หน้า 1 จากทั้งหมด 2

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 11:37 am
โดย ผ่านมา
:shock:
ผมมี singer อยู่ ทุนไม่เกิน 43 บาท
จ่ายปันผลระหว่างกาล บาทกว่า ก็เหมาะสมกับราคาทุนผม
แต่ถ้าคิดราคาตลาด ส่วนตัวผมว่าน้อย
ครั้นจะขายทิ้ง ก็ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร เพราะหุ้นปรับราคาขึ้นเกือบทุกตัว
ดังนั้น กำไรที่มีจริงก็เหมือนจะไม่ได้เพิ่มขึ้นเพราะหุ้นทุกตัวก็ขึ้นมาหมด
ดังนั้น ถ้าลงทุนในหุ้นอย่างเดียวจะเรียกว่ากำไรได้หรือ
(เพราะไม่มีส่วนต่างจริงๆ ถึงแม้จะเปลี่ยนเป็นเงินได้เยอะขึ้น
แตถ้ากลับมาซื้อหุ้นใหม่ ก็ไม่ได้เยอะขึ้น)
เพื่อนๆคิดกันยังไงครับ

ปล.ส่วนตัวจะเอากำไรไปลงทุน อสังหา บางส่วนดีกว่า(กำลังคิดอยู่)

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 11:59 am
โดย นายสต็อก
ลงทุน...คล้ายกับเอาเงินไปฝังดิน ปลูกต้นไม้ คุณอยากจะปลูกต้นไม้โตแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับคุณ
จะรอจนโตมีดอกผล และ ตัดไม้ไปขาย ก็เป็นความชอบส่วนตัว ถ้าปลูกไปมันไม่งอกงาม
คุณก็อาจต้องตัดแต่งกิ่งให้มันแตกยอด ออกดอกออกผลได้ มันจะได้โตสวยงามไงครับ...... 8)

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 12:21 pm
โดย genie
อย่างที่เคยพูดไว้หลายครั้งแล้วครับ การที่เราจะขายหุ้นในแนวVIนั้นมีอยู่3ข้อ คือ 1.ราคาเต็มมูลค่าหรือเกินมูลค่าตามปัจจัยพื้นฐานไปแล้ว 2.คุณมีทางเลือกที่ดีกว่า และ3.คุณวิเคราะห์ผิด ส่วนในกณีของคุณผ่านมา คุณก็ควรพิจารณาว่าหุ้นที่คุณถืออยู่เข้าเกณฑ์ใดใน3ข้อที่ว่าหรือไม่ อย่างเช่นที่คุณว่าคุณคิดว่าหุ้นอสังหาน่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ดังนั้นการที่คุณขายSINGERแล้วไปซื้อตัวใหม่ก็เข้าหลักข้อ3ไงครับไม่ได้ผิดแปลกอะไร แต่ถ้าคุณคิดว่าคุยังไม่เห็นตัวไหนที่ดีกว่าคุณก็holdไว้สิครับไม่ได้เสียหายอะไร

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 12:57 pm
โดย ผ่านมา
:lol:
ไม่ได้หมายถึงขาย singer แล้ว จะไปลงทุนในหุ้นอสังหาครับ
ผมหมายถึง ไปลงทุนซื้อตึก จริงๆ แล้วให้คนอื่นเช่าครับ

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 1:01 pm
โดย Banchap
ไชโย มีเพื่อนแล้ว กำลังลังเลเหมือนกันครับ ว่าจะขายออกไปบ้างดีไหม
ต่างกันที่ว่า ไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไร งั้นขอถือต่อไปก่อนนะครับ

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 1:16 pm
โดย genie
ผมเห็นด้วยครับถ้าคุณสามารถหาแห่งที่สมารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นครับ อย่างผมถ้าบริษัทของผมต้องใช้เงินแล้วเห็นว่าทำกำไรได้มากว่าผมก็ขายครับเพื่อเอาไปทำธุรกิจ แม้แต่หลายๆท่านก็ทำอย่างนั้น ขอให้หอพักคุณผ่านมารุ่งเรืองเงินทองไหลมาเทมานะครับ :D

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 2:30 pm
โดย ผ่านมา
:o
ขอบคุณมากครับสำหรับคำอวยพร
แต่จริงๆแล้วต้องการแค่ให้มันเลี้ยงตัวได้ได้ผลตอบแทนนิดหน่อย
ก็พอใจแล้วครับ (ตึกให้เช่า)
จริงๆแล้วเจตนาของการตั้งกระทู้คือ
อยากเห็นความคิดเห็นหลายๆแบบของการลงทุนครับ
ส่วนตัวแล้ว ณ ตอนนี้
ดูผลประกอบการแล้ว ปันผล และ ราคา
ก็เริ่มจะไม่ค่อยมีตัวไหนน่าสนใจแล้ว (ความเห็นส่วนตัว)
ก็เลยคิดจะเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นแทน
แต่ยังคิดไม่ออกซะทีเดียว
คงต้องฝากเงินไว้กับหุ้นไปก่อน

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 8:14 pm
โดย Jeng
ลองคิดดูว่าหุ้นตัวอื่นขึ้นหมด ยกเว้น Singer แล้วจะเป็นอย่างไร ผมคิดว่าขึ้นมาแล้วก็ดีกว่าไม่ขึ้นครับ หลังจากนั้นจะทำอะไรต่อก็แล้วแต่จะพิจารณา :D

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 8:38 pm
โดย ลูกอิสาน2
:lol: หุ้นขึ้นมาเยอะแล้วก็จริงครับ...
แต่ก็ใช่ว่าจะขึ้นมาในอัตราส่วนเท่ากันทุกๆตัวนี่ครับ.....คุณ "ผ่านมา" ก็ลองขาย singer แล้วไปซื้อตัวที่ขึ้นมายังไม่เยอะซิครับ..ยังพอมีบ้าง..

ผมคาดว่าหุ้นในระยาวน่าจะให้ผลตอบแทน 15 % ต่อปี (2 ปีที่ผ่านมาให้เยอะกว่า เพราะเป็นขาขึ้นครับ).....ทบต้น 10 ปี จะได้กำไร 3 เท่าตัวครับ...

หากไปซื้อตึก 5 ล้าน ต้องการผลตอบแทน 15 % ต้องได้ค่าเช่า 750,000 บาท ต่อปีจึงจะคุ้ม หรือ เก็บค่าเช่า 62000 บาทต่อเดือน...ไหนจะต้องไปเก็บค่าเช่า..ซ่อมแซม จิปาถะ.....ทบต้นก็ไม่ได้..

ผมมองว่าหุ้นในระยะยาวน่าจะให้ผลตอบแทนมากกว่านะ เพราะผลของการทบต้น แต่สินทรัพย์อย่างอื่น ทบต้นไม่ได้หรือได้้น้อยกว่า..

ลองดูตัวอื่นๆ ที่ดีๆซิครับ ยังพอหาได้บ้างครับ นอกจาก singer..

ผมเข้าใจว่าหลายคน ต้องการได้อะไรซักอย่างที่เป็น"รายได้ประจำ"
หากลองพิจารณาหุ้นเป็นรายได้ประจำก็ไม่เลวนะครับ ในที่นี้คือหุ้นที่มีปันผล
7-10 % ต่อปี เป็นธุรกิจที่ solid มีความสามารถในการแข่งขัน...แบ่งซื้อหลายตัวเพื่อลดความเสี่ยง แล้วเงินปันผลจากหุ้นก็จะเป็น"รายได้ประจำ"
capital gain เป็น ฺbonus ครับ""

ขอให้โชคดีครับ... :lol:

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 9:25 pm
โดย Mon money
ผมเองส่วนหนึ่งลงทุนทำธุรกิจส่วนตัว ส่วนหนึ่งลงทุนในหุ้น เหตุผลง่ายๆครับ

เพราะการลงทุนทั้งสองประการนี้เหมือนกันอย่างกับพี่กับน้อง อย่างแรกผมต้องบริหารเอง อย่างที่สองผมไม่ต้องทำเอง รายได้ที่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องมาจากธุรกิจส่วนตัว ที่เป็นเงินเดือน ซึ่งนำไปเป็นค่าใช้จ่ายเครดิตภาษีได้อีก เงินปันผลที่ได้นำไปลงทุนต่อ รอให้โต ถ้าอยากใช้ก็ใช้ถ้าไม่อยากใช้ก็ยกให้ลูก :wink:

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 9:51 pm
โดย thanwa
ผมเข้าใจว่าคุณผ่านต้องการไปลงทุนอสังหาริมทรัพย์ก็เผื่อผลตอบแทนเช่นกันใช่ไหมครับ

ถ้าใช่ ไม่ทราบว่าคุณผ่านมาต้องการผลตอบแทนเท่าไหร่ครับ
สมมติว่าต้องการผลตอบแทนสัก 10-12% ต่อปี
ผมว่าการลงทุนในหุ้น น่าจะพอทำได้ครับ

ลงทุนอสังหาได้ผลตอบแทน 15% ต่อปี ผมว่าก็เก่งมานะครับ
แถมยังต้องมีเรื่องที่ต้องให้ทำ จัดการอยู่ร่ำไป

ลงทุนในหุ้น ผมว่าน่าจะทำได้ ต้องไม่ต้องโดยมีผู้เชี่ยวชาญช่วยบริหาร

ผมมีความคิดคล้ายกับคุณลูกอิสานครับ
SINGER ขึ้นมาเยอะก็จริง เราคงต้องหาหุ้นก็ต่ำกว่ามูลค่าต่อไป
นี่คือเสน่ห์ของการลงทุนแบบ VI ครับ
:wink: :wink:

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 22, 2003 10:22 pm
โดย Jeng
ถ้าเราลงอสังหาริมทรัพย์ เราเป็น S = Self employ ถ้าเราลงในตลาดหลักทรัพย์ เราเป็น B= Business Owner

ลงอสังหาริมทรัพย์ ถ้าเราเก่งจริง ก็อาจจะได้มาก เช่นเราเฝ้าที่ดินย่านลาดพร้าว ดูมาแล้ว 100-200 แปลง วันดีคืนดีเจอราคาถูกแบบไม่น่าเชื่อ (คนขายอาจจะเสียการพนัน ต้องการเงินด่วนไปเล่นต่อ หรือ เจ้าของต้องการขายเพื่อหนีไปต่างประเทศ หรือเจ้าของต้องรีบขายให้กับบุคคลที่ไม่เป็นที่รู้จักเพราะอายคนในวงสังคมชั้นสูง) อย่างนี้ก็ได้กำไรมหาศาล เช่น ที่ดินราคา 10 ล้านบาท ขาย 3 ล้านบาท เป็นต้น

ผมไม่อยากให้เปรียบเทียบกันเพราะเป็นคนละเรื่อง ผมชอบที่วอเรนบางครั้งก็ซื้อหุ้นที่เป็นเจ้าของตึกให้เช่า แต่วอเรนได้ซื้อในราคาต่ำกว่า book มากเนื่องจาก อสังหาริมทรัพย์ มีรอบธุรกิจขึ้นลง เพราะฉะนั้นตอนลงก็ลงเกินจริง ตอนขึ้นก็ขึ้นเกินจริง การซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ให้เช่าในราคาต่ำกว่า book มากๆก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ให้ liquidity สูงมากครับ

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 9:09 am
โดย yoyo
ผมขอมองต่างมุมกับพี่เจ๋งนะครับ
การลงทุนในอสังหาไม่จำเป็นต้องเป็น self employee เสมอไป
ถ้าจัดการให้ลงตัวได้มันจะกลายเป็น business ที่ให้มูลค่าได้อย่างมหาศาลเลยนะครับ
ยกตัวอย่างเช่นผมลงทุนสร้างอพาร์ทเมนต์มีห้องให้เช่า 50 ห้อง
ผมจัดการลงตัวเรียบร้อยแล้ว
ผมก็ติดต่อหาคนมาดูแล คอยเก็บค่าเช่า คอยดูแลจัดการระบบ
โดยที่มีผมเป็นคนวางระบบคร่าวๆให้ ผมอาจจะให้เค้าเหมาไปห้องละ
2000 บาทผมก็จะมีรายได้เดือนละ 100,000 บาท
ส่วนเค้าจะเก็บได้เท่าไหร่ก็ส่วนของเค้า ให้เค้าบริหารเอง
กิจการบ้านผมส่วนหนึ่งก็มาจากวิธีนี้
ตอนแรกทำเพราะเหลือเวลาว่าง ทำไปทำมากลายเป็นว่ารายได้มากกว่า
งานที่เคยทำอยู่มหาศาล ตอนนี้พ่อผมเองก็ไม่ได้ทำงานแล้วเกษียญไปตั้งแต่อายุ 45 ได้

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 9:46 am
โดย Jeng
ใช้เวลากี่ปีครับ กว่าจะเปลี่ยนจาก self employ มาเป็น business owner

แรกๆถึงแม้ว่ามีทุนมาก ก็ต้องเริ่มเป็น self employ เพื่อที่จะเข้าใจธุรกิจ และมีประสบการณ์ทุกอย่างก่อน

แต่ถ้าหากมีทุนน้อยก็ต้องเริ่มแบบ self employ แน่นอน

อาจจะเป็นไปได้ที่เริ่มต้นปั๊ปก็เป็น busineess owner แต่ไม่เห็นตัวอย่างความสำเร็จสักคน

ทุกคนต้องเริ่มต้นโดยใช้เวลามหาศาลเข้าไปศึกษาด้วยตัวเองก่อน

ซึ่ง opertunity cost ในการที่เราไปทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ย่อมเสียโอกาสในการทำอีกสิ่งหนึ่งครับ

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:02 am
โดย yoyo
ลงทุนเล่นหุ้นเริ่มมาก็เป็น business owner ได้เลย
แต่เราต้องศึกษาในการลงทุนนั้นให้ดีก่อน

การทำอสังหาก็เหมือนกัน เราสามารถศึกษาให้ละเอียดก่อน
จนเรามีความเข้าใจในธุรกิจนี้เป็นอย่างดีแล้วค่อยลงทุน ก็สามารถเริ่มจากด้าน business ได้เลยไม่ต้องผ่าน self มาก็ได้

"แต่ถ้าหากมีทุนน้อยก็ต้องเริ่มแบบ self employ แน่นอน
อาจจะเป็นไปได้ที่เริ่มต้นปั๊ปก็เป็น busineess owner แต่ไม่เห็นตัวอย่างความสำเร็จสักคน
ทุกคนต้องเริ่มต้นโดยใช้เวลามหาศาลเข้าไปศึกษาด้วยตัวเองก่อน "

ผมว่าคนที่เริ่มต้นแล้วเป็น B เลยก็มีครับแต่มันน้อย
เพราะคนส่วนใหญ่เริ่มลงทุนโดยที่ตัวเองยังไม่เข้าใจกิจการนั้นดีก่อน
ก็ไม่ต่างจากหุ้นหรอกครับ ที่คนส่วนใหญ่ในตลาดเป็นผู้แพ้ เพราะขาดการศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่ดีพอ

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:03 am
โดย Jeng
yoyo >>> yoyo

พี่ไม่ถือว่าใครในเว็บเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ มีความคิดเห็นอะไรแสดงออกมาได้เลยพี่จะได้ฉลาดขึ้นนะครับ

เพราะฉะนั้นเวลาพี่แสดงความคิดเห็นไป ถ้าไม่เห็นด้วยอะไรก็แลกเปลี่ยนมาได้เลยครับ

พี่เป็นตัวดูดความคิดเห็นดีๆอยู่แล้วครับ

ขอให้ไม่ด่าอย่างเดียวใช้ได้

และพี่ก็ไม่ได้เป็นคนหัวแข็งอะไร

เพียงแต่เหตุผลพี่เยอะไปหน่อย

เรื่องอสังหาต่อ

จำได้ว่ามีกลุ่มน้ำตาลวังขยาย จ้างทีมที่ปรึกษา กลุ่มหนึ่ง อยู่หลายปี ทำการศึกษาว่าจะทำหรือไม่ทำโครงการ

และทีมนี้ได้ถูกส่งไปดูงานต่างประเทศ พอดีพี่ไปด้วย

อสังหาไม่ใช่เรื่องล้อเล่น การเล่นหุ้นก็ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น

ทั้งสองอย่างมีศาสตร์และศิลป์เฉพาะตัว

แต่ที่แน่ๆ คนที่ประสบความสำเร็จในเรื่องอสังหาริมทรัพย์อย่างเดียวจนร่ำรวยติดอัน 1 ใน 50 ของโลก ไม่มี

มีแต่รวยอย่างอื่นแล้วเอาเงินเย็นมาต่อเงิน ผิดผลาดก็ยังมีรายได้น้ำซึมบ่อทรายเข้ามาเรื่อยๆ

ขนาดมือดีๆ ขนาดท่านอนันต์ อัศวโภคิน ยังต้องถอยไปตั้งหลักหลายก้าว

เมื่อพี่ศึกษาดูแล้ว พี่ว่า สำหรับพี่นะ พี่ว่า อสังหาริมทรัยพ์ เสี่ยง กว่าการลงทุนในหุ้นครับ

>>> พี่ถึงว่ามันคนละศาสตร์

หากคิดว่าอสังหาริมทรัพย์ ง่าย ลองยกตัวอย่างใครสักคนที่ร่ำรวยอย่างถาวร ยกตัวอย่างยากมาก

พี่เจอแค่คนเดียว ซึ่งคนนี้ประหลาดเหมือนกัน ทั้งชีวิตแกไม่ยอมทำโครงการ

แกซื้อที่เงินสด ไม่เกิน 200 ตรว. ทั่วประเทศ แล้วบ่มไว้ ซักพักผ่านไป 5 ปี 10 ปี 15 ปี 20 ปี แกทยอยขาย ทยอยซื้อเพิ่ม
ท่านผู้ใหญ่ท่านนี้ ทำงานสรรพากรจนกระทั่งเกษียน ร่ำรวยแบบธรรมดา ไม่หวือหวา วันๆมีความสุขกับการท่องเที่ยว แก่แล้วค่อยมีลูกเล็ก 2 คน

เคล็ดลับของท่านคือ ต้องไม่กู้เงินเลย

ช่วง 10 ปีแรกในชีวิตของท่าน ไม่ได้ร่ำรวย

ท่านบอกอย่าไปซื้อตึกเลย ต้องดูแล ซื้อที่ไว้ เดี่ยว ด้านซ้าย ด้านขวา หรือไม่ก็ตรงข้าม ขึ้นตึก ที่ของท่านก็มูลค่าเพิ่มเอง

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:20 am
โดย Jeng
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า ถ้าเรามองว่าทุกวันนี้สบาย เพราะเก็บค่าเช่าได้ และมีคนมาดูแล เราเป็น B

พี่ไม่เห็นด้วยเพราะมีขั้นตอนมากกว่านั้นมาก

เช่น

จะสร้างอพาร์ทเม้นให้เช่า

จะซื้อที่ทำเลไหน เพราะต้องรู้ตลาด ว่ามีคู่แข่งมากน้อยแค่ไหน ซื้อที่ดินขนาดไหน หน้ากว้างความลึกเท่าไร จะซื้อไปสร้างอะไร จะเอาใครมาออกแบบ จะเอาใครมาก่อสร้าง จะต้องเตรียมงบทั้งหมดเท่าไร ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง สร้างไม่เสร็จผู้รับเหมาทิ้งงาน จะเอาใครมาสร้างต่อ สร้างเสร็จจะเอาใครมาดูแล คนที่ดูแลโกง จะเอาใครมาสานต่องาน

เรื่องทั้งหมดแบบนี้ ถ้าเราลงทุน 50 ล้านบาท
เราจะวางใจให้คนอื่นเอาไปทำทั้งหมด หรือเราต้องเข้าไปดูเอง

ลองถามทางบ้านดู เรื่องที่ดินที่ซื้อมา หรือตึกที่ซื้อมา ใครตัดสินใจ

เราเป็น S หรือเราเป็น B

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:26 am
โดย yoyo
ผมก็แสดงความคิดเห็นเต็มที่อยู่แล้วครับ แต่รับรองไม่มีด่า

คนเล่นหุ้น10คน 8 คนขาดทุน 1 คนเสมอตัว 1 คนกำไร
ผมว่าคนที่ลงทุนในกิจการ ก็คงอัตราส่วนไม่ต่างกันหรอกครับ
ปัญหาอยู่ที่ว่าเราจะเป็น 1 ใน 10 นั้นได้ยังไง

คนที่มีฝีมือมากในการเล่นหุ้น ก็เคยมีความผิดพลาดไม่ใช่ทุกครั้งที่เลือกหุ้นได้ถูกต้อง แต่ผลกำไรในหุ้นที่เราเลือกถูกต้องจะสามารถลบความผิดพลาดในการตัดสินใจครั้งที่ผิดพลาดได้ นั้นก็จะทำให้มีกำไร
ผมอาจจะลงทุนในหุ้นซัก 5 ตัวอัตราส่วนเท่าๆกัน 2 ตัวขาดทุนไปครึ่งนึง
1 ตัวเสมอตัว อีก 2 กำไรเท่าตัว รวมผลตอบแทนก็ทำให้ผมมีกำไรได้

คนที่ทำธุรกิจก็คล้ายๆกัน ถ้าเปรียบเทียบให้เป็นหุ้น การทำธุรกิจก็เหมือนกันการซื้อหุ้นที่ราคาแพงมากๆๆๆๆๆๆ อาจจะหุ้นละ 5 ล้าน การกระจายความเสี่ยงมันเลยต่างกัน ผมว่าการทำธุรกิจขาดทุนไปซัก 3-4 ครั้ง แล้วสำเร็จสักครั้งเดียว ก็เรียกได้ว่าคุ้มค่าแล้ว แต่ปัญหาคือใครจะมีสายป่านขนาดนั้น สรุปแล้วในความคิดของผม การลงทุนในหุ้นกับการลงทุนในธุรกิจนั้นเหมือนกันครับ แตกต่างกันที่ scale เท่านั้นเอง

ปล. ทั้งหมดเป็นแค่ความคิดเห็นนะครับ ผมเองก็ไม่เคยสร้างธุรกิจด้วยตัวเองเหมือนกัน

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:37 am
โดย yoyo
"จะสร้างอพาร์ทเม้นให้เช่า

จะซื้อที่ทำเลไหน เพราะต้องรู้ตลาด ว่ามีคู่แข่งมากน้อยแค่ไหน ซื้อที่ดินขนาดไหน หน้ากว้างความลึกเท่าไร จะซื้อไปสร้างอะไร จะเอาใครมาออกแบบ จะเอาใครมาก่อสร้าง จะต้องเตรียมงบทั้งหมดเท่าไร ค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง สร้างไม่เสร็จผู้รับเหมาทิ้งงาน จะเอาใครมาสร้างต่อ สร้างเสร็จจะเอาใครมาดูแล คนที่ดูแลโกง จะเอาใครมาสานต่องาน

เรื่องทั้งหมดแบบนี้ ถ้าเราลงทุน 50 ล้านบาท
เราจะวางใจให้คนอื่นเอาไปทำทั้งหมด หรือเราต้องเข้าไปดูเอง "

ทั้งหมดที่ว่ามานี่ สรุปแล้วก็คือการเลือกหุ้นนั่นเองครับ
เพียงแต่ว่า scale มันต่างกันระยะเวลาการตัดสินใจและขั้นตอนในการเริ่มต้นมันเลยมากกว่า อย่างสมมติว่าผมจะซื้อหุ้นซักตัวนึง เน้นว่าตัวเดียวนะครับโดยซื้อด้วยเงิน 50 ล้านบาท ผมจะใช้เวลามในการศึกษาเท่ากับที่ผมซื้อหุ้นแค่ 50,000 บาทรึเปล่า แน่นอนว่ามันต่างกันมาก

ทุก business เริ่มต้นมาจากการเลือกการตัดสินใจในตอนต้นเสมอ
แต่เมื่อผ่านขั้นตอนแรกไปแล้ว หลังจากนั้นก็อยู่ที่ความสามารถของแต่ละคนแล้วละครับว่าจะทำให้มันเป็นระบบได้หรือไม่ จะเปลี่ยนการเริ่มต้นนี้เป็น self หรือ business เท่านั้นเอง

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:43 am
โดย yoyo
"ลองถามทางบ้านดู เรื่องที่ดินที่ซื้อมา หรือตึกที่ซื้อมา ใครตัดสินใจ
เราเป็น S หรือเราเป็น B"

ในนิยามของผม s คือกิจการที่เราต้องดูแลอยู่ตลอดเวลา จะหาเวลาไปเที่ยวรอบโลกเล่นซัก 1 เดือนนึงก็ไม่ได้เพราะกิจการจะเดินต่อไปไม่ได้

ส่วน b คือกิจการที่เราไม่ต้องไปดูแลตลอดเวลา (แต่ก็ต้องดูบ้างนะนานๆที ไม่ใช่ไม่สนใจเลย) อยากจะไปเที่ยวรอบโลกซัก 1-2 เดือนก็ได้ไม่มีปัญหา
บ้านผมก็เป็น B ครับ

"เรื่องทั้งหมดแบบนี้ ถ้าเราลงทุน 50 ล้านบาท
เราจะวางใจให้คนอื่นเอาไปทำทั้งหมด หรือเราต้องเข้าไปดูเอง "
ตอนพี่ซื้อหุ้นพี่เจ๋งเลือกเองและตัดสินใจเองรึเปล่าครับ
หรือว่าให้เงินคนอื่นไป แล้วให้เค้าไปซื้อขายให้

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:50 am
โดย yoyo
สมมติผมจะสร้างบ้านซักหลังนึง
- ถ้าผมตอกเสาเข็มเอง เทปูนเอง โบกปูนเอง ผมเป็น employee
- ถ้าผมจ้างผู้รับเหมามาทำผมคอยไปคุมงาน ผมเป็น self employee
- ถ้าผมจ้างผู้รับเหมาทำ ให้วิศวกรไปดูแลแล้วมารายงานตรงกับผม ผมเป็น Business Owner แน่นอนว่าผมไม่ได้ให้วิศกรคนนี้ตัดสินใจเองทุกอย่าง
- แต่ถ้าผมจ้างผู้บริหารมาตัดสินใจ เลือกที่ ตัดสินใจในเรื่องหลัก แล้วให้รายงานกับผม อันนี้ผมเป็น investor

ในความคิดผมการเล่นหุ้นเป็น investor
การลงทุนในอสังหาเป็น B
ซึ่งมันอยู่คนละส่วนกัน แต่มันมีอะไรคล้ายๆกัน แต่ก็มีเส้นบางๆที่กั้นมันอยู่เหมือนกัน

ปล. สนุกดีครับ คุยแบบนี้ผมชอบ

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 10:55 am
โดย Jeng
สงสัยจะเป็นตามที่ yoyo ว่าไว้ เพราะพี่ลืมไปว่ามี I อีกตัวหนึ่ง

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 23, 2003 4:10 pm
โดย thanwa
ดีจัง...

อย่างที่ว่า ผมขอเอาจุดแข็งของทั้ง business owner กะ Investor
เพียงแต่ว่าผมไม่ได้สร้างอพาร์ตเมนให้เช่าด้วยตนเอง

ผมปล่อยผู้เชี่ยวชาญที่ไว้ใจได้สร้างศูนย์การค้าให้เช่า
ช่วงนี้คนมาเดินกันเยอะขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ราคาก็เลยขยับขึ้นมา

ส่วนผมก็คอยติดตามผลงาน รอปันผลอยู่ห่างๆ :wink: :wink:

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 26, 2003 9:02 am
โดย ผ่านมา
:lol:
ขอบคุณสำหรับทุกคำตอบครับ
โครงการที่จะทำไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากครับ (ไม่เกิน 5 ล้าน)
ถ้าใหญ่โตมากและมีเงินมาทำทั้งหมด ก็คงไม่ทำหรอกครับ
ส่วนโครงการที่คิดจะทำ ก่ะเป็นหนี้ 100%
รายได้ที่ได้ ก็เอาไปส่งคืนbank เพราะ ฉะนั้นผลตอบแทนจะไม่เยอะ
เท่ากับหุ้นหรอกครับ
และอีกอย่างหนึ่ง ที่ดินก็มีมูลค่าแฝงในตัวเหมือนหุ้นครับ
เพียงแต่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงเร็วเท่าหุ้น
ถ้าลงทุนในหุ้นหวังปันผล คงไม่เกิน 5-10%
ตึกให้เช่าผลตอบแทนก็ประมาณนี้ครับ

เพียงแต่หุ้นมี capital gain ที่เยอะในเวลาอันสั้นกว่าที่ดิน
แค่นั้นแหละครับที่ผมคิด

ที่ดินที่ผมดูอยู่ ประมาณ 50,000 /ตรว
น้อยกว่าราคาตลาด ประมาณ ครึ่ง
และในปี 50 จะมีโครงการ(รัฐบาล)เกิดขึ้นบริเวณนั้น ครับ
ราคาคงมี upside ได้อีกพอสมควร
และ profit margin ก็น่าจะดีขึ้นอีก ครับ
อีกอย่าง
ตอบตรงๆผมยังไม่มั่นใจกับหุ้น จนเอาเงินไปลงทุนที่หุ้นอย่างเดียว ครับ

ปอดยังแหก ................อยู่ครับ

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 26, 2003 9:12 am
โดย ผ่านมา
:lol:
ส่วนแนวความคิดการซื้อที่ดินไว้เฉยๆ
ผมว่าไม่ดีครับ
เพราะไม่เป็นการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดรายได้ครับ
แถมยังเป็นภาระของคนในสังคมอีก
ส่วนภาระในการดูแลสินทรัพย์ก็ต้องกระทำเหมือนกับการดูแลหุ้นครับ
เพียงแต่ต้นทุนหุ้นตำกว่า (0.02%)
ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็อยู่ที่สินทรัพย์ที่เลือกลงทุนตั้งแต่แรกครับ
ว่าค้มต่อการดูแลหรือไม่

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 26, 2003 9:18 am
โดย Mon money
ผมเป็นผู้หนึ่งที่ลงทุน 100%ครับ ลงทุนในหุ้น 100%นะ ทั้งธุรกิจส่วนตัวและในบริษัทอื่น อสังหาก็มีแต่มีเพื่ออาศัย มิได้หวังราคาขึ้น

เห็นถกกันมานาน เรื่อง ESBI อยากบ้างน่ะ

E ผมเคยเป็นมาแล้วรู้ดี
S เคยเป็นมาแล้วตอนเริ่มธุรกิจ และเห็นรุ่นพี่ๆที่ธุรกิจแข้งแกร่งแล้วก็ยังเป็นอยู่เพราะคิดว่าไม่มีใครทำได้ดีกว่าท่าน น่าสงสารกว่า Eเสียอีก
B กำลังเป็นอยู่ ที่บอกว่าB ก็เพราะถึงแม้จะทำงานบ้างแต่ก็ไม่ต้องลงแรงสติปัญญาอันมีจำกัดมากนัก เพราะหุ้นส่วนที่ยังละทิ้งความเป็น EกับSไม่ได้ยังคร่ำเคร่งอยู่ ลงแต่งานทั่วๆไปกำหนดทิศทางไม่ให้หลงเป้า ไม่เครียด
I เป็นเต็มตัวเลยสนุกดีมีความสูข และสบายทั้งทางกายทางใจกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน

ทำธุรกิจอะไรแล้วส่งต่อได้ ไม่ต้องลงแรงอะไรกับมัน นั่นแหละหลุดพ้นแล้ว

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 26, 2003 9:55 am
โดย CK
ผมเรียกการทำอะไรก็ตามที่ต้องใช้เงินตั้งต้น โดยมีเป้าหมาย
สุดท้ายให้มันมีสินทรัพย์งอกขึ้นมาเพิ่มจากของเดิมว่า
"การลงทุน"

ส่วนการทำงานโดยใช้แรงงานตัวเอง โดยมีเป้าหมายสุดท้าย
อยู่ที่การเพิ่มสินทรัพย์ว่า "การลงแรง"

ทุกอย่างในชีวิตคือ "การลงทุนลงแรง" เพื่อให้ได้มาซึ่งสินทรัพย์

ผมจึงลงทุนลงแรงทั้งในตลาดหลักทรัพย์ อสังหา vacation rental
ประกัน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ RMF เงินตราต่างประเทศ ฯลฯ

ที่สำคัญ สำหรับผม ความรู้และสติปัญญาก็คือสินทรัพย์
เพราะฉะนั้นการซื้อหนังสืออ่านก็คือ "การลงทุน"

สุขภาพที่ดีคือสินทรัพย์ ฉะนั้นการกินอาหารมีประโยชน์คือการลงทุน

จิตใจสดใสคือสินทรัพย์ ฉะนั้นการดูหนังฟังเพลงก็เป็นการลงทุน

ลูกคือสินทรัพย์ที่ดีที่สุด การเลี้ยงลูกจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มที่สุด

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 26, 2003 10:07 am
โดย Jeng
เผื่อใจไว้บ้างนะ เรื่องลูก

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ลูกคือสินทรัพย์ที่ดีที่สุด การเลี้ยงลูกจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มที่สุด

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 26, 2003 11:11 am
โดย tk
ผมเห็นด้วยครับเรื่อง "เผื่อใจไว้บ้างนะ เรื่องลูก" บางครั้งอาจไม่ได้ดั้งใจเราไปทุกอย่าง แต่แค่ไม่ให้เขาออกนอกลู่นอกทางเป็นภาระของสังคมก็น่าพอใจระดับหนึ่งแล้วครับ

ผมก็ลงทุนในอสังหาฯเหมือนกัน แต่อาจจะคนละความหมายกับที่แต่ละท่านคุยมา คือซื้อคอนโดราคา 550000 ดาวน์ไปประมาณ 100000 กู้450000 ผ่อน3200/เดือน ได้ค่าเช่า3500/เดือน อย่างนี้ผมได้ผลตอบแทนต่อปีกี่ % ถ้าน้อยกว่า 15 % อย่างที่เราตั้งเป้ากันผมก็อาจพิจารณาหยุดซื้อคอนโด หันมาหาหุ้นอย่างเดียวแทน

เคยมีปัญหาอย่างนี้กันบ้างไหม

โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 26, 2003 11:39 am
โดย ป๋า
I fully agree with Khun Yoyo that owning real estate is a business owner. I have one example, my auntie.
She has following assets:
1) a few space in shopping complex for renting
2) Shop in Pratunam cloth market for renting
3) Many taxi for renting.
4) condominium for renting

She get retired more than 10 years ago due to income from above asset, despite loosing a lot from stocks. She does not need a lot of time to look after these asset. She can go vacation but still her asset is making money and their price keep increasing.

to khun CK , I really love what you have posted. very positive thinking.
Knowledge, Good Health, Good Mentality are all asset.
But also my daugther is my happiness. So who has no kid, pls rush....then your life will be more happy.