Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

พี่บอกว่า ถ้าซื้อแล้วต้องขายถึงจะได้กำไร ผม "ไม่" ซื้อครับ

แล้วกำไรจะมาจากปันผล อย่างเดียวเลยหรือครับ  :?:
หรือว่ารอวันที่เหมาะสม อาจจะกี่เดือนกี่ปีก็ไม่รู้ เมื่อสถานะการณ์เปลี่ยนแล้วค่อยขาย รอได้ใช่ไหมครับ

แล้วถ้าบริษัทนั้นไม่ปันผลจะทำไงละครับ

[quote="CopyWriter"]พี่บอกว่า ถ้าซื้อแล้วต้องขายถึงจะได้กำไร ผม "ไม่" ซื้อครับ

แล้วกำไรจะมาจากปันผล อย่างเดียวเลยหรือครับ

ไม่เหมือนท่านคัดท้ายแฮะ

กฏทองข้อ 1 ของคัดท้าย

"กำไรของเรามาจากกระเป๋าคนอื่น" :lovl:

ซื้อแล้วได้กำไรโดยไม่ต้องขาย

กับ

ชนะโดยไม่ต้องรบ


เหมือนกันไหมครับ ท่านแม่ทัพ

ถ้าซื้อแล้วต้องขายถึงจะได้กำไร ผม "ไม่" ซื้อครับ

กำไรเมื่อซื้อครับ
ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ พี่สุมาอี้

ตัวอย่าง...ธุรกิจเพลง ซื้อ สิ่งพิมพ์...ใช่ปะ

jaychou เขียน:ไม่เหมือนท่านคัดท้ายแฮะ

กฏทองข้อ 1 ของคัดท้าย

"กำไรของเรามาจากกระเป๋าคนอื่น" :lovl:

รู้สึกจะตรงข้ามกับข้อ 10. ของพี่พริตตี้แห่งสินธรอีกด้วย

10.  จำไว้ว่า ถ้าไม่ขาย ก็ไม่ได้กำไร ขายหมูดีกว่าเท่าทุน และเท่าทุน ดีกว่าขาดทุน

:lol:

ไม่เหมือนกับกฎข้อ 38 ของผมด้วย

"หุ้นมีไว้ขาย เมียมีไว้กอด"

ท่านสุมาอี้ คงหมายถึง

ถ้าจะซื้อหุ้นตัวใด ก็จะขอเก็บไว้จนตายรึเปล่า
ปล่อยให้กำไรบริษัทเติบโตไปเรื่อยๆ
ไม่คิดขายตราบใดที่บริษัทยังดีอยู่
กำไรก็คงมาจากการเติบโตของบริษัทที่เรามีหุ้นถืออยู่ไง
กำไรอยู่ที่ใจไงท่าน

ถ้าไม่ต้องคิดหนีไปต่างประเทศเหมือนนาย กขค
ก็คงยังไม่ต้องคิดขายมั้ง(อันนี้เปรียบเปรย)

ขอให้ท่านสุมาอี้ เป็นสุดยอดVI  นะครับ
ผมคงทำไม่ได้แน่ๆ

ที่จริงแล้ว motto อันนี้ของผมเป็นกลอน Haiku ด้วย

จริงๆ แล้วที่ถูกต้องเขียนแบบนี้ครับ

 ถ้าซื้อแล้วต้องขาย
 ถึงจะได้กำไร
 ผมไม่ "ซื้อ" ครับ

CK เขียน:

ไม่เหมือนกับกฎข้อ 38 ของผมด้วย

"หุ้นมีไว้ขาย เมียมีไว้กอด"

มีไว้กอดอย่างเดียวหรือครับ ช่างถนอมเมียจริงๆ  :lol:

น่าจะเป็น
แค่ซื้อก็ "กำไร" แล้ว
ไม่ต้องเสี่ยงซื้อเพื่อขาย
ถึงจะได้กำไรหรือเปล่าครับ  :lol:

อีกครั้ง...
พี่สุมาอี้ ไม่ได้บอกว่าจะไม่ขาย
แต่พี่ เขาบอกว่า ถ้าซื้อ แล้วต้องขาย ถึงจะได้กำไร พี่เขาจะไม่ซื้อครับ

พี่เขาจะซื้อ
1 หุ้นที่มี มาร์จิ้นออฟเซฟตี้
2 หุ้นที่มี ราคาต่ำกว่ามูลค่ากว่าความเป็นจริง

ใช่ปะครับ ----> พี่สุมาอี้ เฉลยหน่อย  

ไม่อยากเฉลยเลยครับ เพราะ

เนื้อหาในกลอน Haiku เป็นปรัชญา Zen ครับ

ปรัชญา Zen สามารถเข้าถึงได้ด้วยการเห็นแจ้งเท่านั้น ไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยการอธิบาย อะไรที่สามารถใช้คำพูดอธิบายได้สิ่งนั้นย่อมไม่ใช่ Zen ถ้าใครยังไม่เห็นแจ้ง ลองเขียนกลอนนี้ติดว่าหน้าจอมอนิเตอร์มองผ่านตาทุกวัน สักวันหนึ่งจะเกิดปัญญาเฉียบพลัน (satori) เข้าใจได้เองแบบไม่ทันตั้งตัวครับ

แต่ยังไงเสีย คุณ Penguins เข้าใจได้ใกล้เคียงที่สุดแล้ว

ขอถามคำถามคุณสุมาอี้นะครับ

แล้วคุณสุมาอี้ "เข้าใจ" ข้อความนี้แล้วหรือไม่?

อ่ะเฉลยก็ได้ครับ ทำเล่นตัวไปงั้นแหละ

ถ้าหุ้นที่เราซื้อ undervalued จริงๆ เงินที่จ่ายออกจากบริษัทให้ผู้ถือหุ้นไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรในอนาคตทั้งหมดรวมกันหักด้วยต้นทุนทางการเงินที่เหมาะสมจะต้องมากกว่าราคาในวันนี้ที่เราจ่ายเงินซื้อมันไปเสมอ ดังนั้นถึงแม้ว่าเราถือไว้เฉยๆ ไม่ได้ขายจนบริษัทล้มละลาย คิดแล้วก็ยังได้กำไร ถ้าไม่ได้กำไรแสดงว่าหุ้นที่เราซื้อมันไม่ได้ undervalued จริงๆ

คำว่า ถ้าซื้อมาแล้วต้องขายออกถึงได้กำไร ผมไม่ซื้อ ไม่ได้แปลว่า ผมจะไม่มีวันขายหุ้นตัวนั้นแล้วรอเงินปันผลอย่างเดียว แต่หมายถึงว่า ถ้าตอนซื้อเราตัดสินใจถูกต้องซะอย่าง จะขายทิ้งหรือจะเก็บไว้เฉยๆ ก็จะต้องได้กำไรทั้งสองวิธีครับ

ที่คุณ Penguin บอกนะถูกแล้ว ในวงการเซียนอสังหาฯ มีคำพูดคำหนึ่งคือ "อสังหากำไรตอนซื้อไม่ใช่กำไรตอนขาย" นี่ถูกต้องที่ซู้ด ไปซื้อของเน่ามา จะขายหรือจะหลอกตัวเองกอดเอาไว้ทั้งน้ำตาก็ขาดทุนทั้งนั้น

พี่สุมาอี้ครับ ...
อย่าดูถูกของเน่านะครับ ของเน่าก็มี "มูลค่า"
อยู่ที่ความรู้ กับประสบการณ์ครับ
"ขยะของคนคนหนึง อาจจะเป็นทรัพย์สมบัติของคนอีกคนก็ได้"
ลองดู "ซาเล้ง" เป็นตัวอย่าง   8)  8)

ขออนุญาติเสริมอีกกระทู้ครับ   สมมุติเราลงทุนทำร้านก๋วยเตี๋ยวนั่นก็เหมือนซื้อหุ้นนั่นแหละเพียงแค่กิจการนี้มีหุ้นเพียงหุ้นเดียว (หรือ 2-3 หุ้นหากอาแปะ หรืออาเฮียจะหุ้นด้วย)     สัก5 ปีพอร้านก๋วยเตี๋ยวคืนทุนเราก็ยังขายต่อไปเรื่อยๆคงไม่มีใครจะขายร้านก๋วยเตี๋ยวทิ้ง  เราซื้อหุ้นพอบริษัทที่เราซื้อมีกำไรมันก็เงินเราในทางกฏหมายเหมือนร้านก๋วยเตี๋ยว   สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ในตลาดสับสนก็คือบริษัทในตลาดมันมีราคาหุ้นวิ่งไปๆมาๆ แต่ร้านก๋วยเตี๋ยวไม่มีราคาหุ้นวิ่งไปมา  ไม่ขายร้านก๋วยเตี๋ยวมีกำไรยังไง  ไม่ขายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็มีกำไรอย่างนั้น ไม่ปันผลก็มีกำไร  ยกเว้นว่าโดนโกงตัวใครตัวมัน

   

ไม่มีกลยุทธ์ใดตายตัว ขึ้นอยู่กับสภาวะการณ์ คือ แนวคิดของผมงับ
ส่วนกลยุทธ์ทั้งหลายก็ได้ท่านพี่ทั้งหลายสอนสั่งครับ
ผมนำมาประยุกต์ใช้เข้ากับสถานการณ์อีกทีงับ
ขอบคุณสักพันครั้ง พวกพี่ทั้งหลายในwebครับ
                                                                                                                                                                                                        *10

อารายกัน คุณ ขงเบ้ง  :!:
ประวัติศาสตร์ ขงเบ้ง ไม่ยอม สุมาอี้ ง่ายๆ น๊ะ
คุณ สุมาอี้ อย่าไปหลงกล คุณ ขงเบ้ง เขาหล่ะ สงสัยแอบตีซี้จะหรอกถามข้อมูล... :lovl:

ในชีวิตจริงผมไม่ค่อยเก่งหรอกงับ  :oops:  :oops:  :oops:
ยืมชื่อเขามาเฉยเฉยครับ  :oops:  :oops:  :oops:

อารายกัน คุณ ขงเบ้ง  
ประวัติศาสตร์ ขงเบ้ง ไม่ยอม สุมาอี้ ง่ายๆ น๊ะ

นั่นสิยอมง่ายๆได้ไง
เดี๋ยวผมไปสมัครใหม่เอาชื่อเป็น บังทอง ดีกว่าจะได้ช่วยขงเบ้งอีกคน  :P (ง่า...คนนี้ตายง่ายนี่หว่า)

อันนี้ลอกของท่าน Rock มา (คงไม่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์นะครับ)

"ผมเน้นที่จุดซื้อเป็นหลักและให้ความสำคัญมากที่สุด จุดขายผมถือว่าเป็นเรื่องรองลงมา"

ผมว่าซื้อแล้วต้องขายครับ และผมว่าทั้งจุดซื้อและจุดขายมีความสำคัญไม่ต่างกัน

ถ้าซื้อมาที่ราคาต่ำ ปลอดภัยพอแล้ว แต่ขายไปที่ราคาถูกเกินไป ก็ไม่คุ้มค่า
เสียทั้งเวลาและโอกาส

ซื้อต่ำ ขายสูง
ซื้อสูง ขายสูง
ซื้อสูง ขายต่ำ
ซื้อต่ำ ขายต่ำ

ซื้อต่ำ ขายสูง ดีที่สุด

ซื้อแล้วไม่ขาย เลย ก็แค่กำไรทางบัญชี ถ้ามีเงินเยอะมีอิสระภาพทางการเงินอยู่แล้วก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ายังไม่มีแล้วได้นำเงินที่หามาใช้จ่ายบ้าง หมุนเวียนสร้างความสุขให้ชีวิตและคนรอบข้างได้เพิ่มขึ้น ก็น่าจะดีกว่านะครับ

เราจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ จะมีตังค์มากมายตายไปไม่ได้ใช้ก็ไม่มีประโยชน์นะครับ

และไม่ต้องกลัวว่าลูกหลาน ไม่มีเงินใช้เยอะ แล้วจะลำบากหรอกครับ
ถ้าเราเลี้ยงลูกดูมาดีแล้ว ก็ไม่ต้องไปกลัว ต่อไปข้างหน้าว่าลูกหลานจะอด เอาตัวรอดไม่ได้

แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ เอาตัวรอดเลี้ยงดูตัวเองกันต่อไปไม่ได้ก็แล้วแต่เวรแต่กรรมละกัน ช่วยไม่ได้จริงๆ :lol:

ใครจะเชื่อว่าทิศทางราคาเป็นเรื่องที่สามารถทำนายล่วงหน้าได้ ก็ BLASH ไปเถิดครับ เผอิญผมไม่เชื่อ ผมกลัวขายหมูแล้วไปซื้อควาย

Warren Buffett เป็นคนที่ซื้อแล้วไม่เคยขายเลย ผมเชื่อว่าเขารวยจริงๆ ไม่ได้รวยทางบัญชี

ถ้าอยากบริโภคเลยขายหุ้น อันนี้ไม่ว่ากันครับ แต่ถ้าขายเพราะกลัวว่ามันได้ขึ้นมาเยอะแล้วเดี๋ยวมันจะลงแล้วกำไรจะหายไป อันนี้ไม่เห็นด้วยครับในระยะยาวกอดหุ้น ROE 10% ไว้ยังไงต้องดีกว่าขายทิ้งแล้วกลับมาถือเงินสด ROE แค่ 1% แน่นอนครับ

ผมไม่เคนอ่านข่าว Buffett หรอกนะครับ ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง
แต่เท่าที่อ่านในนี้ พี่ๆก็บอกไว้ว่า Buffett แกขายหุ้น เปลี่ยนตัวเหมือนกันนิครับ แสดงว่าแกก็มีจุดขายเหมือนกันนะครับ อาจไปซื้อตัวที่ดีกว่าหรืออื่นๆไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ที่สำคัญแกก็บรรลุไปแล้วนิครับ จะมีเงินในบัญชีเพิ่มหรือลดอีกกี่ล้านๆก็ไม่แตกต่างๆ เท่าไหร่ ความสุขของแกคือการได้บริหารให้เงินเพิ่มขึ้นไปได้เรื่อยๆ แกจะเอาเงินส่วนเกินนั้นไปทำอะไรก็เรื่องของแก

เพราะ Buffett แกก็ใช้ชีวิตพอเพียงและสุขสบายเพียงพอในส่วนของแกแล้ว

แต่คนในที่นี้ส่วนใหญ่ ผมว่าที่เข้ามาเล่นหุ้นก็เพราะต้องการเป็นอยู่อย่างนั้นทั้งนั้น

ใครจะเชื่ออะไรก็เชื่อไป ผมเชื่ออยู่อย่างหนึ่งคือ มีเงินดีกว่าไม่มีแน่ และถ้าให้ดีก็ต้องมีเงินสด แล้วที่ผมทำอยู่ทุกวันนี้ก็เพื่อเงินนี้แหละ  :lol:  :lol:

เผื่อเป็นกำลังใจ

ถ้าซื้อปูนใหญ่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว เป็นจำนวน 10,000 บาท
วันนี้รับปันผลปีเดียวแสนกว่าๆ

หุ้นวันนี้มีหรือเปล่าก็คงต้องเก็บกระทู้นี้ไว้แล้วอีก 30 ปี มาดูกัน  8)

เงิน 10000 เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คิดกลับมาเป็นค่าในปัจจุบันเทียบได้เท่าไหร่ครับ ผมว่าหลายแสนแน่ๆ ใครพอทราบบ้างครับ

เทียบกับทองได้มั้ยครับ

คุ้นๆว่ามีคนบอกไว้ว่าเมื่อก่อน ทองบาทละ 400 ดังนั้นมี เงิน 10000 ซื้อทองได้ 25 บาท ตอนนี้ทองบาทละ 10000 ได้เป็น 250000 บาท

สำหรับผม เงินเท่านี้เยอะมากเลยนะครับ

มูลค่าปูนใหญ่วันนี้ก็ไม่มากไม่น้อย แค่สองล้านห้า

ลองอ่าน จะมีชีวิตเป็นคนอยู่อย่างไร จึงจะไม่ขาดทุน ของท่านพุทธทาสดูซิครับ


คุณสุมาอี้ครับ มีเวบไหนที่เกี่ยวกับเซนมั้งครับ ช่วยแนะนำหน่อย

CopyWriter เขียน:ผมว่าซื้อแล้วต้องขายครับ และผมว่าทั้งจุดซื้อและจุดขายมีความสำคัญไม่ต่างกัน

ผมขอแสดงความคิดเห็นอีกนิดนะครับ

กระทู้...ตอนนี้...กำลัง...พยายาม...อธิบายถึงจุดซื้อ ครับ