ข้อมูล BAFS
โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 19, 2006 2:57 pm
BAFS เป็นหุ้น defensive ที่น่าสนใจในช่วงตลาดผันผวนไม่แพ้หุ้นในกลุ่มค้าปลีก โรงบาล หรือ หุ้นแฟรนไซด์ตัวอื่น เลยหาข้อมูลมาฝากกันครับ
BAFS ผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโตอย่างต่อเนื่อง
BAFS ผลประกอบการไตรมาสแรกออกมายังแสดงอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยรายได้เติบโตจาก 267 ล้านบาทในปีที่แล้วเป็น 295 ล้านบาท ในปีนี้จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันขงสายการบินต้นทุนต่ำที่ปัจจุบันเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีการเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น ถึงแม้ในปีนี้จะแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นและหนี้ของบริษัทปัจจุบันมีค่อนข้างมากแต่อยากไรก็ตามบริษัทได้ทำสัญญาค้ำประกันอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้แล้วทำให้ค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
ปัจจุบัน BAFS มีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.66 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงทีเดียว (ปัจจุบันมียอดหนี้สินรวมกว่า 4000 ล้านบาท)
หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างแน่นอน โดยปัจจุบัน BAFS จ่ายดอกเบี้ยไตรมาสละ 10 ล้านบาท หรือปีกว่า 40 ล้านบาทแต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอาจจะทำให้บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยกว่าปีละ 70 ล้านบาททีเดียวซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทได้
รอข่าวดีอาจมีจ่ายปันผลระหว่างกาล
ถึงแม้ผลประกอบการของบริษัทจะยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ตามแต่จากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นคาดว่าบริษัทอาจจะประกาศจ่ายปันผลดลงเล็กน้อยโดยเราคาดว่าในครึ่งปีแรกบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินการปกติเท่ากับ 210 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดอิสระในครึ่งปีแรกเท่ากับ 180 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่จ่ายที่ 0.25 บาทต่อหุ้นปัญหาสุวรรณภูมิยังไม่ชัดเจนแต่ยังมีความหวังอยู่
BAFS เป็นบริษัทหนึ่งที่จะได้รับผลดีจากการเปิดใช้งานของสนามบินสุวรรณภูมิเนื่องจากปัจจุบันสนามบินดอนเมืองปัจจุบันมีการใช้งานจนไม่สามารถรับรองการเดินทางได้แล้วและสายการบินต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการลงจอดที่สนามบินดอนเมืองจากความแออัดจนไม่วสามารถลงจอดได้จึงต้องบินวนเพื่อหาที่ลงจอด การเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิจะทำให้มีการพักลงจอดของสายการบินเพิ่มขึ้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับอัตราค่าธรรมเนียมเติมน้ำมันของสุวรรณภูมิที่ BAFS กำหนดไว้นั้นต่ำกว่าสนามบินคู่แข่งอย่าง สิงค์โป และ ฮ่องกงมาก และเป็นแรงดึงดุให้สายการบินมาลงจอดเติมน้ำมันที่ปรเทศไทยมากขึ้น เราคาดการว่าหลังจากเปิดใช้สนามบินจะส่งผลให้ผลประกอบการของ BAFS เติบโตอย่างโดดเด่นทีเดียว
BAFS ผลประกอบการไตรมาสแรกเติบโตอย่างต่อเนื่อง
BAFS ผลประกอบการไตรมาสแรกออกมายังแสดงอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยรายได้เติบโตจาก 267 ล้านบาทในปีที่แล้วเป็น 295 ล้านบาท ในปีนี้จากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันขงสายการบินต้นทุนต่ำที่ปัจจุบันเป็นที่นิยมเพิ่มขึ้นส่งผลให้มีการเพิ่มเที่ยวบินมากขึ้น ถึงแม้ในปีนี้จะแรงกดดันจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นและหนี้ของบริษัทปัจจุบันมีค่อนข้างมากแต่อยากไรก็ตามบริษัทได้ทำสัญญาค้ำประกันอัตราแลกเปลี่ยนเอาไว้แล้วทำให้ค่าใช้จ่ายจากดอกเบี้ยไม่ปรับเพิ่มขึ้นมากนัก
ปัจจุบัน BAFS มีอัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 1.66 เท่า ซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงทีเดียว (ปัจจุบันมียอดหนี้สินรวมกว่า 4000 ล้านบาท)
หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นมาจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการอย่างแน่นอน โดยปัจจุบัน BAFS จ่ายดอกเบี้ยไตรมาสละ 10 ล้านบาท หรือปีกว่า 40 ล้านบาทแต่ถ้าอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นมาอาจจะทำให้บริษัทต้องจ่ายดอกเบี้ยกว่าปีละ 70 ล้านบาททีเดียวซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทได้
รอข่าวดีอาจมีจ่ายปันผลระหว่างกาล
ถึงแม้ผลประกอบการของบริษัทจะยังคงเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ตามแต่จากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้นคาดว่าบริษัทอาจจะประกาศจ่ายปันผลดลงเล็กน้อยโดยเราคาดว่าในครึ่งปีแรกบริษัทจะมีกำไรจากการดำเนินการปกติเท่ากับ 210 ล้านบาท และมีกระแสเงินสดอิสระในครึ่งปีแรกเท่ากับ 180 ล้านบาท และคาดว่าบริษัทจะจ่ายปันผลในอัตรา 0.20 บาทต่อหุ้น ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่จ่ายที่ 0.25 บาทต่อหุ้นปัญหาสุวรรณภูมิยังไม่ชัดเจนแต่ยังมีความหวังอยู่
BAFS เป็นบริษัทหนึ่งที่จะได้รับผลดีจากการเปิดใช้งานของสนามบินสุวรรณภูมิเนื่องจากปัจจุบันสนามบินดอนเมืองปัจจุบันมีการใช้งานจนไม่สามารถรับรองการเดินทางได้แล้วและสายการบินต้องใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมากในการลงจอดที่สนามบินดอนเมืองจากความแออัดจนไม่วสามารถลงจอดได้จึงต้องบินวนเพื่อหาที่ลงจอด การเปิดใช้สนามบินสุวรรณภูมิจะทำให้มีการพักลงจอดของสายการบินเพิ่มขึ้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับอัตราค่าธรรมเนียมเติมน้ำมันของสุวรรณภูมิที่ BAFS กำหนดไว้นั้นต่ำกว่าสนามบินคู่แข่งอย่าง สิงค์โป และ ฮ่องกงมาก และเป็นแรงดึงดุให้สายการบินมาลงจอดเติมน้ำมันที่ปรเทศไทยมากขึ้น เราคาดการว่าหลังจากเปิดใช้สนามบินจะส่งผลให้ผลประกอบการของ BAFS เติบโตอย่างโดดเด่นทีเดียว