หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 12:26 pm
โดย Accidental Hero
ขออนุญาตล้อกระทู้คุณวัวแดงครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=17706
เจตนาเพื่อให้เกิดความคิดที่หลากหลาย
จำเป็นจริงหรือ ที่บริษัทที่จะมีการเติบโตมาก จะต้องเป็นที่ 1 เท่านั้น
ถ้าเทียบอัตราการเติบโต ระหว่าง ที่ 1 กับ ที่ 2 หรือที่ 3 ไม่แน่ว่าใครจะโตเร็วกว่ากัน
ที่ 1 ครองส่วนแบ่งการตลาดสูงสุด
การเพิ่มส่วนแบ่ง มาจากการเพิ่มความต้องการของผู้บริโภคในภาพรวม และการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมากระตุ้นลูกค้า ส่วนการชิงส่วนแบ่งมาจากที่ 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจว่าจะทำได้แค่ไหนเพราะผู้บริโภค พอใจเลือกสินค้าที่ไม่ใช่เบอร์ 1 อยู่แล้ว จะลดราคาลงก็เสียภาพลักษณ์ของผู้นำ รวมทั้งกระทบฐานรายได้เดิมด้วย
ส่วนที่ 2 หรือ ที่ 3 ถือเป็นมวยรอง กลยุทธ์ในการชิงส่วนแบ่งมีหลากหลายกว่า
เลยเป็นที่มาของคำถามว่า "ต้องการที่ 1 เท่านั้น" จริงหรือ
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 5:07 pm
โดย สามัญชน
มีทั้งดีทั้งเสียครับ แต่ข้อดีจะมีมากกว่า
ได้ที่ 1. มาแล้วก็เป็นการพิสูจน์อดีตและปัจจุบันว่าเขาเก่งที่สุด(ถึงได้ที่1.เนาะ) แต่ก็ไม่ได้พิสูจน์อนาคต
ส่วนที่2.-3. ก็บอกว่าอดีตและปัจจุบันยังไม่ใช่ที่สุด แต่อนาคตก็ยังมีโอกาส และถ้าทำได้จริงกลุ่มนี้ก็จะมีโอกาสเติบโตมากกว่าเสียอีก
และถ้าฟังผู้บริหารกลุ่มนี้ซึ่งได้ที่2.-3.พูดถึงโครงการต่างๆที่จะทำให้ได้ที่1.เราก็มักจะเคลิ้มตาม(คนระดับนี้มักจะมีความสามารถโน้มน้าวใจได้พอสมควร ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้เป็นคนระดับนี้ อิอิ)ว่าอีกไม่นานคงจะได้ที่1.เป็นแน่แท้
แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลายบริษัทก็ทำจนได้ที่1.ได้จริง และอีกหลายบริษัท(มักจะมากกว่าหลายเท่าตัว) ก็ทำไม่ได้สักที........
คำพูดของคนที่ได้ที่1.มาแล้วจึงน่าเชื่อถือกว่าหลายเท่าตัวตามไปด้วย.....
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 5:08 pm
โดย สามัญชน
การครองที่1.นอกจากจะบอกว่ามีฝีมือในการไต่เต้าจนได้ที่1.แล้ว ยังมีเรื่องอื่นๆที่ช่วยให้เขาได้เปรียบอีก เพราะเขาเข้าไปอยู่ในวัฏฏะแห่งความรุ่งเรืองได้ง่ายกว่าและเร็วกว่า เช่นการประหยัดจากขนาดทั้งเรื่องการตลาดการโฆษณาการบริหาร เรื่องค่านิยม เรื่อง.....ฯลฯ(ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีการตลาด)
ดังนั้นกลุ่มนี้จึงไม่เหมือนนักมวยและนักฟุตบอลที่บอกว่าการได้เป็นแชมป์ว่ายากแล้ว การรักษาแชมป์ยิ่งยากกว่า
เพราะกลุ่มนี้สามารถพูดได้เลยว่า การรักษาแชมป์นั้นไม่ยากเท่าไหร่การดิ้นรนเพื่อให้ได้แชมป์นั่นแหละยากกว่า
เพราะเมื่อได้เป็นแชมป์แล้วคุณจะได้อาวุธ ได้เครื่องป้องกันอีกเพียบเหมือนเกมส์ออนไลน์พวกแร็คน่าร็อคอ่ะครับ ที่คนที่ได้เป็นแชมป์หรือคนที่มีเลเวลสูงๆมักจะได้รางวัลเป็นอาวุธเป็นเกราะเป็นทักษะพิเศษหลายๆอย่างจนเมื่อมากถึงระดับหนึ่งแล้วละก็ยิ่งยากที่จะแพ้........
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 5:15 pm
โดย สามัญชน
ด้วยเหตุนี้ถ้าเห็นบริษัทที่หนึ่งยังคงครองที่หนึ่งอยู่เสมอจึงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะเขาไม่ต้องทำอะไรมากเขาก็ครองแชมป์ได้ง่ายๆไปเรื่อยๆ
แต่ถ้าเกิดกรณีบริษัทที่เป็นอันดับสองและสามารถไต่เต้าไปจนได้อันดับที่หนึ่ง อันนี้ถือว่าเยี่ยมยอดเพราะเขามีข้อเสียเปรียบกว่าเยอะ
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 5:30 pm
โดย สามัญชน
บทความของดร.นิเวศน์เรื่องกฏการตลาดเมื่อ 15มิย.2547
กฎการตลาด
ความแตกต่างที่สำคัญมากระหว่างการลงทุนแบบ Value Investment กับการลงทุนแบบอื่น ๆ ข้อหนึ่งก็คือ Value Investor จะวิเคราะห์บริษัทละเอียดลึกซึ้งกว่าโดยเฉพาะทางด้านฐานะทางการตลาดของกิจการในขณะที่นักวิเคราะห์หลักทรัพย์โดยทั่วไปเน้นการวิเคราะห์ทางด้านการเงิน
ความเชื่อก็คือถ้าฐานะทางการตลาดเข้มแข็งโดยเฉพาะถ้าเป็นอันดับหนึ่ง ผลการดำเนินงานทางด้านการเงินก็มักจะดีด้วย และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือจะดีต่อเนื่อง สามารถเติบโตไปเรื่อย ๆ ซึ่งเหมาะแก่การถือหุ้นลงทุนระยะยาว เพราะฉะนั้นคนที่จะรักจะเป็น Value Investor ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรอบรู้เรื่องการตลาดพอสมควร
ความคิดและกลยุทธ์ทางการตลาดของปรมาจารย์ที่ผมคิดว่านักลงทุนควรจะเรียนรู้เป็นอย่างยิ่งก็คือความคิดของอัลไรส์ และ แจ็ค เทร้าท์ ซึ่งประกอบด้วยหนังสือชื่อ Positioning, The New Positioning, Marketing Warfare และ The 22 Immutable Laws of Marketing ทั้งหมดนี้เข้าใจว่ามีการแปลเป็นภาษาไทยด้วย หลักความคิดส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องกฎของการตลาดที่จะต้องเกิดขึ้นหลีกเลี่ยงหรือเปลี่ยนแปลงได้ยาก
สิ่งที่ปรมาจารย์ทั้งสองท่านบอกนั้นจะช่วยให้เราสามารถลงทุนในบริษัทที่ขายสินค้ามียี่ห้อได้อย่างถูกต้องมากขึ้น และสบายใจมากขึ้นในการถือหุ้นระยะยาวโดยเฉพาะในกิจการที่มีฐานะทางการตลาดเป็นอันดับหนึ่ง
กฎการตลาดหลัก ๆ ที่ผมคิดว่านักลงทุนควรจะรู้ก็คือ สินค้า 2 ยี่ห้อชนกัน คนที่จะชนะก็คือคนที่ใช้ทรัพยากรมากกว่า นั่นก็คือมีการโฆษณามากกว่า มีช่องทางการขายมากกว่าไม่ใช่มีโฆษณาที่ดูดีกว่าหรือมีพนักงานขายที่เก่งกว่า เพราะฉะนั้น สินค้าใหม่ที่เพิ่งจะเข้าตลาดจะมาแข่งกับผู้นำตลาดจึงทำได้ยากมาก เพราะสินค้าใหม่มักจะมีงบโฆษณาหรือทำการตลาดน้อยกว่ามาก
บางทีเราอาจจะถือหุ้นของกิจการซึ่งมียี่ห้อเป็นผู้นำ แต่แล้วก็มีบริษัทอื่นเสนอสินค้าที่มีคุณสมบัติ ดี กว่าสินค้าของบริษัทเราออกมาแข่ง เราอาจจะตกใจเพราะกลัวว่าสินค้าของบริษัทเราคงจะแย่แน่เพราะดูแล้วของเราสู้ไม่ได้ นี่คือความคิดของเรา แต่กฎการตลาดบอกว่าการที่สินค้าของเราเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับยี่ห้อแรกนั้นย่อมดีกว่าการเป็นสินค้าที่ดีกว่าแต่มาทีหลัง
การเป็นสินค้าที่เป็นเจ้าแรกที่ได้รับการยอมรับนั้น ในทางการตลาดถือว่าได้เปรียบมหาศาล เพราะสินค้าที่มีชื่อเก่าแก่ติดอยู่ในใจของผู้บริโภคมาช้านานจะได้รับความน่าเชื่อถือและคิดถึงก่อนสินค้าที่มาทีหลังถึงแม้ว่าสินค้าที่ออกมาทีหลังจะดีกว่า แต่ความดีกว่าเพียงอย่างเดียวคงไม่ใช่ปัจจัยในการตัดสินใจซื้อสินค้า เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเห็นสินค้าใหม่ออกมาและได้รับการต้อนรับหวือหวาจากผู้บริโภคด้วยผลของการโฆษณาและจากการ อยากลอง ของใหม่ก็อย่าได้ตกใจ เพราะในที่สุดคนก็จะกลับมาหา ของจริง ซึ่งอยู่กับเขามานาน
ถ้าเราซื้อหุ้นของกิจการที่ขายสินค้ามียี่ห้ออยู่ในอันดับที่สองหรือสามในตลาด เราควรจะเข้าใจกฎของ ขั้นบันได ซึ่งบอกว่า ผู้บริโภคนั้นมีความคิดเป็น ขั้นบันได ในสมองของเขาว่าใครเป็นอันดับหนึ่ง ใครเป็นอันดับสองและอันดับสาม โอกาสที่สินค้าของบริษัทเราจะขายดีถีบตัวเองขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งนั้นยากยิ่งกว่าเข็ญครกขึ้นภูเขา
สิ่งที่ควรจะรู้ต่อไปอีกก็คือว่า การแข่งขันเมื่อดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ คู่แข่งอันดับหนึ่งมักจะมีส่วนแบ่งตลาดสูงกว่าอันดับสองค่อนข้างมาก เพราะเมื่อเขา ชนะ แล้ว เขาก็จะได้เปรียบในการแข่งขันและชนะเพิ่มขึ้นจนถึงจุดหนึ่งก็จะอิ่มตัว ประมาณว่ายี่ห้ออันดับหนึ่งจะมีส่วนแบ่งตลาดมากกว่าอันดับสองถึงเท่าตัว และสำหรับอันดับสามนั้นในที่สุดก็อาจจะล้มหายตายจากหรือหมดความหมายไป
บ่อยครั้งเราพบว่า บริษัทซึ่งขายสินค้าหรือบริการที่มียี่ห้อแข็งแกร่งมากในตลาดสินค้าประเภทหนึ่ง ทำการ ขยายสายผลิตภัณฑ์ โดยการเอายี่ห้อหรือทรัพยากรที่มีอยู่ไปใช้ในผลิตภัณฑ์หรือบริการอีกประเภทหนึ่ง โดยเขาเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จเพราะคิดว่า คนรู้จักกับชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์เดิมอยู่แล้ว
ข้อนี้กฎการตลาดบอกว่าไม่จริง เพราะผู้บริโภคเขามีความคิดอยู่ในใจว่าคุณคือใครและคุณเก่งในทางไหน เช่น ถ้าคุณคือคนทำเพลงที่เก่งกาจแล้วคุณขยายไปทำหนังสือ ผู้บริโภคจะไม่ยอมรับว่าคุณทำได้ดี เพราะเขาเชื่อว่าถ้าเป็นหนังสือจะต้องเป็นอีกบริษัทหนึ่งไม่ใช่คุณ เพราะฉะนั้นเวลาที่บริษัทจดทะเบียนขยายสายผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่าเพิ่งดีใจว่ากิจการจะมีกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดด เพราะอาจจะกลายเป็น กับดัก ก็ได้
เกือบทั้งหมดที่กล่าวมาจะพบว่าการตลาดที่บริษัทไม่ใช่เป็นอันดับหนึ่งนั้นเป็นการตลาดที่เสียเปรียบ และการพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ขึ้นมาแข่งกับคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นอันดับหนึ่งนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่งและไม่ควรทำ วิธีที่จะ เข้าตลาด ให้ประสบความสำเร็จก็คือจะต้องสร้างประเภทของสินค้าใหม่ขึ้นมาใหม่และ จอง ความเป็น เจ้าแรก ในสินค้าประเภทนั้น ยกตัวอย่างเช่นในผลิตภัณฑ์ยาสีฟันนั้น มียาสีฟันหลายประเภทเช่น ประเภทต่อสู้ฟันผุ ประเภทใช้แล้วลมหายใจสดชื่น เราอาจจะสร้างประเภทใหม่ว่าเป็นยาสีฟันสมุนไพรซึ่งถ้าไม่มีผู้นำอยู่ในกลุ่มนี้ เราก็จะเป็น เจ้าแรก ทันที และในที่สุดก็จะเป็นผู้นำในกลุ่มนี้
สุดท้ายก็คือ การวิเคราะห์ในเรื่องสินค้ามียี่ห้อนั้น Value Investor จะต้องเข้าใจว่าหมายถึงเฉพาะสินค้าที่คนสนใจในตัวยี่ห้อมากเวลาจะเลือกใช้เช่นเรื่องเสื้อผ้า อาหาร แต่ไม่ใช่สินค้าที่มียี่ห้อแต่คนไม่ใคร่สนใจมากนักเช่น สินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ปูนซีเมนต์ เหล็ก ปิโตรเคมี หรือสินค้าที่ไม่เกี่ยวกับความน่ารื่นรมย์เช่น แบตเตอรี่ ยางรถยนต์ หรือระบบโทรศัพท์ เป็นต้น
ในตลาดหุ้นไทยนั้น หุ้นของกิจการที่มียี่ห้อมีไม่มากนัก และมักจะเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กและสภาพคล่องในการซื้อขายหุ้นก็น้อยทำให้ไม่ใคร่เป็นที่สนใจของนักเก็งกำไร แต่สำหรับ Value Investor ที่ต้องการถือหุ้นลงทุนระยะยาวโดยมีผลตอบแทนที่ดีพอใช้และความเสี่ยงต่ำแล้ว หุ้นที่มียี่ห้ออันดับหนึ่งที่ขายในราคาไม่แพงเป็นหุ้นที่น่าสนใจครับ
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 6:24 pm
โดย Accidental Hero
เห็นด้วยกับคุณหมอสามัญชนในระดับหนึ่ง แต่ไม่ทั้งหมด
อันนี้ไม่ได้พูดถึงคู่แข่งหน้าใหม่ ที่เพิ่งเริ่มเข้าตลาด
แต่พูดถึงการเป็นบริษัทมหาชน เช่นกัน
ถ้าเป็นกรณีที่ เบอร์ 2 เบอร์ 3 ก็แข็งแรงเหมือนกันละครับ
หรือกรณีที่ งบการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เป็นเรื่องจิบจ๊อย ของธุรกิจ เพราะมีเงินเหลือเฟือสำหรับการโฆษณาเหมือนกัน
ลองดูกรณีธุรกิจธนาคาร
ผมยกมา 4 แห่ง
BBL เป็นที่ 1 KBANK SCB BAY เป็นเบอร์รองๆ ไม่นับกรุงไทย เพราะมีปัจจัยแทรกเยอะ
ผมมีตัวเลขกำไร ปี 2004 ปี 2005 และ Q1/2006
Y2004 (30ธค2004) Y2005(30ธค.2005) Q1/2006(31มีค.2006)
BBL 9.23 (2.31) 10.64 (2.66/+15.15%) 2.72 (+17.74%)
104 109 (+4.81%) 109 (+4.81%)
KBANK 6.44 (1.61) 5.85 (1.46/ -9.32%) 1.52 (-5.59%)
52.50 69.50 (+32.38%) 66 (+25.71%)
SCB 5.44 (1.36) 5.56 (1.39/ 2.21%) 1.24 (-8.82%)
49 52.50 (+7.14%) 64.50 (+31.63%)
BAY 1.63 (0.41) 2.10 (0.53/29.27%) 0.63 (53.66%)
12 14.90 (+24.17%) 18.30 (+52.50%)
เห็นว่า BAY ทำผลงานได้ดีที่สุด ทั้งธุรกิจ และราคาหุ้น
ผมเห็นว่า นักลงทุนรายย่อยอย่างเรา ไม่ได้ต้องการบริษัทที่ทำกำไรสูงสุด แต่ต้องการบริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสูงสุดต่างหาก โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นเป็นที่ 1
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 7:24 pm
โดย สามัญชน
การเลือกซื้อหุ้นผมมองหลายๆปัจจัยเป็นตัวประกอบเหมือนที่คุณHVI บอกว่าปัจจัยแต่ละตัวเป็นเหมือนเครื่องดนตรีหนึ่งชิ้น ชิ้นใดชิ้นหนึ่งดีก็ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อเลยทันทีเพราะเวลาเล่นเป็นวงอาจจะไม่เพราะ ต้องวัดที่ระดับsymphony เลยทีเดียว(เขาว่าอย่างนั้น)
ในกรณีนี้ถ้ามองที่ปัจจัยเดี่ยวๆที่เรียกว่าจ้าวตลาดผมก็ยังเห็นว่าจ้าวตลาดได้เปรียบกว่า ส่วนได้เปรียบมากแค่ไหนก็ขึ้นกับส่วนแบ่งว่ามากกว่ากันแค่ไหน ถ้ามากกว่ากันเยอะก็ได้เปรียบเยอะ ถ้าน้อยก็น้อย
ในกรณีของ BAYกับBBLนั้น ผมไม่แน่ใจว่า BAY จะสามารถรักษาการเติบโตแบบนี้ได้ต่อเนื่องกี่ปี เพราะอีกไม่นานก็จะถึงจุดที่โตมากแบบเดิมไม่ไหวด้วยเหตุผลของกฏการตลาด (เว้นเสียแต่BAYจะมีกลยุทธ์ที่สุดยอดในเรื่องการทำกำไรและสามารถวิ่งแซงหน้าใครๆได้สบาย แต่ผมมองว่ามีโอกาสน้อย กลยุทธ์ใดๆก็ตามก็มักจะเก้บเป็นความลับได้ไม่นานเดี๋ยวคนอื่นก็รู้เท่าทันกันหมด) ถ้าดูงบย้อนหลังก็จะเห็นว่าการเติบโตลดลงเรื่อยๆ
ส่วนสาเหตุที่ราคาหุ้นของ BAY ขึ้นมากกว่าน่าจะเป็นเพราะปัจจัยอีกตัว คือเรื่องความถูกแพง หรือพูดง่ายๆว่า BAYมีราคาถูกBBL นั่นเอง จะสังเกตุเห็นว่าแม้ราคา BAYขึ้นมามากแล้ว แต่ณ.ราคาปัจจุบัน BAYก็ยังมี pe และpb ต่ำกว่าBBL ซึ่งแปลว่า mr.market เองก็ยังบอกว่า BBLควรจะมีราคาแพงกว่าBAY
ดังนั้นณ.วันนี้เมื่อpe pb มาอยู่ใกล้ๆกันแล้ว ผมจึงไม่อยากซื้อ BAY แล้วหละด้วยเหตุผลสองข้อข้างต้น ยิ่งถ้าpeและpbขึ้นมาเท่ากันผมคงเลือก BBL ดีกว่า
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 11:05 pm
โดย วัวแดง
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 04, 2006 11:31 pm
โดย por_jai
8) หมอศรรามมาเป็นนักการตลาด
ตั้งกะเมื่อไร
สำหรับผม
เรื่องที่หนึ่งมันต้องดีกว่าที่สองอยู่แล้ว
ไม่เหมือนที่วงไอน้ำร้องหรอกครับ
ที่ว่า ที่หนึ่งไม่ไหว
จิตวิทยามนุษย์จำได้แต่ที่หนึ่งครับ
นานๆถึงจะมีที่สองที่มีระดับ น่าให้จดจำได้บ้าง
ยกตัวอย่างในวงการกีฬาจะเห็นได้ชัด
ตูเดอฟรองก์เราจำได้แต่พี่แล๊นซ์ แขนแข็งแรง
ถามว่าที่สองเป็นใครใน6-7ปีที่พี่เขาเป็นแชมป์
จำกันไม่ค่อยได้ หรอกครับ
บางปีก็ไม่ได้ชนะขาดนะครับ
แต่
ต้องดูเป็นเรื่องๆไปครับ
ตลาดปัจจุบันหมุนเร็วมาก
แล้วยังซอยออกเป็นเซ็กเม้นท์ที่ย่อยมากๆ
พวกniche marketที่เขาเรียกกัน
เป็นที่หนึ่งในแต่ละเซ็กเม้นท์กันง่ายขึ้น
แหมแต่แชมป์เปลี่ยนตัวเร็วจัง
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 10:23 am
โดย yoyo
ถ้าเป็นหุ้นในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตสูงๆ ผมชอบไอ้พวกที่เป็นที่ 1 ครับ เพราะน่าจะโตไปกับกระแสได้อย่างมั่นคงยั่งยืนที่สุด แต่ถ้าพวกหุ้นเบอร์ 1 มันแพงไป เบอร์ 2 ถูกกว่าเยอะ แบบนี้พวกเบอร์รองๆก็ยังน่าสนใจครับ
แต่ถ้าหุ้นอยู่ในอุตสาหกรรมที่อยู่ในช่วงอิ่มตัวแล้ว เบอร์ 1 จะน่าสนใจน้อยลงไป
แต่พวกที่น่าสนใจคือพวกเบอร์รองๆ ที่มีจุดแข็งเฉพาะตัว สินค้าไม่ใช่ commodity ที่หน้าตาเหมือนๆกันไปหมด เช่นมีสินค้าที่เบอร์ 1 ไม่มี อาจจะเจาะตลาดที่เล็กกว่า แต่เป็นกลุ่มตลาดย่อยที่มีแนวโน้มโตเร็ว
หรือพวกเบอร์ 2 ที่ไล่บี้เบอร์ 1 มาติดๆ และมีแนวโน้มในการแย่ง Share ได้เยอะๆ
สรุปว่าแล้วแต่อุตสาหกรรมครับ ผมสนมันทุกเบอร์แหละ ขอให้กำไรโตๆเรื่อยๆละกัน
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 10:39 am
โดย MarginofSafety
การร่อนโดยการใช้ "ธุรกิจเบอร์ 1 เท่านั้น" เป็นตะแกรงชั้นแรกในการกรอง
เป็นแค่วิธีการร่อนหนึ่งเท่านั้นครับ
ไม่ได้หมายความว่าเป็นวิธีการร่อนที่ดีที่สุด
หากเป็นเบอร์ 1 ในลักษณะ Monopoly (ผูกขาด) หรือ Oligopoly (ผู้เล่นน้อยราย)
แบบนี้ดีแน่แท้ เป็นตะแกรงที่ใช้ได้ดีเลยทีเดียว
แต่ถ้าเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ Maturity แล้ว
และการแข่งขันอยู่ในลักษณะ Perfect Competition (การแข่งขันแบบสมบูรณ์)
หรืออุตสาหกรรมอยู่ในภาวะ Decline
เบอร์ 1 แบบนี้ก็ไม่น่าสนใจครับ
สรุปว่า การใช้ตะแกรงเบอร์ 1 ในที่นี้ อาจจะมีข้อเสียคือ
หุ้น Growth Stock ในอุตสาหกรรมดาวรุ่ง
และมีอัตราการเติบโตสูง อาจจะถูกสะกัดดาวรุ่ง
โดยการร่อนแล้วไม่ผ่านตะแกรงเบอร์ 1
ดังนั้นอยากให้มองว่าเป็นความพยายามเลือกหุ้นที่ดี
โดยพยายามเลือกหุ้นเบอร์ 1 ในแต่ละอุตสหกรรม
มาเป็น Criteria เบื้องต้นในการคัดเลือก
และไม่อยากให้มองว่าการเลือกหุ้นลักษณะนี้
จะทำให้เราได้รับผลตอบแทนดีที่สุด
หรือเป็นการเลือกหุ้นที่ดีที่สุด
เนื่องจากดีที่สุดของแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน
ตามความเสี่ยงที่แต่ละบุคคลรับได้นั่นเอง...
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 1:31 pm
โดย por_jai
8) แม่นแล้วน้องเฮ็ช
อยู๋ที่ว่าอยากได้ growth หรือ cash cow company
ต้องถามตัวเองก่อนนิ..
ทำไมจึง "ต้องการที่ 1 เท่านั้น"
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 05, 2006 1:44 pm
โดย Accidental Hero
ชัดเจน ขอบคุณทุกท่านคร้าบบบบบบ