หน้า 1 จากทั้งหมด 1
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 1:28 pm
โดย สามัญชน
กระต่ายกับเต่า ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นิทานอีสบที่มีคนอ้างถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่งคือเรื่องกระต่ายกับเต่า เพราะในแทบทุกเรื่องที่มีการแข่งขันกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของธุรกิจหรือชีวิต หรือการแข่งขันกันของสังคมหรือแม้แต่ในระดับนานาชาติ การเป็น เต่า นั้นมักจะได้รับการสรรเสริญและยอมรับนับถือและเป็นที่น่าทึ่งจากผู้คนจำนวนมาก เหตุคงเป็นเพราะว่าเต่านั้นดูเหมือนจะเป็นรองมากทางด้านสรีระ ดังนั้น การได้ชัยชนะจึงเป็นเรื่องที่มาจากจิตใจล้วน ๆ
เรื่องที่เล่ากันมานานนับพันปีก็คือ เต่าถูกกระต่ายเยาะเย้ยว่าเชื่องช้าจึงท้ากระต่ายแข่งขันวิ่งเข้าเส้นชัย การแข่งขันเริ่มขึ้นจากการที่กระต่ายวิ่งนำเต่าไปมากโขในเวลาอันสั้น แต่หลังจากนำไปมาก กระต่ายก็ชะล่าใจแวะพักและงีบหลับไป พอตื่นขึ้นมาเพราะเสียงอึกทึกของหมู่สัตว์น้อยใหญ่ก็พบว่าเต่ากำลังวิ่งเข้าสู่เส้นชัย กระต่ายพยายามวิ่งตามสุดกำลังแต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถึงจะเก่งแค่ไหน แต่ถ้าขี้เกียจและประมาทก็จะพ่ายแพ้และนำมาซึ่งความผิดหวัง ผู้ที่มุ่งมั่น ขยันและมีความเพียรพยายามจะเป็นผู้ชนะและประสบความสำเร็จ นั่นคือกระต่ายกับเต่าภาคแรกดั้งเดิมที่มีมานาน แต่ในระยะหลังที่โลกของการแข่งขันเปลี่ยนแปลงไปมาก คนพูดกันแต่เรื่องของความเร็วว่าเป็นหัวใจของชัยชนะ นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าก็เลยมีภาคสอง เรื่องมีว่า
หลังจากกระต่ายพ่ายแพ้การแข่งขันในครั้งนั้นซึ่งทำให้เสียหน้าไปมากก็กลับไปคิดทบทวนความผิดพลาดของตนเอง หลังจากนั้นก็กลับไปท้าเต่าแข่งใหม่ เต่ารับคำท้าอย่างมั่นใจเพราะเคยเอาชนะมาแล้ว คราวนี้กระต่ายวิ่งรวดเดียวไม่พักจนถึงเส้นชัยแล้วก็นอนเล่นรอจนเต่าเดินต้วมเตี้ยมมาถึง กระต่ายจึงพูดเยาะเย้ยเต่าว่า ทีหลังอย่ากำแหง นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าเก่ง มีความขยัน และไม่ประมาท อย่างไรก็ชนะคนที่มีแต่ความเพียรพยายามแต่มีศักยภาพที่จำกัด ดูเหมือนว่าโลกในยุคข้อมูลข่าวสารนั้น หลักฐานมีมากมายว่า กระต่าย กลายเป็นพระเอก เต่า ดูเหมือนว่ากำลังจะตกยุค คนที่ทำอะไรชักช้าไม่มีทางชนะได้ แต่นี่เป็นจริงในทุกเรื่องหรือ? โดยเฉพาะในเรื่องของการลงทุนที่ผมพูดอยู่เสมอว่าเราควรลงทุนแบบ เต่า และนี่นำเราไปสู่ กระต่ายกับเต่าภาคสาม
หลังจากพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในการแข่งขันครั้งที่สอง เต่าเองไม่ท้อถอยหมดหวังหมดกำลังใจตามภาษาเต่าที่มีชีวิตอยู่มานานและผ่านช่วงขึ้นและลงของชีวิตมามาก หลังจากคิดทบทวนจุดอ่อนและข้อผิดพลาดของตนอย่างรอบคอบ เต่าก็กลับไปท้ากระต่ายใหม่ คราวนี้เต่าขอเป็นคนกำหนดเส้นทางแข่งขันเองซึ่งกระต่ายก็ยิ้มเยาะรับคำท้าเพราะคิดว่าอย่างไรเสียเต่าก็ไม่มีทางเอาชนะตนเองได้ พอเริ่มการแข่งขัน กระต่ายก็วิ่งอย่างรวดเร็วนำหน้าเต่าไปมาก แต่พอเข้าใกล้เหลือเพียงไม่กี่เมตรก่อนถึงเส้นชัย กระต่ายก็พบกับลำน้ำขวางหน้าวิ่งต่อไปไม่ได้ เต่าเดินตามมาอย่างช้า ๆ จนทันกระต่ายที่ริมฝั่งน้ำและว่ายข้ามลำห้วยถึงเส้นชัยในที่สุด นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ถ้าคุณเป็นคนกำหนดกฎเกณฑ์ในการแข่งขันเอง และมีกลยุทธ์และแผนการที่จะเดินไปตามแนวทางนั้น คุณก็จะเป็นผู้ชนะ ไม่มีใครขวางคุณได้
การเป็นนักลงทุนแบบเต่านั้น ถ้าจะพูดให้ถูกต้องจริง ๆ ก็คือ เราต้องเป็นเต่าภาคสาม นั่นคือ เราจะต้องเป็นคนที่กำหนดกฎเกณฑ์กติกาเอง อย่าปล่อยให้คนอื่นมาเป็นคนกำหนดกติกา ความหมายก็คือ เราอย่าไปเล่นตามตลาดหรือตามวิธีการเล่นของคนอื่น ตัวอย่างเช่น การTrade หรือซื้อขายหุ้นเป็นประจำนั้น เป็นเกมหรือสิ่งที่คนทั่วไปทำกัน ถ้าเราทำตามวิธีการนั้นก็แปลว่าเรากำลังเล่นตามกฎเกณฑ์ของคนอื่นซึ่งโอกาสที่เราจะชนะนั้นน้อยเหลือเกินถ้าเราเป็น เต่า ที่ไม่มีความสามารถที่เหนือกว่าในด้านของการ Trade หุ้น
การกำหนดเส้นทางหรือเส้นชัยหรือเป้าหมายในการลงทุนนั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ถ้าเราเลือกเส้นทางที่ถูกต้อง โอกาสชนะหรือประสบความสำเร็จก็จะสูงมาก การกำหนดเส้นทางและเป้าหมายของการลงทุนหมายถึงการวางแผนว่าเราจะมีความมั่งคั่งประมาณเท่าไรในช่วงเวลาที่กำหนด ถ้าจะให้ดีควรกำหนดไว้ด้วยว่าตนเองจะ เกษียณ เมื่อไร แต่ไม่ใช่การเกษียณที่กำหนดโดยคนอื่นเช่นนายจ้าง
กำหนดเส้นทางหรือเป้าหมายแล้วก็จะต้องวางกลยุทธ์ที่จะเดินไปให้ถึง กลยุทธ์นั้นจะต้องกำหนดโดยคำนึงถึงความเป็นจริงว่า เราเป็นเต่า ถึงแม้ว่าเราจะเป็นเต่าที่ขยัน เราก็มีศักยภาพที่จำกัด เราเดินได้ปีละไม่เกิน 15-20 เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะเดินได้ปีละ 10-15% น่าจะมีมากกว่า และนี่ก็คือเฉพาะการลงทุนในหุ้น แต่ถ้าลงทุนในตราสารหนี้หรือฝากเงิน เราจะไปช้ากว่า คือน่าจะได้ปีละไม่เกิน 5- 10% ถ้าเปรียบเทียบกับเต่าจริง ๆ ก็คือ การเดินทางในน้ำกับการเดินทางบนบกก็มีความเร็วไม่เหมือนกัน มีความเหน็ดเหนื่อยไม่เท่ากัน นักลงทุน เต่า ที่ไม่รู้หรือไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดนี้และพยายามทำตัวแบบ กระต่าย หรือเดินด้วยอัตราเร่งมากเกินไปอาจจะ เหนื่อยตาย เสียก่อนที่จะถึงเส้นชัย
พูดโดยสรุปก็คือ การลงทุนสไตล์เต่าภาคสามนั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในการลงทุนสูง เพราะคุณเป็นคนเลือกที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ที่จะทำให้คุณได้เปรียบ คุณเลือกได้แม้กระทั่งว่าคุณจะลงทุนเฉพาะหุ้นในกลุ่มไหนที่คุณรู้จักและเข้าใจมันได้ดี ส่วนหุ้นที่คนอื่นเล่นกันและบอกว่าดีแต่คุณไม่เข้าใจ คุณก็จะไม่เล่น ข้อสำคัญมีเพียงว่าคุณต้องจริงใจกับตนเองว่าคุณรู้อะไรจริง ๆ และอะไรที่คุณไม่รู้ อย่าประมาณตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ชัยชนะของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถของคุณแต่มันขึ้นอยู่กับการกำหนดกติกาของคุณต่างหาก เพราะฉะนั้น กำหนดกติกาให้ดี เดินไปตามทางนั้น แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณคิด
หลังจากที่กระต่ายพ่ายแพ้อย่างย่อยยับในภาค 3. ความผิดหวังและความอับอายที่เกิดขึ้นทั้งสองครั้ง ทำให้กระต่ายต้องหันกลับมาทบทวนตัวเองขนานใหญ่
SWOT Analysis ถูกยกมาเป็นประเด็นหลัก และเมื่อพิจารณาถึงจุดเด่นเรื่องความเร็วก็พบว่าจุดเด่นยังคงเป็นจุดเด่น การที่จะทิ้งจุดเด่นที่ตัวเองมีอยู่เหนือคู่แข่งไม่ใช่เรื่องฉลาดเลย จุดด้อยต่างหากที่ควรจะทิ้งไปและอะไรหล่ะเป็นจุดด้อย อะไรเป็นโอกาสและภัยคุกคาม
กระต่ายนั่งคิดนอนคิดอยู่นานสองนานก็คิดออกและเป็นที่มาของ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
กระต่ายกลับไปหาเต่าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม เมื่อคืนคิดออกแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แค่ copy ความคิดเท่านั้นก็ชนะสบายๆ
แต่อนิจจา......เต่าเรียนรู้แล้วว่า การเล่นในกฏเกณฑ์ที่ตนเองเป็นผู้กำหนดเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุดและจะไม่ยอมเล่นตามกฏของใครทั้งสิ้น
กระต่ายก็ไม่ละความพยายามถึงขั้นทวงบุญคุณว่า ครั้งที่แล้วตนยังยอมเล่นตามกติกาของเต่าเลย ทำไมจะยอมทำตามกฏของตนไม่ได้สักครั้งหละ ก็แฟร์ๆไม่ใช่หรือ
แต่เต่าก็ยังยืนยันเป็นเต่าขาเดียว (โดยไม่สนใจว่าการยืนแบบนี้เป็นลิขสิทธิ์ของกระต่ายเท่านั้นเอง)
ทั้งคู่ทุ่มเถียงกันสามวันสามคืนต่ายกแม่น้ำทั้งห้า ป่าทั้งหก นรกทั้งเจ็ดก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติได้ง่ายๆ แต่แล้วทั้งคู่ก็ได้กลิ่นควันไฟฉุนเฉียวพร้อมกับคลื่นความร้อนมหาศาลที่แผ่มากระทบตัวอย่างรวดเร็ว กระต่ายร้องตะโกนว่า
"ไฟไหม้ป่า !!!!!!!!"
ด้วยความตกใจสุดขีด กระต่ายกระโดดแผล็ววิ่งหนีอย่างรวดเร็วตามกฎของสัญชาติญาณดั้งเดิม วิ่งได้สักพักก็นึกได้ว่าทิ้งเต่าอยู่เบื้องหลัง ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนแม้จะทะเลาะกันบ้างตีกันบ้างแต่ก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมานาน
กระต่ายตัดสินใจวิ่งย้อนกลับมาเพื่อจะช่วยเต่า ก็พบเต่ากำลังคลานต้วมเตี้ยมหนีไฟอยู่อย่างเชื่องช้า ซึ่งช่างแตกต่างกันอย่างเหลือเกินกับพญามัจจุราชที่ไล่หลังมาอย่างรวดเร็วกระชั้นชิด กระต่ายถึงกับน้ำตาไหลพรากๆเป็นเผาเต่า(โดยลืมไปเช่นกันว่าการร้องให้แบบนี้เป็นลิขสิทธิ์ของเต่าเท่านั้นเอง)และไม่อาจจะช่วยเหลือเพื่อนรักอย่างไรได้
เต่าก็พูดด้วยน้ำเสียงที่แห้งผาก เพื่อนรัก ...เจ้ารีบหนีไปเสียเถิด ไม่ต้องห่วงเราหรอกไม่อย่างนั้นเจ้าก็จะต้องมาตายกับเราโดยไร้ประโยชน์
เรารู้ตัวแล้วว่าจุดแข็งของเรานั้น คือความอดทนเพราะเรามีกระดองกันร้อนกันหนาวกันแดดกันฝนและสารพัดจะกัน เราขึ้นบกก็ได้ ลงน้ำก็ได้อันนี้เป็นจุดแข็ง ส่วนความเชื่องช้านั้นเป็นผลกระทบมาจากการที่เรามีกระดองและขาสั้นๆ ไม่ใช่จุดเด่นของเราเลย เมื่อมาเจอภัยคุกคามบางอย่างที่โจมตีจุดอ่อนของเราเราจึงต้องลงเอยอย่างนี้ ฮือ.....ๆ....ๆ....ๆ.....
โปรดติดตาม กระต่ายกับเต่า ภาค 5. เร็วๆนี้ครับ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 1:37 pm
โดย por_jai
8) ภาค5 เนี่ย เต่าต้องติดเทอร์โบ แน่เลย
ไอเดีย หมอศรรามบรรเจิดมากเลยนะครับ
แหม ถ้ายืนเต่าขาเดียวได้อย่างงี้
น้ำตาก็ต้องเป็นเผากระต่ายแล้วครับ
ที่กระทู้ misc ท่านrudder เขาตั้งกระทู้ล่อเป้าหมออยู่
(แต่ผมเดาว่าท่านเขาจะทำไรซักอย่าง
มาเช็คความรู้สึกผู้คนในเวปหน่อย)
ไม่ไปให้ความเห็นหน่อยหรือครับ
หรือว่าเด๋วนี้บริหารอย่างเดียว
ล้างมือ..ในอ่างทองคำแล้ว
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 2:08 pm
โดย nanchan
ได้ข้อคิดเป็นอย่างมาก ทั้งเต่าและกระต่าย
อือ..
เกิดเป็นเต่า ก็ต้องวางแผนแบบเต่า
เกิดเป็นกระต่าย ก็ต้องวางแผนแบบกระต่าย
ถ้าเราเป็นคนกำหนดกติกาเอง เราย่อมมีสิทธิชนะ99%
แต่ในความเป็นจริง ใครเล่าเป็นผู้กำหนด
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 2:14 pm
โดย nanchan
ตอนงานสัมมนา ดร.บอกว่า
ที่กำไรนั้นเป็นความบังเอิญ
อันนี้ไม่รู้พูดเล่นหรือเตือนให้อย่าประมาท
ผมก็เลยถามว่า
แล้วปีที่ขาดทุน ก็เป็นความบังเอิญด้วยหรือ
รู้สึกว่าคำตอบคือ ปีที่แล้วบังเอิญกำไรเยอะมาก
แล้วตกลงอย่างนี้ เราหาข้อผิดพลาดได้ไหมครับ
เรามีแต่แผนซื้อหุ้นอย่างเดียว ไม่ต้องมีแผนขายหุ้นรึไง
การออกศึก ใช่ว่าต้องตั้งรับเพียงอย่างเดียว การจู่โจมก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ใช่เหลือ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 2:51 pm
โดย น้ำครึ่งแก้ว
แล้วกระต่ายก็หาหญ้าเหนียวๆ มาให้เต่าคาบ แล้วก็พยายามลากเต่าไปให้
ถึงแหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุด แล้วก็ให้เต่าหลบอยู่จนกว่าไฟจะมอด แล้วตัวเองก็
วิ่งหนีไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คุณธรรม นำชีวิต
แฮ่ ๆ ๆ ๆ ขออนุญาต แจมหน่อยครับ :lol:
จริงๆ แล้วมานั่งรอฟัง อยู่เหมือนกันครับ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 3:28 pm
โดย naris
หารายได้เสริม เถอะพี่หมอ
ตอนนี้กำลังรู้สึกว่า แล้วจะเป็นเต่า หรือ กระต่ายดีหล่ะ
เพราะในปอดผมมีทั้งเต่า และ กระต่าย
อย่างนี้จะผิดหลักการ นายหลวงสอนไว้หรือเปล่าครับว่า อย่ามี2ระบบ ในหนึ่งเดียว :lol:
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 3:51 pm
โดย Raphin Phraiwal
naris เขียน:อย่างนี้จะผิดหลักการ นายหลวงสอนไว้หรือเปล่าครับว่า อย่ามี2ระบบ ในหนึ่งเดียว :lol:
พีนริศครับ พี่หมายถึงเรื่อง Double Standard หรือเปล่าครับ ถ้าใช่ ผมขอตีความหมายว่าในหนึ่งระบบไม่ควรมีการเลือกปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่เท่าเทียมกันมากกว่านะครับ
ผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วยนะครับ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 5:25 pm
โดย nanchan
naris เขียน: หารายได้เสริม เถอะพี่หมอ
ตอนนี้กำลังรู้สึกว่า แล้วจะเป็นเต่า หรือ กระต่ายดีหล่ะ
เพราะในปอดผมมีทั้งเต่า และ กระต่าย
อย่างนี้จะผิดหลักการ นายหลวงสอนไว้หรือเปล่าครับว่า อย่ามี2ระบบ ในหนึ่งเดียว :lol:
อย่างนี้พี่นริศ ก็เป็น กระเต่า ซิ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ส.ค. 11, 2006 7:36 pm
โดย riname
ในตลาดเห็นแต่ เต่าแข่งกับเต่า.....กินแบบเต่า
กระต่ายก็แข่งกับกระต่ายด้วยกัน.......
............................................................................
ไม่เห็นกระต่ายจะหยุดวิ่งเลย.......
ไม่เห็นกระต่ายจะอยากแข่งกับเต่าเลย.......
............................................................................
และก็ไม่เห็นเต่าจะอยากแข่งกับใครเลย
............................................................................
แข่งกับตัวเราเองดีมั้ย
............................................................................
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 12, 2006 9:06 am
โดย Dech
ขอบคุณครับ
ผมไม่ได้เป็นทั้งกระต่ายและเต่า เป็นตัวอะไรก็ไม่รู้ครับ เปลี่ยนจากตัวอ้วนๆ มาเป็นอีกตัว
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 12, 2006 9:34 am
โดย สามัญชน
แข่งกับตัวเองนั้นดีแน่ครับ ยิ่งยุคนี้ใครๆก็คิดว่าเป็นคำพูดที่โก้และทันสมัย บางทีผมก็เชื่อและทำตามเลยเหมือนกันโดยไม่ได้พิจารณาให้ถ่องแท้เสียก่อน
มาลองคิดๆดูนะครับ การแข่งกับตัวเองนั้น เบื้องต้นเลย เราจะต้องรู้จักตัวเองเสียก่อน ประเด็นนี้จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก
แต่ผมมองว่ายากมากเหมือนกัน การรู้จักผู้อื่นยังจะง่ายกว่า เพราะมองเห็นได้ง่ายกว่า และเวลามองเราก็จะมองด้วยความลำเอียงน้อยกว่า
สมัยก่อนคนเราจะมองเห็นตัวเองก็ต้องตักน้ำใส่ขันแล้วมองดูเงาในขันซึ่งก็ได้ภาพที่ไม่ชัดนักเพราะน้ำไม่นิ่ง ยิ่งถ้าย้อนยุคไปไกลๆหน่อยก็ต้องมองหาตัวเองในลำธารเลยทีเดียว อันนั้นภาพที่เห็นก็ยิ่งไม่ชัดไปใหญ่ เพราะน้ำไหลแรงกว่า เห็นแค่เบลอๆเท่านั้น ในขณะที่การมองผู้อื่นจะเห็นได้ชัดเจนเพราะเป็นการมองตรงๆ
ต่อมามีคนประดิษฐ์กระจกทองเหลืองขึ้น การมองตัวเองก็เห็นชัดขึ้น จนมาถึงกระจกเงาจึงเห็นชัดแจ๋วแหวว
แต่แม้จะเห็นชัดแจ๋วแหววเพียงใด ก็เห็นได้แต่หน้าตาซึ่งเป็นรูปร่างภายนอกเท่านั้นเอง ยังไม่มีใครสามารถประดิษฐ์กระจกที่สะท้อนถึงกิเลสภายในได้
การเห็นตัวเองตามที่เป็นจริงนั้น ในนิยามของเซน ถือว่าเป็นเรื่องยากมากและใครที่เห็นตัวเองจริงๆถือได้ว่า บรรลุธรรม เลยทีเดียว เนื่องเพราะตัวของเราเองเป็น dynamics เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆตามอารมณ์ ตามกิเลสตัณหา ตามสังขารซึ่งเป็นสิ่งปรุงแต่ง
เมื่อเป็นเรื่องยากและมีความสำคัญ ใครๆจึงต้องค้นหาตัวเองให้เจอ แม้แต่เจ้าชายโกมินทร์ ยังต้องโบยบินจากบ้านเกิดเมืองนอน ได้พระดาบสสั่งสอนตั้งแต่ตอนยังเยาว์วัย.....................
จากนี้จะอยู่เพื่อใคร ขอจากไปค้นหาตัวเอง.............ถามว่าอยู่เฉยๆเพื่อค้นหาตัวเองไม่ได้หรือ ก็ตัวเองก็อยู่ตรงนี้นี่นาแล้วยังจะไปหาที่ไหนอีกอ่ะ.....5555
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 12, 2006 9:36 am
โดย สามัญชน
ส่วนเรื่องการเปรียบเทียบนักลงทุนเป็นเต่ากับกระต่ายนั้น ดร.เปรียบไว้ดีแล้วถูกต้องแล้ว และเมื่อคิดตามก็ก่อให้เกิดประโยชน์คุ้มค่า อย่าว่าแต่เรื่องกระต่ายกับเต่าวิ่งแข่งกันเลยครับ บัฟเฟตต์ถึงขั้นเปรียบเป็นเรื่องสงครามฆ่าแกงกันเลยทีเดียว หุ้นของบัฟเฟตต์จะต้องเป็นหุ้นที่มีคูเมืองกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งกันผู้บุกรุกเข้ามาแย่งชิงพื้นที่....จำไม่ได้เหรอครับ
ส่วนเรื่องที่คุณบอกว่าในตลาดนั้นไม่เห็นเต่าจะแข่งกับกระต่ายเลย ผมว่าถ้าไม่มองหาก็ไม่เห็นเหมือนกัน แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยากเลย มองปุ๊บก็เห็นปั๊บ ตัวอย่าง
กระต่าย: เฮ้ย..เจ้าเต่าคลานต้วมเตี้ยม เมย.46นี้แกได้กำไรเท่าไหร่วะ
เต่า: ได้มา 8%เอง
กระต่าย: จอกจริงๆ บอกแล้วว่าอย่าไปเป็น VI มันไม่ได้เรื่องหรอก สู้เก็งกำไรอย่างข้าได้ที่ไหน นี่ ! ข้าฟันไป 12 %แล้วนะ
เต่า: แต่ของข้าก็ได้แบบแน่นอน ถึงจะช้าหน่อยแต่ถึงเป้าหมาย 20%แน่ ของแกวิ่งเร็วๆเดี๋ยวแกก็นอนหลับใต้ต้นไม้ เดี๋ยวข้าก็แซงอยู่ดี
กระต่าย: 555 ขำว่ะ ไอ้เรื่องกระต่ายแอบนอนหลับแล้วปล่อยให้เต่าอย่างแกวิ่งแซง มันก็มีแต่ในนิทานเท่านั้นละว้า ชีวิตจริงใครจะไปโง่นอนหลับใต้ต้นไม้วะ 55555
ผ่านไป 3 เดือน มาถึง สค.46 ตลาดหุ้นตกอย่างรุนแรง
เต่า: เฮ้ยกระต่ายเพื่อนรัก ถึงเส้นชัยหรือยังวะ
กระต่าย:ถึงกะผีนะสิ ตอนนี้กำไรลดลงมาเหลือศูนย์ แถมทำท่าจะเข้าเนื้อไปอีกเยอะ ในพอร์ทติดตัวแดงอื้อเลยว่ะ ของแกหละ
เต่า: ของข้าไม่ลงว่ะ กำไรโตไป 25%แล้ว อิอิอิ ทะลุเป้าหวะ 555 อ้าวไหนแกบอกว่า ใครจะไปโง่หยุดวิ่งหละวะ
กระต่าย: เฮ้ย.....ไม่ต้องฟื้นฝอยหาตะเข็บให้เจ็บใจหรอกน่า ข้าไม่ได้หยุดวิ่งก็จริง แต่ข้าดันวิ่งย้อนศรมาที่เดิมหนะ มันเป็นไปได้ยังไง ข้าก็ยัง งง ๆ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 12, 2006 10:33 am
โดย Raphin Phraiwal
:lovl:
ขอบคุณพี่หมอศรรามครับ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: เสาร์ ส.ค. 12, 2006 11:42 am
โดย por_jai
[quote="สามัญชน"]แข่งกับตัวเองนั้นดีแน่ครับ
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ส.ค. 13, 2006 3:19 pm
โดย สามัญชน
พี่พอใจถามว่า
อย่างนี้ถือว่าผมรู้จักตัวเองไหมครับ...
ตามความเห็นผมซึ่งติดตามความเห็นพี่พอใจมานานผมก็ว่าพี่พอใจรู้จักสังคมมากแล้ว รู้จักผู้อื่นก็เยอะและรู้จักตัวเองมากๆแล้วครับ
แต่ที่จริงแล้วผมไม่มีคุณสมบัติที่จะวิจารณ์ ผู้ที่สามารถวิจารณ์ได้น่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในระดับบรรลุธรรมแล้วอ่ะครับ......
กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: จันทร์ ส.ค. 14, 2006 8:40 am
โดย worapong
แต่ก็อย่างที่ลอร์ดเคน เคยพูดไว้ ในระยะยาวแล้วทุกคนก็ตายหมด
สุดท้ายแล้วทั้งเต่าและกระต่ายก็ต้องตายครับ 555 แต่ดูเต่าจะอายุยืนกว่านะครับ
ผมเคยอ่านเรื่องสามก๊กมา เลยนึกถึงคำๆนึงที่หนังจีนชอบพูดถึงนะครับ ชะตาฟ้าลิขิต ถึงแม้ว่าเราจะวิเคราะห์ได้สุดยอด มีความรู้ทุกอย่าง หยั่งรู้ดินฟ้า เหมือนขงเบ้ง แต่เราก็มิอาจกำหนดให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่เราปรารถนาได้ ก็ขอให้เพื่อนๆอย่าเครียดเกินไปนะครับ ขอให้เราสนุกกับการวิเคราะห์ การคิด การลงทุน แล้วพอใจกับผลตอบแทนที่พอสมควรครับ แม้บางครั้งเราอาจจะกำไรน้อยไปสักนิด ก็ถือว่าเป็นลิขิตสวรรค์นะครับ
Re: กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 30, 2012 10:21 am
โดย pak
ดวงจันทร์หันกระต่ายเข้าโลกไม่ใช่เรื่องบังเอิญ
เหตุผลที่ทำไมดวงจันทร์จึงหันด้านเดียวเข้าสู่โลกตลอดเวลาอาจจะเป็นสาเหตุมาจากการเป็น "ลูกเต๋าที่ไม่เที่ยง" จากการรายงานของนักวิทยาศาสตร์เมืองมะกัน
การศึกษาครั้งนี้ได้รับการเผยแพร่ในวารสารวิชาการ lcarus ที่สรุปว่า อัตราการหมุนรอบตัวเองของดวงจันทร์ช้าลงตั้งแต่เริ่มก่อตัว จนกระทั่งอยู่ในอัตราที่พอดีที่จะทำให้หันด้านหนึ่งเข้าสู่โลกเสมอ
งานวิจัยชิ้นนี้นำโดย ศาสตราจารย์ โอเด็ด อาฮารอนซอน จากสถานบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย ที่พาซาเดน่า ซึ่งขัดกับความเชื่อเดิมที่ว่า การที่ดวงจันทร์หันหน้าเข้าสู่โลกตลอดเวลาเป็นเรื่องบังเอิญเท่านั้น "ตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ" ศ.อาฮารอนซอนกล่าว ด้านที่หันเข้าหาโลกของดวงจันทร์นั้นถูกปกคลุมไปด้วยหินบะซอลต์ที่มีความหนาแน่นสูง มีสีเข้ม และส่วนใหญ่เป็นที่ราบต่ำ ซึ่งคนบนโลกเห็นเป็นรูปกระต่ายบนดวงจันทร์นั่นเอง ส่วนด้านตรงข้ามที่ไกลออกไปนั้นจะเป็นเปลือกที่หนากว่า มีภูเขาสูงอยู่มากมาย และเป็นที่ราบสูง "ก็มีหลายคนที่มองว่า แผ่นดินสูงนั้นใกล้โลกมากกว่าและมีมวลมากกว่า ทำไมจึงไม่หันด้านนั้นเข้าหาโลก"
ทุกวันนี้ ดวงจันทร์ถูกล็อคด้วยวงโคจรแบบประสานเวลากับการหมุนรอบตัวเอง โดยที่การโคจรรอบโลกจะพอดีกับการหมุนรอบตัวเองของมัน แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อ 4 พันล้านปีก่อนนั้น ดวงจันทร์หมุนเร็วกว่านี้มาก! "ในตอนนั้น คนบนโลกจะเห็นดวงจันทร์ทุกส่วนเลย แต่ต้องมองจากหลายๆที่และหลายๆเวลา" ศ.อาฮารอนซอนอธิบาย "แต่แรงไทดัลจากโลกทำให้เกิดส่วนที่โป่งนูนออกมาเล็กน้อย ซึ่งในขณะที่มันหมุนรอบตัวเองอยู่นั้น ส่วนที่โป่งพองนั้นจะหันเข้าหาโลก และการหมุนรอบตัวเองก็จะไปทำให้โครงสร้างภายในเปลี่ยนแปลงไปด้วยจนกระทั่งเกิดการเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง" ความไม่สมดุลภายในดวงจันทร์จากการโป่งโค้งงอนี้จะไปสร้างทอร์คที่ทำให้การหมุนของดวงจันทร์ช้าลงจนกระทั่งการหมุนรอบตัวเองไปตรงกับระยะเวลาที่โคจรรอบโลกพอดี
Re:
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 30, 2012 11:59 am
โดย ดำ
สามัญชน เขียน:สมัยก่อนคนเราจะมองเห็นตัวเองก็ต้องตักน้ำใส่ขันแล้วมองดูเงาในขันซึ่งก็ได้ภาพที่ไม่ชัดนักเพราะน้ำไม่นิ่ง ยิ่งถ้าย้อนยุคไปไกลๆหน่อยก็ต้องมองหาตัวเองในลำธารเลยทีเดียว อันนั้นภาพที่เห็นก็ยิ่งไม่ชัดไปใหญ่ เพราะน้ำไหลแรงกว่า เห็นแค่เบลอๆเท่านั้น ในขณะที่การมองผู้อื่นจะเห็นได้ชัดเจนเพราะเป็นการมองตรงๆ
ต่อมามีคนประดิษฐ์กระจกทองเหลืองขึ้น การมองตัวเองก็เห็นชัดขึ้น จนมาถึงกระจกเงาจึงเห็นชัดแจ๋วแหวว
แต่แม้จะเห็นชัดแจ๋วแหววเพียงใด ก็เห็นได้แต่หน้าตาซึ่งเป็นรูปร่างภายนอกเท่านั้นเอง ยังไม่มีใครสามารถประดิษฐ์กระจกที่สะท้อนถึงกิเลสภายในได้
มีสิครับ พระพุทธเจ้าชี้ทางมองถึงกิเลสภายในได้มา 2,600 ปีแล้ว
Re: กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 02, 2012 3:46 pm
โดย KamiSama
เป็นนิทานที่อ่านแล้ว ว๊าว! ครับ
Re: กระต่ายกับเต่า ภาค 4.
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 02, 2012 3:56 pm
โดย picklife
คิดถึงพี่หมอสามัญชนจัง