สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 1
ผมได้รับแนวความคิดที่ดีๆในวันอมรมก็เลยอยากจะนำความคิดนี้มาฝากท่านที่ไม่ได้เข้ารับฟังนำไปวิเคราะห์ร่วมให้เหมาะสมกับการลงทุนในสไตล์ของพวกท่านครับ
ท่านที่เข้ารับฟังในวันงานมีอะไรเพิ่มเติมก็เชิญนะครับเพราะผมก็จำมาคิดว่าคงมีตกหล่นแน่นอน
ที่ผมพอจะสรุปแนวความคิดของท่านดร.ได้ดังนี้
1.ท่านจะมองหาแนวทางของกลุ่มธุรกิจที่จะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันในปัจจุบัน เช่น ช่วงลดค่าเงินบาท ท่านก็เปลี่ยนตัวไปถือหุ้นกลุ่มส่งออกเป็นหลัก เป็นต้น
2.ท่านมองหาธุรกิจที่มีความเป็นผู้นำ มีความแข็งแกร่งในฐานะการเงิน (ถ้าเป็นธุรกิจที่กำลังต่อสู้กันอยู่แต่ยังไม่เจอผู้ชนะ ท่านจะยังไม่เข้าไปลงทุนในกิจการนั้นๆ) และต้องเป็นธุรกิจที่มีสิ่งกีดขวางไม่ให้ผู้แข่งขันรายใหม่เข้ามาโดยง่าย เช่น แบรนด์ หรือ สิทธิบัตร หรือ สัมปทาน เป็นต้น
3.ท่านมองเทรนหรือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต 5ปี-10ปี
(เทรน=พฤติกรรม ไม่ใช่ กระแส=ความเห่อ)ในเมื่อเทรนเปลี่ยน อนาคตเปลี่ยนท่านก็มองหาบริษัทพวกนั้นท่านขอโตแค่10% ตลอด5ปี ท่านบอกว่าperfectแล้ว ไม่ต้องไปมองหุ้นที่โต30-50%แต่เป็นวัฎจักร คือ มันไม่คงที่ ท่านไม่เคยซื้อหุ้นพวกนี้เลย
4.ท่านมองราคาเป็นตัวสุดท้าย ท่านจะไม่คาดการณ์รายได้ที่จะเกิดในอนาคต
5ปีแล้วมาคำนวนย้อนคืนเป็นราคาปัจจุบัน(DCF)ท่านบอกว่าอย่างมากก็เอากำไรไตรมาทล่าสุดคูณ4(สำหรับหุ้นที่กำไรสม่ำเสมอ)ก็จะเป็นEPSใน12เดือนข้างหน้าถ้ามันผ่าน3ข้อข้างบนจะกำหนดว่าจะซื้อไม่เกินPE=10ในตามข้อ4
ส่วนคำถามที่น่าสนใจที่ผมชอบคือ
1.ท่านเริ่มเป็นVIเมื่อไหร่(เพราะท่านเริ่มเล่นแรกๆท่านเล่นแบบไม่มีหลักที่แน่นอน) ผมจับประเด็นได้ว่าท่านเริ่มเป็นVIตอนที่ท่านมองหาหุ้นที่ซื้อแล้วเก็บเป็นทรัพย์สมบัติให้ลูกยามลูกโต(ต้องซื้อเก็บ10ปีขึ้นไป)
ขอแนะนำสำหรับผู้ที่มีครอบครัวแล้วแต่ยังไม่ใช่VIให้ใช้หลักนี้มาคิด ผมว่าจะทำให้พฤติกรรมเราเปลี่ยนพอสมควรครับ2.มีหลายคนถามถึงวิกฤตในปี48-49 ท่านมองว่ายังไม่น่าห่วงเพราะยังมีข้อมูลบางอย่างยังสวนทางกับคำว่าวิกฤตอยู่เช่นภาระหนี้สินของบริษัทต่างๆก็ลดลง
แต่จะเกิดการชลอตัวทางเศรฐกิจบ้างก็ไม่น่าห่วง ผมตีความคำว่าไม่น่าห่วงของท่านดร.ว่า1.ถ้าคัดธุรกิจตามแนวทางข้างบน ธุรกิจก็ยังดำรงอยู่ได้สบาย
2.ท่านไม่ได้มองถึงราคาหุ้นในตลาด(ท่านมองถึงผลกำไรที่บริษัทหาได้)
3.ข้อผิดพลาดที่เคยผ่านมาในการลงทุน ท่านยกตัวอย่างที่ยังขาดทุนก็คือSE-ED ที่ทำให้ขาดทุนเพราะท่านรีบซื้อจนเกินไป(PEเกิน10เท่า)ทำให้ส่วนต่างความปลอดภัยไม่มี
มีส่วนใดพิมพ์ผิดขอให้ท่านอาจารย์ก็ให้อภัยลูกศิษย์คนนี้ด้วยนะครับ ด้วยความนับถืออย่างสูง
ท่านที่เข้ารับฟังในวันงานมีอะไรเพิ่มเติมก็เชิญนะครับเพราะผมก็จำมาคิดว่าคงมีตกหล่นแน่นอน
ที่ผมพอจะสรุปแนวความคิดของท่านดร.ได้ดังนี้
1.ท่านจะมองหาแนวทางของกลุ่มธุรกิจที่จะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันในปัจจุบัน เช่น ช่วงลดค่าเงินบาท ท่านก็เปลี่ยนตัวไปถือหุ้นกลุ่มส่งออกเป็นหลัก เป็นต้น
2.ท่านมองหาธุรกิจที่มีความเป็นผู้นำ มีความแข็งแกร่งในฐานะการเงิน (ถ้าเป็นธุรกิจที่กำลังต่อสู้กันอยู่แต่ยังไม่เจอผู้ชนะ ท่านจะยังไม่เข้าไปลงทุนในกิจการนั้นๆ) และต้องเป็นธุรกิจที่มีสิ่งกีดขวางไม่ให้ผู้แข่งขันรายใหม่เข้ามาโดยง่าย เช่น แบรนด์ หรือ สิทธิบัตร หรือ สัมปทาน เป็นต้น
3.ท่านมองเทรนหรือพฤติกรรมของผู้บริโภคที่จะเปลี่ยนไปในอนาคต 5ปี-10ปี
(เทรน=พฤติกรรม ไม่ใช่ กระแส=ความเห่อ)ในเมื่อเทรนเปลี่ยน อนาคตเปลี่ยนท่านก็มองหาบริษัทพวกนั้นท่านขอโตแค่10% ตลอด5ปี ท่านบอกว่าperfectแล้ว ไม่ต้องไปมองหุ้นที่โต30-50%แต่เป็นวัฎจักร คือ มันไม่คงที่ ท่านไม่เคยซื้อหุ้นพวกนี้เลย
4.ท่านมองราคาเป็นตัวสุดท้าย ท่านจะไม่คาดการณ์รายได้ที่จะเกิดในอนาคต
5ปีแล้วมาคำนวนย้อนคืนเป็นราคาปัจจุบัน(DCF)ท่านบอกว่าอย่างมากก็เอากำไรไตรมาทล่าสุดคูณ4(สำหรับหุ้นที่กำไรสม่ำเสมอ)ก็จะเป็นEPSใน12เดือนข้างหน้าถ้ามันผ่าน3ข้อข้างบนจะกำหนดว่าจะซื้อไม่เกินPE=10ในตามข้อ4
ส่วนคำถามที่น่าสนใจที่ผมชอบคือ
1.ท่านเริ่มเป็นVIเมื่อไหร่(เพราะท่านเริ่มเล่นแรกๆท่านเล่นแบบไม่มีหลักที่แน่นอน) ผมจับประเด็นได้ว่าท่านเริ่มเป็นVIตอนที่ท่านมองหาหุ้นที่ซื้อแล้วเก็บเป็นทรัพย์สมบัติให้ลูกยามลูกโต(ต้องซื้อเก็บ10ปีขึ้นไป)
ขอแนะนำสำหรับผู้ที่มีครอบครัวแล้วแต่ยังไม่ใช่VIให้ใช้หลักนี้มาคิด ผมว่าจะทำให้พฤติกรรมเราเปลี่ยนพอสมควรครับ2.มีหลายคนถามถึงวิกฤตในปี48-49 ท่านมองว่ายังไม่น่าห่วงเพราะยังมีข้อมูลบางอย่างยังสวนทางกับคำว่าวิกฤตอยู่เช่นภาระหนี้สินของบริษัทต่างๆก็ลดลง
แต่จะเกิดการชลอตัวทางเศรฐกิจบ้างก็ไม่น่าห่วง ผมตีความคำว่าไม่น่าห่วงของท่านดร.ว่า1.ถ้าคัดธุรกิจตามแนวทางข้างบน ธุรกิจก็ยังดำรงอยู่ได้สบาย
2.ท่านไม่ได้มองถึงราคาหุ้นในตลาด(ท่านมองถึงผลกำไรที่บริษัทหาได้)
3.ข้อผิดพลาดที่เคยผ่านมาในการลงทุน ท่านยกตัวอย่างที่ยังขาดทุนก็คือSE-ED ที่ทำให้ขาดทุนเพราะท่านรีบซื้อจนเกินไป(PEเกิน10เท่า)ทำให้ส่วนต่างความปลอดภัยไม่มี
มีส่วนใดพิมพ์ผิดขอให้ท่านอาจารย์ก็ให้อภัยลูกศิษย์คนนี้ด้วยนะครับ ด้วยความนับถืออย่างสูง
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 5
ดร.นิเวศน์มองว่า BIGC มีลูกค้าคนละกลุ่มกับ โลตัส คาร์ฟู ครับ
ท่านมองว่า BIGC เป็นเกรด C
ท่านมองว่า BIGC เป็นเกรด C
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 7
8) บิ๊กซี จริงครับเป็นเกรดซีที่ใน กทม.
ประเทศไทยไม่เล็กนะครับ
อย่างต่างจังหวัด ไม่มีพวกคาร์ฟู โลงตัด
แล้วจะจัดบิ๊กซีอยู่เกรดอะไร?
ดูที่อุดร-ขอนแก่น-โคราช-พัทยา
เอาคนไปนับรถนับคนเดินดูได้เลย
บิ๊กซีมีคนเดินเยอะ เพราะทางเลือกจะไปโลงตัดน้อย
แล้วเจ้าโลงตัดที่ขอนแก่น
นิสัย รอปอภอ.เลวไม่มีที่เปรียบไม่มีคนอยากไปเดิน
ซ้อมคนมาช๊อปเพราะไปตั้งข้อสังเกตว่ามาล้วงความลับห้าง
โดยความเป็นจริงก็น่าจะใช่
เพราะเจ้าหนุ่ม3คนนั่นเข้าไปจดราคาสินค้า
แล้ว รอปอภอ.จับมาสอบในห้าง
ไม่ยอมรับแล้วก็ซ้อมให้รับก่อนส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สุดท้ายตั้งข้อหากันสารพัด
ส่งสำนวนไอยะการ สุดท้ายยกฟ้อง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ2ปีก่อน
โลงตัด ใช้แผนการตลาดสกปรกมาก
สมัยก่อนไปปักป้ายตรงข้ามบิ๊กซี โลงตัดถูกกว่าดีกว่า
พอคนซื้อ2ที่ มาวางดูบิ๊กซีถูกกว่า เป็นการโกหกตาใสใส
เป็นสงครามจิตวิทยา ช่วงหลังมีการไกล่เกลี่ยเรื่องจึงเงียบแล้วเลิกลากันไป
มองภาพกว้างทั้งประเทศ อย่ามองแต่ใน กอทอมอ อย่างเดียว
ประเทศไทยไม่เล็กนะครับ
อย่างต่างจังหวัด ไม่มีพวกคาร์ฟู โลงตัด
แล้วจะจัดบิ๊กซีอยู่เกรดอะไร?
ดูที่อุดร-ขอนแก่น-โคราช-พัทยา
เอาคนไปนับรถนับคนเดินดูได้เลย
บิ๊กซีมีคนเดินเยอะ เพราะทางเลือกจะไปโลงตัดน้อย
แล้วเจ้าโลงตัดที่ขอนแก่น
นิสัย รอปอภอ.เลวไม่มีที่เปรียบไม่มีคนอยากไปเดิน
ซ้อมคนมาช๊อปเพราะไปตั้งข้อสังเกตว่ามาล้วงความลับห้าง
โดยความเป็นจริงก็น่าจะใช่
เพราะเจ้าหนุ่ม3คนนั่นเข้าไปจดราคาสินค้า
แล้ว รอปอภอ.จับมาสอบในห้าง
ไม่ยอมรับแล้วก็ซ้อมให้รับก่อนส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สุดท้ายตั้งข้อหากันสารพัด
ส่งสำนวนไอยะการ สุดท้ายยกฟ้อง
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ2ปีก่อน
โลงตัด ใช้แผนการตลาดสกปรกมาก
สมัยก่อนไปปักป้ายตรงข้ามบิ๊กซี โลงตัดถูกกว่าดีกว่า
พอคนซื้อ2ที่ มาวางดูบิ๊กซีถูกกว่า เป็นการโกหกตาใสใส
เป็นสงครามจิตวิทยา ช่วงหลังมีการไกล่เกลี่ยเรื่องจึงเงียบแล้วเลิกลากันไป
มองภาพกว้างทั้งประเทศ อย่ามองแต่ใน กอทอมอ อย่างเดียว
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 8
ขอบคุณมากครับ
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
-
- Verified User
- โพสต์: 593
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 9
เติมอีกนิดแล้วกันนะครับ สำหรับคนที่ไม่ได้ไป
ดร. บอกว่า วิกฤต หรือการชลอตัวของเศรษฐกิจ ถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าห่วง
มากนัก เพราะธุรกิจที่เลือกก็พอจะไปได้เรื่อย ๆ
แต่ ในทางกลับกัน เศรษฐกิจโตเร็วกลับน่าห่วง เพราะอาจล่อตาล่อใจ
ให้คู่แข่งที่แข่งแกร่งของธุรกิจที่เราถืออยู่ สนใจที่จะมาทำตลาด
ทำให้เกิดสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นครับ
ดร. บอกว่า วิกฤต หรือการชลอตัวของเศรษฐกิจ ถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าห่วง
มากนัก เพราะธุรกิจที่เลือกก็พอจะไปได้เรื่อย ๆ
แต่ ในทางกลับกัน เศรษฐกิจโตเร็วกลับน่าห่วง เพราะอาจล่อตาล่อใจ
ให้คู่แข่งที่แข่งแกร่งของธุรกิจที่เราถืออยู่ สนใจที่จะมาทำตลาด
ทำให้เกิดสภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้นครับ
ต้องเรียนรู้ให้ได้
Li .. Zhi .. Ren
Li .. Zhi .. Ren
-
- Verified User
- โพสต์: 1608
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 11
DCF ต้องใช้ค่าประมาณหลายตัวซึ่งจะทำให้ได้ค่าที่แตกต่างกันได้มากครับ
มนุษย์เห่อลูก :lol:
http://tyakon.multiply.com
http://tyakon.multiply.com
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 1
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 12
ทั้งอาจารย์ นิเวศน์ และพี่ฉัตรชัย ไม่ได้ใช้ โดยพี่ฉัตรชัยให้เหตุผลว่า ค่าที่ได้ไม่ถูกต้องเสมอไปแล้วแต่ความคิดของแต่ละคน (ถ้าให้ทั้งห้อง150คนคำนวนค่าตัวเลขDCFอาจได้ค่าที่ไม่ตรงกันเลย) ส่วนตัวพี่ฉัตรชัยจะคำนวนก็ไว้เผื่อความสบายใจในเวลาที่พี่เขาสมมุติดูว่าเวลาธุรกิจแย่จะเหลือค่าอยู่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่พี่เขาจะดูงบ3ตัวเป็นหลักในไตรมาทล่าสุดเทียบกับอดีต และเทียบกับราคาหุ้นในปัจจุบัน ส่วนทางอาจารย์ นิเวศน์ พูดได้คำเดียวว่า VISION ครับใครไปงานบ้างครับ ช่วยอธิบายให้ผมหน่อยว่าทำไมถึงไม่ใช้ DCF หละครับ ผมใช้ประจำเลยอะ วิธีนี้ไม่เหมาะกับเมืองไทยเหรอครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 59
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 13
เมื่อสิบปีก่อน ตอนผมเรียนอยู่ขอนแก่น โลตัส (แต่ก่อนอยู่ในเครือซีพี) ใช้วิธีสกปรกเอาโบว์ชัวร์สินค้าที่มีราคาของบิ๊กซี (เครือเซ็นทรัล) มาแปะใต้สินค้าเพื่อเปรียบเทียบว่าโลตัสถูกกว่า (50สตางค์ ก็เอา) ตัดราคากันเห็นๆ บิ๊กซีแก้เกมโดยขึ้นคัดเอาต์โจมตีคู่แข่งใกล้ๆก่อนทางเข้าห้างโลตัส เป็นกรณีพิพาทกันไปมาอยู่เนือง ไม่ทราบตอนนี้ยังมีอยู่ไม่
Price is what you pay, value is what you get.
- someOne
- Verified User
- โพสต์: 253
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 16
เอ... อ่านที่พี่ปรัชญาเขียนไว้ ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะครับ ว่าการไปจดราคาในห้างนั่นจะน่ากลัวขนาดนี้...
ทีหลังผมต้องแอบเอากล้องเล็กๆ ไปถ่ายแทนมั้งครับ กลัวโดนซ้อม :lol:
ทีหลังผมต้องแอบเอากล้องเล็กๆ ไปถ่ายแทนมั้งครับ กลัวโดนซ้อม :lol:
ด้วยความเคารพ
From someOne
--------------------
Knowledge Access Investment
From someOne
--------------------
Knowledge Access Investment
- ปรัชญา
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 18252
- ผู้ติดตาม: 1
สรุปแนวความคิดของ ดร.นิเวศน์ ในวันงาน
โพสต์ที่ 17
ที่แม็ค
ที่แม็คโคร นี่คนซื้อถือเครื่องคิดเลยกันเลย
เพราะซื้อเต็มรถ บรรดาร้านชำต่างอำเภอ (ไม่แถมถุงอีกต่างหาก)
ผมคิดว่าเป็นความหวาดระแวงของโลงตัด เพราะขายไม่ดีคนน้อย
เจ้าบิ๊กซี้ คนเยอะกว่า5เท่านั้นล่ะ เรื่องจดราคาไปเพื่อตัดราคา
ก็ดันจ้างนักศึกษาไปจด เวลาขึ้นสถานีตำรวจ
พวกก็บอกตำรวจว่า...จดทำวิจัยการตลาด
คงจบแล้วครับ
ตอนนั้นหอการค้านัดมาเจรจากัน
ที่แม็คโคร นี่คนซื้อถือเครื่องคิดเลยกันเลย
เพราะซื้อเต็มรถ บรรดาร้านชำต่างอำเภอ (ไม่แถมถุงอีกต่างหาก)
ผมคิดว่าเป็นความหวาดระแวงของโลงตัด เพราะขายไม่ดีคนน้อย
เจ้าบิ๊กซี้ คนเยอะกว่า5เท่านั้นล่ะ เรื่องจดราคาไปเพื่อตัดราคา
ก็ดันจ้างนักศึกษาไปจด เวลาขึ้นสถานีตำรวจ
พวกก็บอกตำรวจว่า...จดทำวิจัยการตลาด
คงจบแล้วครับ
ตอนนั้นหอการค้านัดมาเจรจากัน