การสะดุดตัวของเศรษฐกิจจีน ในปี2007 !!!!
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 20, 2005 6:50 pm
เมื่อ 1 เดือนที่แล้ว Dr.Jim Walker นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของ CLSA ออกบทวิเคราะห์ที่แหวกแนวจากนักเศรษฐศาสตร์อื่นๆ โดยทำนายว่าเศรษฐกิจจีนจะสะดุดตัวและขยายตัวเพียง 3-4% ในปี 2007 ซึ่ง Dr.Walker สรุปว่าจะเป็นการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่ "รุนแรงและเจ็บปวด" (sharp & painful)
Dr.Walker คือใคร ? เขาคือผู้ที่ทำนายว่า เศรษฐกิจไทยจะถดถอยในปี 1997 และเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนเดียวที่ทำนายถูกต้องว่า เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่สภาวะวิกฤต แม้แต่ Prof.Paul Krugman เองที่คาดการณ์พัฒนาการทางเศรษฐกิจของเอเชียที่เน้นแต่ปริมาณการลงทุน ยังยอมรับว่า Prof.Krugman เอง เพียงแต่คิดว่าเศรษฐกิจของเอเชียจะชะลอตัวลง มิได้คาดการณ์ว่าจะเข้าสู่สภาวะวิกฤตที่ล้ำลึกเช่นที่ Dr. Walker ได้ทำนายเอาไว้
Dr.Walker กล่าวเตือนตั้งแต่ต้นว่า การทำนายเศรษฐกิจจีนของเขาครั้งนี้เป็นการตักเตือนแต่เนิ่นๆ โดยยอมรับว่าเศรษฐกิจจีนนั้นจะยังขยับตัวในอัตราสูงที่ 8-10% ในปีนี้และปีหน้า ทั้งนี้ต้องยอมรับในความถูกต้องของ Dr.Walker ที่ทำนายไว้เมื่อตอนต้นปี 2004 ว่า จะไม่มี hard landing เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจีน ซึ่งหากจำได้ในช่วงนั้นหลายคนพากันวิตกว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ในทางตรงข้าม Dr.Walker บอกว่า จะไม่มี landing เกิดขึ้น กล่าวคือ เศรษฐกิจจีนก็จะยังขยายตัวในอัตราที่ไม่ได้ชะลอตัวลงแต่อย่างใด
แต่ทำไมวันนี้ Dr.Walker จึงหันกลับมาทำนายว่า เศรษฐกิจจีนจะเผชิญกับการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในปี 2007 ? เขาเชื่อว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจจีนในวัฏจักรปัจจุบันที่เริ่มประมาณปี 2000 นั้น เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากวัฏจักรรอบก่อนๆ (1983-85 และ 1992-94) เพราะในรอบก่อนหน้านั้น เศรษฐกิจยังขยายตัวในกรอบของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ซึ่งมีการจำกัดขอบเขตของการแข่งขัน และเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการควบคุมและวางแผนจากรัฐบาลกลาง
สำหรับวัฏจักรปัจจุบันนั้น Dr.Walker อ้างว่า มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญจากระบบเดิม คือมีลักษณะเป็นระบบทุนนิยมและกลไกตลาดเสรีอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีสถาบันและกฎหมายเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคล (private property) ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาระบบทุนนิยมอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้น การเข้าเป็นภาคีองค์การการค้าโลก (WTO) และการผ่อนคลายให้ธนาคารพาณิชย์เอกชนเปิดดำเนินการ เป็นการส่งเสริมกลไก ตลาดเสรี และเพิ่มความมั่นใจให้กับนายทุนอีกระดับหนึ่ง
ดังนั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในรอบนี้ (ตั้งแต่ปี 2000) จึงเป็นเศรษฐกิจ "ขาขึ้น" ซึ่งมีลักษณะของระบบนายทุนอย่างค่อนข้างจะเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือการแข่งขันที่รุนแรงมากกว่าในอดีตอย่างมาก Dr.Walker ยกตัวอย่างว่า เมื่อเขาไปเยี่ยมชมบริษัทผลิตกระดาษแห่งหนึ่ง เขาทราบจากผู้บริหารของบริษัทว่า มีบริษัทผลิตกระดาษที่เป็นคู่แข่งประมาณ 5,000 แห่ง ในขณะที่ตัวเลขสถิติของทางการนั้น คำนวณว่ามีบริษัทผลิตกระดาษชำระในมณฑลเพียง 2,000-3,000 แห่ง นอกจากนั้น บริษัทคู่แข่งนั้นส่วนใหญ่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยอดีตพนักงานของบริษัทแรกๆ ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรมของจีน กล่าวคือ ความแปลกใหม่ของระบบทุนนิยมและกลไกตลาดเสรีได้ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงอย่างไร้ขอบเขต (rampant capitalism)
การแข่งขันดังกล่าวย่อมเป็นผลดีในเชิงของการกระตุ้นการขยายตัวของผลผลิตและการจ้างงาน แต่หากนำไปวิเคราะห์ตามแนวทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรีย เมื่อ 80 ปีที่แล้ว ก็จะต้องสรุปว่า การเร่งผลิตและการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว จะต้องนำมาสู่สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ นักศึกษาเศรษฐศาสตร์จะจำได้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในการเผยแพร่ทฤษฎีดังกล่าวก็คือ Joseph Schumpeter ซึ่งให้ข้อสรุปที่ค่อนข้างจะเศร้าหมองว่า เศรษฐกิจขาขึ้นนั้น จะต้องสร้างปัจจัยที่จะนำไปสู่เศรษฐกิจขาลงในที่สุด
ดังนั้น วัฏจักรของเศรษฐกิจทุนนิยมจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเศรษฐกิจขาขึ้นนั้นจะเริ่มต้นจากความสามารถและความกล้าเสี่ยงของชนชั้นพ่อค้า (entrepreneurial bursts of activity) ที่หวังจะได้กำไรอย่างงาม แต่ในความพยายามที่จะแข่งขันกันอย่างรุนแรงและไม่มีขอบเขตนั้น นายทุนก็จะตัดราคาซึ่งกันและกัน จนกำไรหมดลง และในที่สุดก็จะทำให้ขาดสภาพคล่องและสินเชื่อ จนกระทั่งธุรกิจจะต้องล้มละลายลงในที่สุด แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ระบบทุนนิยมนั้นควรจะยกเลิกไป เพราะก็ยังเป็นระบบที่กระตุ้นให้เกิดพัฒนาการทางเทคโนโลยี (เพื่อหวังผลกำไร) และส่งเสริมประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ระบบทุนนิยมก็ยังเป็นระบบที่จะเร่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่ก็จะต้องเผชิญกับความผันผวน โดยการมีทั้งเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลงนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
กลับมามองเศรษฐกิจจีน ก็จะเห็นว่ากลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ที่กำลังเร่งพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ นั้น กำลังกดดันธุรกิจรุ่นเก่าของจีน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งประสบปัญหาในการทำกำไรอย่างมาก จึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกแต่อย่างใดที่ตลาดหุ้นของจีนนั้น ดัชนีจะปรับตัวลดลงมาโดยตลอด เพราะบริษัทที่จดทะเบียนอยู่เดิมนั้นถูกผลกระทบอย่างหนักจากการแข่งขันของบริษัทรายใหม่ๆ เห็นได้จากดัชนีหลักทรัพย์หลักๆ ของจีน เช่น ดัชนี "Shanghai A Shares" ที่ลดลงจาก 2,200 จุด ในปี 2001 เหลือ 1,300 จุด ในปัจจุบัน และดัชนี "Shenzhen A Shares" ที่ลดลงจาก 700 จุด เหลือ 300 จุด ในช่วงเวลาเดียวกัน
CLSA อ้างผลการสำรวจผู้ประกอบการที่จัดทำขึ้นว่า ผู้ประกอบการเพียง 18% สามารถปรับราคาสินค้าของตนเพิ่มขึ้นได้ เพราะการแข่งขันที่สูงมาก ในขณะเดียวกัน 46% บอกว่า ต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นก็ยังพบว่า ต้นทุนด้านแรงงาน (เงินเดือนพนักงาน) นั้น เพิ่มขึ้นถึง 10-20% โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวลงในอนาคตแต่อย่างใด
ในประเด็นนี้ Dr.Walker มองต่างมุมจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ โดยฟันธงว่า จีนกำลังจะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเงินเดือนพนักงานปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงในอนาคต ทั้งนี้โดยยกตัวอย่างต่างๆ เช่น การประเมินว่าที่มณฑล Guangdong และ Fujian นั้น ขาดแรงงานถึง 2 ล้านคน และแม้ว่าตัวเลขนี้จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% ของจำนวนแรงงานจากชนบทที่จะอพยพเข้ามาทำงานในเมืองหลวง แต่ก็ต้องมีการขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำให้พนักงานถึง 12% เมื่อเดือนมีนาคม 2548 แต่ทั้งนี้ข้อเท็จจริงคือจีนกำลังขาดแคลนพนักงานที่มีฝีมือ พนักงานระดับผู้จัดการ และผู้บริหารระดับกลางเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลต่อกระบวนการผลิตอย่างมาก ทั้งนี้ การแข่งขันจัดตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ความต้องการผู้จัดการและผู้บริหารระดับกลางเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว จนกระทั่งจีนต้องนำเข้าแรงงานประเภทนี้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีการประเมินว่าจีนต้องนำเข้าผู้จัดการและผู้บริหารระดับกลางจากไต้หวัน ประมาณ 800,000-1,000,000 คน กล่าวโดยสรุปคือ จีนกำลังขาดแคลนพนักงานที่มีฝีมืออย่างหนัก ดังนั้น ความเชื่อของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ว่าจีนมีแรงงานราคาถูกอย่างเหลือเฟือจึงไม่เป็นความจริง และจีนกำลังประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และกำไรลดลงเพราะขาดแคลนแรงงาน
ทั้งนี้ CLSA ประเมินว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเงินเดือนจริงในสหรัฐ จะไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่เงินเดือนในจีนนั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 450%
สรุปได้ว่า การแข่งขันกันขยายธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรอย่างไม่มีขอบเขตนั้น ทำให้ราคาสินค้าลดลง แต่ต้นทุนการผลิตและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่ผู้ประกอบการและนายทุนของจีนก็ยังไม่ลดละการเพิ่มกำลังการผลิตเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยังเชื่อมั่นว่ามีโอกาสสร้างกำไรในอนาคตและมีการคาดการณ์ที่เกินเลยความจริงว่าเศรษฐกิจ (อุปสงค์) จะขยายตัวในอัตราสูงต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งขยายการผลิตและเพิ่มยอดขาย รวมทั้งการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโดยไม่ได้คำนึงถึงกำไรในปัจจุบันมากนัก (เพราะคาดว่าเมื่อสามารถทำยอดขายได้สูงแล้ว กำไรจะเพิ่มขึ้นตามมาในภายหลัง)
แต่ปัญหาหลักที่จะเกิดขึ้นคือการแข่งขันเพิ่มกำลังการผลิตที่รุนแรงและแรงกดดันของเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้านั้น จะทำให้กำไรของธุรกิจต่างๆ หดตัวลง ในขณะที่รัฐบาลจีนจะต้องปรับดอกเบี้ยขึ้น และลดการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ การดำเนินนโยบายดังกล่าวในขณะที่ธุรกิจกำลังมีปัญหากำไรหดตัว จะเป็นตัวจุดชนวนซ้ำเติมธุรกิจให้ปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลาย ทั้งในธนาคารรัฐและธนาคารเอกชน ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงได้ในที่สุดในปี 2007 ซึ่ง Dr.Walker คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเพียง 4%
ก็คงจะต้องรอดูต่อว่า Dr.Walker จะทำนายเศรษฐกิจจีนได้อย่างแม่นยำเช่นการทำนายเศรษฐกิจไทยเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนหน้าหรือไม่
Dr.Walker คือใคร ? เขาคือผู้ที่ทำนายว่า เศรษฐกิจไทยจะถดถอยในปี 1997 และเป็นนักเศรษฐศาสตร์คนเดียวที่ทำนายถูกต้องว่า เศรษฐกิจไทยจะเข้าสู่สภาวะวิกฤต แม้แต่ Prof.Paul Krugman เองที่คาดการณ์พัฒนาการทางเศรษฐกิจของเอเชียที่เน้นแต่ปริมาณการลงทุน ยังยอมรับว่า Prof.Krugman เอง เพียงแต่คิดว่าเศรษฐกิจของเอเชียจะชะลอตัวลง มิได้คาดการณ์ว่าจะเข้าสู่สภาวะวิกฤตที่ล้ำลึกเช่นที่ Dr. Walker ได้ทำนายเอาไว้
Dr.Walker กล่าวเตือนตั้งแต่ต้นว่า การทำนายเศรษฐกิจจีนของเขาครั้งนี้เป็นการตักเตือนแต่เนิ่นๆ โดยยอมรับว่าเศรษฐกิจจีนนั้นจะยังขยับตัวในอัตราสูงที่ 8-10% ในปีนี้และปีหน้า ทั้งนี้ต้องยอมรับในความถูกต้องของ Dr.Walker ที่ทำนายไว้เมื่อตอนต้นปี 2004 ว่า จะไม่มี hard landing เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจจีน ซึ่งหากจำได้ในช่วงนั้นหลายคนพากันวิตกว่า เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ในทางตรงข้าม Dr.Walker บอกว่า จะไม่มี landing เกิดขึ้น กล่าวคือ เศรษฐกิจจีนก็จะยังขยายตัวในอัตราที่ไม่ได้ชะลอตัวลงแต่อย่างใด
แต่ทำไมวันนี้ Dr.Walker จึงหันกลับมาทำนายว่า เศรษฐกิจจีนจะเผชิญกับการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงในปี 2007 ? เขาเชื่อว่าพัฒนาการของเศรษฐกิจจีนในวัฏจักรปัจจุบันที่เริ่มประมาณปี 2000 นั้น เป็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แตกต่างจากวัฏจักรรอบก่อนๆ (1983-85 และ 1992-94) เพราะในรอบก่อนหน้านั้น เศรษฐกิจยังขยายตัวในกรอบของระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ซึ่งมีการจำกัดขอบเขตของการแข่งขัน และเศรษฐกิจส่วนใหญ่ยังประกอบด้วยรัฐวิสาหกิจ โดยเฉพาะการควบคุมและวางแผนจากรัฐบาลกลาง
สำหรับวัฏจักรปัจจุบันนั้น Dr.Walker อ้างว่า มีความแตกต่างที่มีนัยสำคัญจากระบบเดิม คือมีลักษณะเป็นระบบทุนนิยมและกลไกตลาดเสรีอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การมีสถาบันและกฎหมายเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคล (private property) ซึ่งเป็นรากฐานของการพัฒนาระบบทุนนิยมอย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนั้น การเข้าเป็นภาคีองค์การการค้าโลก (WTO) และการผ่อนคลายให้ธนาคารพาณิชย์เอกชนเปิดดำเนินการ เป็นการส่งเสริมกลไก ตลาดเสรี และเพิ่มความมั่นใจให้กับนายทุนอีกระดับหนึ่ง
ดังนั้น การขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในรอบนี้ (ตั้งแต่ปี 2000) จึงเป็นเศรษฐกิจ "ขาขึ้น" ซึ่งมีลักษณะของระบบนายทุนอย่างค่อนข้างจะเต็มรูปแบบเป็นครั้งแรก ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือการแข่งขันที่รุนแรงมากกว่าในอดีตอย่างมาก Dr.Walker ยกตัวอย่างว่า เมื่อเขาไปเยี่ยมชมบริษัทผลิตกระดาษแห่งหนึ่ง เขาทราบจากผู้บริหารของบริษัทว่า มีบริษัทผลิตกระดาษที่เป็นคู่แข่งประมาณ 5,000 แห่ง ในขณะที่ตัวเลขสถิติของทางการนั้น คำนวณว่ามีบริษัทผลิตกระดาษชำระในมณฑลเพียง 2,000-3,000 แห่ง นอกจากนั้น บริษัทคู่แข่งนั้นส่วนใหญ่ถูกจัดตั้งขึ้นโดยอดีตพนักงานของบริษัทแรกๆ ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นในทุกภาคอุตสาหกรรมของจีน กล่าวคือ ความแปลกใหม่ของระบบทุนนิยมและกลไกตลาดเสรีได้ทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงอย่างไร้ขอบเขต (rampant capitalism)
การแข่งขันดังกล่าวย่อมเป็นผลดีในเชิงของการกระตุ้นการขยายตัวของผลผลิตและการจ้างงาน แต่หากนำไปวิเคราะห์ตามแนวทฤษฎีของนักเศรษฐศาสตร์ออสเตรีย เมื่อ 80 ปีที่แล้ว ก็จะต้องสรุปว่า การเร่งผลิตและการแข่งขันที่รุนแรงดังกล่าว จะต้องนำมาสู่สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่รุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งนี้ นักศึกษาเศรษฐศาสตร์จะจำได้ว่า นักเศรษฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในการเผยแพร่ทฤษฎีดังกล่าวก็คือ Joseph Schumpeter ซึ่งให้ข้อสรุปที่ค่อนข้างจะเศร้าหมองว่า เศรษฐกิจขาขึ้นนั้น จะต้องสร้างปัจจัยที่จะนำไปสู่เศรษฐกิจขาลงในที่สุด
ดังนั้น วัฏจักรของเศรษฐกิจทุนนิยมจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเศรษฐกิจขาขึ้นนั้นจะเริ่มต้นจากความสามารถและความกล้าเสี่ยงของชนชั้นพ่อค้า (entrepreneurial bursts of activity) ที่หวังจะได้กำไรอย่างงาม แต่ในความพยายามที่จะแข่งขันกันอย่างรุนแรงและไม่มีขอบเขตนั้น นายทุนก็จะตัดราคาซึ่งกันและกัน จนกำไรหมดลง และในที่สุดก็จะทำให้ขาดสภาพคล่องและสินเชื่อ จนกระทั่งธุรกิจจะต้องล้มละลายลงในที่สุด แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ระบบทุนนิยมนั้นควรจะยกเลิกไป เพราะก็ยังเป็นระบบที่กระตุ้นให้เกิดพัฒนาการทางเทคโนโลยี (เพื่อหวังผลกำไร) และส่งเสริมประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ ดังนั้น ระบบทุนนิยมก็ยังเป็นระบบที่จะเร่งการพัฒนาทางเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่ก็จะต้องเผชิญกับความผันผวน โดยการมีทั้งเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลงนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
กลับมามองเศรษฐกิจจีน ก็จะเห็นว่ากลุ่มนายทุนกลุ่มใหม่ที่กำลังเร่งพัฒนาธุรกิจใหม่ๆ นั้น กำลังกดดันธุรกิจรุ่นเก่าของจีน โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจ ซึ่งประสบปัญหาในการทำกำไรอย่างมาก จึงไม่ใช่สิ่งที่แปลกแต่อย่างใดที่ตลาดหุ้นของจีนนั้น ดัชนีจะปรับตัวลดลงมาโดยตลอด เพราะบริษัทที่จดทะเบียนอยู่เดิมนั้นถูกผลกระทบอย่างหนักจากการแข่งขันของบริษัทรายใหม่ๆ เห็นได้จากดัชนีหลักทรัพย์หลักๆ ของจีน เช่น ดัชนี "Shanghai A Shares" ที่ลดลงจาก 2,200 จุด ในปี 2001 เหลือ 1,300 จุด ในปัจจุบัน และดัชนี "Shenzhen A Shares" ที่ลดลงจาก 700 จุด เหลือ 300 จุด ในช่วงเวลาเดียวกัน
CLSA อ้างผลการสำรวจผู้ประกอบการที่จัดทำขึ้นว่า ผู้ประกอบการเพียง 18% สามารถปรับราคาสินค้าของตนเพิ่มขึ้นได้ เพราะการแข่งขันที่สูงมาก ในขณะเดียวกัน 46% บอกว่า ต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้นก็ยังพบว่า ต้นทุนด้านแรงงาน (เงินเดือนพนักงาน) นั้น เพิ่มขึ้นถึง 10-20% โดยไม่มีแนวโน้มว่าจะชะลอตัวลงในอนาคตแต่อย่างใด
ในประเด็นนี้ Dr.Walker มองต่างมุมจากผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ โดยฟันธงว่า จีนกำลังจะประสบปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และเงินเดือนพนักงานปรับตัวสูงขึ้นอย่างรุนแรงในอนาคต ทั้งนี้โดยยกตัวอย่างต่างๆ เช่น การประเมินว่าที่มณฑล Guangdong และ Fujian นั้น ขาดแรงงานถึง 2 ล้านคน และแม้ว่าตัวเลขนี้จะคิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% ของจำนวนแรงงานจากชนบทที่จะอพยพเข้ามาทำงานในเมืองหลวง แต่ก็ต้องมีการขึ้นเงินเดือนขั้นต่ำให้พนักงานถึง 12% เมื่อเดือนมีนาคม 2548 แต่ทั้งนี้ข้อเท็จจริงคือจีนกำลังขาดแคลนพนักงานที่มีฝีมือ พนักงานระดับผู้จัดการ และผู้บริหารระดับกลางเป็นหลัก ซึ่งจะส่งผลต่อกระบวนการผลิตอย่างมาก ทั้งนี้ การแข่งขันจัดตั้งบริษัทแห่งใหม่ขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ความต้องการผู้จัดการและผู้บริหารระดับกลางเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว จนกระทั่งจีนต้องนำเข้าแรงงานประเภทนี้จากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก มีการประเมินว่าจีนต้องนำเข้าผู้จัดการและผู้บริหารระดับกลางจากไต้หวัน ประมาณ 800,000-1,000,000 คน กล่าวโดยสรุปคือ จีนกำลังขาดแคลนพนักงานที่มีฝีมืออย่างหนัก ดังนั้น ความเชื่อของผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ว่าจีนมีแรงงานราคาถูกอย่างเหลือเฟือจึงไม่เป็นความจริง และจีนกำลังประสบปัญหาต้นทุนการผลิตสูงขึ้น และกำไรลดลงเพราะขาดแคลนแรงงาน
ทั้งนี้ CLSA ประเมินว่า ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาเงินเดือนจริงในสหรัฐ จะไม่เพิ่มขึ้นเลย แต่เงินเดือนในจีนนั้นเพิ่มขึ้นประมาณ 450%
สรุปได้ว่า การแข่งขันกันขยายธุรกิจเพื่อแสวงหากำไรอย่างไม่มีขอบเขตนั้น ทำให้ราคาสินค้าลดลง แต่ต้นทุนการผลิตและอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นแต่ผู้ประกอบการและนายทุนของจีนก็ยังไม่ลดละการเพิ่มกำลังการผลิตเพราะต่างฝ่ายต่างก็ยังเชื่อมั่นว่ามีโอกาสสร้างกำไรในอนาคตและมีการคาดการณ์ที่เกินเลยความจริงว่าเศรษฐกิจ (อุปสงค์) จะขยายตัวในอัตราสูงต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งขยายการผลิตและเพิ่มยอดขาย รวมทั้งการเพิ่มส่วนแบ่งตลาดโดยไม่ได้คำนึงถึงกำไรในปัจจุบันมากนัก (เพราะคาดว่าเมื่อสามารถทำยอดขายได้สูงแล้ว กำไรจะเพิ่มขึ้นตามมาในภายหลัง)
แต่ปัญหาหลักที่จะเกิดขึ้นคือการแข่งขันเพิ่มกำลังการผลิตที่รุนแรงและแรงกดดันของเงินเฟ้อที่จะเพิ่มขึ้นใน 1-2 ปีข้างหน้านั้น จะทำให้กำไรของธุรกิจต่างๆ หดตัวลง ในขณะที่รัฐบาลจีนจะต้องปรับดอกเบี้ยขึ้น และลดการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ การดำเนินนโยบายดังกล่าวในขณะที่ธุรกิจกำลังมีปัญหากำไรหดตัว จะเป็นตัวจุดชนวนซ้ำเติมธุรกิจให้ปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลาย ทั้งในธนาคารรัฐและธนาคารเอกชน ซึ่งจุดนี้จะเป็นจุดที่นำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงอย่างรุนแรงได้ในที่สุดในปี 2007 ซึ่ง Dr.Walker คาดว่าเศรษฐกิจจีนจะขยายตัวเพียง 4%
ก็คงจะต้องรอดูต่อว่า Dr.Walker จะทำนายเศรษฐกิจจีนได้อย่างแม่นยำเช่นการทำนายเศรษฐกิจไทยเมื่อเกือบ 10 ปีก่อนหน้าหรือไม่