หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 5:36 pm
โดย nanchan
เอามาเล่า

วันนี้ไปประชุมลูกค้า ด้านการเงินโดยเฉพาะ เนื่องจากลูกค้าอยู่ระหว่างปรับโครงสร้าง การเงินติดขัดมานานมากจากปี39 วันนี้หุ้นส่วนกำลังกลายเป็นของอื่นหมดแล้ว เนื่องจากเงินหมุนเวียนไม่มี ทำให้เป็นหนี้สินเยอะ จึงถูกแปลงหนี้เป็นทุนซะ

ที่ไปประชุมก็เนื่องจาก ลูกค้ากำลังไม่มีของผลิต เพราะsupplierไม่ส่งแล้ว
จึงต้องมาคุยเพื่อแก้ปัญหา อีกครึ่งเดือนผู้ถือหุ้นใหม่จะใส่เงินเข้าระบบ
ถ้าการโอนหุ้นเรียบร้อยดี

ก็น่าเสียดาย บริษัทคนไทยที่โตมา แต่เอาตัวรอดไม่ได้
เนื่องจากผู้บริหาร รักหน้าตัวเองมากไปหน่อย ไม่ยอมปรับโครงสร้างหนี้ ช่วงวิกฤติ เพราะกลัวอาย ระบบเงินรั่วไหลมาก วันนี้ของที่มีวันนั้นจึงกำลังตกเป็นของผู้อื่นไป น่าเสียดาย

ผมกำลังคิดว่าบริษัทอื่นๆ ที่ยังปรับโครงสร้างทางการเงินไม่ได้นับจากวิกฤต40 ก็กำลังตกในสภาพเช่นนี้เหมือนกัน

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 5:40 pm
โดย กล้วยทอด
พี่คะ ถามฝากไว้นะ พอดีว่าจะไปโอนตังค์ค่าสัมนา TVI หน่อยค่ะ
ปรับโครงสร้างหนี้ นี่เค้าต้องทำยังไงบ้างคะ
มันต้องแบกความอายไปบอกใครหรือ

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 5:48 pm
โดย nanchan
มันก็คงต้องแบกหลายอย่าง เช่นเราต้องขายรถราคาแพง
ขายของทุกอย่างเท่าที่จำเป็น ทำตัวจนที่สุด ขายเครื่องจักรไม่จำเป็นใช้
ลดขนาดธุรกิจ ขายของแบบต้องง้อเค้ามากๆแถมราคาถูกอีกตังหาก
ห้ามคุยโม้โอ้อวด โดยเฉพาะคุยว่าธุรกิจยังดีอยู่

คนอื่นรู้ ก็คงอายมั้งครับ กลัวเสียเครดิต แต่เงินจ่ายช้าไม่กลัวเสีย
คนที่ไม่ใช้เหตุผลที่ถูกต้องในการตัดสินใจ ก็ต้องรับสภาพเมื่อเข้าตาจนแหละครับ
ไม่รู้ตรงที่ถามรึเปล่า

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 7:30 pm
โดย CK
การขอปรับโครงสร้างหนี้มีสองแบบครับ

1. แบบหน้าด้านๆ "มีเงินครับ แต่ไม่จ่ายซะอย่าง จะให้เบี้ยวเฉยๆ หรือจะยอมลดหนี้ให้"

2. แบบสุจริต ต้องพยายามทำทุกวิถีทาง (รวมทั้งขายรถแพงๆ นั่งรถเมล์ไปพบลูกค้า)
เพื่อให้บริษัทขาดทุนน้อยที่สุด แล้วไปคุยกับแบงก์ว่า ไม่ไหวแล้วครับ ขอความกรุณา
จะพยายามดีที่สุด แต่ขอให้เห็นใจหน่อย ถ้าปรับได้จะได้ไม่เจ๊ง

ในกรณีแบบที่สอง ถ้าเขาไม่ปรับให้จริงๆ ต้องยอมล้มละลายครับ ซึ่งคนที่สร้างธุรกิจ
ขึ้นมา มีหน้ามีตาในสังคม มีเพื่อนฝูงในระดับเดียวกัน มักจะยอมไม่ได้ครับ เสียหน้า

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 7:30 pm
โดย CK
อ่านครั้งแรก นึกว่า WG กำลังถูกเทคโอเวอร์ :lovl:

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 8:43 pm
โดย chatchai
คุณ CK พูดแบบนี้ผมก็ใจหายหมดนะสิครับ

ถ้าถูกจริง คงปวดหัวน่าดู กว่าจะหาที่ลงทุนใหม่ได้

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 9:37 pm
โดย กล้วยทอด
ตรงที่ถามแล้วหล่ะพี่นัน

กล้วยทอดไม่น่าคิดโอนสตางค์วันนี้เลยค่ะ
แถวยาวมาก แถมสลิปหมด
(อันเนื่องจากปลายเดือนมั้ง)
คงโอนวันหลังดีกว่า

อันนี้ไม่ค่อยเกี่ยวกับ Take over เท่าไหร่
พอดีอ่านเจอจากหนังสือสารคดีเล่มล่าสุด
น่าสนใจดี และมีพี่กี่คนคะ ที่ทำตัวเป็นเจ้า เอ้ย..
จัดรวมอยู่ในหยิบมือเดียวข้างล่างนี้ค่ะ
เนื้อความเค้าบอกว่า....

" บัญชีเงินฝากที่มีเงินน้อยกว่า 1 แสนบาท
ในประเทศไทยมีอยู่ 46 ล้านบัญชี
คิดเป็น 6 % ของมูลค่าบัญชีเงินฝากทั้งหมด "

" ขณะที่บัญชีเงินฝากมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท
มีอยู่ 5 แสนบัญชี
ซึ่งน้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง 92 เท่า แต่...
คิดเป็นมูลค่า 76% ของมูลค่าเงินฝากทั้งหมด
เท่านี้ ก็ตระหนักได้แล้วว่า... "

" ประเทศนี้อยู่ในมือของคนหยิบมือเดียว "

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 9:46 pm
โดย CK
Pareto Principle ครับ

80% ของความมั่งคั่ง อยู่ในมือของคนเพียง 20%

เป็นแบบนี้เกือบทุกประเทศในโลก

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 25, 2005 11:42 pm
โดย DIYB
ถ้าผมมีบัญชีเงินฝาก 10 ล้าน พอร์ตผมคงโตสักร้อยล้านแล้วล่ะ :D :D

ส่วนคนกลุ่มแรกคิดว่าเขาคงไม่มีทางลงทุนด้านอื่นมากนัก :cry: :cry:

สัดส่วนจริงคงเบี้ยวมากกว่านั้นเยอะ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเงินเก็บเนอะ 8) 8)

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 7:09 am
โดย TOMOKI

" ขณะที่บัญชีเงินฝากมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท
มีอยู่ 5 แสนบัญชี
ซึ่งน้อยกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง 92 เท่า แต่...
คิดเป็นมูลค่า 76% ของมูลค่าเงินฝากทั้งหมด
เท่านี้ ก็ตระหนักได้แล้วว่า... "

" ประเทศนี้อยู่ในมือของคนหยิบมือเดียว "


5 แสนบัญชีนะครับ

ไม่ใช่ 5 แสนคน

ซึ่งคนหนึ่งอาจจะมีเป็นสิบๆบัญชีครับ

ตามนโยบายกระจายความเสี่ยง

ของคนที่มีสตางค์เยอะๆครับ

(ถ้าไม่เชื่อลองถามคนมีเยอะๆในห้องนี้ซิครับ

ว่ามีสมุดบัญชีเป็นปึกๆจริงอย่างที่ผมพูดไหมครับ)





.

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 26, 2005 7:19 am
โดย TOMOKI
ส่วนปัญหา NPL ของไทยเรานั้นมาจาก

การที่ธนาคารไปปล่อยสินเชื่อให้รายใหญ่ๆ

เกินกว่าหลักทรัพย์ค้ำประกันค่อนข้างมาก

เมื่อลูกหนี้จะเบี้ยวขึ้นมา ก็ต้องยอมตามระเบียบครับ




แล้วมีพวก NPL จากสถาบันการเงินที่ถูกปิด

ปรส.ก็เอาหนี้ไปเลหลังต่อให้ถูกๆ

คนที่ซื้อหนี้จากปรส.ไปบริหาร พอมีกำไรก็ขายแล้วครับ

ไม่ต้องได้ครบตามจำนวนหนี้หรอกครับ



คนที่ดีแต่ไม่ค่อยจะไหวก็เลยเลียนแบบ


แล้วสถาบันการเงินอื่นก็ทำน่าเกลียด

ด้วยการไปปล่อยเงินกู้ใหม่ให้พวกลูกหนี้

รายใหญ่ๆเหล่านี้ เอาไปซื้อหนี้ NPL กลับคืนมาด้วย

ซึ่งราคาที่ปล่อย ไม่เกิน 50%ของหนี้เก่าครับ

และเอาหลักทรัพย์ค้ำประกันจากพวกปรส. มาค้ำประกัน

ในหนี้ใหม่ต่อไป

สรุปว่าใครซื้อหนี้คืนได้ถูก จะรวยยิ่งกว่า

ตอนก่อนเกิดวิกฤตอีกนะครับ




.

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 27, 2005 10:05 am
โดย por_jai
CK wrote:
ในกรณีแบบที่สอง ถ้าเขาไม่ปรับให้จริงๆ ต้องยอมล้มละลายครับ ซึ่งคนที่สร้างธุรกิจ
ขึ้นมา มีหน้ามีตาในสังคม มีเพื่อนฝูงในระดับเดียวกัน มักจะยอมไม่ได้ครับ เสียหน้า
ผมว่าถ้าเค้าเป็นเพื่อนเราจริงๆ
เค้าน่าจะรับเราในแบบที่เราเป็นอยู่ได้
ถ้าเค้าไม่ยอมคบเราต่อ จาไปบังคับได้หรือ
ผมถือคติว่าคนล้มได้ก็ลุกได้ครับ
ความเป็นเพื่อนไม่ได้อยู่ที่ใครมีเงินมากกว่ากัน
(เพื่อนเหมือนเหล้า ยิ่งเก่ามักจะยิ่งดี)

ในที่สุด บริษัทนี้ก็กำลังถูกTake Over

โพสต์แล้ว: ศุกร์ พ.ค. 27, 2005 10:42 am
โดย por_jai
หมาหมอบ

คอลัมน์ คุยกับประภาส

โดย ประภาส ชลศรานนท์

คุณประภาสที่รัก

โดยจริต ดิฉันนิยมการมองโลกแง่งามอย่างคุณ แต่สองสามปีที่ผ่าน ชีวิตพบเจอแต่ทุกข์ที่โถมใส่ ไม่ผิดอะไรกับคลื่นลูกใหญ่ๆ หลายสิบลูกต่อเนื่อง สามีขาดการติดต่อไปกว่าค่อนปี เจ้าหนี้ที่เป็นเพื่อนฝูงเปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นเจ้าหนี้เต็มตัว ลูกสาวคนโตเริ่มไม่ให้ความนับถือและตีตัวออกห่าง พี่สาวที่เคยชิดเชื้อเชื่อใจก็มากลายเป็นอื่น เทียบเท่าศัตรูก็ว่าได้ ธุรกิจที่ทำอยู่ก็ง่อนแง่น ถ้าพูดโดยไม่อาย มันมากกว่าง่อนแง่นเสียอีก



ความมั่นใจในตัวเองหมดไปแล้ว หลายครั้งเคยคิดยอมแพ้ คุณประภาสที่รัก ทำประการใดดี

สาวสร้อย



อย่างน้อยก็อุ่นใจได้ว่า แม้จะมีความทุกข์แต่คุณสาวสร้อยก็ยังเขียนจดหมายด้วยภาษาอันไพเราะ

หรือเป็นเพราะความทุกข์ที่ทับถม ทำให้ปฏิภาณกวีของมนุษย์ฉายออกมา

ดูแต่สุนทรภู่ แวนโก๊ะ กามูร์ ฟรีดา ฯลฯ นั่นปะไร สร้างผลงานประดับโลกจากทุกข์ที่โถมใส่ทั้งสิ้น

วันนี้ ผมมีการทดลองอีกอันหนึ่งจะเล่าให้ฟังครับ คงจำกันได้ว่าผมเคยเล่าเรื่องลิงหกตัวกับกล้วยในห้องที่เปียกชื้นไปทีหนึ่ง แล้วก็เล่าเรื่องลิงกับข้าวโพดหวานที่เกาะในประเทศญี่ปุ่นไปอีกทีหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะลิงกับคนนั้นมีอะไรใกล้เคียงกันมากกว่าสัตว์อื่น จึงมักถูกนำมาทดลองในแง่พฤติกรรมบ่อยหน่อย

แต่คราวนี้เป็นสุนัขครับ ไม่ใช่ลิง

การทดลองนี้เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2500 ที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ประเทศสหรัฐ ฝรั่งที่ทำการทดลองครั้งนี้มีสองคน ชื่อ มาร์ติน เซลิกแมน กับ เอส เอฟ เมเยอร์ จุดมุ่งหมายของเขาในการทดลองครั้งนี้ก็คือ เขาต้องการรู้ว่าสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์หรือสัตว์ที่คล้ายๆ กันนั้นจะรู้สึกอย่างไรกับความเจ็บปวดที่มีอยู่ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ

พวกเขาเริ่มอย่างนี้ครับ พวกเขาหาสุนัขมาฝูงหนึ่ง สายพันธุ์ต่างๆ กันไปตามแต่จะหาได้ แล้วก็ขังพวกมันไว้ในกรงเหล็ก จากนั้นก็เริ่มกระตุ้นพวกมันด้วยกระแสไฟฟ้า พูดแบบชาวบ้านก็ต้องบอกว่า เอาหมามาใส่กรงแล้วก็ช็อร์ตไฟ

เกิดอะไรขึ้น เดาไม่ยากใช่ไหมครับ

เห่าหอนกันระงมแน่นอน สุนัขไม่ว่าพันธุ์ไหนก็ปากเปราะทั้งนั้น ตัวที่แข็งแรงหน่อยก็พยายามตะกายกรงเพื่อจะหาทางออก ส่วนตัวเล็กๆ ก็วิ่งวนไปมา เมื่อเห็นดังนั้นมาร์ตินกับเมเยอร์ก็ช็อร์ตไฟซ้ำเข้าไปอีก ช็อร์ตอีกมันเห่าอีก วุ่นวายไปทั้งกรงล่ะครับ พวกเขาทำอย่างนี้อยู่เกือบสิบครั้งต่อวัน

แปลว่าอะไร

พูดให้เป็นวิชาการก็ต้องแปลว่าเพื่อการทดลองที่ได้ผล เขาใช้เวลากักตัวสุนัขเพื่อกระตุ้นด้วยกระแสไฟฟ้ามากกว่าหนึ่งวัน แล้วก็กระตุ้นมันอย่างนั้นทุกๆ วัน ท่านผู้อ่านที่เป็นคนรักหมาอ่านแล้วคงอยากชกหน้าอีตามาร์ตินกับอีตาเมเยอร์เต็มแก่แล้วใช่ไหมครับ

วันหลังๆ ที่พวกเขาปล่อยกระแสไฟฟ้าใส่กรงสุนัขนี่ พวกสุนัขเริ่มไม่เห่าแล้ว ส่วนใหญ่จะหมอบนิ่งๆ ให้กระแสไฟฟ้าดูด มีบางตัวที่อาจจะร้องครางหงิงๆ ด้วยความกลัว

แต่ไม่มีตัวไหนเลยที่พยายามจะตะเกียกตะกายหาทางออก

จากนั้นคุณเมเยอร์กับคุณมาร์ตินก็ดำเนินการทดลองขั้นต่อไป ด้วยการย้ายสุนัขทุกตัวไปอยู่ในกรงใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ๆ กรงใหม่นี้มีขนาดใหญ่กว่ากรงแรกหลายเท่าทีเดียว แต่ไม่ว่าจะใหญ่กว่าอย่างไร พวกเขาก็กะว่าจะยังคงปล่อยกระแสไฟฟ้าผ่านเข้าไปในกรงอีก

"อย่างน้อยมันก็จะได้มีที่วิ่งหนีวิ่งหลบกระแสไฟฟ้าที่ไปไม่ทั่วทั้งกรงบ้าง" สองสหายผู้ทำการทดลองคงคิดอย่างนั้น ท่านผู้อ่านล่ะครับคิดอย่างพวกเขาไหม

ทันทีที่ปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป เกิดอะไรขึ้นละครับที่นี้

พวกมันหมอบนิ่งๆ

ไม่ว่าจะปล่อยอีกสักกี่ทีพวกมันก็หมอบนิ่งๆ เหมือนยอมรับชะตากรรม การทดลองยังคงทำต่อไปด้วยการย้ายไปอยู่กรงที่ใหญ่ขึ้นๆ และก็ช็อร์ตไฟอย่างเดิม และไม่ว่าจะย้ายกรงไปอีกกี่ครั้ง พวกสุนัขที่ถูกทดลองก็ยังคงหมอบนิ่งๆ

มาร์ตินกับเมเยอร์สรุปว่า สัตว์ไม่ว่าชนิดไหนๆ ไม่เว้นแม้แต่มนุษย์ เมื่อถูกความเจ็บปวดตอกย้ำ ซ้ำๆ หลายๆ หน มันจะทำให้เกิดความชาชินกับความทุกข์จนไม่สามารถจะช่วยเหลือตัวเองได้ แล้วในที่สุดสิ่งมีชีวิตนั้นก็จะเลิกมีความหวังกับชีวิต

ฟังแล้วก็น่าเชื่อนะครับ เพราะเราก็เห็นผู้คนหลายๆ คนที่อยู่รอบๆ ตัวเราเป็นอย่างนั้น หลายคนยอมแพ้ต่อชะตากรรม หลายคนอยู่ไปแบบซังกะตาย

แต่สิ่งมีชีวิตไม่ใช่ไฟล์อะไรสักไฟล์ที่ถูกก๊อบปี้มานี่ครับจะได้เหมือนกันหมด

วิกเตอร์ ฟรังเกล คนหนึ่งล่ะที่ไม่เป็นอย่างนั้น เขาเป็นจิตแพทย์ที่อาศัยอยู่ในกรุงเวียนนาช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเฉกเช่นแพทย์ทั่วไป แต่ทันทีที่สงครามเริ่มต้น เขาก็ถูกจับด้วยมีเชื้อชาติเป็นยิว

วิกเตอร์และคนยิวอีกนับหมื่นนับแสน ถูกจับตัวมาขังไว้ที่คุกออสวิตซ์โดยรถไฟขนสัมภาระ คนที่เคยดูหนังเรื่องชิลเลอร์ลิสต์ น่าจะนึกภาพออกว่ามันแออัดเพียงใด

วิกเตอร์รู้ว่าอีกไม่นานพวกนักโทษส่วนใหญ่ก็จะถูกฆ่าตายที่คุกแห่งนี้ เขาและนักโทษนับพันถูกบังคับให้ทำงานหนักภายใต้สภาพที่เลวร้ายที่สุด เพราะแม้แต่ขนมปังเน่าๆ สักแผ่นก็ยังต้องแบ่งกันกิน ทุกคนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก

ความทุกข์ทับโถมเท่าไรนั้น คงไม่ต้องไปพูดถึง มันหมดอาลัยตายอยากในชีวิตแทบทุกนาทีก็ว่าได้ คิดเอาเองก็แล้วกันครับว่าถ้าชีวิตที่อยู่ๆ ข้างๆ เราค่อยๆ ล้มหายตายจากไปทีละคน เราจะรู้สึกอย่างไร

วิกเตอร์ได้เขียนไว้ในหนังสือ Man"s Search For Meaning ที่เขาเขียนขึ้นหลังสงครามสงบว่า เขายังชีพอยู่ในคุกนรกได้ด้วยปณิธานสามข้อ นั่นคือ

1.จะต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อกลับไปหาครอบครัวให้จงได้

2.จะใช้ความรู้ทางแพทย์ช่วยคนอื่นอย่างเต็มกำลัง

3.จะเรียนรู้ท่ามกลางวิกฤตการณ์สังหารหมู่มหาโหดให้มากที่สุด เพื่อกลับไปเล่าให้คนรุ่นหลังฟัง

อาจเป็นเพราะปณิธานสามข้อนี้ก็ได้ ที่ทำให้วิกเตอร์รอดชีวิต

สิ่งหนึ่งที่ผมรู้สึกเมื่ออ่านเรื่องของเขาก็คือ วิกเตอร์ไม่ยอมเป็นหมาหมอบอยู่ในกรงที่ถูกไฟช็อร์ตตลอดเวลา เมื่อมีโอกาสเขาจะตะกายหาทางออกให้จงได้ และเมื่อมันยังออกไม่ได้ เขาก็พยายามที่จะอยู่ให้ได้ท่ามกลางกระแสไฟฟ้าที่ถูกส่งเข้ามา

หลังสงครามโลกยุติ วิกเตอร์กลับไปอยู่ที่เวียนนา และก็เขียนหนังสืออมตะเล่มที่ว่านี้ขึ้น หนังสือเล่มนี้ขายดีติดอันดับโลกเลยนะครับ นั่นก็แสดงว่าปณิธานข้อสามของเขาบรรลุผล

ข้อความหนึ่งในหนังสือเล่มนี้เขียนเอาไว้ดีเหลือเกินครับ

"แม้จะมีคนตายเป็นล้านๆ แต่สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเราต้องคิดเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งว่า เราต้องรอดเพื่อไปทำสิ่งดีๆ เราต้องรอดไปทำสิ่งสำคัญๆ ที่รอเราอยู่"