หน้า 1 จากทั้งหมด 1

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 9:41 pm
โดย เอก
สวัสดีครับ ผมมีข้อข้องใจไม่รู้ว่าเพื่อนๆเป็นอย่างผมหรือเปล่า บางที่เศรษฐกิจเริ่มดูแย่ ข่าวร้ายเข้ามามากๆ แล้วเรามั่นใจในตัวที่เราถือ บางครั้งถามตัวเองเหมือนกันครับว่า เอ!นี่เราเพิกเฉยไม่เร่งหาเหตุผลที่จะปรับพอร์ตหรือว่าเรากำลังเป็น VI เต็มตัวที่อดทนรอจังหวะกันแน่ ไม่รู้มีใครเป็นอย่างผมมั่งมั้ยครับ ผมได้ฟังอ.นิเวศน์ (ในงานพบ VI ครั้งล่าสุด) อดทน 5 ปีเพื่อพิสูจน์หุ้นแล้วทึ่งจริงๆครับ ความเสี่ยงของการเล่นหุ้นนอกจากความเสี่ยงที่เกิดจากตัวผลประกอบการ ผู้บริหาร แล้วผมว่า "ใจเราเอง" นี่แหละที่ทำให้เกิดความเสี่ยงมากที่สุดจริงมั้ยครับ

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 10:03 pm
โดย ลูกอิสาน
ความมั่นใจกับความมั่นใจเกินไป
ผมมองว่ามันต่างกันนะครับ

ความมั่นใจควรจะมารากฐานจากความจริง เหตุและผล
ส่วนการมั่นใจเกินไปเป็นสิ่งที่เราคิดเองเออเอง มองโลกในแง่ดีเกินไป เฟ้อฝัน


ผมมองว่าเหตุการณ์อย่างตอนนี้ มันยังต่างจากตอนวิกฤติมากครับ เผอิญเราเพิ่งผ่านช่วงนั้นไปไม่นานมาก ทำให้หลายคนกลัวว่าจะเกิดซ้ำรอย แต่ถึงแม้เศรษกิจมีแนวโน้มแย่ลง แต่หุ้นที่ถือลงทุนหลายตัวก็น่าจะไม่กระทบมาก

สรุปว่าปัจจัยพื้นฐานของหุ้นน่าจะมีสำคัญกว่าภาวะเศรษกิจโดยรวม แต่ถ้าเศรษกิจโดยรวมมีแนวโน้มจะแย่จริงๆ และอย่างยาวนาน ค่อยว่ากันครับ แต่ตอนนี้ลงทุนเต็มร้อยเหมือนเดิม :D

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 10:18 pm
โดย chatchai
เศรษฐกิจเริ่มแย่ แย่แค่ไหนครับ วิเคราะห์ได้ไหม

ข่าวร้ายเข้ามามากๆ แต่ละข่าวร้ายมากแค่ไหน

อย่าฟังข่าว แล้วใช้ความรู้สึกตัดสินครับ

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 10:28 pm
โดย ปรัชญา
ลูกอิสาน เขียน: ความมั่นใจควรจะมารากฐานจากความจริง เหตุและผล

ส่วนการมั่นใจเกินไปเป็นสิ่งที่เราคิดเองเออเอง มองโลกในแง่ดีเกินไป เฟ้อฝัน


:D
ชัดเจน


ที่ว่าแย่ เป็นกับหุ้นไม่มีพื้นฐาน
หุ้นที่มีหนี้สินเยอะย่อมได้รับผลกระทบ
หุ้นที่บริหารไม่โปร่งใส ที่กำลังดัง คงลำบาก

หุ้นที่มีเงินกำไรสะสมเยอะ ไม่มีหนี้สิน คงจะไม่ลำบาก

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 01, 2005 10:40 pm
โดย naris
ขอบคุณพี่ๆที่มีประสบการณ์มาบอกกล่าวความคิดเห็น :bow:
มือใหม่ย่อมมีความคิดไม่มั่นใจได้(ไม่ว่าจะมีกำไรหรือขาดทุน)เพราะประสบการณ์ยังไม่มากพอ ต้องคอยสอบถามเป็นระยะๆบ้างก็อย่า :mrgreen: รำคาญนะครับ

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ค. 02, 2005 7:50 pm
โดย เอก
ขอบคุณพี่ๆทุกท่านที่กรุณาให้ความเห็น ผมคงต้องทำการบ้านมากขึ้นครับ จะได้มีข้อมูลมากพอจะไม่ทำให้คิดเองเออเอง หรือถูกคนอื่นทำให้คิดไปทางใดทางหนึ่ง ขออีกนิดครับ วันนั้นผมไปฟังคุณ Chatchai ประทับใจมากครับ ผมสังเกตุ VI จะมีชีวิตแบบเน้นคุณค่า เช่นใช้ของอย่างรู้คุณค่าไม่ซื้ออะไรที่เกินตัว ดูคุณ Chatchai สมรรถะนะครับ (นี่ก็แค่ดูไม่มีข้อมูล) ผมมีเรื่องรบกวนครับ ผมดูงบหลายบริษัทฯกำไรดีขึ้น แต่ดูกระแสเงินสดที่ได้มา (ใช้ไป) จากการดำเนินการติดลบ เงินสดที่ใช้ในกิจกรรมการลงทุนติดลบ กิจกรรมจัดหาเงินติดลบ แสดงว่ากำไรมาส่วนใหญ่ใช้หนี้หรือเปล่าครับ และคร่าวๆเป็นที่ไม่ดีใช่มั้ยครับ รบกวนพี่ Chatchai หรือพี่ๆที่อ่านวิเคราะห์หน่อยครับ

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 10:33 am
โดย oaaa19
ดร. นิเวศน์เขียนบทความมาพอดี

เศรษฐกิจกับตลาดหุ้น โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


นักลงทุนในตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะวิตกกังวลกับเรื่องของภาวะเศรษฐกิจของประเทศมากเพราะเชื่อว่าเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกจากตลาดหุ้น เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ถ้าเศรษฐกิจแย่ ตลาดหุ้นก็พัง ถ้าเศรษฐกิจดี ตลาดหุ้นก็จะวิ่งระเบิด เพราะฉะนั้น ทุกครั้งที่มีการสัมมนาเรื่องหุ้น ก็มักจะมีคำถามว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร และเศรษฐกิจแบบนี้เราควรจะลงทุนในตลาดหุ้นไหม?



คำตอบของผมทุกครั้งก็คือ ผมไม่สนใจภาวะเศรษฐกิจ สิ่งที่ผมสนใจก็คือตัวหุ้นที่ผมจะลงทุน ถ้าพบหุ้นของบริษัทดีที่มีราคาถูกกว่ามูลค่าพื้นฐาน ผมก็จะลงทุน เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ตลาดหุ้นจะเป็นอย่างไร ผมไม่สนใจ เหตุผลอย่างหนึ่งก็คือ ผมไม่สามารถคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจได้ถูกต้อง และถ้าพูดถึงดัชนีหุ้นแล้ว ผมยิ่งไม่รู้ใหญ่ว่าดัชนีจะไปทางไหน ผมรู้แต่ว่าถ้าหุ้นผมมีคุณภาพดี ราคาถูกกว่าพื้นฐาน หุ้นก็จะดูแลตัวของมันเอง



คำถามต่อมาที่อาจจะเกิดขึ้นในใจของหลายคนก็คือ ถ้าเรารู้ หรือคาดการณ์ได้ถูกต้องว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร จะไม่ดีกว่าหรือในการที่จะสามารถเข้าหรือออกจากตลาดในเวลาที่ถูกต้องแทนที่จะปล่อยให้หุ้นที่ถืออยู่มีราคาตกต่ำลงเพราะภาวะเศรษฐกิจแย่ ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำ ซึ่งจะดึงให้หุ้นของเราขาดทุนไปด้วย?



คำตอบของผมก็คือ เป็นเรื่องยากที่จะคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจได้อย่างถูกต้อง และถึงจะคาดการณ์ได้ถูกต้องจริง ก็ไม่มีอะไรเป็นเครื่องรับประกันว่าเศรษฐกิจดีแล้วหุ้นต้องดี เศรษฐกิจแย่แล้วหุ้นต้องแย่ ไม่เคยมีการศึกษาไหนที่บอกว่าดัชนีหุ้นจะต้องตามภาวะเศรษฐกิจ ว่าที่จริงมีการศึกษาที่บอกว่าเศรษฐกิจดี ดัชนีหุ้นมักจะแย่ และถ้าภาวะเศรษฐกิจแย่ตลาดหุ้นมักจะกลับดี ซึ่งฟังดูก็น่าประหลาด เพราะเรามักจะได้ยินผู้นำประเทศและนักวิเคราะห์ชั้นนำพูดกันเสมอว่าตลาดหุ้นจะดีแน่เพราะเศรษฐกิจจะดี จนเราคิดว่านี่คือความจริงที่เที่ยงแท้โดยไม่คิดที่จะพิสูจน์หรือหาหลักฐานมายืนยัน



ถ้าคำพูดที่ว่าเศรษฐกิจดีแล้วหุ้นต้องดีเป็นจริง นักลงทุนคงจะรวยกันได้ง่ายมาก คุณเพียงแต่หาเงินไปลงทุนในประเทศจีนซึ่งเศรษฐกิจโตระเบิดปีละเกือบ 10% และทุกคนต่างก็มั่นใจว่าเศรษฐกิจของจีนจะโตต่อไปอีกนานจากที่ดีมาแล้วเป็นเวลานานนับสิบปี แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ตลาดหุ้นของจีนนั้นให้ผลตอบแทนที่แย่มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในช่วงเวลานับ 10 ปีที่ผ่านมา ปัญหาก็คือเรื่องราคาของหุ้นในตลาดที่แพงกว่าพื้นฐานเพราะนักลงทุนต่างก็มองโลกในแง่ดีเข้าซื้อหุ้นลงทุนกันมาก และเมื่อหุ้นในตลาดมีราคาแพงมาก ถึงภาวะเศรษฐกิจจะดี มันก็ไม่คุ้มที่จะลงทุน



ตรงกันข้าม ในภาวะที่เศรษฐกิจย่ำแย่ คนมองโลกในแง่ร้ายเทขายหุ้นจนหุ้นในตลาดมีราคาตกต่ำลงมาก ค่า PE ของตลาดเหลือเพียง 8-9 เท่า ซึ่งมีราคาถูกมาก แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจจะไม่ดี แต่การลงทุนก็อาจจะคุ้มค่ามากกว่า



ถ้าจะเปรียบให้เข้าใจง่าย เราก็เพียงแต่มองตลาดหุ้นให้เหมือนกับหุ้นตัวหนึ่ง และดัชนีตลาดก็คือราคาของหุ้นตัวนั้น ในภาวะที่เศรษฐกิจดี เราอาจจะบอกว่าหุ้นตลาดกำลังเติบโตเร็วเป็นหุ้น Growth Stock แต่หุ้นโตเร็วนั้นก็มักจะเป็นหุ้นร้อนแรงราคาแพง คือมี PE สูงกว่าพื้นฐาน การซื้อหุ้นร้อนนั้นโอกาสขาดทุนก็มีสูง แต่หุ้นตลาดในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดีนั้นมักจะมีราคาต่ำกว่าปกติ เป็นหุ้น PE ต่ำ ซึ่งจะเรียกว่าเป็นหุ้น Value ก็ไม่น่าจะผิด และถ้าเรากล้าที่จะลงทุน โอกาสที่จะทำกำไรกลับจะมีมากกว่า

ทั้งหมดนี้ผมก็หวังว่าจะทำให้นักลงทุนทั้งหลาย โดยเฉพาะ Value Investor เลิกวิตกกังวลกับภาวะเศรษฐกิจเวลาคิดจะลงทุน หรือถ้าจะคิดเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจก็ควรจะมองว่า ภาวะเศรษฐกิจที่ดูเลวร้ายนั้น จริง ๆ แล้วมันคือโอกาสที่จะทำกำไรมากกว่าปกติ อย่างไรก็ตาม ผมก็ไม่เชียร์ให้ซื้อหุ้นโดยการพิจารณาภาวะเศรษฐกิจเป็นหลัก การลงทุนโดยเฉพาะของนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนระยะยาวนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะนำภาวะเศรษฐกิจในช่วงสั้น ๆ เพียงปีสองปีมาพิจารณา

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 10:46 am
โดย tt
ปัญหาต่อไปของคุณเอก ก็จะคือว่าพอหุ้นขึ้นไม่รู้จะขายราคาเท่าไรดี
เพราะผมก็เคยเป็นเหมือนกันเลยแล้วก็เคยถามพี่ๆเหมือนกัน ก็ได้รับคำตอบ
เหมือนกัน จนผมสรุปได้ว่าผมไม่พร้อมที่จะทำได้เหมือนพี่ๆ ที่วิเคราะห์แล้ว
ว่าหุ้นจะลงเท่าไร หรือ ขึ้นเท่าไรไม่ต้องสน เพราะรู้อยู่แล้วว่า value มันเท่าไร

จนผมมาพบ DSM แล้วนำมาประยุกต์ให้กับตัวเอง ผมไม่เคยปล่อยให้หุ้นลง
เหมือนเมื่อก่อนแล้วต้องมา post ถามว่า พี่ครับผมควรทำอย่างไรดี
แล้วก็ไม่ต้องมาถามพี่ครับทำอย่างไรไม่ขายหมู

แต่อย่าถามนะครับว่าให้อธิบาย DSM ให้ไปศึกษาที่พันธ์ทิพย์ ในส่วน
ของคลับเพื่ออิสรภาพการเงิน พยายามนำมาประยุกต์กับตัวเรานะครับ
อย่าเอาข้อจำกัดของ DSM มาบดบังเรา เช่น เราไม่สามารถเฝ้าจอได้ทั้งวัน
หรือ อื่นๆ ผมคิดว่าในช่วงที่เรายังไม่มีความสามารถเท่าพี่ๆเขา DSM
เป็นวิธีที่ให้ผมตอบแทนดีพอควร แต่ก็คงไม่มากเท่าพี่ๆเขาหรอก เราต้องยอมรับกันว่าความสามารถมันผิดกัน แต่ก็ต้องพัฒนาความสามารถต่อไป

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 9:12 pm
โดย เอก
ขอบคุณที่ช่วยแนะนำนะครับ

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 04, 2005 9:29 pm
โดย pipatc
ขอความกรุณาบอกด้วยว่า DSM คืออะไร ผมมือใหม่จริง ๆ ขอขอบคุณมาล่วงหน้าครับ

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2005 11:27 am
โดย สามัญชน
:lol: :lol: :lol: :lol:
การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย
เห็นด้วยครับ แยกยากจริงๆ

เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ ว่ามันคืออะไรแน่ และต้องเป็นเวลาที่ยาวนานพอสมควร

ในระหว่างรอเวลาอีก 10 ปี จะมีอะไรเป็นตัวช่วยหรือไม่ มีครับ

การรอดูเวลาในอนาคตอีก10 ปี อาจจะคล้ายๆกับการย้อนดูอดีตเมื่อ 10- 20 ปีที่แล้ว แม้ไม่เหมือนกันเป๊ะๆ แต่ก็มีส่วนคล้ายอยู่บ้าง น่าจะเป็นตัวช่วยได้ระดับหนึ่ง เพราะปัจจุบันก็คืออนาคตของอดีต

แต่การที่จะบอกเจาะจงลงไปว่า หุ้นตัวใดตัวหนึ่งที่ถืออยู่เป็นการถืออย่างอดทนหรือเป็นการเพิกเฉย บอกยากยิ่งกว่ายากจริงๆ


:lol: :lol: :lol: :lol:

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 05, 2005 11:30 am
โดย สามัญชน
:lol: :lol: :lol: :lol:

DSM มีการพูดถึงเยอะมากกกกกกก
ลองค้นกระทู้เก่าๆดู
ถ้าค้นไม่เจอหรือเจอไม่หมด ก็อดใจรอนิดหนึ่งนะครับ กำลังมีการพัฒนาระบบในหลายๆเรื่องอยู่ครับ

:lol: :lol: :lol: :lol:

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 02, 2009 12:33 pm
โดย holidaytours
เกรแฮมก็เคยลงทุนขาดทุนยับมาแล้ว
แต่เขาก็รู้ว่าพอร์ทเขา มันจะกลับมาได้
เพราะหุ้นที่เขาถือมันมี pe แค่ 2 เท่าเท่านั้น
แล้วมันก็กลับมาได้จริง ๆ

ระยะสั้นนี่มันสามารถทำให้ทุกคนขาดทุนทางบัญชีได้หมดครับ
ไม่ว่าจะเป็นเซียนหรือไม่เซียนครับ

แต่ระยะยาว ถ้ามันดีจริง ยังไงมันก็ต้องดีครับ  :D

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 12, 2009 2:29 pm
โดย SoLid_frOg
โอ้เก่าแล้วนะครับเนี่ย

ตอนแรกไม่ดูวันที่ เห็นพี่นริศโพสดูน่ารัก ๆ บอกไม่ถูก  :oops:  :lol:

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 22, 2009 9:09 pm
โดย [v]
ใช่ครับ ผมก็มีบ้างที่หวาดกลัวแต่ผมก็รู้สึกลึกๆว่ามันจะกลับมาได้เพราะมันกำไรสองหลักตลอด 5 ปี ที่ผ่านมา พอคนลืมมันจะต้องกลับมาได้แน่ๆ เพราะมันมีกำไร กำไรของกิจการคือของจริง และ P/E ที่ผมถือสมเหตุสมผล  :D

การที่จะแยกระหว่างรออย่างอดทนกับเพิกเฉยจนทำให้พอร์ตเสียหาย

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 23, 2009 12:46 am
โดย toro
โห ถึงจะเป็นกระทู้เก่า แต่ยังคงความขลังนะครับ  :lol: