หน้า 32 จากทั้งหมด 160

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 09, 2004 9:47 pm
โดย ayethebing
ครับ วิธี economic profit เป็นอีกทางเลือกนึงที่ผมเห็นว่าเข้าใจได้ไม่ยากนักและสามารถนำเอา financial ratio ต่างๆ ที่เราคุ้นเคยกันมา link กับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ครับ ซึ่งผมจะได้กล่าวต่อไปในตอนที่พูดถึง ROIC tree

VIB007 wrote :
อ้อ ใครสนใจการหามูลค่าที่แท้จริง
บทความนี้เลยครับ ส่งเข้ามาโดยคุณสุรชัย ชีพเจริญรัตน์
ผมว่ามีประโยชน์มาก
ลองดูได้เลยครับ
ลองดูแล้วครับเค้าใช้วิธี FCF หรือ DCF ตาม วอร์เรน ครับ แต่ระวังนิดนึงครับ ว่า FCF จาก operation หักด้วย net investment ที่กลายเป็น owner earning เป็นของคนสองกลุ่มนะครับคือ เจ้าหนี้และผู้ถือหุ้นครับ ต้องแบ่งเค้กกันก่อน

ยังต้องใช้เวลาเขียนอีกสักพักครับ เรื่อง ROIC tree สูตรของ ROIC อย่างที่เราๆ รู้กันอยู่ครับคือ

ROIC = NOPLAT / Invested capital

เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังต่อถึงองค์ประกอบแต่ละตัวครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 10, 2004 11:25 am
โดย chatchai
ผมเลยชอบลงทนในบริษัทที่ไม่มีเจ้าหนี้ไงครับ FCF จะได้ไหลมาถึงผมอย่างเต็มที่

และที่บอกว่าการวิเคราะห์ด้วย DCF นั้นมีตัวแปรในการคำนวณมาก เพราะไม่มีใครร้อนาคต เราจึงต้องใช้ค่าตัวแปรในการคำนวณแบบ Conservative และราคาห้นต้องมี Margin of Safety เผื่อไว้กันพลาดไงละครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 10, 2004 11:45 am
โดย ayethebing
ผมเลยชอบลงทนในบริษัทที่ไม่มีเจ้าหนี้ไงครับ FCF จะได้ไหลมาถึงผมอย่างเต็มที่

และที่บอกว่าการวิเคราะห์ด้วย DCF นั้นมีตัวแปรในการคำนวณมาก เพราะไม่มีใครร้อนาคต เราจึงต้องใช้ค่าตัวแปรในการคำนวณแบบ Conservative และราคาห้นต้องมี Margin of Safety เผื่อไว้กันพลาดไงละครับ
เห็นด้วยล้านเปอร์เซนต์ เลยคร้าบบบบบบ

ผมเองก็ไม่เก่ง FCF มากนักหรอกครับก็เลยมีข้อสงสัยใน model ของ FCF อยากถามนะครับ

ผมเคยทำเล่นๆ ว่า ถ้าบริษัทลงทุนเพิ่มโดยเอากำไรสะสมมาใช้ ปรากฎว่ายิ่งreinvestment rate มากๆ FCF ยิ่งน้อยลง แต่ในระยะยาวจะมากกว่า เมื่อคำนวน NPV แล้ว ถ้าใช้เวลา forecasting สั้นๆ จะได้ค่าน้อยกว่าการไม่ลงทุนเลย ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร เช่น 10 ปีถึงจะได้ค่า npv ที่มากกว่า

ไม่ทราบว่าคุณ chatchai เคยเจอแบบนี้ในการวิเคราะห์มั้ยแล้วมีวิธีดูยังงัยครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 12:24 am
โดย บุคคลทั่วไป
ขอถามเรื่อง Debt free company หน่อยครับว่าเมื่อเทียบประโยชน์ของการเป็นหนี้ในระดับที่เหมาะสมคือ
1. เป็น Tax shield ตอนที่บ.ไม่มีขาดทุนสะสม
2. ช่วยให้ต้นทุนทางการเงิน (WACC) ต่ำลง เนื่องจาก Kd น้อยกว่า Ke
3. เป็น Gearing ช่วยเพิ่ม ROE

กับบ.ที่เป็น Debt free ที่แสดงความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน และ earning & risk ตกอยู่กับเจ้าของเพียงผู้เดียว

ไม่ทราบว่าบริษัทไหนมี Policy ที่ได้เปรียบกว่ากันครับ

สำหรับผม ผมมองว่าการมีหนี้บ้างในระดับที่เหมาะสม ขึ้นกับธุรกิจก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เสียหายมิใช่หรือครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 10:15 am
โดย ayethebing
ผมว่าสิ่งที่หนี้สินทำประโยชน์เพียงอย่างเดียวในแง่ของการเงินคือ ข้อแรกเท่านั้นครับ คือ tax shield

ส่วนข้อที่ 2 และ 3 นั้นการมีหนี้มากน้อยไม่เกี่ยวครับ

M&M (Modigliani and Miller) ปรมาจารย์การเงินสองท่านกล่าวไว้ว่า ในบริษัทที่ไม่ต้องเสียภาษี ต้นทุนการเงินจะเท่าเดิมไม่ว่าจะมีอะไรในโครงสร้างการเงิน

เหตุผลก็คือ ในการที่เราเพิ่มหนี้เข้าไป ถึงแม้จะเพิ่มสัดส่วนหนี้ที่มีค่า kd ต่ำกว่า ตาม weighted average มันก็น่าจะทำให้ WACC ลด แต่สิ่งที่เกิดก็คือตัวต้นทุนทางการเงินทางฝั่งผู้ถือหุ้น ke ก็เพิ่มตามไปด้วย เพราะมีความเสี่ยงของการผันแปรกำไรที่จะกลับมาที่ผู้ถือหุ้นมากขึ้น

ดังนั้นการที่มี ROE สูงก็จะไม่มีประโยชน์เพราะมีต้นทุน ke ที่แพงขึ้นตามไปด้วย

ในโลกของการเสียภาษีของบริษัท การมีหนี้จะสามารถทำให้เราเพิ่มค่าใช้จ่ายได้โดยดอกเบี้ยจากการจ่ายหนี้จะมีต้นทุนที่ลดลงเพราะสามารถนำไปหักกับภาษี ดังนั้นการมีหนี้มากจะทำให้ WACC ลดลงได้ แต่มากไปก็จะทำให้ความเสี่ยงสูงเกินไปจนทำให้ผู้ถือหุ้นรับกับความเสี่ยงนั้นไม่ได้ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 11:26 am
โดย นักดูดาว
บริษัทไม่มีหนี้ ไม่มีวันล้มละลาย

-ปีเตอร์ ลินช์

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 6:06 pm
โดย tor2tor
Anonymous เขียน: อ้อ ใครสนใจการหามูลค่าที่แท้จริง
บทความนี้เลยครับ ส่งเข้ามาโดยคุณสุรชัย ชีพเจริญรัตน์
ผมว่ามีประโยชน์มาก
ลองดูได้เลยครับ

http://www.thaivalueinvestor.com/invest ... _thai.html
เข้าไปอ่านแล้วมีข้อสงสัยครับ ไม่ต้องรอคนเขียน เอาในนี้ดีกว่าครับ ผมสงสัยว่าทำไมใช้ discount rate ต่ำจัง (5%) คือใช้ดอกเบี้ยของ federal bond (ซึ่งความเสี่ยงต่ำมาก) จริง ๆ ควรใช้ cost of capital ของบริษัท (หรือผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการ?) ไม่ใช่หรือครับ cost of capital น่าจะมากกว่า 5%

แค่เอาแค่ discount rate ที่ 6% ค่า intrinsic value (ซึ่งส่วนใหญ่ 90% เป็น terminal value) ลดลงกว่า ครึ่ง :shock: (ที่ 5% ตัวหารหาค่า terminal ที่ปีที่ 11 = 1%, ที่ 6% ตัวหารหาค่า terminal ที่ปีที่ 11 = 2% ) ถ้ายิ่ง 7 - 8 % ยิ่งลงไปอีกมาก จะเห็นว่า sensitivity สูงมาก และ cost of capital ก็น่าจะไม่คงที่ตลอด 10 -20 ปี จริงน่าจะใช้ค่าเฉลื่ยได้ แต่ sensitivity สูงขนาดนี้ ควรจะใช้ค่าอะไรละครับ :?

มือใหม่คร๊าบ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 7:42 pm
โดย chatchai
ตอบผ้เยี่ยมชมครับ

วิธีคัดเลือกบริษัทของผมนั้น ผมไม่ได้คำนึงถึงกำไรสทธิ หรือ EPS ครับ

ผมคำนึงถึง FCF ที่หักเงินก้ที่ต้องชำระมากกว่าครับ

ดังนั้นบริษัทที่มีเงินก้ ถ้าพิจารณาจากกำไรสทธิต่อห้น หรือ ROE ก็จะมากกว่าบริษัทที่ไม่มีหนี้ แต่ผลตอบแทนที่ได้ต่อผ้ถือห้นในแง่เงินปันผลหรือเงินสดที่เหลือในบริษัทนั้นอาจจะลดน้อยกว่า เพราะต้องนำเงินสดที่ได้ไปชำระหนี้เงินก้ก่อน

การลงทนนั้น คณต้องการอะไรมากกว่ากัน ระหว่างกำไรสทธิซึ่งเป็นตัวเลขทางบัญชี กับ เงินสดที่เป็นเงินสดๆแต่งบัญชีกันไม่ได้ครับ ลองถามคนทำธรกิจดอาจได้คำตอบครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 9:28 pm
โดย raruen
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน

วันนี้มาถามเรื่องศัพท์ครับ
tenbagger นี่มีความหมายตรงตัวว่ายังไงเหรอครับ
ผมอ่านแล้วฉงนนัก

ขอบพระคุณครับ. ^__^

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 9:33 pm
โดย ayethebing
chatchai wrote:
การลงทนนั้น คณต้องการอะไรมากกว่ากัน ระหว่างกำไรสทธิซึ่งเป็นตัวเลขทางบัญชี กับ เงินสดที่เป็นเงินสดๆแต่งบัญชีกันไม่ได้ครับ ลองถามคนทำธรกิจดอาจได้คำตอบครับ
อยากให้บริษัทขาดทุนทุกปีแต่มีเงินสดจ่ายเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้นแบบไม่ต้องกู้อะครับ

raruen wrote:
วันนี้มาถามเรื่องศัพท์ครับ
tenbagger นี่มีความหมายตรงตัวว่ายังไงเหรอครับ
ผมอ่านแล้วฉงนนัก
แปลว่าหุ้นที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้ 10 เท่าครับ เฮ้อ ยังไม่มีเลยอะ รอครับ รอ ตอนนี้มีแค่ threebagger ครับจากเวลา 4 ปี อิอิ มหัศจรรย์แห่งการทบต้นครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 12:34 pm
โดย VIB007
Wvix can't log in เขียน:ขอบคุณพี่ Ayethebing มากๆครับ
ตอนนี้ผมกำลังปู Basic พื้นฐานให้แน่นๆอยู่ ครับ เฮียวิบูลย์
แต่ก็เข้ามาอ่านกระทู้อยู่เรื่อยๆครับ
ผมอยากให้บรรยากาศในกระทู้นี้เหมือนตอนช่วยต้นๆของกระทู้จังเลยครับ
แลกหมัดกันระหว่างยอดฝีมือใน Tvi สนุกได้ความรู้ดีครับ
ผมเลิกออกท่องยุทธจักรเพื่อปะทะฝีมือแล้วครับ
ตอนนี้"เฝ้าถ้ำ"อย่างเดียว
จริงๆอยากจะหยุดพักผ่อนสักระยะ
เพื่อจะได้มีเวลาคิดทบทวนไตร่ตรองอะไรในชีวิตให้มากขึ้น
ถ้ามีท่านใดถามคำถามเข้ามา
ต้องขอแรงซือเฮียทั้งหลายช่วยกันตอบด้วยนะครับ

ผมฝากให้ท่าน Ayethebing เป็น ดีเจ แทนไปก่อนนะครับช่วงนี้
ไม่ทราบว่าบริษัทไหนมี Policy ที่ได้เปรียบกว่ากันครับ

สำหรับผม ผมมองว่าการมีหนี้บ้างในระดับที่เหมาะสม ขึ้นกับธุรกิจก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เสียหายมิใช่หรือครับ
ถ้าถามว่าใครได้เปรียบกว่ากันคงตอบยาก
เหมือนบอกว่า อั๊ม พัชรา กับ กบ สุวนันท์ ใครสวยกว่ากันนั่นแหละ
อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคนใช่มั๊ยครับ
บางคนบอก อั๊ม สวยกว่า ทำตัวเซ็กซี่กว่า
บางคนบอก กบ น่ารักกว่า เห็นแล้วสบายใจ ไม่คิดอะไรมากเหมือนเห็นอั๊ม

สำหรับผม
เรื่องหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย
ถ้าผู้บริหารสามารถควบคุมมันได้
และมั่นใจว่ากระแสเงินสดเพียงพอที่จะจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นได้ในระยะเวลาอันสั้น

แต่หนี้ที่มากเกินไปก็จะทำให้บริษัท"ล้มละลาย"ได้
ดังที่เกิดมาแล้วมีตัวอย่างให้เห็นมากมาย

เดินทางสายกลางดีที่สุดครับ
เข้าไปอ่านแล้วมีข้อสงสัยครับ ไม่ต้องรอคนเขียน เอาในนี้ดีกว่าครับ ผมสงสัยว่าทำไมใช้ discount rate ต่ำจัง (5%) คือใช้ดอกเบี้ยของ federal bond (ซึ่งความเสี่ยงต่ำมาก) จริง ๆ ควรใช้ cost of capital ของบริษัท (หรือผลตอบแทนที่ผู้ลงทุนต้องการ?) ไม่ใช่หรือครับ cost of capital น่าจะมากกว่า 5%

แค่เอาแค่ discount rate ที่ 6% ค่า intrinsic value (ซึ่งส่วนใหญ่ 90% เป็น terminal value) ลดลงกว่า ครึ่ง (ที่ 5% ตัวหารหาค่า terminal ที่ปีที่ 11 = 1%, ที่ 6% ตัวหารหาค่า terminal ที่ปีที่ 11 = 2% ) ถ้ายิ่ง 7 - 8 % ยิ่งลงไปอีกมาก จะเห็นว่า sensitivity สูงมาก และ cost of capital ก็น่าจะไม่คงที่ตลอด 10 -20 ปี จริงน่าจะใช้ค่าเฉลื่ยได้ แต่ sensitivity สูงขนาดนี้ ควรจะใช้ค่าอะไรละครับ

มือใหม่คร๊าบ
อันนี้หละครับเป็นความน่าสนใจของ DCF
การเปลี่ยนตัวแปรไม่กี่ตัว อาจจะทำให้มูลค่ากิจการที่ได้แตกต่างกันอย่างมหาศาล
ลองทำดูแล้วจะรู้ครับ

เรื่อง Discount Rate เป็นเรื่องโลกแตกครับ
ผมบอกได้เลยว่า ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับค่านี้
บางคนใช้ WACC
บางคนใช้ Cost of Capital
บางคนใช้ Interest Rate
บางคนใช้ Prime Rate
บางคนใช้ ฯลฯ

ของอย่างนี้มันต่างจิตต่างใจ
ว่ากันไม่ได้ครับ
อย่างที่คุณสุรชัยใช้นั้น ก็เพราะคุณสุรชัยพอใจกับ Discount Rate แค่นี้
ใช้แล้วมูลค่าออกมาไม่เวอร์ ดูแล้วเหมาะสมก็ใช้ได้ครับ

อย่างที่เคยบอกไว้หละครับ
มูลค่าที่แท้จริงไม่ใช่ตัวเลขตายตัวตัวเดียว
ดังน้น ลองใช้ Discount Rate หลายๆค่า
ทำเป็น Sensitivity ไว้ดีที่สุดครับ
สวัสดีครับพี่ๆทุกท่าน

วันนี้มาถามเรื่องศัพท์ครับ
tenbagger นี่มีความหมายตรงตัวว่ายังไงเหรอครับ
ผมอ่านแล้วฉงนนัก

ขอบพระคุณครับ
นอกจาก Tenbagger แล้ว ยังมี
Twobagger
Threebagger
Fourbagger
Fivebagger
......bagger อีกด้วยครับ

ก็ราคาหุ้นขึ้นไปกี่เท่าก็เท่านั้น bagger ละครับ
น้าปีเตอร์ ลินซ์ ชอบใช้บ่อยๆ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 1:29 pm
โดย tor2tor
ถ้า discount rate สร้างความหวือหวาได้มากขนาดนี้ เราควรใช้วิธีอื่นหา เพื่อประกอบการตัดสินใจไช่ไหมนะครับ ผมกำลังอ่านหนังสือ Value Investing From Graham to Buffet .... ของ Bruch Greenwald เขาไม่ค่อยชอบ DCF เพราะ ทำนาย FCF ยากและการกำหนด discount rate ก็ทำให้เกิด ความปรวนแปรของผล (และ Terminal value) สูง เขาแนะนำให้ใช้ EPV (และ Reproduction cost of asset) แต่ต้องผ่านการ Adjust อย่างมาก คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 2:17 pm
โดย VIB007
เจ็กต่อ เขียน:ถ้า discount rate สร้างความหวือหวาได้มากขนาดนี้ เราควรใช้วิธีอื่นหา เพื่อประกอบการตัดสินใจไช่ไหมนะครับ ผมกำลังอ่านหนังสือ Value Investing From Graham to Buffet .... ของ Bruch Greenwald เขาไม่ค่อยชอบ DCF เพราะ ทำนาย FCF ยากและการกำหนด discount rate ก็ทำให้เกิด ความปรวนแปรของผล (และ Terminal value) สูง เขาแนะนำให้ใช้ EPV (และ Reproduction cost of asset) แต่ต้องผ่านการ Adjust อย่างมาก คิดอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ
สงสัยคุณเจ๊กต่อจะชอบชอปปิ้งนะครับ
เพราะเห็นสัญลักษณ์เป็นกระเป๋า

ความเห็นของผมเรื่องนี้นะครับ
ไม่ต้องไปค้นหาหาวิธีอื่นที่พิสดารอะไรหรอกครับ
เพียงแต่ใช้วิธีที่เราถนัดที่สุดก็เพียงพอแล้ว

การใช้ EPV และ Reproduction Cost
ไม่ได้ใช้ Growth ของธุรกิจมาใช้ในการคำนวณ
ซึ่งเป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของวิธีนี้

จุดแข็งคือ การที่ไม่ได้นำการเติบโตมาคำนวณ
ดังนั้นก็ไม่มีความคาดหวังกับผลประกอบการในอนาคตกับมูลค่าของกิจการที่หาด้วยสองวิธีนี้

ทำให้เกิดจุดอ่อน คือ
ไม่สามารถหามูลค่าของกิจการที่มีอัตราการเติบโตสูงได้ดีเพียงพอ
ซึ่ง DCF จะให้ผลได้ใกล้เคียงกับความจริงมากกว่าในกรณีนี้

ส่วนตัวผม ผมจะใช้วิธีไหนขึ้นกับธุรกิจที่ผมจะลงทุนครับ

DCF ก็เคยใช้ แล้วก็คำนวณผิดพลาดมาแล้ว
EPV ก็เคยใช้ แล้วก็"ขายหมู"มาแล้ว
Reproduction Cost ก็เคยใช้ แล้วหุ้นก็ไม่ขยับอยู่นานแสนนาน

ผมว่า"การลงทุน"มันสนุกตรงนี้หละ
ตรงที่ ไม่มีใครทำนายอนาคตได้ถูกต้อง 100% สักคนเดียว
แถมต้อง"ท้าทาย"กับอำนาจมืดในตัวเราอีก ทั้ง"ความโลภ" และ "ความกลัว"

ส่วนอาเฮียท่านอื่นๆเห็นเป็นอย่างไรก็ว่ากันมาได้เลยนะครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 4:35 pm
โดย ayethebing
ผมเห็นด้วยกับซือแป๋วิบูลย์ทุกประการ สรุปว่าใครชอบแบบไหนใช้แบบนั้นคับ ไม่มีใครผิดถูก

การหามูลค่ากิจการนั้นผมมองว่ามันเป็นแค่การเดาอย่างมีหลักการเท่านั้น พยายามโยงนู้นโยงนี้ เข้าด้วยกัน เช่น ถ้าจะทายว่าหุ้นปิโตรเคมีเป็นอย่างไร ก็ต้องตั้งสมมติฐานถึงราคาเคมีนั้น ทีนี้จะเอาราคานั้นมาแปลงเป็นราคาหุ้นได้ยังไง อันนี้แหละที่เรามีเทคนิคต่างๆ ขึ้นมา

ที่ผมชอบวิธี economic profit เพราะผมคิดว่าเป็นวิธีที่เข้าใจได้ไม่ยากนัก และสามารถเชื่อมโยงพวกอัตราส่วนทางการเงินง่ายๆ ให้เข้ากับมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ (ทำได้เช่นกันใน FCF แต่จะยุ่งยากกว่าหน่อย) อัตราส่วนทางการเงิน อย่างที่ทราบๆ กันว่ามันสามารถเป็นเครื่องมือวัดประสิทธิภาพการดำเนินงานได้อย่างดี และสามารถใช้ในการเปรียบเทียบได้ถ้าใช้ให้ถูกหลัก

อันนี้ก็เลยมาพูดต่อถึง ROIC tree ที่จะเชื่อมโยงมูลค่ากิจการกับประสิทธิภาพในการดำเนินการของกิจการที่แสดงผ่านอัตราส่วนทางการเงินครับ

ROIC คือส่วนของผลตอบแทนกับ invested capital ซึ่งถ้าเราจะแตกออกมาเป็น 2 ส่วนซึ่งก็คือ Pretax ROIC กับ cash tax rate ก็จะได้สูตรอย่างงี้ครับ

ROIC = Pre Tax ROIC X (1 - Cash Tax Rate)

ที่ต้องคิด pre tax ROIC ก็เพราะเราจะต้องการลบผลของโครงสร้างทางการเงินของบริษัทไปก่อนครับเพื่อจะหาว่าผลงานของธุรกิจที่ได้จากฝีมือการดำเนินงานล้วนๆ เป็นเท่าไหร่ เรื่องวิธีการหาเงินมาลงทุนนะ ผมเชื่อ M&M นะว่ามันบ่เกี่ยวกับมูลค่ากิจการ

เจ้า pre tax ROIC จะหามาได้จาก EBIT (Earning Before Interest and Tax) หารด้วย Invested Capital

Pretax ROIC = EBIT / Invested Capital

ทีนี้เรามาแตก pre-tax ROIC อีกจะสามารถแตกออกได้เป็นสององค์ประกอบอีกครับ คือ

Pre Tax ROIC = EBIT / Revenue X Revenue / Invested Capital

ส่วนแรกจะแสดงถึงอัตรากำไรขั้นต้นว่ากันง่ายๆ ว่าถ้าได้รายได้มาบาทนึงจะได้กำไรออกมาเท่าไหร่ก่อนที่จะมาจ่ายดอกเบี้ยและภาษี และ ส่วนที่สองคือ อัตราส่วนการหมุนสินทรัพย์ ที่แสดงว่าในเงินลงทุน 1 บาทที่ลงไปมันสามารถสร้างรายได้ออกมาได้กี่บาท

เริ่มคุ้นๆ กับอัตราส่วนทางการเงินมั้ยครับ ทีนี้ถ้าจะแตกให้เป็นรายละเอียดมากขึ้นไปอีกในส่วนของอัตรากำไรขั้นต้นก็จะแตกได้อย่างงี้ครับ

EBIT / Revenue = 1 - COGS / Revenue - SG&A / Revenue - Depreciation / Revenue

เราก็จะสามารถบอกได้อีกว่าอัตราส่วนของต้นทุนขายก่อให้เกิดมูลค่าที่แท้จริงกี่บาทครับ เช่นถ้าผมสามารถลดต้นทุนขายผมได้ 1% ผมก็จะคำนวนย้อนกลับได้ว่า ROIC ผมจะเพิ่มกี่เปอร์เซนต์ และ ทำให้ตัวขับมูลค่าตัวแรกมีค่าเพิ่มขึ้นครับ ตามสมการ economic profit ครับ

Economic Profit = (ROIC - WACC) X Invested capital

ลองมาแตกองค์ประกอบที่สองดู

Revenue / Invested Capital = 1 /
(Op. Working Capital/Revenue + Fixed Asset/Revenue)

Op. Working Capital ก็คือ พวกสินค้าคงคลัง ยอดลูกหนี้ที่หักเจ้าหนี้แล้ว สินทรัพย์หมุนเวียนอื่นๆ หักด้วย หนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ ที่ไม่ได้ก่อให้เกิดดอกเบี้ย อันนี้ถ้าจะแตกอีกก็แตกได้ครับ เช่นถ้ายอดหมุนสินค้าคงคลัง (Inventory / sales) ลดลง ก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพในการหมุนของสินทรัพย์มากขึ้น ROIC ก็เพิ่มขึ้น และ ในที่สุด มูลค่ากิจการก็เพิ่มตามสมการ ของ economic profit อีกครั้งครับ

Economic Profit = (ROIC - WACC) X Invested capital

แหมอยากเอารูปขึ้นเป็นจังใครสอนหน่อยสิ จะเอาโมเดลที่อธิบายได้ดีกว่าคำพูดเอามาให้ดูครับ

งวดหน้าจะมาพูดถีง NOPLAT และ Invested capital ว่ามาได้งัยครับ

ป.ล. เขียนไปก็สงสัยไปว่ามีคนอ่านและอ่านรู้เรื่องมั้ยเนี่ย PM มาบอกได้นะครับ ถ้าอยากให้หยุดเขียน :(

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 5:00 pm
โดย tk
อย่า......อย่าหยุดเขียนครับ ขอร้องงงง

ตอนนี้บอกตรงๆว่าไม่รู้เรื่องครับ :(

กำลังอ่านหนังสือ ผมคิดว่าจะมาอ่านย้อนหลังน่าจะเป็นประโยชน์มากๆ ต้องฝึกวิชาอีกเยอะครับ 8)

ขอบคุณทุกท่านมากๆที่สละเวลามาให้ความรู้ครับ :D :D

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 5:13 pm
โดย VIB007
Ayethebing เขียน:งวดหน้าจะมาพูดถีง NOPLAT และ Invested capital ว่ามาได้งัยครับ

ป.ล. เขียนไปก็สงสัยไปว่ามีคนอ่านและอ่านรู้เรื่องมั้ยเนี่ย PM มาบอกได้นะครับ ถ้าอยากให้หยุดเขียน
อ้าว ยังไม่จบเลยครับ เลิกได้ยังไง
เขียนต่อเถอะครับ
อย่างน้อยก็มีผมอ่านอยู่หนึ่งคน อิ อิ
ไม่ต้องกลัวว่ารู้เรื่องหรือไม่รู้เรือง
ถ้าใครไม่เข้าใจก็ถามอาจารย์Ayethebing ได้ตลอดเวลานี่ครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 12, 2004 8:35 pm
โดย tor2tor
VIB007 เขียน: สงสัยคุณเจ๊กต่อจะชอบชอปปิ้งนะครับ
เพราะเห็นสัญลักษณ์เป็นกระเป๋า
อยากบอกว่าไม่ชอบชอปปิ้งเลยครับ แต่กำลังหัดชอปปิ้งหุ้นอยู่ และกำลังหา ten bagger ที่แสดงอยู่นั้นคือ baggers ที่เล็งไว้ แต่ยังอยู่บนฟ้านะครับ

ยิ่งหาความรู้มากเท่าไร ยิ่งรู้สึกเหมือนการหามูลค่ากิจการเป็นศิลป์ และ การเดาอย่างมีหลักการ เหมือนคุณ VIB007 และ ayethebing บอก แต่ก็จะศึกษาต่อและเอาจากในนี้ด้วย แล้วจะมาถามใหม่ ขอบคุณครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มี.ค. 14, 2004 8:48 pm
โดย thanwa
เรืองยากๆ นี่เหมาะสำหรับคุณ aye กะคุณวิบูลย์จริงๆ
ผมก็บายนะครับ...

ขออนุญาติถามความคิดเห็นคุณวิบูลย์บ้างดีกว่า
คือว่า เป็นฟังมาจากท่านหนึ่งที่ว่า
สินค้าอะไรก็ตามที่มี market share สูงกว่า 65% แล้ว
โอกาสที่จะ expect growth จากบริษัทนั้นก็มีได้ไม่มาก

ความจริงในเชิงของ value investment เนี่ยะ
เราต้องการสินค้าที่มี market share สูง เป็นเจ้าตลาด
ดังนั้น เราคงต้องเลื่อกกิจการที่เป็นเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมที่ดีการเติบโตต่อเนื่องด้วยผลประกอบการจึงจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

หุ้นเป๊ปซี่ หรือมาม่า นี่น่าอยู่ในข่ายเหมือนกันนะครับ
เป็นเจ้าตลาด แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมที่มีอัตราไม่สูงมากนัก
โอกาสที่จะ report 10% นี่น่าจะน้อยมาก
คือนอกจากอุตสาหกรรมไม่โตแล้ว ยังมีโอกาสที่จะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วย

คุณวิบูลย์หรือเพื่อนๆ เห็นกิจการอะไรในตลาดหลักทรัพย์ซื่งอยู่ภาวะดังกล่าวบ้าง จะได้คิดให้ดีก่อนทีจะเข้าลงทุนนะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 15, 2004 10:09 am
โดย ayethebing
พี่ธันวาครับ

คงจะจริงในแง่ว่า ถ้าบริษัทนั้นไม่สามารถเจาะตลาดนั้นเพิ่มได้เนื่องจากเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้ว ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็จะไม่สามารถสร้างการเติบโตอย่างสูงให้กับบริษัท

แต่ผู้บริหารชั้นยอดก็ต้องหาทางทำให้บริษัทเติบโตให้ได้ เช่นการขยายธุรกิจที่ตนเองชำนาญออกไปในตลาดที่ยังไม่ได้เจาะ การเน้น R&D บริษัทเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือแม้แต่ควบคุมต้นทุนเพื่อให้ได้สินค้าที่มี profit margin สูงๆ

ทุกอย่างเป็นความท้าทายของผู้บริหารทั้งนั้น

อย่าง pepsi เมืองนอก เค้าประสบความสำเร็จแซงหน้า โค้ก ได้ไม่ใช่เพราะน้ำดำ และ soft drink แต่เป็นธุรกิจอาหารและ snack ครับ

Marlboro พยายามลงมาธุรกิจอาหารเพราะบุหรี่ที่ตนเองเป็นเจ้าตลาดเริ่มแย่ลง แต่รายนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉีกแนวไปหน่อย

Walmart เริ่มมาเจาะตลาดเอเซีย ที่ญี่ปุ่นและจีน เพราะการเปิดสาขาในอเมริกา เริ่มตีบตัน

ตัวอย่างในเมืองไทย

เสริมสุขพยายามออกสินค้าใหม่ๆ ออกมาเรื่อยๆ แต่ดันไปออกในกลุ่ม soft drink ที่เป็นตลาดอิ่มตัวเลยไม่ค่อยประสบความสำเร็จ

มาม่า ต้องทำกระจายสินค้าเองเพราะต้องการลดต้นทุน

อืม เอาอะไรอีกดีละครับ ทุกๆ ท่านช่วยหน่อยละกัน

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 15, 2004 3:48 pm
โดย VIB007
thanwa เขียน:เรืองยากๆ นี่เหมาะสำหรับคุณ aye กะคุณวิบูลย์จริงๆ
ผมก็บายนะครับ...

ขออนุญาติถามความคิดเห็นคุณวิบูลย์บ้างดีกว่า
คือว่า เป็นฟังมาจากท่านหนึ่งที่ว่า
สินค้าอะไรก็ตามที่มี market share สูงกว่า 65% แล้ว
โอกาสที่จะ expect growth จากบริษัทนั้นก็มีได้ไม่มาก
สวัสดีครับพี่ไก่

เป็นอย่างไรบ้าง ช่วงนี้เห็นเงียบหายไป
สงสัยงานจะเยอะ

ความเห็นที่ว่ามา
ถ้าเป็นอเมริกา ผมขอเถียง
เพราะอย่าง Microsoft หรือ Intel มี market share สูงกว่า 65%
และก็ยังมีการเติบโต growth สูงอยู่ดี
ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า

"สินค้าอะไรก็ตามที่มี market share สูงกว่า 65% แล้ว
โอกาสที่จะ expect growth จากบริษัทนั้นก็มีได้ไม่มาก"

จึงไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

ต้องดูที่ธุรกิจครับ
บางธุรกิจมีอัตราการเติบโตสูง
การมี market share สูง และมี Barrier to Entry สูง
ก็ช่วยให้บริษัทเติบโตได้อย่างไม่น่าเชื่อ
thanwa เขียน:ความจริงในเชิงของ value investment เนี่ยะ
เราต้องการสินค้าที่มี market share สูง เป็นเจ้าตลาด
ดังนั้น เราคงต้องเลื่อกกิจการที่เป็นเจ้าตลาดในอุตสาหกรรมที่ดีการเติบโตต่อเนื่องด้วยผลประกอบการจึงจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ

หุ้นเป๊ปซี่ หรือมาม่า นี่น่าอยู่ในข่ายเหมือนกันนะครับ
เป็นเจ้าตลาด แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมที่มีอัตราไม่สูงมากนัก
โอกาสที่จะ report 10% นี่น่าจะน้อยมาก
คือนอกจากอุตสาหกรรมไม่โตแล้ว ยังมีโอกาสที่จะสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดอีกด้วย

คุณวิบูลย์หรือเพื่อนๆ เห็นกิจการอะไรในตลาดหลักทรัพย์ซื่งอยู่ภาวะดังกล่าวบ้าง จะได้คิดให้ดีก่อนทีจะเข้าลงทุนนะ
ส่วนเมืองไทย ก็มีหลายบริษัทนะครับที่มีmarket share สูงกว่า 65%
แต่ก็ยังมีอัตราการเติบโตสูง เช่น Stanly ก็ยังโตเอาโตเอา
เพราะอุตสาหกรรมรถยนต์มีอัตราการเติบโตสูงมาก
ทั้งการส่งออกและการบริโภคในประเทศ

ส่วนเป๊ปซี่ มาม่า นั้น ผมว่าอุตสาหกรรมอยู่ในช่วงอิ่มตัว
และโอกาสที่จะถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาดก็มีสูง
เพราะเค๊กมันก้อนเท่าเดิม ก็ต้องแย่งกันกินน่ะครับ

อย่างมาม่า ผมว่าต้องสู้กับไวไวจนตายไปข้างนึงละครับ
ต้นทุนก็สูงขึ้นๆแต่ปรับราคาไม่ได้ แย่ไปเลย
แต่มาม่าแทบจะไม่มีสินค้าอื่นทดแทนนะครับ
จะมีก็โจ๊กสำเร็จรูป(แต่กินแทบไม่ลง ลองหรือยังครับ)

นั่นไม่น่าห่วงเท่าเป๊ปซี่ เพราะมีสินค้าทดแทน
ที่ตอนนี้กำลังถูกเครื่องดื่มสุขภาพ
เช่น ชาเขียวแย่งตลาดไปด้วยอย่างมาก
เวลาไปดูที่มินิมาร์ต จะเห็นชาเขียวขายแทบหมดชั้นทีเดียว
ไหนจะติดพันกับการต่อสู้กับโค๊ก
แล้วยังจะต้องมาต่อสู้กับชาเขียวอีก ศึกนี้ใหญ่หลวงนักครับ

สำหรับท่านผู้ถือหุ้นทั้งสองบริษัท
คงไม่สามารถคาดหวังอัตราการเติบโตสูงๆจากหุ้นทั้งสองนี้ได้
แต่ผมว่าทั้งสองบริษัทคงมีปันผลให้ได้เรื่อยๆนะครับ
ถึงแม้จะกำไรลดลง แต่ก็ยัง"กำไร"อยู่
รับปันผลไปทุกครึ่งปี ทุกปีก็น่าจะสบายใจ
ยังไงก็ยังเป็น "ห่านทองคำ"อยู่
แต่ห่านไม่ค่อยโตเท่านั้นเอง

ส่วนราคาหุ้นก็ตามผลกำไรนะครับ
ถ้ากำไรลดลง ราคาหุ้นก็ลดลงไปด้วยตามสัดส่วน

สำหรับท่านที่ยังไม่ได้เป็นเจ้าของ
ถ้าอยากซื้อหุ้นเพื่อ"ปันผล"ไม่สน"Capital Gain" ก็ลงทุนได้ครับ
แต่ถ้าอยากเห็นห่านโตไวๆ คงต้องซื้อตัวอื่นแทน

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 15, 2004 7:58 pm
โดย kotaro
เรียนถามพี่ๆ ทั้งหลายครับ พี่ VIB007 พี่ ayethebing พี่มน พี่ธันวา พี่ปรัชญา

ว่ามีความรู้สึกยังไงกับหุ้นในกลุ่ม cyclical business ครับ เพราะหุ้นในกลุ่มนี้มันต้องมีช่วงขึ้นกับช่วงลง ถ้าจะลงทุนแบบ VI ที่เน้นถือยาว คงไม่เหมาะนะครับ แต่หุ้นในกลุ่มนี้ก็มีหลายตัวมาก เช่น อุตสาหกรรมเคมี เครื่องบิน ขนส่ง เหล็ก โลหะ รวมถึงโรงพยาบาล

คำถามครับ

1 ถ้าจะลงทุนแบบถือยาว หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม cyclical business ดีไหมครับ

2 เห็นในหนังสือบอกว่า วิธีดูว่าอยู่ในจุดไหนของวงจรใน Cyclical business ให้ดู PE ถ้า PE สูง แสดงว่า E ต่ำ น่าจะอยู่ตรง bottom ให้ซื้อ ถ้า PE ต่ำ E สูง น่าจะอยู่ตรง peak ให้ขาย

พี่ๆคิดว่ายังไงครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 15, 2004 8:13 pm
โดย harry
บริษัทหลักทรัพย์ก็เป็น cyclical นะ ตามสภาพเศรษฐกิจด้วย ข่าวคราวต่างๆด้วย ช่วงดีก็ขึ้นมาก ช่วงแย่ก็ตกลงเยอะ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 15, 2004 10:19 pm
โดย Mon money
แฮะๆๆๆ คุณวิบูลย์มีคนถูกชื่อกระทู้หลอกอีกแล้ว ผมว่าเราเปลี่ยนชื่อกระทู้กันดีไหมครับ เอาเป็น "ตะแกรงร่อนหุ้น" เฉยๆดีไหมครับเพื่อนๆ ผมว่าหลายคนโดนหลอกให้เข้ามา บางคนอ่านก่อน บางคนไม่สนใจขอเลย

ไม่มีอะไรให้ทางe-mailเน้อ อยากได้ต้องอ่านเอง
__________________________________________________________

หายไปนานครับ แต่ไม่ได้ไปไหน ก็คุณayeแกทำเอาผมมึนไปหลายวันกับ ECONOMIC PROFITนะซิ กำลังนั่งแกะเพื่อจะถามขยายความอยู่ แต่ความมึนเข้ามากั้นซะก่อนดิ

__________________________________________________________

คุณหมอครับ หุ้นcylicalก็ลงทุนยาวๆได้ครับ แต่ต้องศึกษา(อีกและ)ให้เข้าใจวัฎจักร(วงจรชีวิต)ของมัน จริงๆก็ไม่ยากหรอกครับ ในโลกแห่งการแข่งขันเสรีซึ่งมีตลาดที่แข็งขันสมบูรณ์ เมื่อมีสินค้าใดๆที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ราคาและปริมาณจะถูกกำหนดโดย(นาย)ตลาด(เจ้าเก่า) หากขายดีกำไรมากเพื่อนๆก็จะเอามั่ง เมื่ออกมามากปริมาณเกิดจำเป็น ราคาก็ลง และจะมีผู้ล้มหายตายจาก และก็จะมีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นอีกก็แย่งกันทำกันขายอีกเป็นรอบๆไป เช่นสินค้าเกษตร ปิโตรเคมี รถยนต์ ฯลฯ

ที่สำคัญ ต้องรู้ไว้ว่าตลาดหุ้นเป็นตลาดที่เต็มไปด้วยความหวัง ดังนั้นจะเกิดexpectation และราคาหุ้นจะวิ่งนำการกลับมาและทดถอยของรอบวัฎจักรธุรกิจเสมอครับ โดยเฉลี่ยก็จะเร็วกว่าประมาณ1ปี ถ้าเราเข้าใจวัฎจักรธุรกิจ เราเข้าได้ก่อน expectationของคนหมู่มาก เราจะรวยก่อน และออกทันครับ

สรุปก็คือต้องศึกษา(อีกและ)ให้เข้าใจวัฎจักรธุรกิจ

ตอนนี้ผมสนใจแนวโน้มของธุรกิจสื่อสารที่สุดเลย ขอบอก

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 16, 2004 1:16 pm
โดย ayethebing
โอ้ยแย่แล้วแย่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจผมเลย หนีออกจากบ้านดีก่า

อิอิ ล้อเล่นนะครับ อยากจะ show รูปนะครับ แต่ทำไม่เป็นก็เลยอธิบายตามรูปไม่ได้

แหม แต่เจ้า Economic profit กับ EVA นี่เหมือนกันเชี๊ยะเลยนา

สรุปใหม่อีกทีก็ได้

Value of company = Invested Capital + NPV ของ economic profit ในอนาคต
Economic profit = (ROIC - WACC) X Invested Capital

ผลต่างของผลตอบแทนการลงทุนกับต้นทุนทางการเงินเป็นตัวขับมูลค่าตัวแรก เงินลงทุนที่เป็นฐานเป็นตัวขับมูลค่าตัวที่สองครับ

บริษัทต้องทำให้ spread ซึ่งเป็นตัวขับตัวแรกเป็นบวกก่อนที่จะคิดขยายการลงทุน

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 16, 2004 3:10 pm
โดย VIB007
kotaro เขียน:เรียนถามพี่ๆ ทั้งหลายครับ พี่ VIB007 พี่ ayethebing พี่มน พี่ธันวา พี่ปรัชญา

ว่ามีความรู้สึกยังไงกับหุ้นในกลุ่ม cyclical business ครับ เพราะหุ้นในกลุ่มนี้มันต้องมีช่วงขึ้นกับช่วงลง ถ้าจะลงทุนแบบ VI ที่เน้นถือยาว คงไม่เหมาะนะครับ แต่หุ้นในกลุ่มนี้ก็มีหลายตัวมาก เช่น อุตสาหกรรมเคมี เครื่องบิน ขนส่ง เหล็ก โลหะ รวมถึงโรงพยาบาล

คำถามครับ

1 ถ้าจะลงทุนแบบถือยาว หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม cyclical business ดีไหมครับ

2 เห็นในหนังสือบอกว่า วิธีดูว่าอยู่ในจุดไหนของวงจรใน Cyclical business ให้ดู PE ถ้า PE สูง แสดงว่า E ต่ำ น่าจะอยู่ตรง bottom ให้ซื้อ ถ้า PE ต่ำ E สูง น่าจะอยู่ตรง peak ให้ขาย

พี่ๆคิดว่ายังไงครับ
สวัสดีครับ คุณหมอ (เรียกตามคุณมนนะครับ)

บอกตามตรงว่า ผมก็ยังใหม่กับการลงทุนแบบ Cyclical มากครับ
เพิ่งเริ่มหัดสูบบุหรี่เท่านั้นเอง
ผมลงทุนใน Cyclical แค่สองบริษัทเองครับ
เพราะเท่าที่ดูๆมานาน
พบว่า ธุรกิจทั้งสองเพิ่งผ่านช่วงเลวร้ายที่สุดมาเมื่อปีที่แล้ว
และมองไปในอนาคตอีกสองสามปี คงจะดีขึ้นตามลำดับ
ดังนั้น ธุรกิจที่ซื้อมาผมสามารถถือจนถึงปี 2549 ได้เลยครับ

ถึงแม้ช่วงนี้จะสำลักควันบุหรี่เล็กน้อย
เพราะตลาดกำลังตกเอาตกเอา ดูแล้วน่ากลัวพิลึก
แต่ถ้าดูที่ผลประกอบการ แนวโน้มของธุรกิจก็ยังไปได้ดี

ช่วงนี้ตลาดตกเพราะต่างชาติขายทิ้งหุ้นไทย
ที่โบรกเกอร์ต่างชาติออกบทวิเคาระห์ให้"ขาย"หุ้นไทยนั้น
ผมมองว่า นักลงทุนต่างชาติพวกนี้ก็ไม่ต่างจาก"นักเกร็งกำไร"สักเท่าใดนัก
เพียงแต่อาศัย"บทวิเคาระห์พื้นฐาน"เป็นอาวุธ
และมองว่า ที่ไหนมีผลตอบแทนที่ดีกว่าก็ไปที่นั่น
โดยเก็บ"กำไร"เข้ากระเป๋าไป
ไม่ได้คิดที่จะถือเป็นเจ้าของกิจการเหมือน VI

ผมมองๆดู ผมเข้าใจคำพูดของอาจารย์บัฟเฟตเลยละครับ
อาจารย์บัฟเฟตชอบกระแหนะกระแหนพวกโบรกเกอร์วอลสตรีทอยู่เสมอว่า
ที่ Wall Street มี Motto อยู่อันหนึ่งที่ว่า
"No one died taking profit"
ไม่มีใครตายเพราะขายเอากำไร

ดังนั้น ผมไม่แปลกใจที่โบรกต่างชาติขายของเพียงเพราะมี"กำไร"

ในฐานะของนักลงทุนระยะยาว
ผมว่า เราน่ามีมุมมองที่ยาวกว่าชาวบ้านอยู่แล้วละครับ
เขาขายทำกำไรเพราะมีกำไรในระยะสั้น
เราดูแล้ว อนาคตบริษัทยังดี ราคายังสมเหตุสมผล ไม่โอเวอร์
ถึงแม้"ราคา"จะลดลง
แต่ ผลประกอบการในระยะยาวยังดีอยู่ ก็ไม่ต้องกลัวอะไร
แถมเป็นโอกาสดีที่จะซื้อของดีราคาถูกซะอีก
แต่ (อีกที) เราต้องมั่นใจนะครับว่า
บริษัทนั้นในระยะยาวดีจริงๆและราคาที่ซื้อไม่สูงจนเกินไป

ราคาสูง ราคาต่ำ ไม่ได้ดูว่า มีคน"ต้องการซื้อขาย"มากน้อยเพียงใด
แต่ดูเทียบกับพื้นฐานธุรกิจครับ

ผมไม่อยากว่านักลงทุนไทยรายย่อย
พอ"ต่างชาติ"ขาย เราก็"ขาย"กับเขามั่ง
พอเขา"ซื้อ" เราก็"แห่"ซื้อตาม
ดูๆไปแล้ว"เศร้าใจ"ครับ
เหมือนเทศกาล"ตามแห่"ยังไงก็ไม่รู้
อย่างนี้เมื่อไหร่ตลาดเมืองไทยเราจะยืนบนขาตัวเองได้สักทีละครับ
สุดท้ายเราก็กลายเป็น"เหยื่อ" ต่างชาติทุกที

พอเวลาตลาดตกมากๆ เขาก็กลับมาเองหละครับผมว่า
ถ้าต่างชาติได้กำไรแล้วไม่ขาย ผมซิจะแปลกใจ
เพราะต่างชาติก็เป็น"นักเกร็งกำไร"ตัวยงครับ
ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมขอบอกว่า VI ไม่ต้องกลัว"ต่างชาติ"ครับ
เราลงทุนเพราะเราต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจ
ถ้าธุรกิจยังดีและราคาไม่เกินมูลค่าก็ไม่ต้องกังวลอะไรใช่มั๊ยครับ

นอกเรื่องไปเยอะเลยนะครับ
พอดีมันอึดอัดนะ ขอระบายหน่อย

กลับมาที่การลงทุนใน Cyclical
ถ้าถามว่า
" ถ้าจะลงทุนแบบถือยาว หลีกเลี่ยงหุ้นในกลุ่ม cyclical business ดีไหมครับ"
ต้องถามกลับว่า ยาวนี่ยาวแค่ไหนครับ

มีเพื่อนผมคนนึงบอกว่า เขาลงทุนระยะยาว
ผมถามเขาว่า ระยะยาวของเอ็งนี่ยาวแค่ไหนว่ะ
เขาบอก "สองอาทิตย์"
.........แป่ววววววววววววววววววววววววว

ถ้าจะถือยาวเป็นสิบปี ผมก็ไม่แนะนำ Cyclical หรอกครับ
เพราะมันมีขึ้นมีลง
ขึ้นก็ดีใจหาย ลงก็ลงหาจุดต่ำสุดไม่เจอ
ดูปิโตรเคมีซิครับ บางบริษัทขาดทุนมาเป็นสิบปี
กลับมามีกำไรปีเดียว ล้างขาดทุนที่ผ่านมาสิบปีได้เลย
ไม่น่าเชื่อจริงๆครับ
แต่ผู้บริหารรู้แกวบอกนักลงทุนไว้ก่อนว่า
อนาคตเราไม่รับประกันว่า เราจะไม่ขาดทุนอีก
เรียกว่า ผมบอกแล้วนะ พวกคุณไม่เชื่อเอง อะไรทำนองนั้น

แต่ถ้าจะถือสักสองสามปี
ให้ครบ Cycle ก็น่าลองเหมือนกันนะครับ
นักลงทุนบางแบบ เช่น นักเกร็งกำไร ถือหุ้นสองปีนี่เหมือนชั่วกัลป์ชั่วกัลล์เลยละครับ
แต่สำหรับ VI แล้ว ผมว่า สบายมาก
ถือห้าปี สิบปีได้ จะถือแค่ปีสองปีจะเป็นอะไรไป

ถึงแม้จะเป็นหุ้น Cyclical ระยะเวลาการถือของผมคือสองปีครับ
หรือจนกว่าจะถึงจุดสูงสุดของธุรกิจ ซึ่งจะเป็นเมื่อไหร่ก็ต้องดูกันไป
อันนี้ตอบแน่ๆไม่ได้
เพราะแต่ละธูรกิจมี Cycle ไม่เท่ากัน
ดังนั้น หุ้นลงช่วงนี้ผมก็เฉยๆ เพราะผมถือหุ้นได้ถึงสองปี
แต่ถ้าเวลาผ่านไปสองปี แล้วตลาดหุ้นไม่ดีขึ้น
หรือธุรกิจที่ถืออยู่ไปไม่ได้ดี
ผมก็ต้องยอมรับในความผิดพลาดของตัวเองครับ

ส่วนคำถามที่สอง
"เห็นในหนังสือบอกว่า วิธีดูว่าอยู่ในจุดไหนของวงจรใน Cyclical business ให้ดู PE ถ้า PE สูง แสดงว่า E ต่ำ น่าจะอยู่ตรง bottom ให้ซื้อ ถ้า PE ต่ำ E สูง น่าจะอยู่ตรง peak ให้ขาย"
ผมว่าจุดไหนในวงจร ผมจะไม่ดู"ราคา"หุ้นครับ
ผมจะดูธุรกิจเป็นหลัก
ถ้ามีจุด Turning Point ก็คว้าเลย
ถ้าใกล้ถึง Peak เมื่อไหร่ ก็ตัวใครตัวมัน
เรียกว่า ต้องติดตามแต่ละอุตสาหกรรมให้เข้าใจอย่างใกล้ชิด

นักลงทุนที่เก่งเรื่อง Cyclical business มากคือ อาจารย์John Neff ครับ
เพราะในพอร์ตลงทุนมีหุ้น Cyclical ถึง 30-40% ทีเดียว

ส่วนผม ยัง"อ่อนหัด"อยู่ครับ
แต่อาศัย"ความอึด"เป็นที่ตั้ง เลยขอ"ลองวิชา"ดูหน่อย
ตลาดหุ้นจะขึ้นจะลงยังไง ผมไม่สน
ถ้าธุรกิจผมยังดำเนินไปได้ด้วยดี ผมก็ไม่ขายครับ
ถ้าตลาดตกมากๆแล้วงบหมด วิธีที่ผมใช้คือ ผมก็เลิกดูตลาดไปเลย
เอาเวลาไปวิ่งออกกำลัง หรือ ปลูกต้นไม้ให้ชื่นใจดีกว่าครับ
จรรโลงจิตใจกว่าดูหุ้น"ราคา"ตก เยอะมากๆๆๆๆ
จริงมั๊ยครับ
kotaro เขียน:แฮะๆๆๆ คุณวิบูลย์มีคนถูกชื่อกระทู้หลอกอีกแล้ว ผมว่าเราเปลี่ยนชื่อกระทู้กันดีไหมครับ เอาเป็น "ตะแกรงร่อนหุ้น" เฉยๆดีไหมครับเพื่อนๆ ผมว่าหลายคนโดนหลอกให้เข้ามา บางคนอ่านก่อน บางคนไม่สนใจขอเลย
ตลกดีครับ คุณมน
มีคนขอ"รายชื่อหุ้น"มาเรื่อยๆ
เพราะไม่ได้อ่านกระทู้แล้วส่งอีเมล์มาเลย
หรือไม่ก็สับสนกับกระทู้ของพี่ครรชิต

ผมว่าคงชื่อกระทู้ไว้หละครับดีแล้ว
ไม่ได้โอ้อวดชื่อตัวเองนะครับ
แต่ผมว่ามันตลกดีน่ะ
ถ้าใครอ่านตั้งแต่หน้าแรกโดยคิดว่าจะได้หุ้นเด็ด กว่าจะเจอชื่อหุ้นก็ราวๆหน้า 20 ละมั้ง
แล้วชื่อกระทู้มันทำให้น่าสนใจ น่าค้นหา
สุดท้ายก็พบว่า "อัตตาหิ อัตตโนนาโถ" ครับ
"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"

เราต้องหายใจด้วยตัวเราเองครับ
ถ้าชอบใช้เครื่องช่วยหายใจ ถ้ามีคนแกล้งถอดเครื่องออก เราก็คงม่อง

ฝึกหายใจด้วยตัวเองกันเถอะครับ
จะติดจะขัดบ้างก็ไม่ต้องโทษคนอื่น ต้องโทษตัวเอง

ผมก็หายใจติดขัดบ่อยๆ
ตอนนี้ก้กำลังพงาบๆอยู่ เพราะตลาดหุ้นตกเอาๆ
ปอดอักเสบเหมือนกันครับ แต่ไม่"กลัว"
อาศัย"ใจดีสู้เสือ"
ถือยาวๆลองดูว่า ถ้าอีกสองปียังขาดทุนอยู่ก็จะลาไปขาย"เต้าฮวย" ฮ่า ฮ่า
Ayethebing เขียน:โอ้ยแย่แล้วแย่แล้ว ไม่มีใครเข้าใจผมเลย หนีออกจากบ้านดีก่า
ที่บ้านให้อภัยแล้วครับ กลับบ้านด่วน

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 17, 2004 9:43 am
โดย Mon money
วันนี้ผมมาทุบหุ้นครับ
กำลังมาบอกว่าตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาต่างชาติขายแบบไม่เหลียวแลหุ้นไทย
ขายไปแล้ว 5.5 หมื่นล้านบาท!

มาช่วยกันคิดหน่อยครับว่า ทำไมมันถึงทุ่มเทหุ้นไทยนักหนา

1 ราคา VS มูลค่าใกล้เคียงกันมากแล้ว หรือ ราคาเกินมูลค่า

2 อาจมีผลกระทบอย่างรุนแรงเกิดขึ้นโดยที่คนไทยยังไม่รู้ แต่มันรู้ก่อนเรา

3 มันขายสั้น (Short sell) ตามบรรยากาศการถดถอยของท่านนายกและตามน้ำด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจ แล้วรอช้อน

ใครคิดอะไรออกก็ว่ามาครับ แต่ด้วยสมองอันน้อยนิดของผม แต่ดันถูกเพื่อนถามก็เลยหาเหตุผลให้มันฟัง แต่บอกตามตรงว่าเดาเอาทั้งนั้นแหละ สุดท้ายก็บอกมันว่าถ้าเงินร้อนนักก็เอาออกมาแช่น้ำแข็งแก้เคร็ดก่อน หากเงินที่หนาวๆอยู่ก็เอามาทำให้ร้อนได้ในตลาดหุ้น โดยเฉพาะในช่วงนี้

---------------------------------------------------------------------------------------------------

คุณ aye ให้ผมอ่านปุบเข้าใจปั๊บได้ไง ต้องทำความเข้าใจกันหน่อยดิ แล้วเดี๋ยวเจอกัน
----------------------------------------------------------------------------------------------------
คุณวิบูลย์ อย่าท้าทายอำนาจมืดเป็นอันขาด ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ว่าแต่ว่าตั้งร้านขายเต้าหวยนี่ใช้ทุนเท่าไรครับ คือว่าจะหุ้นด้วยน่ะ

---------------------------------------------------------------------------------------------------
คุณหมอ และคุณวิบูลย์

ลงทุนหุ้น cylical รอให้เห็นpeakของธุรกิจบ่ได้นะครับ เนื่องจากราคามักสะท้อนอนาคตเสมอ ดังนั้นก่อนpeakของธุรกิจ จะเกิดpeakของราคาหุ้นก่อนแน่นอน ช้าเร็วแล้วแต่อารมณ์ของนายตลาด ถ้าถามผมล่ะก็เอาปิโตรฯบ้านเรามันถึงpeakของราคาหุ้นไปเรียบร้อยโรงเรียนจีนแล้วครับ(ทุบหุ้นปิโตรฯ ของคุณวิบูลย์และพี่ไก่ ซะแล้ว) ที่เห็นอย่างนี้เพราะเหล่านักวิเคราะห์เริ่มต้นเชียร์หุ้นกลุ่มนี้มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แถมมองเลยไปถึงปี49ว่าจะเห็นpeakของธุรกิจ เมื่อฝูงชนเริ่มเห็นpeakธุรกิจ นั่นให้เตรียมตัวได้เลยว่าpeakของราคาจะมาเยือนในไม่ช้า
----------------------------------------------------------------------------------------------------
สุดท้าย STOCK TIP โดย MON MONEY

ถึงแม้ว่าตลาดโดยรวมจะตกอย่างรุนแรง จากความสงสัยว่าฝรั่งมันจะเอาอย่างไงของมัน(มันมีอิทธิพลทางทหารกับเราเมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว และตอนนี้มันมีอิทธิพลทางจิตใจกับเราอีก สรุปว่ามันยังเหนือกว่าเรา?) หุ้นบางบริษัทก็จะมีโอกาสที่ดีที่จะปรับตัวขึ้น ผมแนะให้มองหุ้นที่เราไม่เคยสนใจมันเลย(นอกสายตา) มององค์ประกอบในอนาคตให้ดีๆ หาข้อมูลให้มากๆ ต้นทุนของเราต้องต่ำเพื่อความปลอดภัยทางการเงิน ทางอารมณ์ และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนไทยคือความอาถรรณ์(พูดเล่นน่า)

หลายคนถามผมว่าตลาดจะเป็นอย่างไร(โดนถามเป็นอันดับต้นๆ) ผมตอบแบบเลิกหงุดหงิดไปแล้วว่า (กู)จะไปรู้ได้ไง(วะ) ตอบมันอย่างนี้แล้วมันยังถามว่าแล้วจะซื้อหุ้นอะไรดี ผมบอกมันว่า ก็(xx)รู้จักอะไรก็ซื้อไอ้นั่นแหละ แต่ต้องรู้จักจริงๆนะ ไม่ใช่แค่รู้แต่ไม่จัก เอ็งมีสิทธิเจ็งแน่ๆ

สรุปก็คือ ไม่มีหุ้นแนะนำครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 17, 2004 1:38 pm
โดย VIB007
คุณมนครับ
พอดีผมชอบกินเต้าฮวยน้ำขิงร้อนๆอร่อยดี
ก็เลยคิดว่า ถ้าเอาดีทางลงทุนหุ้นไม่ได้
ก็จะไปเปิดแผงเต้าฮวยน้ำขิง ทำเอาไว้กินเองที่เหลือก็ขาย
อย่างน้อยก็น่าจะเป็นเหมือน"เศรษฐกิจพอเพียง"
ทำมาหาเลี้ยงตัวเองให้รอดก่อน มีอะไรเหลือค่อยเอาไปขาย

จริงๆผมนิสัยเสียนะครับ ไม่ค่อยสนใจดัชนีตลาด
ตลาดจะขึ้นจะลงยังไง ผมเฉยๆ
ถ้าธุรกิจผมยังดี ของยังขายได้ อะไรอะไรก็ยังดี
ก็ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรนี่ครับ

เวลาตลาดหุ้นตกๆ ผมจะนึกถึงคำพูดของน้า Peter Lynch ขึ้นมาทันที
"You should sell stock becuase foundamental detrioriate, not because the sky is falling"

ตอนนี้ฟ้ากำลังถล่มครับ
ทั้ง วางระเบิดที่สเปน, ม๊อบ กฟผ, ต่างชาติทิ้งหุ้น, สถานการณ์ภาคใต้, ฯลฯ
แต่ผมขอบอกอย่างนึงแล้วกันครับ
"ตลาดหุ้นลืมง่าย" เคยได้ยินกันหรือเปล่า
มีใครยังจำ 9-11 กันได้หรือไม่
มีใครยังจำ Enron ได้หรือเปล่า
ผมว่าคง"ลืม"กันไปแล้วมั๊ง

อ้อ อีกหนึ่งประโยคจากน้า Lynch
"STOCK is not blinking symbol, but behind every stock is COMPANY"
หุ้นไม่ใช่แค่ตัวอักษรกระพริบ เบื้องหลังหุ้นทุกตัวคือธุรกิจ


ผมกลับมองว่า การที่ตลาดหุ้นตกแล้วทุกคน"กลัว"เนี่ยเป็น"โอกาส"เลยละครับ

ตามหลักของ"การลงทุนแบบคุณค่า" ที่อาจารย์เกรแฮมบอกไว้ก็คือ
"ราคา"หุ้นจะกลับไปสู่"มูลค่าที่แท้จริง" ในระยะยาว
อันนี้เหมือนที่ท่าน ดร.นิเวศน์เขียนไว้หละครับ
นี่คือคำสอนของ"ศาสดา" ของปรัชญา Value Investing
ถ้าเรามั่นคงในหลักการ ตลาดหุ้นทำอะไรเราไม่ได้แน่นอน

ราคาหุ้นอาจจะผันผวนบ้างในระยะสั้น
แต่ในระยาวแล้ว ราคาจะไปกลับไปหา"มูลค่าที่แท้จริง" ครับ

ถ้านักเกร็งกำไรได้ยินคง"หัวเราะ"ฟันหัก
เพราะจบจากคนละโรงเรียน
เหมือน VI จบ"โรงเรียนเพาะช่าง"
แต่เก็งกำไรจบ"โรงเรียนเทคนิค"
อะไรทำนองนั้น

ก็เป็นไปได้ที่ตอนนี้มีหุ้นบางตัว"ราคา"เกิน"พื้นฐาน"
อันนี้เราไม่ยุ่งอยู่แล้ว
แต่ตอนนี้หุ้นบางตัวก็น่าสนใจนะครับ
เพราะตอนนี้เหมือนเทศกาล "กระหน่ำซัมเมอร์เซลล์" ยังไงก็ไม่รู้

ผมก็รอเจ้าสะดือทะเลของผมถูกซัมเมอร์เซลล์กับเขาซะหน่อย
ปรากฏว่า นิ่งเลยครับ นึกว่าจะเห็นต่ำกว่า 200
จะได้เข้าไปเก็บของเพิ่มอีกสักหน่อย
ไม่รู้ว่าปีนี้จะได้เห็นหรือเปล่า
ทั้งๆที่ผลประกอบการออกมาไม่ค่อยน่าพิศมัยเท่าไหร่นัก

ส่วนเรื่องหุ้น Cyclical นั้น
ต้องยอมรับว่ายัง "อ่อน" อยู่ครับ
คงต้องให้เวลาสักพักสำหรับการฝึกฝน
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ

เอาล่ะ ตอนนี้ใครจะ"ทุบ"หุ้นก็ทุบไป
ผมไม่สน ไปดูดีกว่าว่า ธุรกิจของเราตอนนี้และอนาคตเป็นอย่างไรบ้าง
ถ้าธุรกิจไม่มีอนาคตก็"กำจัด"ไปเถอะครับ
แต่ถ้าธุรกิจยังดีอยู่ จะ"Short Sell"บ้างก็ไม่ว่ากันครับ

เป็น Stock Tip ของผมเองครับ (เลียนแบบคุณMon)

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 17, 2004 10:22 pm
โดย Ongsa
ตอนนี้เป็นเหมือนกับที่พี่ๆบอกเลยครับ
เพื่อนๆคอยถามว่าตลาดจะเป็นยังงัย (เอ เหมือนผมตอนที่เริ่มต้นใหม่ๆเลย อิอิ) แล้วก็ตอนนี้ทำยังงัยดี
ไม่รู้จะตอบยังงัย อ้าว ก็ไม่รู้จริงๆนี่ครับ ถ้ารู้ว่าตลาดพรุ่งนี้เป็นยังงัย ก็รวยไปแล้ว อิอิ
ได้แต่บอกให้พวกเขาไปศึกษาตัวที่สนใจจริงๆให้มากๆ ลองนั่งอ่านงบบ้าง
อย่าได้แต่รอสูตรสำเร็จ หรือซื้อตามที่ฟังมา
ยอมรับว่าปลายปีที่แล้วนี่ เพื่อนๆหลายคนเริ่มเข้าตลาด แต่ละคนใจร้อนอยากได้ผลตอบแทนเร็วๆ (เหมือนผม อิอิ) แล้วก็ไม่ยอมที่จะรับฟังคำเตือนตั้งท่าจะเข้ามาลุยกันลูกเดียว (คงเห็นผมเป็นมือใหม่ด้วยครับ เลยไม่ฟังกัน :cry: )
พอมาถึงต้นปีที่ผ่านมีแต่คนบอกว่าอย่าพูดถึงหุ้นเลย มันเจ็บใจ อ้าว!!! เป็นงั้นไป

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 18, 2004 10:34 am
โดย VIB007
THEPUNG เขียน:ถ้าพี่วิบูลย์ขายดีแล้วอย่าลืมทำเป็น friendchise นะครับ (แข่งกะ franchise)แล้วจะเข้าไปร่วมทุนด้วยคนครับ ฮิๆๆ
อันนี้ต้องรอสองปีนะ
เพราะถ้าหุ้นที่ผมถืออยู่ อีกสองปียัง"ขาดทุน"
จะไปขาย"เต้าฮวย"
เพราะผมดูแล้วทั้งจากการเติบโตของบริษัท
ราคาที่ผมซื้อ รวมทั้งมูลค่าของกิจการ
ถึงตอนนี้ยังติด"ตัวแดง"อยู่
แต่ดูแล้วดูอีก ตะแคงซ้ายตะแคงขวาดู นั่งมองยืนมอง
ยังไงก็ต้องกลับไปที่เก่า

ถ้าหุ้นที่ผมซื้อมา "ราคา"ไม่กลับไปที่เดิมที่ซื้อมาภายในสองปี
ต้องเลิกเล่น.... เอ๊ย ลงทุนในหุ้น เพราะแสดงว่า
การวิเคาระห์และวิธีคิดที่ใช้อยู่ มันไม่ได้ผลครับ
ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ต้องขอสารภาพว่า
ทุกวันนี้ผมลงทุนในหุ้นก็เพื่อต้องการ"พิสูจน์สมมุติฐานและทฤษฏี"ของตัวเอง
มากกว่าที่จะมองเป้าหมายเป็นตัวเงิน

ผมคิดอยู่เสมอว่า "ความคิดทำให้เกิดเงิน ไม่ใช่เงินทำให้เกิดความคิด"
ดังนั้น ถ้าเรามี"ความคิด"ที่ถูกต้อง เงินจะตามมาเอง

ทุกวันนี้ ถ้าหยุดลงทุน แล้วถอนเงินที่มีอยู่ออกมาใช้
ก็อยู่ไปได้อีกหลายปี
ไม่ได้คิดจะโม้แต่อยากจะบอกให้น้องๆรุ่นใหม่ๆได้ทราบเอาไว้ว่า

สมัยก่อน ผมมองว่า เงินเป็นสิ่งหายากและขาดแคลน
เหมือนคนชั้นกลางทั่วไปทีทำงานกินเงินเดือน
มีเงินใช้ไปเดือนต่อเดือน
ทำงานเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพไปเรื่อยๆ

จนได้อ่านหนังสือหลายๆเล่ม
ที่น่าสนใจที่สุด คือ Rich Dad Poor Dad ของ Kiyosaki
เขาบอกเอาไว้ว่า
"คนจนและคนชั้นกลางทำงานเพื่อเงิน แต่คนรวยใช้เงินทำงาน"
และ
"คนจนและคนชั้นกลางมองว่าเงินเป็นสิ่งขาดแคลน
ขณะที่คนรวยมองว่า โลกนี้เต็มไปด้วยเงินเกลื่อนกลาด"


แต่ก่อนผมไม่เข้าใจ และคิดเสมอว่า
"ถ้าเราไม่ไปทำงาน จะเอาเงินที่ไหนมาใช้(ว่ะ)"
และ
"เงินหายากจะตาย(นี่หว่า) แล้วบอกว่า โลกนี้เงินมีเยอะแยะได้ไง(ว่ะ)"
ไม่เข้าใจเลยจริงๆ.........สาบาน

จนกระทั่งได้อ่านหนังสือลงทุนอีกหลายๆเล่ม
และเริ่มทดลองลงทุนดู
พอเวลาผ่านไป.............

วันนี้ผมเข้าใจประโยคที่ Kiyosaki กล่าวไว้ทั้งสองประโยคนั้นแล้วครับ

ดังนั้น น้องๆที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้
ผมขอแนะนำว่า
สิ่งแรกที่เราจะต้องทำน่าจะเป็น "การค้นหาความคิดที่ถูกต้อง"
มากกว่า การค้นหา"สูตรสำเร็จในการลงทุน"


"ความคิด"ของเราเป็นสิ่งที่ทรงพลังและมีอำนาจมากกว่าที่เราเข้าใจมากครับ

ถ้าเรามี"ความคิด"ที่ถูกต้อง เราก็จะทำสิ่งที่"ถูกต้อง"
ถ้าเรามี"ความคิด"ที่ไม่ดี เราก็จะทำในสิ่งที่"ไม่ดี"

ถ้าเราสังเกตดู เราจะพบว่า
"ความขัดแย้ง"ทั้งหลายในโลกนี้ ก็ล้วนมาจาก"การต่อสู้"กันของ"ความคิด" ทั้งนั้นหละครับ

ดังนั้น "ความคิด"เป็นสิ่งที่ทรงพลังที่สุดในจักรวาล
มันสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราได้
ทั้งจากดีไปสู่ด้านไม่ดี
และทั้งจากด้านไม่ดี ไปสู่ด้านดี

น้องๆเพื่อนๆก็ลองดูแล้วกันครับ ว่า
"เรามีความคิดที่ถูกต้องแล้วหรือยัง" หรือ
"เรามีความคิดที่ถูกต้องในการลงทุนแล้วหรือยัง" หรือ
"เรามีความคิดที่ถูกต้องต่อสิ่งต่างๆรอบตัวเราแล้วหรือยัง" หรือ
"เรามีความคิดที่ถูกต้องต่อ ฯลฯ แล้วหรือยัง"

พูดไปพูดมา ชักงงเอง เหมือนเรื่องอัศวินเจได ยังไงก็ไม่รู้

เอาล่ะ กลับมาที่หุ้น

ถ้าผ่านไปสองปี แล้วอะไรไม่ดีขึ้น ก็น่าจะเลิกลงทุน
แต่เอ........หรือจะสมัครไปเข้าโรงเรียน"เกร็งกำไร"แทนดี ช่วยบอกหน่อย อิ อิ
harry เขียน:โพสต์คนที่ 1001 ครับ ถ้าไม่โดนแซง


ยินดีด้วยครับ harry ขอให้รวยๆ
Ongsa เขียน:ตอนนี้เป็นเหมือนกับที่พี่ๆบอกเลยครับ
เพื่อนๆคอยถามว่าตลาดจะเป็นยังงัย (เอ เหมือนผมตอนที่เริ่มต้นใหม่ๆเลย อิอิ) แล้วก็ตอนนี้ทำยังงัยดี
ไม่รู้จะตอบยังงัย อ้าว ก็ไม่รู้จริงๆนี่ครับ ถ้ารู้ว่าตลาดพรุ่งนี้เป็นยังงัย ก็รวยไปแล้ว อิอิ
ได้แต่บอกให้พวกเขาไปศึกษาตัวที่สนใจจริงๆให้มากๆ ลองนั่งอ่านงบบ้าง
อย่าได้แต่รอสูตรสำเร็จ หรือซื้อตามที่ฟังมา
ยอมรับว่าปลายปีที่แล้วนี่ เพื่อนๆหลายคนเริ่มเข้าตลาด แต่ละคนใจร้อนอยากได้ผลตอบแทนเร็วๆ (เหมือนผม อิอิ) แล้วก็ไม่ยอมที่จะรับฟังคำเตือนตั้งท่าจะเข้ามาลุยกันลูกเดียว (คงเห็นผมเป็นมือใหม่ด้วยครับ เลยไม่ฟังกัน )
พอมาถึงต้นปีที่ผ่านมีแต่คนบอกว่าอย่าพูดถึงหุ้นเลย มันเจ็บใจ อ้าว!!! เป็นงั้นไป
เชื่อมั๊ยครับ
เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
"เซียนหุ้น"เดินกันเต็มออฟฟิศผมเลยละครับ
พูดกันให้แซดว่า เมื่อวานนี้"ฟัน"กำไรมากี่แสนกี่ล้าน
ทุกคนพูดกันแต่เรื่องหุ้น แม้แต่ประธานบริษัท

แต่ตอนนี้เงียบกันหมดเลยครับ
ไม่มีใครอยากคุยถึงเรื่องหุ้นกัน
ทั้งๆที่สองสามเดือนที่แล้วยังเป็น"เซียน"กันอยู่เลย
พอผมถามว่า เป็นไงบ้างลงทุนหุ้นไปถึงไหน
เพื่อนบอก อย่าพูดเลย เอาเงินไปทำอย่างอื่นดีกว่า ขาดทุนป่าวๆ
อ้าว.....เป็นงั้นไป

ขอบอกว่า ตอนนี้สถานการณ์เดียวกันเลยครับ

ผมชอบคำพูดของนักลงทุนชั้นเซียนหลายคนใน
หนังสือ Interview with the Master พูดตรงกันหลายคนครับที่ว่า
"คนที่จะลงทุนในหุ้นได้ประสบความสำเร็จ
ไม่ใช่คนที่ทำเงินได้มากที่สุดในระยะเวลาปีสองปี
แต่คือคนที่ทำพิดพลาดน้อยที่สุดในระยะยาว คนนั้นจะเป็นผู้ชนะ"


จริงไม่จริงก็ต้องไป"พิสูจน์สมมุติฐาน"กันเองนะครับ

สวัสดีครับ

คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 18, 2004 1:48 pm
โดย tanapong
มารายงานตัวในรอบ 3 เดือนครับ

สวัสดีครับ
คุณมน คุณวิบูลย์ คุณธันวา คุณJeng เพื่อนๆ พี่ ที่คิดถึงทุกคนครับ
ผมเข้ามาอ่านบ่อยๆ แต่ไม่ได้โพสต์ครับ

มาสารภาพครับ หนีไปสูบ
บุหรี่มวนสั้น
มาครับ
ใช้เวลาสูบประมาณประมาณ 1 เดือนครับ
ปรากฎว่า 4 มวน ไฟไหม้มือ(ปาก+เงิน) ซะ 2 มวน อีก 2 มวนทิ้งทันครับ
เลยกลับมาสารภาพครับ

ช่วงนี้(ที่ผ่านมา) Mr.Market อารมณ์แปรปรวนมากครับแต่ผมว่าดีสำหรับการสะสมหุ้นครับ

ทำให้ผมตัดสินใจถือหุ้นที่คิดว่าดีที่สุดในประเทศไทยครับ
เป็นบริษัท ที่ทำกำไรน้อยกว่า เจ้าสะดือทะเลสัก 4 บาทครับ
พอผ่านมาสักเดือนครึ่ง ราคาพี่เค้า ลดลงมาเรื่อยๆ จากราคา 168 บาท
ลงมาประมาณ 150+ เล็กๆ ตั้งใจจะเก็บไว้กินปันผลระยะยาวครับ

แต่เหตุผลเหนือสิ่งอื่นใดครับ อยากเป็นญาติ กับคุณวิบูลย์ครับ
แต่ผมไม่ขายครับเพราะตั้งใจถือจริงๆครับ เพื่อนผมบางคนหาว่าผมบ้า
ทำไมปีที่แล้ว ราคา 58 บาทไม่ซื้อ มาซื้อที่ราคา 168 บาท
ตอนนั้นผมขอสารภาพว่ามองไม่เป็นครับ ยังไม่ได้ไปเมืองจีน ดูการใช้พลังงานของชาวจีนแผ่นดินใหญ่
โอ้โฮ ที่เมืองจีน(เซี่ยงไฮ้) รถติดมากครับ คนจีนใช้เชื้อเพลิงมากครับ
พอกลับมาประมาณ 2 เดือนผมเลยซื้อเลย(ไม่ได้ดูตามาตาเรือครับ)
ผมชอบ ศรีราชาฮับครับ โดยมีเมืองจีนเป็นตลาดใหญ่ครับ แม้ว่าเพิ่งเริ่มถอด
แม่พิมพ์ออกจาวุ้นก็ยังดีครับ

ที่เล่ามายืดยาวนี้ไม่เกี่ยวกับ VI เลยครับ

แต่ผมไปเช็คตลาดส่งออกให้คุณวิบูลย์& Co.

ขาดทุนจากเจ้าก้นบุหรี่

แล้วมาเปิดขายเต้าฮวย เผื่อจะส่งออก

ระวังจะเจ๊ง 2ต่อครับ เพราะคนจีนไม่กิน เต้าฮวยครับ 55555555

คิดถึงเพื่อนทุกคนครับ
สวัสดีครับ[/quote][/code]