หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2005 11:42 pm
โดย harry
ทีแรกกะไปตั้งในห้องอืน แต่มาในนี้ก่อนดีกว่า กลัวคนตอบน้อย แต่ถ้าควรย้ายก็ได้ครับ
----
คือ อย่างที่หลายๆท่านรู้ เอ๊ะ หรือว่าไม่รู้ ผมเรียนนิเทศ ไม่ได้มีอะไรที่น่าจะเกี่ยวกับหุ้น ที่มาสนใจเพราะอยากรวย
ทีนี้ ผมก็สองใจเหมือนกัน ว่าจะ
1. ต่อโทไปเลย ด้านเสดสาด แล้วโท mba เพิ่มอีกใบ หรือเอก dba ไปเลย
2. เนื่องจากเราพื้นฐานแคบ ก็เลยอยากเรียนตรีใหม่ เป็นปอตรีใบที่สอง แต่ก็กลัวเสียเวลาอีกสี่ปี แล้วทำงานไปด้วย อาจมากกว่านั้น
3. ช่างมัน เรื่องหุ้น การลงทุน หาหนังสืออ่านเอง ไปอบรมสัมมนาก็ได้ ถ้าคิดจะเรียน เอาที่เราสนใจ ซึ่งเป็นข้อ 1. หรือเรียนอย่างอื่นก็ได้
สิ่งที่ผมคิดหรือวางแผนไว้คือ จะทำงานไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาสมาทำธุรกิจเองในภายหลัง อาจจะอายุสัก 30 ไปแล้ว
ขอความเห็นหลายๆท่านหน่อยครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 21, 2005 11:58 pm
โดย คนขายของ
ขออนุญาติแสดงความเห็นสั้นๆก่อนนะครับ เพราะใกล้เวลานอนเต็มที
คุณ harry อาจว่า ว่าผมตอบไร้สาระ ก็ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ
ผมเห็นว่าก่อน ปริญญา ก่อนลงทุน ควรฝึกจิตก่อนครับ
พระพุทธองค์กล่าวว่า จิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้
ขอแนะนำให้ลองเข้าคอร์ส ปฏิบัติเจริญสติ ความรู้ตัว และฝึกความมั่นคงโดยการฝึกสมาธิครับ
พอฝุ่นเริ่มจาง เราก็จะเริ่มเห็นทาง ครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 1:01 am
โดย Onokung
เอาที่ชอบ และทางที่สั้นที่สุดครับ ชอบอะไรก็ไปเรียน อย่างนั้น
เท่าที่ผมอ่าน คุณ harry เทใจไปทางเรียนต่อโท ข้อ1.มากกว่านะครับ
ข้อ 2. ผมรู้สึกไม่เห็นดีด้วย ถ้าจะเอาอีกใบควรจะทำงานไปด้วย เรียนรามเอาก็ได้ครับ(แต่ก็ยังรู้สึกไม่ชอบอยู่ดี)
:( :(
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 8:15 am
โดย oo
ผมว่าต่อโท MBA ไปด้วยทำงานไปด้วย ค่อยๆศึกษาก็น่าจะได้นะครับ คงไม่ต้องถึงขนาดไปเรียนใหม่ ระหว่างทำงานก็ใช้วิชาชีพที่เรียนมา จะได้ไม่ต้องไปเริ่มใหม่จากศูนย์ เงินก็เก็บจากที่ทำงานนี่แหละครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 8:16 am
โดย ch_army
ก็ขอคอมเม้นครับผม ว่าลองเรียนโทดูก่อนครับหากคิดว่าไม่ยากสบายมาก ความสามารถของคุณสามารถเรียนได้ดีก็เรียน ป.เอกต่อครับแต่ว่าต้องเก่ง เลขมากๆเลยนะครับจะได้สบายหน่อย เพราะว่าในระดับป.เอกทางเศรษฐศาสตร์คงจะเข้าไปสู่ คณิตศาสตร์เบื้องหลังของมันครับ ลองดูแล้วจะซึ้งครับ
ลองเรียนโทดูก่อนครับ ว่ามีปัญหากับวิทยานิพนธ์หรือไม่ครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 8:30 am
โดย สุมาอี้
มุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ประกอบการจริงๆ หรือเปล่า ถ้าใช่...
เอ็มบีเอ เขาเรียนเพื่อไปสมัครงานเป็นหลัก ดีบีเอยิ่งไม่น่าเรียนใหญ่เพราะดีกรีทางด้านนี้เขาเรียนไปประกอบอาชีพแต่การเรียนป.เอกเป็นเรื่องสำหรับคนสนใจงานวิจัย ถ้าไม่สนใจ เรียนไปจะกลายเป็นหอคอยงาช้าง นำไปปฏิบัติไม่ได้นะครับ ถ้าคิดจะเป็นผู้ประกอบการจริงๆ เรียนอะไรก็ได้ที่ชอบครับ เรื่องหุ้นอ่านเองก็ได้ ถูกต้องแล้วครับ
(ผมก็จบเอ็มบีเอ แต่ขอแนะนำอย่างนี้นะ)
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 9:24 am
โดย CK
คนไปเรียน MBA มีสองประเภท
1. ไปเรียนเอาปริญญาเพื่อเพิ่มเงินเดือน
2. ไปเรียนเอาความรู้
ถ้าคิดจะเอาปริญญา เรียนไปเถอะครับ มีดีกว่าไม่มีเล็กน้อย แต่บางทีมันก็จำกัด
โอกาสในการทำงานเหมือนกัน ผมเคยรับเด็กจบป.โทบางคน เงินเดือนต่ำกว่า
ป.ตรีอีก
ถ้าคิดจะเรียนเอาความรู้ เรียนตอนอายุ 40 ก็ยังไม่สายครับ ดีเสียอีก ได้พบเพื่อน
หลากหลาย
เดี๋ยวนี้ คนเรียน mba ในไทยเริ่มอายุมากขึ้นแล้วครับ ในตปท. อายุเฉลี่ยจะตก
30-35 ปี ตอนนี้ up ขึ้นมาเป็น 35-40 แล้ว บางคน 50 ด้วยซ้ำ
แต่ถ้าอยากพัฒนาตัวเอง อย่าเพิ่งเรียนครับ ไปซื้อหนังสือมาอ่านเองก็ได้
แต่การลงทุนที่จะคุ้มค่าที่สุดในการพัฒนาความรู้คือ การลงเรียน course
อบรมบัญชีพื้นฐานกับคุณมน แล้วต่อด้วยวิชาวิเคราะห์งบการเงินครับ
ถ้าเราเริ่มอ่านงบได้อย่างที่ผู้บริหารอ่าน มันเหมือนก้าวเข้าไปในอีกโลก
หนึ่งเลยครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 9:39 am
โดย jaychou
ผมไม่มีความรู้ด้านเอ็มบีเอ แต่เห็นว่า
หลายๆท่านในเว็บนี้ เจริญได้ในการลงทุนและชีวิตส่วนตัว
ด้วยผลของ การอ่าน ความคิด และจิตเมตตา เป็นที่ตั้ง
ยังไม่เห็นสถาบันไหนสอนได้ ต้องเรียนจากท่านเหล่านั้นเอง
ยกตัวอย่าง ท่านหนึ่ง ออกตัวมาตลอดที่รู้จัก ว่าไม่ได้จบมาด้านนี้
แต่ท่านก็เป็นนักลงทุนมือทอง ซึ่งมีความเมตตากรุณาต่อเพื่อนนักลงทุนมาตลอด
รู้ไหม ท่านคือใคร
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 9:40 am
โดย woody
...........ummmmmm พี่ครรชิต หรือครับ หรือว่าพี่ฉัตรชัย
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 9:44 am
โดย jaychou
มีคำตอบสุดท้าย มากกว่าหนึ่งท่านแน่ๆ แล้วแต่ว่าท่านรู้จักใครบ้าง
ผมเชื่อว่าท่านที่ประสบความสำเร็จ ทั้งที่ไม่ได้เรียนมาโดยตรง และมีใจเมตตา
มีอยู่เพียบครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 11:15 am
โดย tanasombat
หลายๆท่านในเว็บนี้ เจริญได้ในการลงทุนและชีวิตส่วนตัว
ด้วยผลของ การอ่าน ความคิด และจิตเมตตา เป็นที่ตั้ง
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 3:53 pm
โดย nanchan
กว่าจะเรียนจบ หมดหลายแสน (ถ้าเป็นแค่เศษเงินก็เรียนเถอะครับ)
ถ้าไม่ใช่เอามาลงทุนซักหลายปี แล้วค่อยไปเรียนทีหลังก็ยังทัน
ถ้าจะเรียนผมว่าMBA น่าจะดีกว่า
ได้ความรู้กว้างขวางกว่า
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 5:03 pm
โดย harry
ขอบคุณครับ สำหรับหลายความเห็น
จริงๆผมก็มีแนวทางอยู่ แต่ลองมาขอรับฟังดู เพื่อได้อะไรไปคิดเพิ่มเติม
ส่วนที่ว่ามีท่านที่พวกเราและผมเคารพ ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องเรียนสูงๆนั้น ผมก็เข้าใจดีครับ เพียงแต่ยุคผม รุ่นผม มันก็มีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
มันก็อยากมีดีกรีไว้บ้าง จะได้หางานทำได้ ถ้าเกิดทำอะไรเองแล้วผิดคาด(เจ๊ง)
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 22, 2005 5:23 pm
โดย adi
ข้อ 1 ครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 24, 2005 9:15 am
โดย สุมาอี้
รู้สึก วิกรม เกษมวุฒิ จะจบนิเทศศาสตร์ แล้วไปต่อ MBA เหมือนกันนะครับ มีตัวอย่างแล้วที่ประสบความสำเร็จ
ขอให้โชคดี
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 24, 2005 12:48 pm
โดย harry
ขอบคุณอีกครั้งครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 24, 2005 1:21 pm
โดย yoyo
ตอนนี้ผมเรียน mba อยู่ครับ ..รู้สึกว่าคุ้มมากๆ
สิ่งที่เรียนมากมายหลายอย่างตรงกับสิ่งที่อยากรู้
ตอนที่ช่วยธุรกิจของครอบครับอยู่ ก็มีหลายสิ่งที่อยากจะปรับปรุงให้ดีขึ้น
แต่ตอนนั้นมันตันๆครับ หาคำตอบให้กับคำถามตัวเองไม่ค่อยได้
แต่ตอนนี้มองเห็นภาพแล้วครับ คำตอบหลายๆอย่างก็ได้มาจากการเรียน MBA นี่แหละครับ
ปล. ส่วนเรื่องที่เรียน MBA แล้วเอามาลงทุน ผมรู้สึกว่าช่วยได้บ้างครับ แต่ไม่มากเท่าไหร่ ผมว่าผมได้จากการอ่านเองซะมากกว่า
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 30, 2005 2:23 pm
โดย harry
ผมคิดว่า ดร. มาตอบคำถามให้ โดยผ่านการเขียนบทความนี้ หรือไม่ก็ได้ไอเดียไปเขียนบทความจากกระทู้นี้
ขอบคุณท่าน ดร. มากครับ
วิชาลงทุน โดย ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถ้าถามว่าจะเป็นนักลงทุนที่เยี่ยมยอดจะต้องเรียนอะไร? คำตอบของคนจำนวนมากจะบอกว่าต้องจบปริญญาบริหารธุรกิจโดยเฉพาะสาขาการเงิน เพราะหลักสูตรนี้ประกอบไปด้วยวิชาที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุนที่จำเป็นทุกด้าน ไล่ตั้งแต่การวิเคราะห์งบการเงินของกิจการ การวิเคราะห์หลักทรัพย์ การบริหารพอร์ตโฟลิโอ นอกจากนั้นยังสอนพื้นฐานของการทำธุรกิจอื่น ๆ ทุกด้าน ตั้งแต่การตลาด การผลิต การบริหารงานบุคคล และกลยุทธ์อื่น ๆ ของธุรกิจ
ถ้าการลงทุนเป็นศาสตร์แบบเดียวกับวิศวกรรมหรือการแพทย์แล้วละก็ คำตอบก็น่าจะถูกต้อง เพราะคงเป็นเรื่องยากที่คนจบวิชาตบแต่งภายในจะมาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบโครงสร้างตึก หรือคนจบนิเทศศาสตร์จะกลายเป็นหมอชื่อดัง แต่การลงทุนนั้นเป็นเรื่องของศาสตร์ไม่ถึงครึ่ง และศาสตร์ที่ใช้ก็ไม่ได้ยากเย็นอะไร ว่าที่จริงผมคิดว่าคนที่เรียนจบระดับมัธยมถ้าตั้งใจจริงก็สามารถที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ส่วนที่สำคัญกว่าและยากกว่าในเรื่องของการลงทุนนั้นเป็นศิลปะ และนี่คือส่วนที่จะสร้างความแตกต่างระหว่างเซียนหุ้นกับนักลงทุนธรรมดา
ปีเตอร์ ลินช์ เรียนจบปริญญาตรี ดูเหมือนจะทางด้านภาษา เช่นเดียวกับปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ เขาบอกว่าวิชาที่มีประโยชน์จริง ๆ ต่อการลงทุนเป็นวิชาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และปรัชญา ส่วนวิชาการเงินและการลงทุนที่เขาเรียนมาในระดับปริญญาโท นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว เขารู้สึกว่าทำให้เขาหลงทาง เข้าใจผิด ถึงขนาดบอกว่าคนที่เรียนวิชาเหล่านี้จะมีปัญหาที่จะต้องลบล้างสิ่งที่เรียนมาถ้าต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน
บิล มิลเลอร์ เซียนหุ้นระดับเดียวกับ ปีเตอร์ ลินช์ แม้จะดังน้อยกว่า เรียนจบมาทางด้านปรัชญา ซึ่งดูไปแล้วห่างจากเรื่องของการเงินและการลงทุนที่จะต้องพิจารณาถึงตัวเลข การคาดการณ์อนาคต การวิเคราะห์ในเรื่องของการแข่งขัน และการบริหารจัดการของบริษัทธุรกิจต่าง ๆ แต่มิลเลอร์กลับเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูงสุดจากการลงทุนในหุ้นเท็คโนโลยีซึ่งเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ล้วน ๆ
ชาร์ลี มังเจอร์ รองประธานของเบิร์กไชร์และเพื่อนคู่หูของบัฟเฟตต์ เรียนจบทางด้านกฎหมายและเป็นนักกฎหมายมานานก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักลงทุนเต็มตัว แต่เบื้องหลังจริง ๆ ของเขานั้น เขาเป็น นักศึกษา ตัวยง เขาเรียนรู้วิชาต่าง ๆ มากมายซึ่งน่าจะรวมไปถึงฟิสิกส์และปรัชญา เช่นเดียวกับสถิติและจิตวิทยา เขาบอกว่าการลงทุนที่จะประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการสอดประสานของวิชาต่าง ๆ เช่นนำความคิดของฟิสิกส์มาประยุกต์รวมกับปรัชญาหรือนำวิชาสถิติมาเกี่ยวข้องกับจิตวิทยา พูดโดยสรุปก็คือ ยิ่งคุณมีความรู้กว้างในศาสตร์และศิลป์ที่แตกต่างกันคนละเรื่องเลยมากเท่าไร คุณก็จะได้เปรียบในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น
วอเร็น บัฟเฟตต์ นั้นเรียนจบสายตรงมาทางด้านของธุรกิจและการลงทุน แต่อาจารย์ของเขา คือ เบน เกรแฮม ซึ่งถือเป็นบิดาแห่งการลงทุนแบบ Value Investment นั้น เป็นพหูสูตรในหลาย ๆ เรื่อง เขาเป็นเซียนด้านคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษากรีก ละติน และดนตรี เรียนจบระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด เขาเขียนบทละครเป็นงานอดิเรก
สิ่งที่เซียนหุ้นดูเหมือนจะมีเหมือน ๆ กันหมดก็คือ คนเหล่านั้นมักเป็นนักอ่านตัวยง เป็นนักคิด หลาย ๆ คนสนใจและเรียนเกี่ยวกับปรัชญา บางคนก็ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ ทั้งหมดมีความรู้กว้างขวางในหลาย ๆ สาขาวิชา ซึ่งส่วนหนึ่งก็คงจะมาจากนิสัยรักการอ่าน และดูเหมือนว่า ความลึก จะเป็นเรื่องรอง เห็นได้จากการที่เซียนหุ้นส่วนใหญ่มักจะมีมุมมองที่ กว้าง และมักจะหลีกเลี่ยงประเด็นที่ลึกและเข้าใจยาก วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นอัจฉริยะที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน และการลงทุนนั้น คุณไม่ต้องเรียนรู้ตัวอักษรกรีกในคณิตศาสตร์ประเภท เบตา ซิกมา ที่นักวิชาการใช้กัน
ในความเห็นของผม วิชาพื้นฐานการลงทุนที่จะต้องเรียนรู้คงจะต้องมีเพื่อให้สามารถ อ่าน ธุรกิจออก ก็คือวิชาบัญชีพื้นฐานและการวิเคราะห์การเงินพื้นฐาน ซึ่งหาหนังสือที่จะอ่านเองได้ไม่ยาก นอกจากนั้น คุณควรรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดหรือกลยุทธ์การแข่งขันของธุรกิจซึ่งมีหนังสือที่เขียนให้คนทั่วไปอ่านเข้าใจได้ไม่ยาก จากนั้น คุณก็สามารถอ่านหนังสือเกี่ยวกับการลงทุน โดยเฉพาะหนังสือคลาสสิคหลาย ๆ เล่มทางด้าน Value Investment เหล่านี้คือพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการลงทุน แต่จะทำได้ดีแค่ไหนผมคิดว่า ความ กว้าง ของความรู้น่าจะมีส่วนมากกว่า
การเรียน MBA ทางด้านการเงินนั้น แน่นอนว่ามันเป็นการปูพื้นฐานที่ครบครันในที่เดียวหรือเรียกว่า One Stop Service แต่ไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการที่จะประสบความสำเร็จจากการลงทุน นอกจากนั้น คุณจะต้องระวังว่า สิ่งที่สอนบางอย่างอาจจะทำให้คุณไขว้เขวและอาจทำให้คุณล้มเหลวจากการลงทุนได้โดยเฉพาะถ้าคุณเชื่อตามที่นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ตลาดหุ้นมีประสิทธิภาพสูงสุด คุณไม่มีโอกาสชนะในการลงทุน ดังนั้นคุณไม่จำเป็นต้องคิด
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 30, 2005 3:04 pm
โดย SomJook
แหะๆ.... ขอแหวกแนว.... แนะนำ MBE
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: อังคาร ส.ค. 30, 2005 9:51 pm
โดย harry
ผมเล็งไว้คือเรียนที่ จุฬา นิด้า และ หอการค้าครับ
คณะนี้ของนิด้า ผมก็เล็งไว้ด้วย
คงอยู่ที่ว่าจะสอบติดที่ไหนแหละครับ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2005 6:53 pm
โดย Tao Investor
ปีเตอร์ ลินช์ เรียนจบปริญญาตรี ดูเหมือนจะทางด้านภาษา เช่นเดียวกับปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจ เขาบอกว่าวิชาที่มีประโยชน์จริง ๆ ต่อการลงทุนเป็นวิชาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และปรัชญา ส่วนวิชาการเงินและการลงทุนที่เขาเรียนมาในระดับปริญญาโท นอกจากจะไม่ช่วยอะไรแล้ว เขารู้สึกว่าทำให้เขาหลงทาง เข้าใจผิด ถึงขนาดบอกว่าคนที่เรียนวิชาเหล่านี้จะมีปัญหาที่จะต้องลบล้างสิ่งที่เรียนมาถ้าต้องการที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุน
บิล มิลเลอร์ เซียนหุ้นระดับเดียวกับ ปีเตอร์ ลินช์ แม้จะดังน้อยกว่า เรียนจบมาทางด้านปรัชญา
ชาร์ลี มังเจอร์ รองประธานของเบิร์กไชร์และเพื่อนคู่หูของบัฟเฟตต์ เรียนจบทางด้านกฎหมายและเป็นนักกฎหมายมานานก่อนที่จะเข้ามาเป็นนักลงทุนเต็มตัว แต่เบื้องหลังจริง ๆ ของเขานั้น เขาเป็น นักศึกษา ตัวยง เขาเรียนรู้วิชาต่าง ๆ มากมายซึ่งน่าจะรวมไปถึงฟิสิกส์และปรัชญา
เรื่องการศึกษา
การศึกษา คือ อะไร?
ความรู้ หรือ การเรียนรู้?
นักศึกษา ที่ ผลการเรียน ดี บางคน ยอมรับว่า ตัวเองไม่มีความรู้ เพียงแค่ ทำข้อสอบได้?
นักศึกษา ที่ผลการเรียนแย่ บางคน ยอมรับว่า ตัวเองมีความรู้ แต่ ทำข้อสอบไม่ได้?
นักศึกษา คนแรก ทำข้อสอบได้ เพราะ เคยทำข้อสอบนั้น มาแล้ว
นักศึกษา คนหลัง ทำข้อสอบไม่ได้ เพราะไม่เคยทำข้อสอบมา ก่อน
ทั้งสองคนตั้งใจทำข้อสอบอย่างสุดความสามารถทั้งคู่
นักศึกษา คน แรก ได้ a
นักศึกษา คนหลัง ได้ F
นักศึกษาคนแรก ได้อะไรจาก ข้อสอบ ?
นักศึกษาคนหลัง ได้อะไรจาก ข้อสอบ?
จุดประสงค์ในการเรียน คืออะไร?
ปริญญา?
ความรู้?
การเรียนรู้?
คุณค่าของ ปริญญา ความรู้ และ การเรียนรู้ อย่างไรมากกว่ากัน?
เรียนอย่างไร ถึงเรียกว่า เอาความรู้ ?
นักเรียนและนักศึกษาในสมัยนี้ เรียน โดยไร้จุดมุ่งหมาย
เป็นนักเรียนและเป็นนักศึกษา โดยที่ยังไม่รู้ ว่าจะนำความรู้ไปใช้ทำอะไร
หรือว่า ตนเองต้องการความรู้ในด้านไหนบ้างในการนำไปใช้ดำเนินชีวิต
ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม
นักเรียนเล็กๆ ระดับประถมศึกษา หรือว่า มัธยมศึกษา อาจอ้างได้ว่า ยังไม่มีวุฒิภาวะ
ที่นักศึกษา พึงมี แต่นักศึกษาส่วนมาก ยังไม่มี
เหมือน การเดินทางโดยไม่ได้กำหนด เป้าหมาย และปราศจากเครื่องมือในการนำทาง
ไร้เป้าหมาย ย่อม ไร้หนทาง
ไร้เป้าหมาย ทางทุกสาย ย่อมผิดพลาด
นักศึกษาวิศวะ หลายๆ คน
หลังจากศึกษาจบแล้ว กลับไป ขายข้าวแกง ขายเสื้อผ้า หรือ ไม่บางคนขายเหล้า ฯลฯ
ซึ่งนักศึกษาเหล่านั้น ไม่ควร เสียเวลา ในการเรียน หลายปี
เป็นการหลงทาง?
ย่อมไม่ใช่การหลงทางเป็นแน่
เรียกว่าเป็นทางอ้อม อ้อมไปหลายๆปี กลับมีประสบการณ์เพิ่มขึ้น
มีทั้งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์
การศึกษาที่ดี ต้องมีเป้าหมาย
มีแนวทางในการบรรลุเป้าหมาย
ย่อมสำเร็จผลตามเป้าหมาย
ข้อสังเกตุ
มีการเชื่อมโยง ของการศึกษาศาสตร์ ทางด้าน ปรํชญา ในผู้ประสบความสำเร็จ
ขอความเห็นหน่อยครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ย. 08, 2005 9:53 pm
โดย iscssn