หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 12, 2005 11:40 pm
โดย dr_norr
เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

เศรษฐกิจมักเคลื่อนไหวในลักษณะของ"วงจร" คือขึ้น ทรงตัว และปรับลง ซึ่งตามหลักพุทธศาสนาบอกว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป จากนั้นจะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยปกติหนึ่งรอบของวงจร หรือวัฏจักร (Cycle) จะอยู่ที่ 10-15 ปี ดังนั้นการเลือกสินทรัพย์ (Asset Class) เพื่อการลงทุนในแต่ละช่วงเวลาของเศรษฐกิจจึงต้องแตกต่างกันไปเพื่อให้ผู้ลงทุนได้ผลตอบแทนสูงสุด

โดยทั่วไปวงจรเศรษฐกิจมักแบ่งออกเป็น 4 ช่วง

1.ช่วงเศรษฐกิจเริ่มฟื้นไข้จากการตกต่ำ (Recovery) หรือเริ่มผงกหัวขึ้น

สำหรับในเมืองไทยช่วง Recovery คือเมื่อปี 2542 ปัจจัยแวดล้อมทางเศรษฐกิจขณะนั้นคือ ดอกเบี้ยต่ำ เงินเฟ้อต่ำ รัฐบาลใช้มาตรการทั้งการเงินและการคลัง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลดภาษีกลุ่มอสังหาริมทรัพย์

ในช่วง Recovery สินทรัพย์ที่ควรเพิ่มน้ำหนักการลงทุนอย่างมาก คือ "หุ้น" เพราะราคาหุ้นจะสะท้อนอนาคต และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ได้อย่างรวดเร็ว (Stock market always reflects future) และจะสะท้อนถึงกำไรในปีถัดมาเข้ามาในราคาหุ้น

การลงทุนในหุ้นในช่วงเศรษฐกิจ Recovery จะให้ผลตอบแทนสูงต่อเนื่อง ตราบเท่าที่เศรษฐกิจขยายตัวในอัตราสูงกว่าปีก่อนหน้า และสินทรัพย์ประเภทหุ้นจะให้ผลตอบแทนสูงสุดในช่วงสุดท้ายของดอกเบี้ยขาลง เช่นที่เราได้เห็นในปี 2546 ซึ่ง SET ได้ปรับตัวขึ้นมาจาก 400 จุดเศษ มาที่ 700 จุดเศษ ซึ่งก็เป็นช่วงที่ดอกเบี้ยเงินฝากปรับตัวลงมาเหลือแค่ 1%

หรือในปี พ.ศ. 2536 หุ้นได้ปรับตัวขึ้นจากแถว 800 จุดเศษ มาถึง 1600 จุดเศษ ปรากฏการณ์นี้สืบเนื่องจากเม็ดเงินที่สะสมมานาน (accumulation) และไม่สามารถหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงลงทุนได้ เม็ดเงินจึงเคลื่อนย้ายเงินลงทุนมาที่ตลาดหุ้น

จะเห็นว่าในทุกๆ 10 ปี จะมีวัฏจักรแบบที่หุ้นขึ้นกระฉูด 1 รอบ เช่น ในปี พ.ศ.2536 หรือ พ.ศ.2546 และในช่วงนี้เองราคาที่ดินจะต่ำสุด

ถ้าทฤษฎีนี้เป็นจริง เรามีโอกาสเห็นหุ้นขึ้นแบบกระทิงเดือดอีกครั้ง ในปี พ.ศ. 2556!

2.ช่วงฟื้นตัวถึงฟื้นตัวสูงสุด (Early to late upswing)

ช่วงนี้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสูงสด เงินเฟ้อปรับตัวขึ้น ดอกเบี้ยระยะสั้นเริ่มปรับตัวขึ้น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) เช่น น้ำมัน ปิโตรเคมี เหล็ก ราคาที่ดินจะปรับตัวขึ้นสูงสุด ซึ่งส่งผลต่อหุ้นในกลุ่มปิโตรเคมี และหุ้นในกลุ่มที่ดินด้วย

เช่น ราคาหุ้นของบริษัท Aromatic หรือ ATC ได้ปรับตัวขึ้นจาก 4 บาท มาที่แถว 70 บาท ในระยะเวลา 3 ปีเท่านั้น หรือให้ผลตอบแทนเกือบ 18 เท่า

หรือหุ้นที่ดินอย่างบริษัท Land and House ได้ปรับตัวขึ้นมาจาก 11 บาท (Par 10 บาท) มาที่ 14 บาท (Par 1 บาท) หรือให้ผลตอบแทนมากกว่า 15 เท่า รวม warrants ด้วย

เหตุที่วงจรของกลุ่มปิโตรเคมีรุ่งเรืองในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเป็นเพราะโรงงานได้หยุดการสร้างมาเป็นเวลานานตั้งแต่เกิด Asian Crisis ในปี พ.ศ.2540 เช่นโรงกลั่นโรงสุดท้ายในประเทศไทยถูกก่อสร้างในช่วง พ.ศ.2535 เมื่อเศรษฐกิจขยายตัวดีขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 เป็นต้นมา ทำให้ความต้องการสูง และกำลังผลิตไม่มีการขยาย ราคาของผลิตภัณฑ์ก็สูงขึ้นเป็นก้าวกระโดด

นอกจากนี้ในช่วงเศรษฐกิจขาขึ้น การลงทุนในพันธบัตรจะทำให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าการลงทุนในกลุ่มที่ดิน สินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้น และการที่ดอกเบี้ยที่แท้จริงติดลบเป็นเวลานาน ทำให้เงินไหลออกจากระบบมาซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น

3.ช่วงเศรษฐกิจเริ่มถดถอย

ความเชื่อมั่นจะลดลงอย่างรวดเร็ว เงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น การเก็บวัตถุดิบ (inventory) เพื่อผลิตสินค้าจะลดลง ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ที่ดิน และหุ้นตกลง และในระยะนี้เองที่ว่า การลงทุนในพันธบัตรให้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนในหุ้น (Bond to beat equity market)

4.ช่วงถดถอยอย่างรุนแรง

ช่วงนี้การผลิตลดลงอย่างรวดเร็ว เงินเฟ้อจะพุ่งขึ้นสูงสุด จะเป็นอีกช่วงที่การลงทุนในพันธบัตรให้ผลตอบแทนดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น แต่ในกรณีที่เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงนี้ ถ้าเกิดจากการลดค่าเงิน (devaluation) เช่นในปี พ.ศ. 2540 จะทำให้ "หุ้นขึ้น" เนื่องจากนักลงทุนต่างประเทศสามารถซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นในราคาถูกลง และจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาซื้อที่ดินด้วย

เมื่อวงจรเศรษฐกิจแบ่งเป็น 4 ระยะ การลงทุนเพื่อผลตอบแทนสูงสุดควรอาศัยกลยุทธ์ Buy and Hold (ซื้อและถือ) ในระยะเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวถึงฟื้นตัวสูงสุด

ในขณะที่กลยุทธ์ Buy on Weakness (ซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว) ควรใช้สำหรับการลงทุนในระยะเศรษฐกิจถดถอย

--- จากบทความ money game ; Bizweek 10-16 june วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 12, 2005 11:54 pm
โดย Jeng
อ่านแรกๆนึกว่าเขียนเอง อิอิ

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 12, 2005 11:57 pm
โดย miracle
จะบ่งบอกถึงตัวไหนหรือเปล่าเนี่ย
ถ้าใช่คงเป็นพวกปิโตรเคมี เหล็ก หรือเปล่าล่ะนั้น
เพราะเห็นราคาตอนนี้ เริ่มมีอาการ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญแล้ว

อาจจะเป็นสัญญาณเตือนว่า วิกฤติกำลังจะมาหรือเปล่า

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 9:26 am
โดย thumbman2001
ขอบคุณครับ สำหรับบทความนี้
ถ้าใครสนใจ ผมเคยอ่านหนังสือของ Peter Navarro เรื่อง when the market move. Will you be ready. และ if it's raining in Brazil, buy Starbck. รู้สึกว่ามีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ business cycle และการลงทุน น่าอ่านครับ
:P

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 13, 2005 9:39 am
โดย Jeng
หลังจากตั้งใจอ่านอีกที ดูๆแล้วก็น่ากลัวนะท่าน Dr.

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 14, 2005 3:45 pm
โดย ch_army
ผมลองคิดตาม การลงุทนแบบนี้ครับ ลองคิดดูนะครับ หากว่าผลตอบแทนการลงทุนเป็นไปตามวงจรเศรษฐกิจ แล้วนักลงุทนที่มีเม็ดเงินส่วนหนึ่ง ซึ่งมากพอที่จะส่งผลต่อเม็ดเงินรวมของระบบการลงทุนของตลาดใดๆ เช่นตลาดในประเทศไทย ในภูมิภาค หรืออื่นๆ นำเอาเม็ดเงินที่มีไปซื้อดักทางไว้ก่อนเสมอๆ จะทำให้เกิดสมดุลของระบบการลงทุนได้เร็วขึ้นไหมครับ คือ ผมว่าประเด็นนี้น่าสนใจนะครับ ว่า วงจรการลงทุน(เม็ดเงิน) กับวงจรเศรษฐกิจเนี่ย เราจะหาจุดสมดุลได้ยังไง ไม่ทราบว่า เพื่อนๆพี่ๆที่เรียนทาง เศรษฐศาสตร์มา พอจะแนะนำได้ไหมครับว่ามีตำราไหน หรืองานวิจัยที่สนใจทำทางนี้บ้าง เพราะผมสนใจแต่ไม่มีความรู้ความเข้าใจที่จะลงมือทำครับ

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 14, 2005 3:50 pm
โดย สามัญชน
:lol: :lol: :lol: :lol:

เห็นด้วยครับ น่าสนใจมากๆ
มีการศึกษาใหมครับว่า อดีตเป็นแบบนี้ อนาคตจะเป็นแบบไหน

ที่เห็นบ่อยๆ มีแต่สรุปอดีตอย่างเดียว ไม่มีใครกล้าพยากรณ์อนาคต

:lol: :lol: :lol: :lol:

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 14, 2005 3:55 pm
โดย Dr.T
แล้วทั่นนอจะมาซื้อพันธบัตรเหรอ :P

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 14, 2005 11:30 pm
โดย dr_norr
ก็มอง ๆเหมือนกันนะ
อาจแบ่งเงินไปลงทุน ในกองทุนที่ลงทุนพันธบัตร
หรือกองทุนที่เราสามารถเปลี่ยนสลับมาตลาดหุ้นได้
เผื่อเอาไว้หักค่าภาษีด้วยงัย
...แต่ตอนนี้ยังไม่มีว่ะ.... :lol:

เล่นหุ้นตาม "วงจรเศรษฐกิจ"

โพสต์แล้ว: อังคาร มิ.ย. 14, 2005 11:53 pm
โดย Invisible hand
ขอบคุณมากครับ หากเปรียบเทียบวงจรช่วงปี 253x กับ 254x ปีที่ peak ก็ตรงกันคือ 2546 กับ 2536

ดังนั้นหากเปรียบเทียบกันต่อโดยใช้หลักนี้ ตลาดหุ้นบ้านเราปีนี้จะเหมือนตลาดช่วงปี 2538 ผมจำได้ว่าหุ้นกลุ่มที่ perform ดีช่วงนั้นคือ หุ้นรับเหมา อย่าง ITD CK TASCO เพราะรัฐบาลชุดนั้นเน้นสร้างถนน มีโครงการถนน 4 เลนทั่วประเทศ หุ้น Bank ก็ดีเพราะมีการปล่อยกู้กันมาก หุ้นพลังงานอย่าง EGCOMP หรือ PTTEP หลังจากนั้นซักปี 2539 หุ้นเริ่มลงกันหมด มีแต่หุ้นค้าปลีกอย่าง Makro หรือหุ้น defensive อย่าง Ssc ที่ขึ้นเยอะ

ดูตลาดไทยปี 2548 ก็มีส่วนคล้ายเหมือนกันครับ หุ้นพลังงาน รับเหมา แบงค์ ก็เป็นหุ้นที่ perform ดีพอสมควร และก็มีการเล่นเรื่อง Government project เหมือนปี 38 เลย

เราคงหลีกเลี่ยงวัฎจักรไม่พ้น แต่ก็หวังว่าขาลงเที่ยวนี้ให้เป็น soft landing ก็พอครับ