q-con ยังไม่ฟื้น

[art1234]

q-con ยังไม่ฟื้นหลังจากปีที่แล้วแสดงผลดำเนินงานขาดทุน

ผลประกอบการไตรมาสแรกยังไม่ฟื้น
ผลประกอบการไตรมาสแรกออกมายังไม่ดีขึ้นหลังจากที่ประกาศผลขาดทุนในไตรมาสแรกกว่า 5 ล้านบาทจากการลดลงของการก่อสร้างตามภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ผันผวน
Q-CON ประการผลประกอบการไตรมาสแรกน่าผิดหวังหลังจากที่เคยสร้างการเติบโตของยอดขายมาตลอด โดยรายได้ของบริษัทปรับลดลงจาก 229 ล้านบาทในไตรมาสแรกของปีที่แล้วมาอยู่ที่ 212 ล้านบาทส่งผลให้บริษัทผลิกมาขาดทุน 5.2 ล้านบาทจากที่เคยมีกำไร 28 ล้านบาทในปีที่แล้ว โดยอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทปรับลดลงเรื่อยๆจากที่เคยมีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ในปี 2546 ซึ่งลดลงมาเหลือเพียง 24 เปอร์เซ็นต์ในไตรมาสแรกของปีนี้จากการลดราคาขายผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่มีอยู่อย่างเดียวคืออิฐมวลเบา
ในอดีตอิฐมวลเบามีราคาสูงถึง 180 บาทต่อตร.ม.ซึ่งค่อนข้างแพงเมื่อเทียบกับกระเบื้องอิฐมอญที่ใช้กันมาตั่งแต่สมัยโบราณที่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 110-124 บาทต่อตร.ม( 1 ตร.ม. ใช้อิฐมอญ 276 ก้อน, อิฐมอญราคาเฉลี่ยก้อนละ 0.40-0.45 บาท) แต่ในปัจจุบันอิฐมวลเบาราคาลดลงมาอยู่ที่ 130 บาท /ตร.ม. ซึ่งมีความใกล้เคียงกับอืฐมอญมากทีเดียว สาเหตุเนื่องมาจากการเข้าของคู่แข่งรายใหม่ๆเช่น กลุ่มชลบุรีคอนกรีตและกลุ่มปูนใหญ่ จากก่อนหน้าหนี้มีเพียง  SUPER BLOCK เท่านั้นที่เป็นคู่แข่งเนื่องจากเครื่องจักรที่ใช้ผลิตนั้นสามารถใช้เครื่องมืออื่นที่ถูกกว่าทำได้เหมือนกันทำให้มีผู้ประดิษฐ์เครื่องจักรมาผลิตอิฐมวลเบาแข่งกับบริษัทในราคาที่ถูกกว่าและในอนาคตราคาอาจจะถูกกว่าในปัจจุบัน ซึ่งคู่แข่งอย่างปูนใหญ่และชลบุรีคอนกรีตที่มีประสบการณ์และมีวัตถุดิบหลักอยู่แล้วซึ่งต้นทุนจะใกล้เคียงหรือถูกกว่า
แต่ในปัจจุบันบริษัทยังครองส่วนแบ่งการตลาดค่อนข้างสูงอยู่โดยในไตรมาสแรกบริษัทมีมาร์เก็ตแชร์สูงถึง 65 เปอร์เซ็นต์ โดยทั้งอุตสาหกรรมมีการผลิตอยู่ 7 ล้าน ตร.ม. อัตราการเติบโตของปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 10 ล้าน ตร.ม.ซึ่งใช้กำลังการผลิตเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
ปัญหาอยู่ที่มีเพียงผลิตภัณฑ์หลักเพียงตัวเดียว
ถึงแม้ว่าในอดีตอิฐมวลเบาจะเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่สร้างรายได้ต่อ Q-CON เป็นจำนวนมหาศาลเนื่องจากบริษัทเป็นผู้บุกเบิกตลาดอิฐมวลเบาโดยมีพันธมิตรอย่างบริษัทแลนด์แอนด์เฮาส์ส่งผลให้ผลประกอบการของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด  แต่ในปัจจุบันการเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ส่งผลให้การแข่งขันสูงขึ้นอย่างมากประกอบกับความแตกต่างในผลิตภัณฑ์ของบริษัทกับคู่แข่งนั้นมีน้อยมาก การแข่งขันทางด้านราคาจึงเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างรวดเร็วจนทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทหดตัวลงไป  ทางออกของบริษัทจึงอยู่ที่การรักษากำไรขั้นต้นของบริษัทไว้และเพิ่มฐานลูกค้าให้มากขึ้น  ซึ่งอาจจะทำได้จากสร้างความแตกต่างชองผลิตภัณฑ์บริษัทหรือการสร้างตราสินค้าให้โดดเด่นจากคู่แข่งรายอื่น( ปัจจุบันมีคู่แข่งอยู่ประมาณ 5 ราย )
หรืออีกวิธีหนึ่งคือการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ซึ่งยังไม่มีการแข่งขันจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทดีขึ้นแต่ปัจจุบันบริษัทมีผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวคืออิฐมวลเบาเท่านั้นจึงค่อนข้างยากที่จะรักษากำไรไว้หากไม่สามารถหาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆมาขายในตลาด