"กับการลงทุนเพราะมีอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ

ผมไม่เสียใจหรอครับที่ไม่ได้ซื้อ "เจ้าโคมไฟ"
ผมกลับดีใจเสียอีกที่ผมได้เรียนรู้ว่า ผม"พลาด"อะไรตรงไหน
ที่ซึ้งมากก็ตรงที่ว่า "ไม่มีสูตรสำเร็จ"ในการลงทุนครับ


ดังนั้นก็ยินดีกับคุณ TK ด้วยนะครับ
ที่ได้เป็นเจ้าของ บริษัทโคมไฟแห่งชาติ กับเขาด้วยคน

ส่วนผม ผมรอให้นายตลาดมาขายให้ผมในราคาถูกๆนะครับ
ไม่มีอะไรมาก ตอนนี้ก็รอไปก่อน เพราะพี่แกเล่นโก่งราคามากไป
ถึงแม้ตอนนี้จะเลหลังอยู่ แต่ก็ไม่ต่ำพอที่ผมจะควักตังค์นะครับ
ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณภาพของบริษัทเลยสักนิด

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2004 9:39 am
โดย kotaro
เรียนถามพี่วิบูลย์หรือพี่ ayethebing ครับ

ในหนังสือ ของ อ fisher เขียนเรื่องการซื้อหุ้นผ่าน over-the-counter

นี่เป็นแบบไหนครับ ในบ้านเรามีไหมครับ

หรือเป็นการซื้อหุ้นในสมัยก่อนครับ

ขอบคุณมากครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2004 1:00 pm
โดย harry
ของอ. fisher เล่มไหนที่ควรมีอ่านเล่มแรกเลยครับ ว่าจะไปหามาเก็บ ตอนนี้มีของบัฟเฟต กับ เกรแฮมแล้วครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2004 2:33 pm
โดย kotaro
ถ้าเจาะจงของ อ. fisher เลยก็ต้อง

uncommon stocks and uncommon profits ถ้าเป็นฉบับพิมพ์ใหม่ จะรวม conservative investor sleep well และ developing and investment philosophy ด้วยครับ

:Dรูปภาพ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2004 7:40 pm
โดย chatchai
ถ้าเข้าใจไม่ผิด Greenshoe Option คือจำนวนห้นที่บริษัทที่จำหน่ายห้นเพิ่มทนสำรองไว้เพื่อที่มีความต้องการซื้อห้นเพิ่มทนมากเกินจำนวนที่ตั้งใจจำหน่ายไว้

แต่ กลต. ก็ม่ข้อจำกัดว่าต้องไม่เกิน 10% ของจำนวนห้นที่ขาย (จำนวนไม่แน่ใจครับ)

ดังเช่น บริษัทท่าอากาศยานไทย มีการจองซื้อมากกว่าจำนวนห้นที่ตั้งใจจะขายมาก ก็เลยเพิ่มจำนวนห้นที่ขายตามที่บริษัทขอ กลต.ไว้ในส่วน Greenshoe ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 05, 2004 11:12 pm
โดย Mon money
พอมีความรู้เรื่อง Over the counterครับคุณหมอ ถ้าเรียกย่อๆเขาเรียก OTC มันเป็นการเจรจาต่อรองจะซื้อจะขายกันสองคนครับ ตามศัพย์เลยก็ สองคนนั่งหันหน้าเขาหากันและมีCounterคั่นตรงกลาง เขาเลยเรียกว่า over the counter ก็ซื้อหุ้นนอกตลาดนั่นแหละครับ ตกลงกันเองไม่มีคนกลางครับ

อย่างAOTตอนนี้ราคา OTCเขาว่า 55 บาทแล้วนะครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 06, 2004 4:29 pm
โดย wpong
พี่ธันวาครับ ผมเข้าใจว่า LST ซื้อหุ้นคืนหมดแล้วที่ราคา 15 บาทกว่าๆครับ เนื่องจาก EPS Q3 ใช้จำนวนหุ้นที่น้อยกว่า Q2 10% ครับ :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: เสาร์ มี.ค. 06, 2004 5:19 pm
โดย ayethebing
Kotaro wrote:
ถ้าเจาะจงของ อ. fisher เลยก็ต้อง

uncommon stocks and uncommon profits ถ้าเป็นฉบับพิมพ์ใหม่ จะรวม conservative investor sleep well และ developing and investment philosophy ด้วยครับ
หนังสือชื่อ Common Stock, Uncommon Profitห ของสำนักพิมพ์ Wiley ครับ กลัวหาไม่เจอครับ

อยากจะคุยเรื่องวิธีการหามูลค่าที่แท้จริง (intrinsic value) ของหุ้นอีกวิธีคือ economic profit ครับ

ขอไปรวบรวมมาก่อนครับ แต่พอให้ชิมลางครับ สูตรก็คือ

Economic profit = (ROIC - WACC) X Invested Capital
มูลค่าที่แท้จริง = NPV ของ Economic profit ในอนาคต + Invested Capital

อิอิ อุบไว้ก่อนครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 07, 2004 4:06 am
โดย ayethebing
จะลองเล่าเรื่อง economic profit ต่อดูนะครับ

Economic profit เป็นโมเดลที่มีมานานตั้งแต่ปี 2433 โดยนักเศรษฐศาสตร์ชื่อว่า Alfred Marshall เค้าบอกว่า มูลค่าเพิ่มที่กิจการสร้างขึ้น (คือ ecnomic profit นี่แหละ) เป็นการเอากำไรที่ได้จากการหักรายได้และค่าใช้จ่ายต่างๆ ทางบัญชี และ ยังต้องนำไปหักลบกับต้นทุนของการเสียโอกาสในเงินลงทุนที่จะได้ผลตอบแทน คุ้มกับความเสี่ยง คุ้นๆ มั้ยครับ ว่าไปแล้ว economic profit ก็ไม่ได้ต่างอะไรของหลักการของ Stern & Stewart เรื่องของ EVA เลย

ก่อนจะไปดู economic profit ผมว่าเรามาดูกันว่าเจ้า intrinsic value หรือมูลค่ากิจการที่แท้จริงเกิดจากอะไรดีกว่าครับ เรียกว่า ตัวขับมูลค่าแล้วกัน แปลตรงตัวมาจาก value driver ครับ ตัวขับมูลค่ามีอยู่สองอย่างคือ

1. ส่วนต่างของผลตอบแทนที่ได้กับ WACC ที่เราใช้เป็นอัตราลด

ลองดูกระแสเงินสดของสองบริษัทนะครับ

บริษัทแรก บริษัทนาย ก. ทำผลตอบแทนการลงทุนได้ 30 %ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินเป็น 10% ถ้านาย ก. ลงทุนเพิ่มแค่ 10% ต่อปีโดยใช้กำไรจากการดำเนินงาน นาย ก จะสามารถสร้างกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มได้ปีละ 3% ซึ่งก็คือ ผลตอบแทนของการลงทุน คูณด้วยการลงทุนเพิ่ม (30% x 10%)

บริษัท นาย ก. ปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 ปีที่ 4 ปีที่ 5 ปีที่ 6 ปีที่ 7 ปีที่ 8 ปีที่ 9 ปีที่ 10
กำไรจากการดำเนินงาน 100 103 106.1 109.3 112.6 115.9 119.4 123.0 126.7 130.5
การลงทุนเพิ่ม 10 10.3 10.6 10.9 11.3 11.6 11.9 12.3 12.7 13.0
FCF 90 92.7 95.5 98.3 101.3 104.3 107.5 110.7 114.0 117.4

NPV ของ FCF 620
Terminal Valueคิดว่าไม่มีการเติบโต 503.13
มูลค่าที่แท้จริง รวม 1,124
ผลตอบแทน 30%
Wacc 10%
อัตราการลงทุนเพิ่ม 10%

ถ้ามีบริษัทเสี่ยปอ อยากจะได้กำไรที่เติบโตเท่ากับบริษัทนาย ก. แต่มีผลตอบแทนต่อเงินลงทุนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ นายปอต้องใช้เงินลงทุนถึง 30% เพื่อที่จะสร้างผลกำไรนั้นซึ่งแน่นอนว่าจะได้ FCF ที่ต่ำกว่า

บริษัท เสี่ยปอ ปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 ปีที่ 4 ปีที่ 5 ปีที่ 6 ปีที่ 7 ปีที่ 8 ปีที่ 9 ปีที่ 10
กำไรจากการดำเนินงาน 100 103.0 106.1 109.3 112.6 115.9 119.4 123.0 126.7 130.5
การลงทุนเพิ่ม 30 30.9 31.8 32.8 33.8 34.8 35.8 36.9 38.0 39.1
FCF 70 72.1 74.3 76.5 78.8 81.1 83.6 86.1 88.7 91.3
NPV ของ FCF 482
Terminal Valueคิดว่าไม่มีการเติบโต 503
มูลค่าที่แท้จริง รวม 985
ผลตอบแทน 10%
Wacc 10%
อัตราการลงทุนเพิ่ม 30%


เห็นได้ว่าบริษัทเสี่ยปอ มีมูลค่าที่แท้จริงที่ต่ำกว่าบริษัทนาย ก. เพราะมีผลตอบแทนต่อการลงทุนใหม่ที่ต่ำกว่า ดังนั้นการที่มีการเติบโตของกำไรเท่าๆกัน ไม่ได้หมายความว่ามีมูลค่าที่แท้จริงเท่ากันนะครับ โปรดระวัง

2. การเพิ่มเงินลงทุน ในกรณีที่ผลตอบแทนมากกว่า WACC

ถ้ากิจการสามารถสร้างผลตอบแทนมากกว่า WACC การเพิ่มเงินลงทุนก็เป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับกิจการได้ ลองดูบริษัทนาย ก. อีกครั้ง ถ้าเค้าเพิ่มเงินลงทุนเป็น 30 % แทนจะทำให้เกิดการเติบโตของกำไรเพิ่มขึ้นเป็น 9% ต่อปี

บริษัท นาย ก. ปีที่ 1 ปีที่ 2 ปีที่ 3 ปีที่ 4 ปีที่ 5 ปีที่ 6 ปีที่ 7 ปีที่ 8 ปีที่ 9 ปีที่ 10
กำไรจากการดำเนินงาน 100 109.0 118.8 129.5 141.2 153.9 167.7 182.8 199.3 217.2
การลงทุนเพิ่ม 30 32.7 35.6 38.9 42.3 46.2 50.3 54.8 59.8 65.2
FCF 70 76.3 83.2 90.7 98.8 107.7 117.4 128.0 139.5 152.0
NPV ของ FCF 611
Terminal Value 837.4
มูลค่าที่แท้จริง รวม 1457.4
ผลตอบแทน 30%
Wacc 10%
อัตราการลงทุนเพิ่ม 30%
ว้าว มูลค่าที่แท้จริงพุ่งไปมากเลยทีเดียวแต่กระแสเงินสดใน 5 ปีแรกจะน้อยกว่ากรณีแรก หลังจากปีที่ 6 กระแสเงินสดก็จะมากกว่ากรณีที่มีการลงทุนแค่ 10 เปอร์เซ็นต์ แสดงให้เห็นว่าถ้าเรามองงบกระแสเงินสดในระยะสั้นก็อาจจะทำให้มองอะไรผิดพลาดได้เหมือนกันครับ ต้องมองยาวๆ คร้าบ

ในทางกลับกันถ้าบริษัทไหนมีผลตอบแทนการลงทุนต่ำกว่า WACC ยิ่งเพิ่มการลงทุนเท่าไหร่ ถึงแม้ว่าอาจจะมีกำไรเพิ่มแต่มูลค่าที่แท้จริงจะลดครับ

เป็นไงครับ make common sense มั้ยครับ

จากผลที่ได้ก็เลยเป็นที่มาของสูตร economic profit ซึ่งก็คือ

Economic Profit = (ROIC WACC) X Invested Capital

อันแรก ก็คือ ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทนของการลงทุนกับต้นทุนของเงิน ซึ่งเป็น ตัวขับมูลค่าตัวแรก ในขณะที่ Invested Capital เป็นตัวสร้างมูลค่าตัวที่สองครับ

ทำไมต้องวุ่นวายในเมื่อดูเหมือนถ้าใช้ FCF หรือ Economic profit ก็ได้มูลค่าที่แท้จริงเท่ากันอยู่แล้ว อันนี้ ผมก็อ่านจากตำรามานา ทุกๆ ท่านอย่าว่ากันละ ตำราเค้าว่า Economic profit สามารถทำได้ดีกว่าในการทำความเข้าใจถึงความสามารถของกิจการในปีใดๆ ในขณะที่ FCF อาจจะมีการบิดเบือนในปีนึงได้เช่นการชะลอการลงทุนออกไปเพื่อทำให้ FCF ดีขึ้นในปีนั้นแต่ระยะยาวอาจจะไม่ดีก็ได้

ผมว่าก็มีส่วนจริง เช่นถ้าต้นทุนขายลดลง ถ้าเป็น FCF มันก็ฝังๆอยู่แต่เราจะรู้ว่ากำไรจากการดำเนินงานน่าจะเพิ่มขึ้นต้องไปแงะดูครับ แต่ถ้าเป็น economic profit จะเห็นเลยว่า ROIC มันเพิ่มขึ้นและทำให้มูลค่าของกิจการดีขึ้นเป็นต้น

แล้วเดี๋ยวผมจะมาเล่าเรื่องการวิเคราะห์มูลค่าโดยใช้สิ่งที่เรียกกันว่า ROIC tree กันครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 08, 2004 1:24 pm
โดย บุคคลทั่วไป
ว้าว ผมคงต้องนั่งฟังอาจารย์Ayethebing บรรยายแล้วละครับช่วงนี้
เยี่ยมมากๆครับ ผมอ่านแล้วก็ยังงงๆ
คงต้องมาอ่านซ้ำอีกครั้ง เพราะอ่านเร็วๆแล้วไม่เข้าใจน่ะครับ

กำลังรอตอนต่อไปอยู่นะครับ อาจารย์

อ้อ ใครสนใจการหามูลค่าที่แท้จริง
บทความนี้เลยครับ ส่งเข้ามาโดยคุณสุรชัย ชีพเจริญรัตน์
ผมว่ามีประโยชน์มาก
ลองดูได้เลยครับ

http://www.thaivalueinvestor.com/invest ... _thai.html

ใครถามมาคงต้องให้ท่านเจ้าของบทความมาตอบนะครับ
kotaro เขียน:เรียนถามพี่วิบูลย์หรือพี่ ayethebing ครับ

ในหนังสือ ของ อ fisher เขียนเรื่องการซื้อหุ้นผ่าน over-the-counter

นี่เป็นแบบไหนครับ ในบ้านเรามีไหมครับ

หรือเป็นการซื้อหุ้นในสมัยก่อนครับ

ขอบคุณมากครับ

Over the Counter ก็คือการซื้อหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
สมัยก่อน หุ้นเบริคไชน์ก็ขายโดยผ่าน Over the Counter
และเพิ่งเข้าตลาด New York เมื่อช่วงปี 1980 นี่เอง


การขายผ่าน Over the Counter ก็คงคล้ายๆกับตลาดหุ้นเมืองไทยสมัยก่อน
ผมเคยฟังอาจารย์วิกรม เกษมวุฒิเล่าให้ฟัง
สมัยก่อนที่จะมีตลาดหุ้น
ถ้าอยากซื้อหุ้นตัวไหนก็บอกโบรกเกอร์โดยที่เรายังไม่รู้ราคา
ผ่านไปสามวัน โบรกเกอร์โทรมาบอกราคา
บางครั้งไม่ได้ตามจำนวนที่ต้องการ
ถ้าตกลงกับราคาและจำนวน ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ถึงจะได้ใบหุ้น
แถมค่าคอมมิสชั่นก็ราวๆ 5-10%

ผมว่าบรรยากาศน่าจะคล้ายๆกัน

เมืองไทยสมัยนี้คงไม่มีแล้ว
หรือถ้ามีก็คงต้องไปหาโอนหุ้นกันเองนอกตลาด
ของอ. fisher เล่มไหนที่ควรมีอ่านเล่มแรกเลยครับ ว่าจะไปหามาเก็บ ตอนนี้มีของบัฟเฟต กับ เกรแฮมแล้วครับ
อย่างที่คุณ kotaro บอกละครับ
ถ้าของอาจารย์ Fisher ก็ต้อง
Common Stock and Uncommon Profit
หาซื้อได้ที่ Asiabook หรือ Kinokuniya ราคาเล่มละ 750 บาท
ผมเพิ่งซื้อมาเมื่ออาทิตย์ก่อน
เพราะมีคำนำเขียนใหม่โดยลูกชายอาจารย์ น่าอ่านมากครับ

ตอนนี้กำลังอ่าน John Neff in Investing อยู่
สงสัยผมต้องนับเอาเป็นอาจารย์ของผมอีกหนึ่งท่าน
ผมว่า คุณMon Money ต้องชอบสไตล์อาจารย์ Neff แน่เลยครับ
เพราะอาจารย์เล่นเก็บก้นบุหรี่ตลอดเวลา
อะไรถูกๆเหมาหมด พอสูบได้ที่ก็ปล่อยเอาเงินไปหาตัวไหม่แทน

บางตัวก็เก็บแล้วเก็บอีก หลายๆครั้งตาม Cycle
แถมถือหุ้น Cycle มากถึง 30-40% ของพอร์ตอีกต่างหาก
สุดยอดจริงๆ

ยังอ่านไม่จบครับ แต่ประทับใจมาก

ถ้าใครสนใจตอนนี้ที่ Amazon.Com มีลอตใหม่เข้ามาแล้วครับ
ในเมืองไทย ผมยังไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้
รู้สึกคุณมนจะไปเก็บของเลหลังมาจาก B2S นะครับ
แต่ผมไม่ค่อยได้เข้า B2S สักเท่าไหร่ เลยไม่ทราบว่ายังมีอยู่หรือเปล่า

เอาล่ะครับ วันนี้สวัสดีครับ
รอให้อาจารย์ Ayethebing มาบรรยายต่อ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 08, 2004 1:32 pm
โดย VIB007
เมื่อกี้ผมเองครับ ลืมลอกอิน

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 08, 2004 3:48 pm
โดย ayethebing
โอยย ขนาด ซือแป๋วิบูลย์ยังบอกว่าไม่เข้าใจ แสดงว่าเราเองก้อคงไม่เข้าใจอย่างลึกซึ้งพอแน่ๆเลย

ลองอธิบายเป็นตัวอย่างดูดีกว่า

สมมติว่าเราเป็นคนที่มีเงิน 1000 บาท ถ้าเอาไปฝากแบงก์ได้ดอกเบี้ยรายปีร้อยละ 5 เราได้แน่ๆ 50 บาทต่อปีใช่มั้ยครับ

ถ้ามีคนมาชวนเราลงทุนเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยว ลงทุน 1000 บาทเหมือนกัน เอาเป็นว่าได้กำไรแน่ๆ เราจะไปทำมั้ยถ้าได้ผลตอบแทน 50 บาท

ก็คงไม่ทำใช่ปล่าว เพราะ นอนอยู่เฉยๆ ให้เงินอยู่ในแบงก์ก็ดีอยู่แล้วนี่

แล้วเท่าไหร่เราถึงจะเอาเงินให้เพื่อนละ

แล้วก็ต้องดูความต้องการของผลตอบแทนที่มากจนกระทั่งคุ้มเสี่ยงใช่มั้ยครับ เช่นถ้าเราไว้ใจเพื่อนคนนี้ เคยชิมก๋วยเตี๋ยวเค้าแล้ว อืม ใช้ได้ ลูกค้าก็มีหลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมา ไม่ต้องไปขึ้นกับคนงานของร้านขายอะไหล่รถซึ่งไม่รู้จะย้ายไปเมื่อไหร่ วัตถุดิบก็ไม่ผูกขาดกับเจ้าเดียว แต่มีเจ้าประจำเป็นการสำรองเอาไว้แล้ว ตีถัวๆ แล้วถ้าได้ผลตอบแทนซัก 100 บาทก็พอจะคุ้ม คิดเป็นร้อยละ 10 ของเงินลงทุน

ฮา ลงทุนครั้งแรก กำไรได้ไปซะ 200 บาทต่อปี happy ทั้งเพื่อนและเราเองเลยใช่ป่าว กิจการอย่างนี้มีใครมาขอเซ็งลี้ที่ 1000 บาทเราก็คงไม่ให้แล้ว คงต้องขอซัก 2000 บาทครับ อิอิ ได้กำไรแบบเข็มขัดยาว (เกินคาด) ตั้ง 2 เท่า เงินลงทุนตอนแรกก็ต้องเป็น 2 เท่าเหมียนกัน

ทีนี้ได้ใจครับ เพื่อนก็เลยบอกจะขยายสาขา ต้องใช้เงินอีก 500 บาทครับ

กระบวนการคิดก็ต้องเหมือนที่เราจะลงเงินครั้งแรกใช่มั้ยครับ ถ้าผลตอบแทนต่ำกว่าร้อยละ 10 อั้วะก็ไม่ลง ถ้ามากกว่าเราก็ลง

ดังนั้นถ้าเพื่อน & co (คือเราเอง) ยังขายก๋วยเตี๋ยวแล้วได้กำไรมากกว่าร้อยละ 10 ของเงินที่ลงไป การลงทุนเพิ่มก็จะยิ่งสร้างความร่ำรวยให้กับเรา แต่ถ้าไม่ มันก็ไม่คุ้มกับความเสี่ยง เอาเงินไปฝากแบงก์กินดอกซะบายกว่าครับ

เฮ้อ เขียนไปชักหิว ไปหาก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื่อหร่อยๆ กินดีกว่า

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 09, 2004 3:54 pm
โดย VIB007
พอดีไม่ถนัดเรื่อง Economic Profit นะครับ
เพราะไม่ได้ศึกษามา เลยขอเป็นผู้ฟังไปก่อน

ถ้าพูดถึงเรื่องการหามูลค่าหุ้น

จากประสบการณ์ของผมในการหามูลค่าพบว่า
วิธีการต่างๆที่เคยบอกไว้นั้นมีข้อดีข้อเสียดังนี้

Reproduction Cost of Asset
เป็นวิธีที่ค่อนข้างมีเสถียรภาพ เพราะการหามูลค่าด้วยวิธีนี้ไม่ค่อยแปรปรวนมากนัก
บางบริษัทที่ผมลงทุนก็ใช้การหามูลค่าด้วยวิธีนี้
และใช้ได้ผลดี
โดยหาว่าถ้าเราต้องการตั้งบริษัทใหม่ในธุรกิจเดียวกันต้องใช้เงินทุนเท่าไหร่

แต่ข้อเสียก็คือ ไม่ได้คิดถึงการนำทรัพย์สินนั้นไปทำมาหากำไรอะไรเลย
เรียกว่าเป็น Defensive Strategy จริงๆ

ดังนั้น หุ้นที่น่าใช้วิธีนี้มากก็คือ หุ้นก้นบุหรี่ทั้งหลายที่ไม่ได้ต้องการถือยาวๆๆๆ
หรือ หุ้นที่มีทรัพย์สินซ่อนเร้นมากๆ
ในทางเทคนิคเรียกว่า หุ้นจำพวก Asset Play ทั้งหลาย

นักลงทุนที่ชื่นชอบวิธีนี้ก็คือ Michael Price, Mario Gabrielli ต้นตำรับเจ้าพ่อAsset Play
จนคุณน้า Lynch เลยนึกว่า การลงทุนแบบ Value คือ หาหุ้นที่มี Hidden Asset มากๆ หาอ่านได้ใน Beating the Street

Earning Power Value
ข้อดีก็คือ ไม่ต้องเดาอนาคตของบริษัท
ว่ากันมาเลยว่า พวกมีต้นทุนทางการเงินกันอย่างไร แล้วหากันออกมาเลย

ผมเคยใช้วิธีนี้หามูลค่าหุ้นเหมือนกัน
ปรากฏว่า มีหลายค่ามาก จนตัวเอง.....งง

เคยเห็นคุณมนแสดงการหามูลค่าของ NPC ไว้
จำไม่ได้แล้วว่ากระทู้ไหน หรือในกระทู้นี้ก็ไม่รู้
ดีมากเลยครับ

คุณมนช่วยเอามาแปะที่นี่อีกทีได้มั๊ยครับ ผมหาไม่เจอ

ผมว่าสุดยอดนักลงทุนที่ใช้วิธีนี้ก็คือ อาจารย์ John Neff ของคุณมนนั่นเอง
เพราะอาจารย์เล่นดู P/E อย่างเดียว อย่างอื่นข้าไม่สน

DCF
อันนี้เป็นหลักที่ถูกต้องที่สุดตามหลักของการหามูลค่ากิจการ
เรียกว่า ถูกต้องตามตำราโหงวเฮ้งทุกประการ

แต่เดี๋ยวก่อน...........

ถ้าใครทำนายอนาคตบริษัทผิด
การหามูลค่าก็จะผิดตามไปด้วย
เพราะต้องคำนวณไปจนตลอดอายุของบริษัท

หลักการนี้ นักลงทุนสมัยใหม่ใช้กันแพร่หลาย
ทั้ง Warren Buffet , Bill Miller หรือคนอื่นๆ

ไม่รู้ว่าเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนหรือเปล่านะครับ
หรือ เอาเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ (เพราะมุขหมด)

เอาล่ะ ตอนนี้ ลงมือทำการบ้านกันได้แล้ว
หุ้นดีๆราคาไม่แพงเยอะ ตลาดสดกำลังมีเทศกาลเลหลังอยู่ครับ
ยิ่งตลาดซบๆแบบนี้ เป็นโอกาสดีที่มีเวลาในการเลือกหุ้นมากๆ
ไม่ต้องไปแย่งของกับชาวบ้าน
เหมาะกับ VI เป็นอย่างยิ่ง

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 09, 2004 6:16 pm
โดย Wvix can't log in
ขอบคุณพี่ Ayethebing มากๆครับ
ตอนนี้ผมกำลังปู Basic พื้นฐานให้แน่นๆอยู่ ครับ เฮียวิบูลย์
แต่ก็เข้ามาอ่านกระทู้อยู่เรื่อยๆครับ
ผมอยากให้บรรยากาศในกระทู้นี้เหมือนตอนช่วยต้นๆของกระทู้จังเลยครับ
แลกหมัดกันระหว่างยอดฝีมือใน Tvi สนุกได้ความรู้ดีครับ