Invisible Hand: ภาวะน้ำมันแพง
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 12, 2005 4:36 pm
คัดลอกมาจากกระทิงเขียวครับ โดยได้รับอนุญาตจากคุณ Invisible Hand แล้ว
-----------------------------------------------------------------------------
ผมคาดว่าราคาน้ำมันคงจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงไปอีกพอสมควรครับ ด้วยเหตุผลหลายประการครับ
1 Supply ของน้ำมันทั่วโลกไม่สามารถเพิ่มได้ในระยะเวลาสั้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำๆ มานานตั้งแต่ต้นทศวรรษ 80 ทำให้ไม่ค่อยมีการลงทุนใหญ่ๆในการขุดเจาะน้ำมันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อทดแทนของเดิมมากกว่า การสำรวจแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเริ่มผลิตได้ ดังนั้นแม้ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นมาในช่วงนี้มากกว่าแหล่งใหม่ๆ ที่เริ่มมีการสำรวจจะผลิตได้ก็คงใช้เวลาอีกหลายปีครับ อย่างช่วงปี 73-74 ที่น้ำมันแพง ก็เริ่มมีการสำรวจแหล่งทะเลเหนือ ซึ่งกว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายได้ก็ช่วงปี 78-79 และราคาน้ำมันก็เริ่มลดลงมาในปี 81 สำหรับปัจจุบันก็ยังมีความเสี่ยงว่าการสำรวจใหม่ๆ จะเจอแหล่งน้ำมันที่มีขนาดใหญ่อย่างทะเลเหนือได้หรือเปล่าครับ หรือหากมีการสำรวจใหม่ ต้นทุนการสำรวจก็คงไม่ต่ำเหมือนเมื่อก่อนแล้วโดยเฉพาะหากเป็นการสำรวจบนแผ่นดิน ยกตัวอย่างเช่น การผลิตน้ำมันจากหินน้ำมัน หรือ sand oil ในแคนาดา ถ้าจำไม่ผิดจะมีต้นทุน 20-30 เหรียญครับ
จากผลของข้อจำกัดด้าน supply ผมจึงคิดว่าถ้าราคาน้ำมันจะลงได้ก็คงต้องอย่าหวังว่าจะลงเพราะ supply จะเพิ่มมากได้ แต่ต้องหวังว่า demand จะลง ซึ่งผมกำลังจะนำไปสู่ข้อ 2 ต่อไปครับ
2 ราคาน้ำมันที่ระดับ 60 เหรียญไม่เพียงพอที่จะทำให้ demand ทั่วโลกลงมามากพอ เนื่องจากเหตุผลหลักๆ 2 อย่างคือ
- Inflation adjusted อันนี้เป็นเรื่องที่พวกเรารู้ดีกันอยู่แล้วว่าหาก adjust เงินเฟ้อเข้าไปราคาน้ำมัน 60 เหรียญยังต่ำกว่าระดับ inflation adjusted ในช่วงปี 80 กว่าที่ 90 เหรียญอยู่ ดังนั้นราคาน้ำมันยังไม่ทำ new high ในรูปของ real term
- Oil consumption to GDP ของประเทศพัฒนาแล้วลดลงมาตลอด ตัวเลข Oil consumption to GDP เป็นตัวเลขบ่งบอกถึงการพึ่งพาน้ำมันของเศรษฐกิจแต่ละประเทศ ในปี 1980 สหรัฐ มีสัดส่วน Oil consumption to GDP 22% แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 7% หรือลดลง 3 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีต่างๆ และการเติบโตของเศรษฐกิจในอัตราที่สูงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นหมายความว่าแม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันจะขึ้นไปที่ inflation adjusted ที่ 90 เหรียญแต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐก็จะน้อยกว่าช่วงปี 80 ถึง 3 เท่า นี่คงเป็นสาเหตุที่สหรัฐไม่ออกมาโวยวายนักในเรื่องน้ำมันแพง
แต่เหตุการณ์นี้ตรงกันข้ามกับประเทศในเอเชีย ซึ่งมีการเติบโตของเศรษฐกิจสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มของจำนวนรถยนต์และการตัดถนนจำนวนมาก และการใช้พลังงานยังขาดประสิทธิภาพและการวางแผนที่ดี เช่น ประเทศไทยยังใช้สิบล้อในการขนส่งสินค้าแทนที่จะใช้รถไฟที่ยังถูกกว่า ยังมีโรงไฟฟ้าน้ำมันเตาให้เห็นอยู่ไม่น้อย โรงงานหลายแห่งก็ยังใช้น้ำมันเตา ซึ่งทำให้ Oil consumption ต่อ GDP ลดลงน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ยกตัวอย่าง จีน ลดลงจาก 21% เหลือ 15%
ดังนั้นการที่ราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น ความซวย ( ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนนะครับ ) จึงมาตกกับประเทศเอเชียและประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศที่ไม่มีแหล่งน้ำมัน ซึ่งจะได้รับผลกระทบมากกว่า
แม้เมืองไทยจะไม่มีตัวเลข Oil consumption to GDP ให้ผมศึกษา แต่ผมได้นำตัวเลข Oil import /GDP ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกัน พบว่า สัดส่วนดังกล่าวได้เพิ่มจาก 1.44% ในปี 1993 มาเป็น 8-9% ในปี 04 และน่าจะเพิ่มเป็น 13-15% ในปี 2005 ครับ หากใช้ตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนพ.ค. คือ 2 US bn มาทำเป็น 12 เดือน ก็จะได้ 15% เลยครับ
จากตัวเลข Oil consumption to GDP ของประเทศพัฒนาแล้วจะเห็นได้ว่าแม้ราคาน้ำมันจะขึ้นไป 60 เหรียญก็จะไม่กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจนัก และจะไม่ทำให้การใช้น้ำมันลดลงมากเท่าที่ควร
หากเรามองกลับมาที่ประเทศไทย ราคาน้ำมันเบนซินที่ 25 บาท ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้การใช้น้ำมันลดลงแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่เห็นมีใครรอบตัวที่จะยอมจอดรถแล้วมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากเท่าที่ควรเช่นกัน
ดังนั้น สรุปก็คือผมไม่คิดว่าราคาน้ำมันในระดับ 55-60 เหรียญจะทำให้ demand ของโลกลดลงได้มากนักครับ ระดับน้ำมันที่จะทำให้ demand ของโลกลดลงคือประมาณ 80 เหรียญบวกลบครับ
แต่ยังไงผมไม่คิดว่าการที่ราคาน้ำมันจะขึ้นไป 80 เหรียญจะทำให้เกิดภาวะถดถอยอย่างรุนแรงเหมือนช่วงทศวรรษ 80 นะครับ แต่คงจะทำให้เกิดภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และผมมองการลดลงของราคาน้ำมันในอนาคตได้ 2 แนวทางครับ
1. ราคาน้ำมันผ่านระดับ 60 เหรียญ แล้วขึ้นอย่างรวดเร็ว คือ อาจจะขึ้นไป 80-100 เหรียญในระยะเวลาอันสั้น จนภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด กรณีนี้อาจจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้เร็วครับ
2 ราคาน้ำมันผ่าน 60 เหรียญแล้วไต่ระดับไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ กรณีนี้ราคาน้ำมันจะขึ้นได้นานครับเพราะเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ปรับตัวจึงทำให้ demand ไม่ลดลงเท่าไหร่ครับ กรณีนี้จะไม่สามารถทำนายได้ว่าราคาน้ำมันจะไปถึงเท่าไหร่และถึงเมื่อไหร่ แต่ราคาน้ำมันจะเริ่มลดลงก็ต่อเมื่อราคาขึ้นไปอยู่ในระดับสูงที่นานพอจนทำให้ประชากรส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมและมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น หรือมี supply ใหม่ๆ เข้ามา ดังนั้นก็อาจจะประมาณได้ว่าราคาน้ำมันอาจจะแพงไปอีก 5-6 ปีครับ
ผมเองยังหวังว่าสิ่งที่ผมคาดการณ์จะผิดนะครับ เพราะผมก็ไม่อยากให้น้ำมันแพงอย่างนี้เหมือนกัน มันก็มีปัจจัยบางอย่างที่อาจจะอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ได้ เช่น การเข้ามาเก็งกำไรของ hedge fund ซึ่งหลายคนใช้เป็นคำอธิบายของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ถึงปัจจุบันผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะหากดูราคาน้ำมัน future ที่จะส่งมอบไปอีก 4-5 ปีข้างหน้า ล้วนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 60 เหรียญและสูงกว่าราคา spot เสียอีก ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดเพราะหากราคาน้ำมันสูงขึ้นจากการเก็งกำไร ตลาดน่าจะคาดว่าอนาคตราคาจะลงมา ดังนั้นราคา future ยาวๆ ก็ควรจะต่ำกว่า spot ครับ แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่อาจจะมีการเก็งกำไรใน future อายุยาวๆ ก็ได้ครับ
ดังนั้นสิ่งที่ผม post นี้ก็ไม่ได้ต้องการว่าให้ใครมาชื่นชมผมหากราคาน้ำมันขึ้นไปจริงๆ อย่างที่ผมบอกครับว่าผมเองยังอยากให้ผมผิดมากกว่าถูก แต่ผมอยากให้เพื่อนๆ เตรียมตัวและเตรียมใจรับสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงต่อเนื่องนานๆ ไว้บ้างนะครับ เช่น หากจะซื้อบ้านนอกเมือง ควรจะประมาณค่าใช้จ่ายในการเดินทางเผื่อน้ำมันลิตรละ 30 ไว้บ้าง หรือจะซื้อรถใหม่ ควรจะเลือก CC รถ ที่เหมาะกับการใช้งานและไม่สิ้นเปลืองเกินไป หากภาวะน้ำมันแพงเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยเราก็ได้เตรียมตัวไว้ หากไม่เกิดก็ไม่เป็นไรครับ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ผมได้เริ่มลงทุนในหุ้นพลังงานบางตัว เช่น PTTEP PTT UMS ซึ่งผมมองว่าเป็นการประกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนครับ ผมเองไม่ได้คิดว่าหุ้น PTTEP จะมี valuation ที่ถูกมากอะไรแต่ที่ลงทุนเพราะเห็นว่าราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไปนักและเน้นเรื่องการประกันความเสี่ยงของพอร์ตมากกว่าครับและรับผลขาดทุนได้หากราคาน้ำมันลงมาแรงเพราะถ้าอย่างนั้นหุ้นตัวอื่นๆ ของพอร์ตของผมก็ควรจะขึ้นมาด้วย หากราคาน้ำมันแพงอย่างที่ผมคาดจริง ผมคิดว่าน่าจะมี fund flow จากต่างชาติมาซื้อหุ้นอย่าง PTTEP PTT TOP แต่อย่าไปเข้าใจว่าเข้ามาซื้อเศรษฐกิจไทยนะครับ เค้ามาซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันต่างหากครับ แต่หากเพื่อนท่านไหนตัดใจซื้อประกันความเสี่ยงของพอร์ตด้วยหุ้นพลังงานไม่ไหว ผมแนะนำให้ถือเงินสดไว้บ้างครับและพยายามเลือกหุ้นที่มีผลกระทบจากเรื่องน้ำมันค่อนข้างน้อยครับ
-----------------------------------------------------------------------------
ผมคาดว่าราคาน้ำมันคงจะอยู่ในระดับค่อนข้างสูงไปอีกพอสมควรครับ ด้วยเหตุผลหลายประการครับ
1 Supply ของน้ำมันทั่วโลกไม่สามารถเพิ่มได้ในระยะเวลาสั้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำๆ มานานตั้งแต่ต้นทศวรรษ 80 ทำให้ไม่ค่อยมีการลงทุนใหญ่ๆในการขุดเจาะน้ำมันเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เป็นการลงทุนเพื่อทดแทนของเดิมมากกว่า การสำรวจแหล่งน้ำมันใหม่ๆ ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเริ่มผลิตได้ ดังนั้นแม้ว่าราคาน้ำมันจะขึ้นมาในช่วงนี้มากกว่าแหล่งใหม่ๆ ที่เริ่มมีการสำรวจจะผลิตได้ก็คงใช้เวลาอีกหลายปีครับ อย่างช่วงปี 73-74 ที่น้ำมันแพง ก็เริ่มมีการสำรวจแหล่งทะเลเหนือ ซึ่งกว่าจะเริ่มผลิตและจำหน่ายได้ก็ช่วงปี 78-79 และราคาน้ำมันก็เริ่มลดลงมาในปี 81 สำหรับปัจจุบันก็ยังมีความเสี่ยงว่าการสำรวจใหม่ๆ จะเจอแหล่งน้ำมันที่มีขนาดใหญ่อย่างทะเลเหนือได้หรือเปล่าครับ หรือหากมีการสำรวจใหม่ ต้นทุนการสำรวจก็คงไม่ต่ำเหมือนเมื่อก่อนแล้วโดยเฉพาะหากเป็นการสำรวจบนแผ่นดิน ยกตัวอย่างเช่น การผลิตน้ำมันจากหินน้ำมัน หรือ sand oil ในแคนาดา ถ้าจำไม่ผิดจะมีต้นทุน 20-30 เหรียญครับ
จากผลของข้อจำกัดด้าน supply ผมจึงคิดว่าถ้าราคาน้ำมันจะลงได้ก็คงต้องอย่าหวังว่าจะลงเพราะ supply จะเพิ่มมากได้ แต่ต้องหวังว่า demand จะลง ซึ่งผมกำลังจะนำไปสู่ข้อ 2 ต่อไปครับ
2 ราคาน้ำมันที่ระดับ 60 เหรียญไม่เพียงพอที่จะทำให้ demand ทั่วโลกลงมามากพอ เนื่องจากเหตุผลหลักๆ 2 อย่างคือ
- Inflation adjusted อันนี้เป็นเรื่องที่พวกเรารู้ดีกันอยู่แล้วว่าหาก adjust เงินเฟ้อเข้าไปราคาน้ำมัน 60 เหรียญยังต่ำกว่าระดับ inflation adjusted ในช่วงปี 80 กว่าที่ 90 เหรียญอยู่ ดังนั้นราคาน้ำมันยังไม่ทำ new high ในรูปของ real term
- Oil consumption to GDP ของประเทศพัฒนาแล้วลดลงมาตลอด ตัวเลข Oil consumption to GDP เป็นตัวเลขบ่งบอกถึงการพึ่งพาน้ำมันของเศรษฐกิจแต่ละประเทศ ในปี 1980 สหรัฐ มีสัดส่วน Oil consumption to GDP 22% แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ 7% หรือลดลง 3 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีต่างๆ และการเติบโตของเศรษฐกิจในอัตราที่สูงในช่วงที่ผ่านมา ดังนั้นหมายความว่าแม้ว่าราคาน้ำมันในปัจจุบันจะขึ้นไปที่ inflation adjusted ที่ 90 เหรียญแต่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐก็จะน้อยกว่าช่วงปี 80 ถึง 3 เท่า นี่คงเป็นสาเหตุที่สหรัฐไม่ออกมาโวยวายนักในเรื่องน้ำมันแพง
แต่เหตุการณ์นี้ตรงกันข้ามกับประเทศในเอเชีย ซึ่งมีการเติบโตของเศรษฐกิจสูงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการเพิ่มของจำนวนรถยนต์และการตัดถนนจำนวนมาก และการใช้พลังงานยังขาดประสิทธิภาพและการวางแผนที่ดี เช่น ประเทศไทยยังใช้สิบล้อในการขนส่งสินค้าแทนที่จะใช้รถไฟที่ยังถูกกว่า ยังมีโรงไฟฟ้าน้ำมันเตาให้เห็นอยู่ไม่น้อย โรงงานหลายแห่งก็ยังใช้น้ำมันเตา ซึ่งทำให้ Oil consumption ต่อ GDP ลดลงน้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว ยกตัวอย่าง จีน ลดลงจาก 21% เหลือ 15%
ดังนั้นการที่ราคาน้ำมันมีราคาสูงขึ้น ความซวย ( ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนนะครับ ) จึงมาตกกับประเทศเอเชียและประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะประเทศที่ไม่มีแหล่งน้ำมัน ซึ่งจะได้รับผลกระทบมากกว่า
แม้เมืองไทยจะไม่มีตัวเลข Oil consumption to GDP ให้ผมศึกษา แต่ผมได้นำตัวเลข Oil import /GDP ซึ่งน่าจะใกล้เคียงกัน พบว่า สัดส่วนดังกล่าวได้เพิ่มจาก 1.44% ในปี 1993 มาเป็น 8-9% ในปี 04 และน่าจะเพิ่มเป็น 13-15% ในปี 2005 ครับ หากใช้ตัวเลขการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนพ.ค. คือ 2 US bn มาทำเป็น 12 เดือน ก็จะได้ 15% เลยครับ
จากตัวเลข Oil consumption to GDP ของประเทศพัฒนาแล้วจะเห็นได้ว่าแม้ราคาน้ำมันจะขึ้นไป 60 เหรียญก็จะไม่กระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจนัก และจะไม่ทำให้การใช้น้ำมันลดลงมากเท่าที่ควร
หากเรามองกลับมาที่ประเทศไทย ราคาน้ำมันเบนซินที่ 25 บาท ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าจะทำให้การใช้น้ำมันลดลงแค่ไหน แต่ผมก็ยังไม่เห็นมีใครรอบตัวที่จะยอมจอดรถแล้วมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากเท่าที่ควรเช่นกัน
ดังนั้น สรุปก็คือผมไม่คิดว่าราคาน้ำมันในระดับ 55-60 เหรียญจะทำให้ demand ของโลกลดลงได้มากนักครับ ระดับน้ำมันที่จะทำให้ demand ของโลกลดลงคือประมาณ 80 เหรียญบวกลบครับ
แต่ยังไงผมไม่คิดว่าการที่ราคาน้ำมันจะขึ้นไป 80 เหรียญจะทำให้เกิดภาวะถดถอยอย่างรุนแรงเหมือนช่วงทศวรรษ 80 นะครับ แต่คงจะทำให้เกิดภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และผมมองการลดลงของราคาน้ำมันในอนาคตได้ 2 แนวทางครับ
1. ราคาน้ำมันผ่านระดับ 60 เหรียญ แล้วขึ้นอย่างรวดเร็ว คือ อาจจะขึ้นไป 80-100 เหรียญในระยะเวลาอันสั้น จนภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด กรณีนี้อาจจะทำให้ราคาน้ำมันลดลงได้เร็วครับ
2 ราคาน้ำมันผ่าน 60 เหรียญแล้วไต่ระดับไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ กรณีนี้ราคาน้ำมันจะขึ้นได้นานครับเพราะเศรษฐกิจโลกจะค่อยๆ ปรับตัวจึงทำให้ demand ไม่ลดลงเท่าไหร่ครับ กรณีนี้จะไม่สามารถทำนายได้ว่าราคาน้ำมันจะไปถึงเท่าไหร่และถึงเมื่อไหร่ แต่ราคาน้ำมันจะเริ่มลดลงก็ต่อเมื่อราคาขึ้นไปอยู่ในระดับสูงที่นานพอจนทำให้ประชากรส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมและมีการใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น หรือมี supply ใหม่ๆ เข้ามา ดังนั้นก็อาจจะประมาณได้ว่าราคาน้ำมันอาจจะแพงไปอีก 5-6 ปีครับ
ผมเองยังหวังว่าสิ่งที่ผมคาดการณ์จะผิดนะครับ เพราะผมก็ไม่อยากให้น้ำมันแพงอย่างนี้เหมือนกัน มันก็มีปัจจัยบางอย่างที่อาจจะอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ได้ เช่น การเข้ามาเก็งกำไรของ hedge fund ซึ่งหลายคนใช้เป็นคำอธิบายของราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่ถึงปัจจุบันผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เพราะหากดูราคาน้ำมัน future ที่จะส่งมอบไปอีก 4-5 ปีข้างหน้า ล้วนอยู่ในระดับที่สูงกว่า 60 เหรียญและสูงกว่าราคา spot เสียอีก ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่ไม่ควรจะเกิดเพราะหากราคาน้ำมันสูงขึ้นจากการเก็งกำไร ตลาดน่าจะคาดว่าอนาคตราคาจะลงมา ดังนั้นราคา future ยาวๆ ก็ควรจะต่ำกว่า spot ครับ แต่ก็เป็นไปได้เช่นกันที่อาจจะมีการเก็งกำไรใน future อายุยาวๆ ก็ได้ครับ
ดังนั้นสิ่งที่ผม post นี้ก็ไม่ได้ต้องการว่าให้ใครมาชื่นชมผมหากราคาน้ำมันขึ้นไปจริงๆ อย่างที่ผมบอกครับว่าผมเองยังอยากให้ผมผิดมากกว่าถูก แต่ผมอยากให้เพื่อนๆ เตรียมตัวและเตรียมใจรับสถานการณ์ราคาน้ำมันแพงต่อเนื่องนานๆ ไว้บ้างนะครับ เช่น หากจะซื้อบ้านนอกเมือง ควรจะประมาณค่าใช้จ่ายในการเดินทางเผื่อน้ำมันลิตรละ 30 ไว้บ้าง หรือจะซื้อรถใหม่ ควรจะเลือก CC รถ ที่เหมาะกับการใช้งานและไม่สิ้นเปลืองเกินไป หากภาวะน้ำมันแพงเกิดขึ้นจริง อย่างน้อยเราก็ได้เตรียมตัวไว้ หากไม่เกิดก็ไม่เป็นไรครับ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ผมได้เริ่มลงทุนในหุ้นพลังงานบางตัว เช่น PTTEP PTT UMS ซึ่งผมมองว่าเป็นการประกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนครับ ผมเองไม่ได้คิดว่าหุ้น PTTEP จะมี valuation ที่ถูกมากอะไรแต่ที่ลงทุนเพราะเห็นว่าราคาหุ้นยังไม่แพงเกินไปนักและเน้นเรื่องการประกันความเสี่ยงของพอร์ตมากกว่าครับและรับผลขาดทุนได้หากราคาน้ำมันลงมาแรงเพราะถ้าอย่างนั้นหุ้นตัวอื่นๆ ของพอร์ตของผมก็ควรจะขึ้นมาด้วย หากราคาน้ำมันแพงอย่างที่ผมคาดจริง ผมคิดว่าน่าจะมี fund flow จากต่างชาติมาซื้อหุ้นอย่าง PTTEP PTT TOP แต่อย่าไปเข้าใจว่าเข้ามาซื้อเศรษฐกิจไทยนะครับ เค้ามาซื้อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันต่างหากครับ แต่หากเพื่อนท่านไหนตัดใจซื้อประกันความเสี่ยงของพอร์ตด้วยหุ้นพลังงานไม่ไหว ผมแนะนำให้ถือเงินสดไว้บ้างครับและพยายามเลือกหุ้นที่มีผลกระทบจากเรื่องน้ำมันค่อนข้างน้อยครับ