หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 09, 2006 2:00 pm
โดย สามัญชน
วลีที่ลือลั่นของบัฟเฟตต์คือ มองหาหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนและเข้าซื้อที่ราคาไม่แพงเกินไปแล้วก็ถือไว้อย่างยาวนานตราบเท่าที่ความได้เปรียบเชิงแข่งขันยังคงอยู่

แต่วันนี้ผมมีคำถามกับวลีนี้เสียแล้ว

ก่อนนี้ผมมองว่าเป็นหัวใจหลักของการคัดเลือกหุ้น

เพราะการซื้อหุ้นที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็ไม่แน่ว่าจะรุ่ง  ถ้าหุ้นของคุณเจอคู่แข่งที่เก่งกว่า

พลังงานเป็นสิ่งที่ทุกคนขาดไม่ได้  ทุกคนต้องใช้พลังงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หุ้นพลังงานนั้นไม่มีวันตาย  ถ้าหาหุ้นพลังงานทดแทนที่จะรุ่งเรืองในอนาคตได้คุณก็จะรวย

แต่ผมมองว่าแค่นี้ยังไม่พอ  เราจะต้องหาหุ้นพลังงานที่จะเป็นผู้ชนะในอนาคตด้วย และที่สำคัญเราจะต้องหาหุ้นพลังงานที่จะต้องมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันในอนาคตอย่างยั่งยืนด้วย

อะไรๆก็จะต้องลงเอยที่วลีเด็ดนี้เสมอ

อีกหนึ่งตัวอย่าง

ออกซิเจนเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการมีชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย  การทำธุรกิจผลิตออกซิเจนน่าจะสร้างความร่ำรวยได้มหาศาล  แต่จริงๆแล้วกลับไม่ใช่  เพราะธุรกิจนี้มีคู่แข่งโดยธรรมชาติที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่  ธุรกิจนี้ไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันแม้แต่น้อย ธุรกิจนี้ไม่มีทางสู้พืชใบเขียวที่ผลิตออกซิเจนได้บริสุทธ์และมหาศาล

วลีเด็ดนี้ยังคงใช้ได้อีกเช่นเคย

แต่แล้วผมก็มีปัญหาในทางปฏิบัติ  ผมเจอหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่ราคาไม่แพง  แต่กลับไม่มั่นใจว่าอนาคตธุรกิจจะเป็นอย่างไร

1. ถ้าหุ้นตัวนี้อยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่โตอีกแล้ว  หุ้นตัวนี้จะเป็นอย่างไร  มาร์ลโบโร่จะเปลี่ยนจากหุ้นเติบโตในอดีตมาเป็นหุ้นแข็งแกร่ง(ที่ไม่โตมาก)หรือไม่ ถ้าคนสูบบุหรี่ไม่เพิ่มขึ้น

2. ถ้าหุ้นตัวนี้ครองส่วนแบ่งเกือบร้อยเปอร์เซนต์แล้ว  หุ้นตัวนี้จะแย่งส่วนแบ่งจากใครอีก  จะมีที่ว่างตรงไหนให้เติบโตต่อไป  อึ่งอ่างจะเป็นอย่างไรถ้าออกนอกกะลาที่ครอบอยู่ไม่ได้

3. บริษัทจะสามารถตั้งราคาให้สูงขึ้นเพื่อเพิ่มยอดขายและกำไรได้มากแค่ไหนแม้จะผูกขาดอยู่เจ้าเดียว(ก็ตาม)

4. ด้วยความที่ผูกขาดอยู่เจ้าเดียว  จะเจอพิษกฎหมายต่อต้านการผูกขาดหรือไม่

5.ถ้ายอดขายไม่โตอีกแล้ว  กำไรไม่โตอีกแล้ว  แม้จะมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน  บริษัทก็ตอบแทนผู้ถือหุ้นได้โดยการจ่ายปันผลไปเรื่อยๆใช่หรือไม่

ดูท่าว่าวลีนี้จะมีปัญหาเสียแล้ว

ต้องเพิ่มเงื่อนไขว่า  อุตสาหกรรมจะต้องโตไปเรื่อยๆในอัตราที่น่าพอใจ ด้วยหรือไม่ครับ

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 09, 2006 2:47 pm
โดย สุมาอี้
ถ้าหุ้นมีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจที่ไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ ผมก็ยังซื้อครับ

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 09, 2006 9:52 pm
โดย Rocker
สุมาอี้ เขียน:ถ้าหุ้นมีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจที่ไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ ผมก็ยังซื้อครับ
เห็นด้วยครับ และ ก็ เห็นด้วยกับพี่ สามัญที่ควรเพิ่ม

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: เสาร์ ก.ย. 09, 2006 10:40 pm
โดย วัวแดง
สุมาอี้ เขียน:ถ้าหุ้นมีความได้เปรียบในการแข่งขันในธุรกิจที่ไม่โตแล้ว แต่ราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ ผมก็ยังซื้อครับ
ผมชอบนะครับ เพราะผมชอบซื้อเมื่อราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ครับ ถึงแม้ทุกคนส่ายหน้า :D

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ย. 10, 2006 8:27 am
โดย thawattt
ผมชอบนะครับ เพราะผมชอบซื้อเมื่อราคาหุ้นยังต่ำเกินไปอยู่ครับ ถึงแม้ทุกคนส่ายหน้า
สงสัยคุณวัวแดง จะชอบซื้อหุ้นที่เป็นดาวเด่นในอุตสาหกรรมที่ตกต่ำ เพราะคู่แข่งขันซึ่งเป็นผู้อยู่ในอุตสาหกรรมตายไปหมดแล้ว  เหลือแต่หุ้นที่เราลงทุนอยู่ที่มีความได้เปรียบการแข่งขันอยู่ เพราะอาจมีต้นทุนต่ำกว่าอุตสาหกรรมและมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมาก จึงอยู่มาได้นานเหนือคู่แข่งขันครับ  :lol:

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 10:28 pm
โดย สามัญชน
สิ่งที่มักจะตามมาเมื่อมีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน  คือการมี mk.sh.ที่สูงลิบลับ

หุ้น A มี 1.ความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน 2. มี mk. sh. สูงมากถึง80-90%(ก็เพราะเขาเก่งมากนั่นเอง) 3. อุตสาหกรรมไม่โตแล้ว

หุ้น B (อยู่คนละกลุ่มกับ A)มี 1. ความได้เปรียบเชิงแข่งขันพอสมควร(ไม่มากเท่าA แต่ก็เป็นที่หนึ่งในกลุ่มตัวเอง) 2. มี mk. sh. น้อย ประมาณสัก 10-15% ส่วนอันดับสองอยู่ที่ 5-10%  3.อุตสาหกรรมไม่โตแล้ว

ถ้ามีข้อมูลแค่นี้ ผมคิดว่าหุ้น B น่าสนใจกว่าเพราะว่าเขาโตได้อีกเพราะยังสามารถแย่ง mk.sh. จากคู่แข่งได้  แต่ A ต้องแข่งกับตัวเองอย่างเดียว

และดังนั้นสุดยอดหุ้นน่าจะเป็น

หุ้นแบบ B แต่อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตได้ปีละ10-15%  และก็น่าจะดีกว่าหุ้นแบบ A ที่แม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมที่โตได้ปีละ10-15% เช่นเดียวกัน

ผมคิดถูกไหมครับ.......

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 10:32 pm
โดย สามัญชน
มาคิดดูอีกที่  ถ้าอุตสาหกรรมโดยรวมโตถึง 10-15% หุ้นแบบ A อาจจะดีกว่าก็ได้ เพราะมีปราการแข็งแกร่ง ขาใหม่คงไม่อยากมาแย่ง แต่แบบ B เก่งในกลุ่มเดิมก็จริง แต่ถ้ามีเจ้าใหม่และใหญ่กว่าเดิมเข้ามาลุย Bก็อาจจะแพ้เขาได้ เพราะกำแพงยังไม่แข็งแรงพอ......

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 10:51 pm
โดย สุมาอี้
ถ้าให้พิจารณาตัวธุรกิจอย่างเดียวโดยไม่ดูราคาหุ้นด้วย สำหรับผมแล้ว ผมจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าหุ้นน่าซื้อหรือไม่ :roll:

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 11:19 pm
โดย สามัญชน
ครับ.........

ปัจจัยสุดท้ายที่สำคัญมากๆก็คือ ราคาหุ้น

หุ้นดีแค่ไหนถ้าแพงเกินไปก็ไม่น่าซื้อ

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 11:36 pm
โดย nanchan
เอะ แต่ความเข้าใจผมกับคิดว่า

ถ้าหุ้นดี ราคาแพงก็ซื้อ แฮะ

ถ้าราคาแพงไม่ซื้อ ก็แสดงว่ายังดีไม่จริงซิ

ฮิ

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 11:43 pm
โดย CK
แพงแล้ว ถ้ามีแพงกว่า ก็น่าซื้อ

ถูกแล้ว แต่มีถูกกว่า ก็ยังไม่ค่อยน่าซื้อเท่าไหร่

เนาะ เฮียนัน

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 11:46 pm
โดย สุมาอี้
nanchan เขียน:เอะ แต่ความเข้าใจผมกับคิดว่า

ถ้าหุ้นดี ราคาแพงก็ซื้อ แฮะ

ถ้าราคาแพงไม่ซื้อ ก็แสดงว่ายังดีไม่จริงซิ

ฮิ
ปูนซีเมนต์ไทยหุ้นละล้านซื้อมั้ยครับ ถ้าซื้อเด๋วผมจะรีบไปซื้อมาขายต่อให้  :wink:

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ย. 11, 2006 11:55 pm
โดย nanchan
อะฮิ เจอแซวหนักจริงๆ หุ้นละล้าน

ถ้าปูนซิเมนต์ไทย ทำกำไรได้หุ้นละ2แสนต่อปี
และน่าจะมีgrowthอย่างต่ำ15%ต่อปี

ก็ซื้อ

ฮิ

แต่ถ้ายังกำไรแค่20กว่าบาทต่อหุ้นต่อปี ก็ไม่ซื้อ ฮิ

เพราะฉนั้น ถ้ายังกำไรแค่นี้ ก็ยังดีไม่จริงมั้ง ฮิ

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 12, 2006 12:05 am
โดย MarginofSafety
nanchan เขียน:อะฮิ เจอแซวหนักจริงๆ หุ้นละล้าน

ถ้าปูนซิเมนต์ไทย ทำกำไรได้หุ้นละ2แสนต่อปี
และน่าจะมีgrowthอย่างต่ำ15%ต่อปี

ก็ซื้อ

ฮิ

แต่ถ้ายังกำไรแค่20กว่าบาทต่อหุ้นต่อปี ก็ไม่ซื้อ ฮิ

เพราะฉนั้น ถ้ายังกำไรแค่นี้ ก็ยังดีไม่จริงมั้ง ฮิ
แปลกจัง

ฮิ ...  :lol:

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 12, 2006 10:48 am
โดย nanchan
HVI เขียน:
แปลกจัง

ฮิ ...

ข้อสงสัยต่อวลีอมตะ

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 12, 2006 12:40 pm
โดย HI.ผมเอง
สุมาอี้ เขียน:ถ้าให้พิจารณาตัวธุรกิจอย่างเดียวโดยไม่ดูราคาหุ้นด้วย สำหรับผมแล้ว ผมจะไม่สามารถบอกได้เลยว่าหุ้นน่าซื้อหรือไม่ :roll:
โดน มาก ครับ
:cool: