Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

เพราะผมก็มีบางส่วนที่ฝากกองทุน มานานพอควรผมว่ามันดีกว่าส่วนที่ลงทุนเองอีก

คนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเอง Beat market ในระยะยาวได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วมีคน Beat ได้น้อยมากๆ

อาการนี้เรียกว่า overconfidence เป็นอาการอย่างหนึ่งที่นัก Behaviorial Finance ศึกษาความไร้เหตุผลของตลาดอยู่

เอ.........พี่สุมาอี้ครับ แล้วพวกเรานี่ก็เข้าค่าย Overconfidence ด้วยหรือเปล่าครับ

ผมมองว่ากองทุนส่วนใหญ่มีผลการดำเนินงานไม่ต่างจากดัชนีมากนัก
ดังนั้นไม่มีเหตุผลที่ผมจะยอมไปเสียค่าธรรมเนียมให้กองทุน

กองทุนบางกองก็มีผลการดำเนินงานที่ดี แต่ส่วนใหญ่คงไม่ดีกว่าดัชนีมากนัก โดยเฉพาะหากไปซื้อกองที่ผู้จัดการกองทุนบื้อๆ

แม้ซื้อขายเองจะเสียค่าธรรมเนียมสูงกว่า และต้องเสียเวลาติดตามการลงทุน แต่ผมมองว่าในระยะยาวน่าจะคุ้มกว่า ที่จริงรายย่อยมีข้อได้เปรียบกองทุนหลายประเด็น ดังที่ดร.เคยเขียนบทความ

การซื้อกองทุนน่าจะเหมาะกับคนที่ต้องการลดภาษี หรือไม่มีความรู้ในการลงทุนมากนัก หรือไม่มีเวลาที่จะติดตามตลาดหุ้น หากไม่ใช่ประเด็นเหล่านี้ ผมคิดว่าลงทุนเองน่าจะดีกว่าครับ

ถ้าอยากศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับกองทุนรวม(ทั้ง เปิด และปิด) ผมแนะให้อ่านบทความนี้ครับ เป็นเรื่องประวัติของกองทุนรวมในสหรัฐอเมริกาในช่วง 60 ปีที่ผ่านมา (1945-2005) โดยเป็นบันทึกการบรรยายของ John C. Bogle ผู้บริหารกองทุน Vangard ที่มีชื่อของอเมริกา โดยเอาประสบการณ์ของตนที่คลุกคีอยู่ในวงการนี้มานาน 55 ปี และยังคงบริหารอยู่

เขาท้าวความและเปรียบเทียบแนวทางการจัดการกองทุนที่เปลี่ยนไปจากอดีต ที่เดิมเน้นเอาใจใส่จัดการกองทุนเป็นแบบลงทุนแบบ value investing แต่ปัจจุบันแปรเปลี่ยนเป็นแบบ speculative และซื้อขายกันบ่อยขึ้นเพื่อผลงานระยะสั้น ซึ่งทุกอย่างเป็นต้นทุนทั้งนั้น ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายไม่ใช่ผู้จัดการบริหารกองทุน แต่คือ ผู้ถือหน่วยลงทุนนั่นแหละ เป็นผู้รับผิดชอบ เพราะเขาหักจากกองทุนนั่นแหละ

ตัว John Bogle ยอมรับว่าตนเองเคยหาญกล้าที่จะโต้แย้งความเห็นของ John Maynard Keynes เมื่อ 70 กว่าปีก่อน ที่พยากรณ์ว่า แนวการบริหารกองทุนรวมจะแปรเปลี่ยนจาก แบบ enterprise (มุ่งเน้นผลตอบแทนจากบริษัทที่ลงทุน) ไปเป็นแบบ speculative คือ เน้นซื้อขายหุ้นที่กองทุนถืออยู่โดยคาดเดาอารมณ์ของฝูงชนในตลาดเป็นที่ตั้งเพื่อให้เกิดผลงานที่ดี และที่สุด Bogle ก็ยอมรับว่าการพยากรณ์ของ Keynes ถูกต้องตรงเผ่ง กองทุนสมัยก่อนมีการซื้อง่ายไม่บ่อยนัก แต่สมัยนี้ซื้อขายกันบ่อยมาก

เชื่อว่ากองทุนรวมในเมืองทุนก็ต้องเจริญรอยตามกองทุนรวมในอเมริการแน่ๆ

ผมเองเคยเจ็บมากับการลงทุนกับกองทุนรวมมาแล้วเมื่อ 10 กว่าก่อนวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ที่กองทุนรวมเกิดเป็นดอกเห็ด (เดี่ยวนี้ก้โผล่มากเป็นดอกเห็ดเช่นกัน) ผลสุดท้ายหลังวิกฤตเหลือเงินต้นราว 30% ขาดทุนย่อยยับ นี่แหละสมกับคำว่า "ความไม่รู้คือความเสี่ยง"

ถ้าศึกษาให้เข้าใจ แนวทางการจัดการของกองทุน และผู้บริหารดีๆ เลือกอย่างรอบคอบจริงๆแล้ว การลงทุนในกองทุนรวมก็ใช้ได้ครับสำหรับผู้ไม่มีเวลา หรือเอาจริงกับการศึกษา ขวนขวายเรื่องการลงทุนเพื่อลงทุนด้วยตนเอง

หากจริงจังกับการลงทุนในกองทุนรวมจริงขอแนะให้อ่านบทความนี้ครับ:-
The Mutual Fund Industry 60 Years Later: For Better or Worse?
http://www.vanguard.com/bogle_site/sp20050102.htm

ขอให้โชคดีกับการลงทุนที่ชอบครับ

PP เขียน:.....................................................................

เชื่อว่ากองทุนรวมในเมืองทุนก็ต้องเจริญรอยตามกองทุนรวมในอเมริการแน่ๆ

ขอแก้เป็น เมืองไทยเรา

พูดถึงกองทุนทีไร

ผมคิดถึงลุงช่วย ทุกทีเล๊ย

ลุงช่วย
เป็นคนหนึ่งที่ซื้อกองทุนหุ้น หมดเนื้อหมดตัว
กับการเก็บออมเงินมาตลอดชีวิตการทำงาน
หวังสบายมีเงินเก็บไว้กิน ไว้ใช้จ่ายในเวลาหลังเกษียณ
แต่เงินทั้งหมด ก็หมดไปกับการซื้อกองทุน
ลุงช่วยเรียกร้อง ประท้วง มาหลายปี

แล้วความอดทน-อดกลั้น ก็มีจุดจำกัด

วันหนึ่ง ที่หน้าแบ๊งค์
ลุงช่วย ป่าวประกาศให้นักหนังสือพิมพ์-วิทยุ-โทรทัศน์
ให้ไปทำข่าว การประท้วง

วันนั้นลุงช่วย เอาอึ(ขี้)มาราดตัวเอง
หน้าแบ๊งค์ที่ขายกองทุนให้เพื่อการลงทุน
พร้อมกับเดินเข้าไปในที่ทำการ
วันรุ่งขึ้น ลุงช่วยก็ตกเป็นอาหารจานด่วนของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในยุคนั้น

http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=10559

อาจจะเกี่ยวกับจิตวิทยาการลงทุน ถ้านักลงทุนรายย่อยลองลงทุนเองแล้วได้กำไรก็คิดว่าตัวเองจะลงทุนได้ดีกว่ากองทุน และยิ่งถ้าเขามีข้อมูลมากขึ้น เขาก็จะยิ่งมั่นใจในตัวเองมากขึ้น

อันนี้เจอมากับตัวเองครับ
ที่ซื้อกองทุนรวมคราวก่อนก็เพราะ
ผมเพิ่งเริ่มเล่นหุ้นใหม่ๆเอี่ยมอ่อง
ไม่มีความรู้เรื่องหุ้นใดๆทั้งสิ้น
เจ้าของกองทุนท่านท้าให้บอกว่า
ลองแบ่งเงินเป็นสองก้อนเท่าๆกัน
ก้อนแรกซื้อกองทุนกับท่าน
อีกก้อนลองลงทุนเอง
ตอนนี้ก้อนหลังชนะก้อนแรกแล้วครับ
เลยตัดใจขายกองทุนมาซื้อหุ้นเองดีกว่า

อีกเหตุผลนึงที่ผมตัดขาดจากกองทุนรวม
เพราะผมไม่ได้ความรู้อะไรเลย
จากการให้คนอื่นมาบริหารเงินแทนเรา

ลงทุนเองได้ความรู้เยอะกว่า เยอะ เยอะ เลย
ถ้าขาดทุน ก็ได้เรียนรู้ และจำไว้เป็นบทเรียน
ถ้ากำไรก็ได้เรียนรู้เช่นกัน แถมยิ้มได้ทั้งวันอีกต่างหาก

ผมยังจำคำของคุณ เทียม โชควัฒนา จนขึ้นใจได้ว่า
"ผิดก็ครู ถูกก็ครู" ครับ

ผมเองก็ไม่ชอบซื้อกองทุน (และไม่รู้กำลัง overconfidence อยู่ด้วยหรือเปล่า :lol: )

แต่ผมว่ามีกองทุนอยู่ 2 แบบที่น่าซื้อ
1. Open-ended Money Market Fund ความเสี่ยงต่ำกว่าฝากประจำ แต่ผลตอบแทนสูงกว่าเล็กน้อยแถมซื้อขายได้ทุกวัน

ตัวผมเอง เลิกฝากประจำไปแล้ว ผมใช้ MM แทนการฝากเงินไปเลย

2. LTF index fund ไม่มีความเสี่ยงเรื่องผู้จัดการกองทุนบริหารผิดพลาด ไม่มีความเสี่ยงเรื่องไม่ beat ตลาด และยังได้คืนภาษีอีกต่างหาก พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก

นอกนั้นไม่แนะนำครับ

สำหรับผมซื้อกองทุนเพราะมี 2 เหตุผลครับ
1. อยากจะซื้อ Bond แต่ Bond ในตลาดมัน Par 1000 บาท
Lot นึงก็ 100,000 บาทแล้ว ไม่ได้อยากซื้อมากขนาดนั้น
แต่ซื้อน้อยๆ ได้จากกองทุนครับ
2. ได้เครดิตภาษี

ขออภัยครับ ตอบไม่ตรงกระทู้เท่าไร

ซื้อหุ้น ดูผลการดำเนินงานของบริษัท ดูผู้บริหารบริษัท

ซื้อกองทุน ก็ดูผลการดำเนินงานของกองทุน ดูผู้บริหารกองทุน

ถ้าผู้บริหารกองทุนเปลี่ยนคน ก็ขายหมดพอร์ตเลย ผู้บริหารกองทุนคนใหม่มา อาจทำให้พื้นฐานเปลี่ยนได้ เพราะแนวทางการลงทุนและประสบการณ์ต่างกัน

ลองอ่าน Value way ใน Bizweekช่วง 2 สัปดาห์นี้ ตรงกับประเด็นนี้เป๊ะ

เจ๊งด้วยฝีมือตัวเอง มันสะใจกว่า

Posted: Fri Jul 01, 2005 6:16 pm Post subject: ทำไมนักลงทุนรายย่อยคิดว่าตัวเองจะลงทุนได้ดีกว่ากองทุน

ผมเองก็เชื่อเช่นนั้น แต่ยังทำไม่สำเร็จเลย

พิสูจน์ด้วยตนเองแล้วว่าผลตอบแทนดีกว่า และคล่องตัวกว่า

ไม่ได้คิดว่าเก่งกว่าหรอก แต่หน่วยลงทุน ซื้อ ยาก ขาย ยาก

ซื้อขายหุ้นโทรสั่งกริ๊กเดียวก็ได้แล้ว เข้าเช้าออกบ่ายก็ได้ ทันใจดี

ไม่ได้คิดว่าลงทุนได้ดีกว่า

แต่คิดว่าถ้าจะลงทุน ไม่รู้เรื่องพอ ก็ไม่ขอลงทุนดีกว่า

เพราะถ้าจะลงกองทุน ก็ต้องศึกษาอยู่ดีว่าเค้าลงอะไร

มันก็ไม่ต่างจากลงทุนเอง

ข้อดี คือขายวันเดียวหมดได้

มีลงกองLTFนะครับ เนื่องจากได้ส่วนลด

เพราะกองทุนมีข้อจำกัดเยอะครับ ไม่ได้คิดว่าตัวเองเก่งกว่า

แต่พูดตามตรงคือ 2 ปีที่ผ่านมา กองทุนดีๆ เก่งมากครับ ผลตอบ
แทนเฉลี่ยดีกว่าปอดผมเล็กน้อย

คล่องตัวกว่าเยอะครับ อยากซื้อบริษัทไหนบริษัทเดียว ก็ซื้อได้ อยากขายล้างพอร์ตก็ทำได้

กองทุนทำได้อะเปล่า :lol: :lol: :lol:

ไม่คิดยืมจมูกคนอื่นหายใจคับ อีกอย่างหวังได้อิสรภาพทางการเงินด้วยครับ
ซึ่งกองทุนคงให้ผมไม่ได้ นะครับ

สุมาอี้ เขียน:

แต่ผมว่ามีกองทุนอยู่ 2 แบบที่น่าซื้อ
1. Open-ended Money Market Fund ความเสี่ยงต่ำกว่าฝากประจำ แต่ผลตอบแทนสูงกว่าเล็กน้อยแถมซื้อขายได้ทุกวัน

ตัวผมเอง เลิกฝากประจำไปแล้ว ผมใช้ MM แทนการฝากเงินไปเลย

2. LTF index fund ไม่มีความเสี่ยงเรื่องผู้จัดการกองทุนบริหารผิดพลาด ไม่มีความเสี่ยงเรื่องไม่ beat ตลาด และยังได้คืนภาษีอีกต่างหาก พระเจ้าจอร์จมันยอดมาก

นอกนั้นไม่แนะนำครับ

เห็นด้วยครับ แต่ผมมี RMF ด้วยครับ เพิ่งลงปีนี้เพราะว่ามีการผ่อนเงื่อนไข
ลงมาเยอะจากเมื่อก่อน

ปล. สาเหตุที่กองทุนมีผลตอบแทนชนะดัชนีเพราะ กองทุนนับปันผลจากหุ้น
เป็นผลตอบแทนด้วย แต่ ดัชนีหุ้นไม่มีปันผลเข้ามาเกี่อวข้อง

ผมซื้อหุ้นด้วยเงิน 1000 บาทได้

แต่กองทุนต้อง 1 หมื่นบาทขึ้นไป

ซื้อหุ้นเองดีกว่า

1. ไม่ค่อยไว้ใจธรรมาภิบาลกองทุนไทย
2. ผลตอบแทนจากกองทุนไทยไม่น่าประทับใจ ถ้ามีแบบปีเตอร์ ลินซ์อะไรนี่ค่อยน่าสนใจหน่อยครับ

ซื้อกองทุนต้องจ่ายตังวันนั้นเลย
ซื้อหุ้นได้เครดิต 3 วัน นับเป็นข้อเสียอย่างมาก

ถ้ารู้จักใช้กองทุนให้เป็นประโยชน์ กรณีเราอยากลงทุนหุ้นไม่มีสภาพคล่องพวกสมอลแคป เวลาขายทิ้งไม่ต้องคอยหยอด ก็ดีนะผมว่า

กองทุน
เก็บต๋ง เมื่อซื้อ ขาย และก็ทุกๆปีครับ
เล่นเอง
เก็บต๋ง เมื่อซื้อ ขาย

ผ่านไป 10 ปี
กองทุน
... ยังลงทุนไม่เป็น
เล่นเอง
... เจ้งแล้วเลิก ไม่เจ้งก็จะมีคำนำหน้าว่าเซียน หรือไม่ก็เสี่ย

ดังนั้นไม่ต้องเก่งกว่ากองทุนหรอกครับ เอาแค่เท่ากันก็ชนะแล้ว
แล้วจะทำอย่างไรให้เท่ากัน ใบให้ก็ได้ ดูซิครับ กองทุน ... ถืออะไรมาก ก็ตามเลย

คำถามจากหัวข้อกระทู้

คำตอบจากผม จากข่าวหนังสือพิมพ์พบว่า กองทุนตราสารหนี้หลายแห่ง ลงทุนตั๋วบีอีของ PICNI

ผมคิดไม่ออกเลยว่ากองทุนซื้อได้ยังไง แล้วจะมีกองทุนหุ้นไหนซื้อหุ้นสามัญด้วยหรือเปล่าเนี่ย

แบบนี้แสดงว่ากองทุนไหนมี WG นี่แสดงว่าตาถึง