หน้า 1 จากทั้งหมด 1

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 28, 2006 5:55 pm
โดย hongvalue
เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาตัวเลข foreign direct investment เดือนเดียวเกือบเท่าปีที่แล้วตั้ง 6 เดือน ผมฟังมาจากเซียนท่านนึงว่า  ถ้าตัวเลขตรงนี้มาเยอะ เลยทำให้หุ้นนิคมอย่าง amata nncl ขึ้นมา

อยากทราบว่าเกี่ยวไหมครับ แล้วตัวเลขตรงนี้คืออะไรเหรอครับ และอยากให้ช่วยแนะนำหนังสือเศรษฐศาสตร์สำหรับมือใหม่ให้หน่อยครับ

ขอบคุณพี่สุมาอี้ครับ

Re: คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ค. 28, 2006 11:15 pm
โดย woody
[quote="hongvalue"]เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมาตัวเลข foreign direct investment เดือนเดียวเกือบเท่าปีที่แล้วตั้ง 6 เดือน ผมฟังมาจากเซียนท่านนึงว่า

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 29, 2006 12:50 am
โดย MarginofSafety
Foreign Direct Investment (FDI)

Definitions of FDI are contained in the Balance of Payments Manual: Fifth Edition (BPM5) (Washington, D.C., International Monetary Fund, 1993) and the Detailed Benchmark Definition of Foreign Direct Investment: Third Edition (BD3) (Paris, Organisation for Economic Co-operation and Development, 1996).

According to the BPM5, FDI refers to an investment made to acquire lasting interest in enterprises operating outside of the economy of the investor. Further, in cases of FDI, the investor´s purpose is to gain an effective voice in the management of the enterprise. The foreign entity or group of associated entities that makes the investment is termed the "direct investor". The unincorporated or incorporated enterprise-a branch or subsidiary, respectively, in which direct investment is made-is referred to as a "direct investment enterprise". Some degree of equity ownership is almost always considered to be associated with an effective voice in the management of an enterprise; the BPM5 suggests a threshold of 10 per cent of equity ownership to qualify an investor as a foreign direct investor.

Once a direct investment enterprise has been identified, it is necessary to define which capital flows between the enterprise and entities in other economies should be classified as FDI. Since the main feature of FDI is taken to be the lasting interest of a direct investor in an enterprise, only capital that is provided by the direct investor either directly or through other enterprises related to the investor should be classified as FDI. The forms of investment by the direct investor which are classified as FDI are equity capital, the reinvestment of earnings and the provision of long-term and short-term intra-company loans (between parent and affiliate enterprises).

According to the BD3 of the OECD, a direct investment enterprise is an incorporated or unincorporated enterprise in which a single foreign investor either owns 10 per cent or more of the ordinary shares or voting power of an enterprise (unless it can be proven that the 10 per cent ownership does not allow the investor an effective voice in the management) or owns less than 10 per cent of the ordinary shares or voting power of an enterprise, yet still maintains an effective voice in management. An effective voice in management only implies that direct investors are able to influence the management of an enterprise and does not imply that they have absolute control. The most important characteristic of FDI, which distinguishes it from foreign portfolio investment, is that it is undertaken with the intention of exercising control over an enterprise.

Source : United Nations Conference On Trade And Development (UNCTAD)

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 29, 2006 11:15 am
โดย สุมาอี้
FDI ภาษาชาวบ้านก็คือ เงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาเพื่อสร้างโรงงานหรือตั้งบริษัทจริงๆ ไม่ใช่เพื่อ portfolio investment หรือ เก็งกำไรค่าเงินชั่วคราว

ได้ยินบลจ.ไทยพาณิชย์พูดเมื่อปีก่อนเหมือนกันว่ามีต่างประเทศขอ BOI ไว้สำหรับปี 49 สูงกว่าปี 48 อย่างมาก แต่ยังนึกไม่ออกเหมือนกันว่าเขาเข้ามาด้วยแรงจูงใจอะไร  :?:

เราชอบ FDI มากเป็นพิเศษเพราะเงินทุนแบบนี้เข้ามาแล้วออกไปไม่ง่าย  :D  

ผมเริ่มต้นศึกษาเศรษฐศาสตร์มหภาคตอนเรียน MBA หนังสือเล่มแรกที่อ่านจึงเป็น text book สำหรับ MBA และ Harvard cases อีกจำนวนหนึ่ง หลังจากนั้นก็อ่านจะตรงโน้นบ้างตรงนี้บ้างครับ ค่อยๆ ต่อจิ๊กซอว์ไปเรื่อยๆ ตามเรื่องที่เราสงสัย

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 29, 2006 11:19 am
โดย โอ@
ปีนี้โครงการเพิ่มการผลิตรถยนต์เยอะมากเลยหนิครับ กี่เจ้าๆก็เข้ามา

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 29, 2006 11:49 am
โดย chatchai
คงไม่ใช่เงินจากการขาย SHIN นะครับ

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 29, 2006 3:54 pm
โดย hongvalue
ตอบคุณ woody ไม่มีครับดูจากสไลที่บอกว่ามาจาก bot แต่ไม่รู้เข้าไปดูยังไง กำลังหาข้อมูลอยู่ครับ ถ้าได้แล้วจะมาบอก

ขอบคุณ คุณ hvi คุณ สุมาอี้

อยากถามอีกข้อครับ ดัชนีผู้บริโภค มีต่อย่อว่าอะไรครับ

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 29, 2006 7:51 pm
โดย hongvalue
โทษครับคุณสุมาอี้เมื่อกี้ถามผิด ขอเปลี่ยนคำถามเป็นว่า

1.international reserves ของปี 2005   52.1 พอรู้ไหมครับว่าตัวเลขตรงนี้เป็นของกี่ประเทศ หรือว่าทุกประเทศทั่วโลก และรู้ไหมครับว่าหน่วยเป็นเท่าไหร่ ใช้ล้านๆ ไหมครับ 52.1ล้านๆบาท

2.คำว่า net forward position us$bn คืออะไรเหรอครับ เห็นในตารางเศรษฐกิจ


3.gdp per capita หมายถึงอะไรเหรอครับ

สุดท้ายนี้ผมเอาแต่ถามคุณสุมาอี้ไม่รู้จะช่วยอะไรได้บ้าง
เอาอย่างนี้แล้วกันครับ
ผมไปฟังคุณวิศิษฐ์ องพิพัฒน์กุลมามีเรื่องที่จะมาขอ share ความรู้เผื่อจะมีประโยชน์ต่อคนอื่นดังนี้นะครับ คุณวิศิษฐ์บอกว่าปีหน้าหุ้นที่จะ bull คือ property
เพราะว่าที่ดินในอเมริกาขึ้นมา 10 เท่าในรอบ 10 ปี ซึ่งถือว่าแพงมาก ซึ้งถ้าเทียบกับประเทศไทยที่ ที่ดินตอนนี้ถูกกว่าสมัย crisis ตั้งเยอะ ทำให้เงินน่าจะออกจาก property อเมริกามาเข้า property เมืองไทยและนอกจากนี้ผมยังมี สไลเกี่ยวกับ sector property ดังนี้

1.affordability index (ความสามารถในการซื้อบ้าน) ขึ้นมาจากเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เกือบ 2 เท่า ประมาณ 150 จุด เป็น 370

2.(ถ้าผมเข้าใจถูกว่า gdp per capita ถูกว่าหมายถึงรายได้ต่อหัวนะครับ) เป็นสไลราคาบ้านเทียบกับ
gdp per capita ราคาบ้านไม่มี new high แต่ รายได้ต่อหัวเพิ่ม

พอดีสไลอันนี้เป็นแบบแจกไม่มีในเว็บเลยไม่สามารถนำมาโชว์ได้ แต่ผู้ที่ไปงาน mony expo น่าจะได้ทุกท่านครับ

คงได้เท่านี้แหละครับ มีความรู้ไม่มากนัก หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 29, 2006 10:23 pm
โดย สุมาอี้
hongvalue เขียน:52.1 พอรู้ไหมครับว่าตัวเลขตรงนี้เป็นของกี่ประเทศ หรือว่าทุกประเทศทั่วโลก และรู้ไหมครับว่าหน่วยเป็นเท่าไหร่
เงินทุนสำรองของไทยมีอยู่ 52.1 billion U.S. Dollar ส่วนใหญ่เป็นเงินสกุลดอลล่าร์ครับ
hongvalue เขียน: 2.คำว่า net forward position us$bn คืออะไรเหรอครับ เห็นในตารางเศรษฐกิจ
การแทรกแซงค่าเงินรูปแบบหนึ่งของ ธปท. คือการเข้าไป take position ในตลาดล่วงหน้าครับ เขาเลยแสดงให้ดูด้วย
hongvalue เขียน: 3.gdp per capita หมายถึงอะไรเหรอครับ
GDP หารด้วย จำนวนประชากรครับ ก็คือรายได้ต่อหัวโดยประมาณด้วย เพราะ GDP คือ ส่วนใหญ่คือรายได้ประชาชาติ

ผมไม่ถนัดเรื่องอสังหาเหมือนกันเลยไม่สามารถให้ comment ได้ แต่ก็จะฟังหูไว้หูครับ เท่าที่ทราบตั้งแต่ฟองสบู่แตกราคาที่ดินในไทยแทบไม่ขยับขึ้นเลย คือจริงๆ แล้วมันควรจะต้องลงแต่มันไม่ลง มันก็เลยไม่ขึ้นด้วย

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 30, 2006 10:09 pm
โดย hongvalue
เข้าไปในนี้ครับคุณ woody จะเห็นเงินลงทุนทางตรง

http://www.bot.or.th/bothomepage/databa ... ab59-1.asp






คุณสุมาอี้ครับ ผมเคยอ่านเจอ ratio ทางเศรษฐกิจว่า จะเอา
m2/marketcap ถ้าใกล้ 1 มากขึ้นเท่าไหร่ก็แสดงว่าหุ้นใกล้ peak เพราะว่า เงินออมถูกลงทุนในหุ้นเกือบหมด

แต่มีอีกอัตราส่วนนึงคือ m2/international reserve ได้ประมาณ 2.95 คุณสุมาอี้พอทราบไหมครับ อัตราส่วนนี้จะบอกอะไรกับเราได้ มันสามารถบ่งบอกถึงว่ามี excess liqiudity ได้ไหมครับ

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 30, 2006 11:53 pm
โดย สุมาอี้
hongvalue เขียน: คุณสุมาอี้ครับ ผมเคยอ่านเจอ ratio ทางเศรษฐกิจว่า จะเอา
m2/marketcap ถ้าใกล้ 1 มากขึ้นเท่าไหร่ก็แสดงว่าหุ้นใกล้ peak เพราะว่า เงินออมถูกลงทุนในหุ้นเกือบหมด
ตามความเห็นผม สูตรนี้ไม่น่าบอกอะไรได้ เพราะ market cap ของตลาดหุ้นขึ้นอยู่กับจำนวนบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดซึ่งเปลี่ยนไปเรื่อยๆ และบริษัทในประเทศไทยส่วนใหญ่ก็ไม่ได้อยู่ในตลาดหุ้น  mkt cap ของตลาดหุ้นจึงไม่น่ามีความสัมพันธ์ใดๆ กับ m2
hongvalue เขียน: แต่มีอีกอัตราส่วนนึงคือ m2/international reserve ได้ประมาณ 2.95 คุณสุมาอี้พอทราบไหมครับ อัตราส่วนนี้จะบอกอะไรกับเราได้ มันสามารถบ่งบอกถึงว่ามี excess liqiudity ได้ไหมครับ
ถ้าอัตราส่วนนี้สูงน่าจะบ่งชี้ว่าเป็น loose market ถ้าต่ำก็ tight market แต่ 2.95 แปลว่าสูงหรือต่ำนั้นผมไม่ทราบเหมือนกัน อีกอย่างหนึ่ง ทุกวันนี้ international reserve มีไว้ค้ำประกันฐานเงินแค่นิดเดียวเท่านั้น ที่เหลือเป็นส่วนเกินซึ่งใหญ่มากๆ ดังนั้นการวัดด้วยอัตราส่วนนี้อาจจะไม่แม่นครับ

ถ้าอยากทราบว่ามี excess liquidity หรือไม่ ก็ลองอ่านข่าวสัมภาษณ์นายแบงก์ในนสพ.ดูครับ บางทีเขาจะอ้างถึงว่าตอนนี้ excess liquidity ในระบบมีประมาณเท่าใด

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 1:01 pm
โดย hongvalue
gdp ที่มีตามเงินเฟ้อกับไม่ตามหมายถึงยังไงเหรอครับ  คุณสุมาอี้

ไม่ทราบว่าคุณสุมาอี้เคยอ่าน column money game ไหม ผมเคยอ่านเจอ ratio gdp/marketcap เค้าเขียนว่าถ้าหารออกมาแล้วได้สูงๆ (ประมาณ 1.2เท่าขึ้นไป) สมมุติว่า

ถ้า gdp ตามเงินเฟ้อ 7 ล้านๆ ตลาดแค่ 5ล้านๆ ค่าที่ได้ต่ำกว่า 1 ก็ยังไม่น่ากลัว แต่ถ้า gdp 5ล้านๆ ตลาด7ล้านๆ ทำให้ ratio สูงกว่า 1 หมายถึงว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ ยังน้อยกว่า set index  จะพอบอกได้ไหมว่าตลาดมันแพงเกินไป ใน column บอกว่าตอนวิกฤตปี 40 ค่านี้ได้ 1.4 อยากถามความเห็นคุณสุมาอี้หน่อยครับ มองแบบไหน

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 2:21 pm
โดย สุมาอี้
real GDP คือ nominal GDP ที่หักผลของเงินเฟ้อออกแล้ว

สังเกตว่าถ้าเป็น real GDP บางทีเขาจะวงเล็บว่า base year price 1990 อะไรทำนองเนี่ย แสดงว่าเป็นมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมที่คิดที่ระดับราคาในปี 1990 แบบนี้เป็น real GDP ครับ

ประเทศที่ตลาดทุนยังเล็กอยู่มากเช่นประเทศไทยเมื่อ 30 ปี ก่อน มีบริษัทในตลาดแค่ 8 บริษัท อย่างนี้ market cap เทียบ m2 น่าจะจิ๋วมากๆ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะเกิดฟองสบู่ไม่ได้ (กรณีราชาเงินทุน) ดังนั้นมาตรฐานนี้ต้องเทียบด้วยว่าตลาดทุนพัฒนาไปขนาดไหนแล้วด้วย จึงไม่น่าจะเอามาเปรียบกันอดีตได้ เพราะตลาดทุนพัฒนาขึ้นมาอีกแล้วระดับหนึ่ง โดยส่วนตัวจึงคิดว่าเอามาใช้เป็นตัวบ่งชี้ไม่ได้ครับ

ถ้าอยากรู้ว่าฟองสบู่หรือไม่ผมว่าสังเกตจากว่ามีคนขับแท็กซี่เล่นหุ้นหรือไม่ แบบที่ปีเตอร์ ลินซ์ บอกน่าจะแม่นกว่าครับ

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 7:50 pm
โดย hongvalue
:rofl: ง่ายดีจังเลยครับ ไม่ต้องคิดเลขให้ยุ่งยากด้วย แต่คนขับแท็กซี่คงไม่พูดถึงหุ้นมั้งครับ ในประเทศไทยนะ ถ้าต่างประเทศก็ยังว่าไปอย่าง

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 7:56 pm
โดย โอ@
คนขับแท็กซี่ ช่างตัดผม .... อะไรที่เป็นอาชีพที่เจอคนเยอะๆ ต้องคุยกับคนเยอะๆ ถ้าเขาคุยเรื่องหุ้นก็แสดงว่า ใครๆที่เจอเขาคุยเรื่องหุ้นเยอะจนเขารู้เรื่อง

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 8:03 pm
โดย hongvalue
ดีครับคุณโอ ถ้าอย่างนั้นหุ้นที่ผมติดอยู่ตอนนี้จะได้ยังไม่ต้องขาย cut loss เพราะว่า เพิ่งนั่ง taxi ไม่เห็นพูดเรื่องหุ้น เห็นพูดแต่เรื่องการเมือง

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 8:20 pm
โดย hongvalue
ตกลงคุณสุมาอี้วิเคราห์หุ้นแบบ bottom-up หรือว่า top down approach ครับ

ขอเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วกันครับ เพราะว่าเรื่องเศรษฐกิจถามแท็กซี่ก็ได้ ถ้าผมจะคำนวนราคาหุ้นด้วยวิธี ddm แบบ constant growth

สูตรคือ   dps0(1+g)/ke-g (ผมไม่แน่ใจบางตำราอาจเขียนว่า re ) ke ในที่นี้คือผลตอบแทนที่ต้องการ  เคยถามอาจารย์บางท่านบอกว่าให้ใช้ capm แต่ผมว่าใช้ได้ตั้งหลายวิธี gordon growth model ก็น่าจะใข้ได้  อีกคำถามนึงนะครับ หุ้นอย่าง se-ed ปันผลปีละ 4 ครั้งผมลองคำนวนโดยใช้ ke แบบ capm ได้ราคา 12 บาท คุณสุมาอี้ว่าหุ้นปันผลเยอะๆ ควรคำนวนด้วยวิธีนี้จะถูกต้องไหม และ อยากถามว่า ราคาที่ได้จะถือ เป็น margin of safety ได้ไหม


สนุกดีครับได้คุยกับคุณสุมาอี้ เดี่ยวนี้ชักชอบเว็บ thaivi แล้ว

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 10:04 pm
โดย adi
[quote="hongvalue"]

สูตรคือ

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ค. 31, 2006 11:21 pm
โดย hongvalue
นี้เป็นการประเมิน ตัว ke ซึ้งถ้าเป็น gordon สูตรคือ d1/p0+g สมมุติจ่ายปันผล 2 บาทต่อหุ้น เงินปันผลมีอัตราเติบโตปีละ 7 % ราคาหุ้นขณะนั้น 26.75  คำนวนได้ดังนั้น     2*(1+0.07)/26.75+.07 = ke 15%

แต่ถ้าประเมินด้วย capm สูตรคือ rf+(rm-rf)*beta  สมมุติว่ามีค่า beta 1.2 พันธบัตรรัฐบาล 9 % ผลตอบแทนตลาดรวม 14%

ke = 0.09+(0.14-0.09)*1.2

ke ก็เท่ากับ 15% เท่ากัน

ผมไม่แน่ใจว่าผมหลงประเด็นไหมแต่การหาอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนคาดหวังน่าจะทำได้หลายทาง

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 01, 2006 8:42 am
โดย สุมาอี้
D/(k-g) เหมาะกับหุ้นเติบโตน้อยๆ ครับ เพราะ ถ้า g>k จะเกิดปัญหาทันที

g ในสูตรนี้ต้องเป็น g เฉลี่ย"ตลอดกาล" ซึ่งไม่มีบริษัทไหนจะโตสูงไปได้ตลอดกาล

สำหรับ SE-ED ผมแนะนำให้แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกโตสูงๆ ก็ให้หา PV ทีละปีแล้วบวกกัน ช่วงที่สองเป็นช่วงอิ่มตัวค่อยใช้ D/k-g แล้ว discount กลับมาปีปัจจุบัน แล้วเอาสองช่วงมารวมกันจะดีกว่า

ถ้าจะให้ดีที่สุดควรเปลี่ยนจาก D เป็น FCF ด้วย แต่จะซับซ้อนหน่อย

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 01, 2006 10:31 am
โดย adi
[quote="hongvalue"]นี้เป็นการประเมิน ตัว ke ซึ้งถ้าเป็น gordon สูตรคือ d1/p0+g สมมุติจ่ายปันผล 2 บาทต่อหุ้น เงินปันผลมีอัตราเติบโตปีละ 7 % ราคาหุ้นขณะนั้น 26.75

คุณสุมาอี้ครับ ถามเรื่องเม็ดเงินหน่อยครับ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 01, 2006 12:32 pm
โดย Rocker
พี่สุมาอี้ครับ

ถ้าไม่ขึ้นtaxiแล้วไม่คุยกับtaxiก็ไม่รู้สิครับว่าเค้าเล่นหุ้นหรือไม่
แต่ผมว่าถ้า แม่บ้าน ตาม office มหาลัย หรือ แม่บ้านพี่เจ๋งเล่นหุ้น
นั้นอะน่าจะ peakของจริง   :lovl:  :rofl:  :rofl:  :rofl:  :lovl: