หน้า 1 จากทั้งหมด 1

หุ้นจะขึ้นไหม หลังจากผ่านวันฉลองศิริราชสมบัติ60ปี

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 08, 2006 8:01 pm
โดย ua-amporn
ความหวังลมๆแล้งๆ มีคิดว่ามันคงจะไม่เกี่ยวกันเท่าไร ลงมาเกือบ100จุด แนวรับไม่มี แนวต้านไม่ต้องพูดถึง ขายอย่างกับว่าประเทศจะเจ๊งแล้ว...... ขอบ่นหน่อย

หุ้นจะขึ้นไหม หลังจากผ่านวันฉลองศิริราชสมบัติ60ปี

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 08, 2006 8:03 pm
โดย Boring Stock Lover
ยังมีข่าวร้ายที่รออยู่ ก็คือ การเมือง

Re: หุ้นจะขึ้นไหม หลังจากผ่านวันฉลองศิริราชสมบัติ60ปี

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 08, 2006 8:14 pm
โดย chatchai
ua-amporn เขียน:ความหวังลมๆแล้งๆ มีคิดว่ามันคงจะไม่เกี่ยวกันเท่าไร ลงมาเกือบ100จุด แนวรับไม่มี แนวต้านไม่ต้องพูดถึง ขายอย่างกับว่าประเทศจะเจ๊งแล้ว...... ขอบ่นหน่อย
ลงแค่ 10% เศษๆเท่านั้น  ก็บ่นซะแล้ว

อะไรกัน  ดูเซียนหุ้นรุ่นเก่าก่อนซิ

จาก 1700 จุด  เหลือแค่ 200 จุดเอง  แถมลงติดต่อกันนานเป็นปีๆเลย

อย่าเพิ่งฟุ้งซ่าน

Re: หุ้นจะขึ้นไหม หลังจากผ่านวันฉลองศิริราชสมบัติ60ปี

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 08, 2006 8:19 pm
โดย ปรัชญา
ua-amporn เขียน:ความหวังลมๆแล้งๆ มีคิดว่ามันคงจะไม่เกี่ยวกันเท่าไร ลงมาเกือบ100จุด แนวรับไม่มี แนวต้านไม่ต้องพูดถึง ขายอย่างกับว่าประเทศจะเจ๊งแล้ว...... ขอบ่นหน่อย
ถ้าคิดอย่างนี้  ก็มีความหวัง

แต่อะไรอะไร  ก็ไม่แน่หรอกครับ(ถ้ารู้ก็รวยหมดแล้ว)

หุ้นจะขึ้นไหม หลังจากผ่านวันฉลองศิริราชสมบัติ60ปี

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 08, 2006 10:58 pm
โดย iambuffet
ทิ้งหุ้นหนัก ๆ สัปดาห์มงคลแบบนี้
ใช้ไม่ได้จริง ๆ  เล้ย

:lol:

หุ้นจะขึ้นไหม หลังจากผ่านวันฉลองศิริราชสมบัติ60ปี

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 09, 2006 8:43 am
โดย thawattt
แล้วข่าวนี้หละครับ จะเป็นข่าวที่มาช่วยกระตุ้นให้ตลาดดีขึ้นบ้างหรือไม่ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าดีหรือไม่ ก็ต้องประมาณไตรมาส 4 จึงจะเห็นผลชัดเจน

แบงก์ชาติชี้ 5 ปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไตรมาส 4  

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2549 18:06 น.


             รองผู้ว่าการ ธปท. เผยเศรษฐกิจไทยไตรมาส 3 ยังขาดแรงส่ง เพราะผลกระทบจากเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน แต่คาดว่าในไตรมาส 4 เศรษฐกิจจะฟื้นและขยายตัวต่อเนื่องจนถึงปีหน้า โดยมีปัจจัยหนุนที่สำคัญคือ การลดลงของอัตราเงินเฟ้อ หลังจากนโยบายการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะพอเพียง แต่ยังให้จับตาดอกเบี้ยต่างชาติที่จะกระทบต่อการไหลออกของเงินทุน
     
      นายบัณฑิต นิจถาวร รองผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในการสัมมนาเรื่อง เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ในมุมมองของ ธปท. และแนวโน้มอุตสาหกรรม-การลงทุนในตลาดหุ้น ว่า เศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ยังต้องปรับตัวกับความไม่แน่นอนของราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ ความผันผวนของตลาดการเงินทั้งในและต่างประเทศ และความไม่แน่นอนภายในประเทศเอง ทำให้แรงส่งของเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 และ 3 จะอ่อนตัวลง แต่จะกลับมาฟื้นและขยายตัวได้ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยเข้มแข็ง และเป็นแรงขับเคลื่อนต่อเนื่อง จนถึงปี 2550 โดยปัจจัยหนุนเศรษฐกิจที่สำคัญคือ 1.ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รายได้ของภาคการเกษตรดีขึ้น อัตราการจ้างงานอยู่ในเกณฑ์สูง การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง 2. เงินเฟ้อที่คาดว่าจะปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่ง ธปท.มั่นใจว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย น่าจะพอเพียงที่จะช่วยลดแรงกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อได้ ซึ่งเมื่อเงินเฟ้อลดลง ก็จะทำให้ประชาชนมีอำนาจซื้อและนักลงทุนจะมีความมั่นใจที่จะกลับเข้ามาลงทุนใหม่ เพราะตัวแปรด้านการลงทุนมีความแน่นอนขึ้น
     
      คณะกรรมการนโยบายการเงิน ยืนยันว่า หากเงินเฟ้อไม่เร่งตัวขึ้น และไม่เกิดเหตุการณ์ที่เกินความคาดหมาย อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ร้อยละ 5 น่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมต่อการขยายตัวและสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยที่นิ่ง เงินเฟ้อปรับลดลง การใช้จ่ายของภาคเอกชนที่จะเร่งตัวขึ้น ทำให้เสถียรภาพเศรษฐกิจดีขึ้น โดยเฉพาะการที่เงินเฟ้อคลายตัวลง จะเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่สุดต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ นายบัณฑิต กล่าว
     
      นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจในไตรมาส 4 คือ 3. สภาพคล่องในระบบการเงินที่ยังสนับสนุนการเติบโต 4. นโยบายของภาครัฐทั้งด้านการเงิน การคลัง ที่จะสนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และ 5. ความชัดเจนทางการเมือง ซึ่งหวังว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับภาคเอกชน
     
      อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ ความผันผวนของตลาดการเงิน โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยในตลาดต่างประเทศ ทั้งดอกเบี้ยสหรัฐ ญี่ปุ่น และยุโรป ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด เพราะหากอัตราดอกเบี้ยของกลุ่มประเทศหลักสูงขึ้น ก็จะมีความเสี่ยงที่จะมีการย้ายเงินลงทุนออกจากประเทศเกิดใหม่ ดังนั้น จะต้องระวังความเสี่ยงและความผันผวนที่จะกระทบต่อตลาดหุ้น ตลาดอัตราแลกเปลี่ยน และตลาดพันธบัตร
     
      ด้านนายรพี สุจริตกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวว่า การขายสุทธิของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่องเกิดขึ้นทั้งภูมิภาค เนื่องจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ซึ่งหากดอกเบี้ยสหรัฐยังปรับขึ้นไม่หยุด ดัชนีหุ้นไทยก็มีโอกาสจะปรับลดลงไปอีก เพื่อปรับฐานการลงทุน โดยต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ ในวันที่ 27 มิถุนายนนี้ว่า จะส่งสัญญาณหยุดการขึ้นอัตราดอกเบี้ยหรือไม่ อย่างไรก็ตาม จากการฟังข้อมูลของ ธปท. ที่ชี้ว่าเศรษฐกิจในไตรมาส 4 น่าจะดีขึ้น ทำให้เชื่อว่าในช่วงไตรมาส 3 ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวสูงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ได้ให้ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ทำการทบทวนเป้าหมายดัชนีที่คาดไว้ 800 จุดใหม่ เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงทั้งราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ และดอกเบี้ยมากขึ้น