ผู้บริหาร JTS มั่นใจบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากการเมือง และยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีก
--------------------------------------------------------------------------------
Posted on Tuesday, October 31, 2006
แขกรับเชิญ สุพจน์ สัญญพิสิทธิ์กุล กรรมการผู้จัดการ บมจ. จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS)
พิธีกร ปฏิพร สิทธิพงศ์
------------------------------------------------------------------------------------------
ปฏิพร วันนี้เลือกมาอีกหุ้นหนึ่งที่เป็นน้องใหม่ แม้ว่าจะไม่ใหม่เท่าไรเพราะเข้ามาในตลาดบ้านเราในกลางเดือนกันยายนนี้เอง ซึ่งเป็นหุ้นที่อยู่ในหมวดเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งริษัทนี้หลายคนคงจะคุ้นกันอยู่ซึ่งมีความเกี่ยวดองกับบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์บ้านเรา วันนี้เราจะมาคุยกันถึง บมจ. จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) ซึ่ง JTS ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อสารโทรคมนาคม มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดหาออกแบบและรับเหมาวางระบบโครงข่ายสื่อสารโทรคมนาคมขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นผู้จัดจำหน่ายระบบสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจรให้เช่าเครื่องโทรศัพท์สาธารณะกับ TOT และเป็นตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องมือวัดด้วย โครงสร้างธุรกิจนี้ถ้าไม่เข้าใจกันเดี๋ยวค่อยไปพูดคุยกันกับทางผู้บริหารของบริษัท ซึ่งให้เกียรติมาร่วมพูดคุยกันในรายการ
แต่ต้องไปดูกันที่ Consensus กันก่อน ซึ่งนักวิเคราะห์จากหลายโบรกเกอร์ทำบทวิจัยออกมาและสรุปรวบรวมเอาไว้ใน
www.settrade.com ซึ่งแม้ว่าจะมี 6 เจ้าเท่านั้นที่ส่งคำแนะนำเข้ามา แต่ทั้ง 6 เจ้า ให้คำแนะนำซื้อทั้งหมด ให้ราคาเหมาสมของ JTS เอาไว้เฉลี่ยที่ 3.97 บาท ประมาณการณ์กำไรสุทธิในปีนี้เฉลี่ยที่ 308 ล้านบาท และในปีหน้าลดลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ 302 ล้านบาท กำไรต่อหุ้นจะอยู่ที่ 0.44 บาท ส่วนปีหน้า 0.43 บาทต่อหุ้น อัตราผลตอบแทนจากการจ่ายปันผลน่าสนใจทีเดียว เพราะมีค่าเฉลี่ยที่ 6.85%
บล. กิมเอ็ง แนะนำซื้อ ให้มูลค่าที่เหมาะสมที่ 4.15 บาท มองปัจจัยบวกว่า คาดว่า JTS จะขยายตัว 75% จากไตรมาสก่อน คิดเป็นในไตรมาส 3/49 นี้น่าจะมีรายได้รวมทั้งสิ้น 762 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้รายได้จากโครงข่ายบรอดแบรนด์ มูลค่ากว่า 1.6 พันล้านบาทของ TT&T ซึ่งเป็นบริษัทที่ถือหุ้นใหญ่โดยจัสมินด้วยเช่นกัน คาดว่ากำไรในไตรมาส 3/49 ของ JTS จะขยายตัว 63% กว่าไตรมาสที่แล้วเป็น 77 ล้านบาท นอกจากนี้งาน Backlog ของ JTS ยังมีอยู่ถึง 1.8 พันล้านบาท มีหลายโครงการที่จะเข้าร่วมการประมูลในช่วงปลายปีนี้ โดยเฉพาะงานของ CAT และ TOT เนื่องจากเป็นช่วงสุดท้ายในการใช้งบส่วนที่เหลือของปีนี้ ส่วนปีหน้าคาดการณ์ว่ากำไรของ JTS จะขยายตัว 11% เป็น 325 ล้านบาท หรือคิดเป็น 0.46 บาทต่อหุ้น เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของบรอดแบรนด์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องนั่นเอง นอกจากนี้ราคาหุ้น JTS ในปัจจุบันยังถูกมาก
บล. นครหลวงไทย ให้คำแนะนำซื้อเช่นกัน โดยให้ราคาเหมาะสมอยู่ที่ 4.01 บาท บอกว่างานในไตรมาส 2/49 ปีนี้ไม่รับรู้รายได้ในโครงการได้ทันตามกำหนด จึงจะเลื่อนมารับรู้รายได้ในไตรมาส 3/49 ไม่ว่าจะเป็น TTT Broadband มูลค่าโครงการกว่า 1.6 พันล้านบาท กำไรในไตรมาส 3/49 คาดว่าอยู่ที่ 75 ล้านบาท ขยายตัว 56.8% จากไตรมาสที่แล้ว นอกจากนี้ งานในมือยังมีถึง 2 พันหว่าล้านบาทด้วย จะทยอยรับรู้รายได้ในไตรมาส 3/49 ส่วนปัจจัยลบมองว่าโครงสร้างรายได้ 51% เป็นงานของ TTT Broadband ซึ่งมี Gross Profit Margin ต่ำเพียง 12.5% เท่านั้นเมื่อเทียบกับ Gross Margin ปกติที่ 25% ส่งผลให้ Gross Profit Margin ในไตรมาส 3/49 น่าจะลดลงมาน อกจากนี้ราคาหุ้นยังมีความเสี่ยงจากการที่หุ้นจำนวน 70 ล้านหุ้น ของกองทุน Knight Thai Technology Fund ซึ่งไม่ได้ติด Silence Period ตามกฎกลต.แต่กองทุนฯยินยอมนำหุ้นจำนวนดังกล่าวล็อคเอาไว้ในคัสโตเดียนเป็นเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯหรือสิ้นสุดวันที่ 17 ธันวาคม 2549
บล. ดีบีเอส วิคเคอร์สให้ราคาที่เหมาะสมไว้ที่4.30 บาท แนะนำซื้อ บอกว่า JTS มีแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจที่ดี จากการวางระบบเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมขนาดใหญ่ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ จัสมินและ TT&T ด้วยคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2549 และปี 2550 จะเติบโตในเกณฑ์ที่น่าพอใจที่ระดับ 9% ส่วนกำไรมีโอกาสเติบโตตามงานการวางระบบเครือข่ายสื่อสารโทรคมนาคมขนาดใหญ่ นอกจากนี้ JTS ยังมีประสบการณ์ทำงานให้กับผู้เล่นรายสำคัญในวงการ IT ไม่ว่าจะเป็น TOT กสท. และ TT&T มีโอกาสได้รับงานจาก TT&T และ TTT Broadband เมื่อติดตั้งโทรศัพท์สาธารณะครบแล้ว ทำให้รายได้ส่วนหนึ่งมีความแน่นอน และลดการพึ่งพิงรายได้จากการวางระบบด้วย แต่มีความเสี่ยงคือการที่พึ่งพาลูกค้ารายใหญ่คือ TT&T, TOT และ กสท. มากเกินไป และมีความเสี่ยงจากการพึ่งพิงผู้ผลิตรายใดรายหนึ่งเกิน 30% เช่น Huawei และ Acatel
ซึ่งวันนี้ผู้ที่ให้เกียรติมาร่วมพูดคุยในการรายการกับเรา เป็นกรรมการผู้จัดการบมจ. จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ (JTS) คุณสุพจน์ สัญญพิสิทธิ์กุล ค่ะเพิ่งเข้ามาตลาดได้ไม่นาน คงจะตอบคำถามเกี่ยวกับความน่าสนใจของหุ้นมาอย่างต่อเนื่อง ถ้าเราจะถามอีกสักครั้งเกี่ยวกับธุรกิจ ให้แนะนำตัวว่าธุรกิจของ JTS ที่เราแนะนำกันไปในช่วงแรกทำอะไรอย่างไรบ้าง
สุพจน์ หลัก ๆ JTS จะเป็นบริษัทที่วางระบบสื่อสารโทรคมนาคม และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ รายใหญ่รายหนึ่งในประเทศไทย เป็นคนที่วางระบบพื้นฐานเรียกว่า Infrastructure ให้กับผู้ให้บริการโทรคมนาคมรายใหญ่ในประเทศไทย ทั้ง TOT กสท. และ TT&T จุดเด่นของเราคือ เราเป็นผู้ที่มี Supplier ขนาดใหญ่ ได้แก่ Alcatel , Huawei ซึ่งเป็น Partners เรามีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีที่ให้บริการลูกค้า เป็นที่ได้รับวางใจจากลูกค้าเสมอมา และยังอยู่ในบริษัทโทรคมนาคมมากว่า 10 ปีแล้วก็เป็นจุดเด่นของเรา
ปฏิพร ปัจจุบันงานที่เป็น Core Business เป็นทั้งงานวางระบบเทคโนโลยีใช่ไหมคะ ลูกค้าจะเป็น TOT, TT&T และ Cat เป็นส่วนใหญ่ กี่เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมดคะ
สุพจน์ จริง ๆ ในส่วนที่เป็นธุรกิจ System Integrator ลูกค้ารายใหญ่ก็น่าจะประมาณ 50% 3 รายรวมกัน
ปฏิพร -ความน่าสนใจของธุรกิจ การที่เราเป็นผู้วางระบบ หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า Margin หรือโอกาสในการทำกำไรขั้นต้นมันสูงไหม เมื่อสักครู่มีบางบทวิเคราะห์พูดถึงว่าบางงาน Gross Profit Margin ของเราลดลงไปด้วยเช่นกัน
สุพจน์ แบ่งเป็น 2 ประเด็น ในโครงการที่เป็นการประมูลครั้งแรก โครงการขนาดใหญ่ เราก็อาจจะมี Profit Margin ที่ไม่สูงมาก ต่ำกว่า 20% อันนี้เป็นเรื่องปกติ แต่เมื่อเราวางระบบขนาดใหญ่ให้ลูกค้า ในอนาคตลูกค้าจะมีการขยายโครงข่ายซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของลูกค้าด้านโทรคมนาคม เขาจะเลือกขยายโครงข่ายเดิม แทนที่จะมีหลากหลายโครงข่ายผสมกัน ซึ่งตรงนี้จะทำให้เราได้ Profit Margin ในงานขยายในอัตราที่สูงขึ้น ประกอบกับตัวอุปกรณ์เราก็มีราคาที่ลดลงตามราคาที่ผ่านไป ตรงนี้จะทำให้เกิด Gap
ในเรื่องของ Profit Margin ที่ดีขึ้น แต่ในครั้งแรก ในการที่เราจะเข้าไปให้บริการหรือวางระบบให้กับลูกค้าในครั้งแรก จะมี Gross Profit Margin ที่ไม่สูงมาก เช่น TTT Broadband ซึ่งเราเป็นคนวางระบบให้เขา 3แสนเลขหมายของ ADSL ซึ่งครั้งแรกอาจจะมี Gross Margin ที่ไม่สูงมาก แต่ว่าเมื่อลูกค้าขยาย ตรงนี้จะเป็นประโยชน์ทั้งคู่ ในแง่ของผู้วางระบบก็มี Margin ที่ดีขึ้น ขณะที่การลงทุนเบื้องต้นลูกค้าจะได้ไม่ต้องในลงทุนที่สูงมาก
ปฏิพร ปัจจุบันเรามีงานในมืออยู่เท่าไร
สุพจน์ ปัจจุบันถ้ามองสิ้นไตรมาส 3/49 ในแง่ของทางกลุ่ม JTS ประมาณ 2 พันล้านบาท
ปฏิพร และที่อยู่ระหว่างรอการประมูลละคะ
สุพจน์ อยู่ที่เราเข้าร่วมหรือมีการซื้อซอง และก็กำลังจะร่วมหรืออยู่ระหว่างการพิจารณามูลค่าเกือบ 3 พันล้านบาท
ปฏิพร ก็คงจะเริ่มทยอยประมูลกันไปเรื่อย ๆ
สุพจน์ ครับ ช่วงนี้ทางภาครัฐก็มีการเร่งรัดการใช้งบประมาณ กสท. เอา งบประมาณที่เขายังคงค้างการกำลังจะออกรวมมาประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเขาพยายามออกให้เร็วที่สุด อาจมีการชะงักนิดหนึ่งในช่วงการเปลี่ยนรัฐบาล ซึ่งในกรณีนี้อาจมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการ ก็อาจมีการ Delay นิดหน่อย แต่คิดว่าคงไม่ล่าช้ามาก เพราะคงเป็นนโยบายของทางภาครัฐที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้เงินของภาครัฐวิสาหกิจ
ปฏิพร แปลว่าอย่างไรก็ตาม งบประมาณในไตรมาส 4/49 อย่างไรก็ต้องใช้ แต่อาจจะมีล่าช้าไปบ้าง
สุพจน์ ก็ช่วงรอยต่อช่วงนี้ละครับ ที่มีการติดขัดนิดหน่อย เพราะจริง ๆ การสื่อสารเองก็ทยอยปล่อยโครงการมาเกือบ 2 พันล้านบาทในระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่อาทิตย์และตอนนี้ก็มีการหยุดพิจารณาปรับเปลี่ยนเงื่อนไขนิดหน่อย แต่คิดว่าคงไม่นานก็จะเริ่มทยอยส่วนที่เหลือออกมา เพราะว่าล่าช้ากันเกือบ 2-3 ปีแล้ว ในหลายเรื่อง ทั้งระเบียบการจัดซื้อ ที่มีการปรับเปลี่ยนในช่วงต้นปี ก็คิดว่าในส่วนของ TOT ก็มีลักษณะคล้ายกัน งบปีหนึ่งก็มีประมาณเป็นหมื่นล้านบาท ในส่วนนี้เราก็เข้าร่วมในหลายโครงข่ายซึ่งกำลังออกมาเป็นเงินหลายพันล้านบาทอยู่ แต่ว่าความชัดเจนทาง กสท. จะชัดเจนกว่าทาง TOT ในขณะนี้
ปฏิพร การที่เรามีลูกค้ารายใหญ่ บางทีเราก็มองว่าเม็ดเงินหรือการประมูลงานครั้งหนึ่งจะได้เม็ดเงินเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็มีบางโบรกเกอร์ที่ประเมินว่าบางทีก็เป็นความเสี่ยงเหมือนกันกับการที่เราไปผูกยึดกับลูกค้ารายใหญ่ ในมุมมองของคุณสุพจน์คิดอย่างไรกับประเด็นนี้
สุพจน์ ต้องแยกทาง Operator ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งคือส่วนทีเป็นทางด้านของ Mobile Operator อีกส่วนหนึ่งคือทางด้าน Fixed Line ลูกค้าส่วนใหญ่ของเราในปัจจุบันจะเป็น Fixed Line Operator ซึ่งก็คือโทรศัพท์พื้นฐานในเมืองไทยมี 4 เจ้า ช่วงที่เราไม่ได้เข้าไป Supply ระบบให้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติเพราะ ปกติแล้ว Supply เจ้าใดเจ้าหนึ่งจะสามารถวางระบบให้กับทุก Operator ก็เป็นเรื่องยาก เพราะมีการแข่งขันกัน ซึ่งตรงนี้ 3 ใน 4 ก็คือ กสท. TOT และ TT&T เรามีโอกาสเข้าไปวางระบบ
ซึ่งลูกค้าในตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่าอุตสาหกรรมโทรคมนาคมคงจะมีลูกค้ามากรายคงจะเป็นไปได้ยาก เพราะต้องมีการจัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม จะได้ไม่มีการลงทุนซ้ำซ้อนกันเกินไป ตัวโครงข่ายพื้นฐานนี้คิดว่า 4 เจ้านี้ก็เยอะแล้ว ซึ่งเราได้ 3 ใน 4 เจ้านี้เราถือว่ามีความ Secure ในระดับหนึ่ง ในขณะเดียวกันสถานะทางการเงินของ 2-3 หน่วยงานนี้ก็ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง คิดว่าในระยะยะปานกลาง อีก 5 ปีข้างหน้า เรายังไม่มีความกังวลในเรื่องการพึ่งพาลูกค้ารายใดรายหนึ่งมากเกินไป
ปฏิพร และเรื่องการพึ่งพา Supplier อย่าง Huawei หรือว่า Alcatel ถือว่าพันธมิตรที่แน่นแฟ้นและโบรกเกอร์ก็บอกเหมือนกันว่าจะผูกพันกันมากเกินไปไหม เรื่องนี้มองอย่างไรคะ
สุพจน์ คล้าย ๆ กัน คือปัจจุบันทางด้านของ Supplier ก็มีการ Consolidate เพราะ Operator ต้องการ Deal กับ Supplier เจ้าใดเจ้าหนึ่ง และเขาสามารถให้ Solutions ที่ครอบคลุมได้ทั้งหมดหลายอย่าง ซึ่งตรงนี้มันเกินกำลังของ Supplier รายใดรายหนึ่งที่จะพัฒนาขึ้นมาได้ ก็มีการรวมกิจการของ Supplier หลายเจ้า ยกตัวอย่าง Acatel ก็ควบรวมกับทางลูเซ้นส์ ซีเมนส์ควบรวมกับโนเกีย ซึ่งรวมกันแล้วในระดับโลกจะมีผู้เล่นรายใหญ่ ๆ ที่สามารถให้บริการได้ครอบคลุมทุกระบบที่ต้องการได้ไม่มากนัก
เรื่องการที่เราสามารถสามารถร่วมกับ Supplier รายใหญ่ได้ 2-3 เจ้านี้ จะเห็นว่าค่อนข้างจะมากพอสมควร ผมกลับไม่มองว่ามีคู่ค้าหรือส่วนของ Supplier น้อยจนเกินไป ขณะเดียวกัน การที่เรา Partners ทั้ง Huawei หรือทางด้านของ Alcatel เจ้านี้ก็มีความสามารถในการ Supply Solution ได้หลากหลาย เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ได้พึ่งพารายใดรายหนึ่ง ก็ขึ้นอยู่กับจุดแข็งของเขา และขึ้นอยู่กับลุกค้าว่ามีความต้องการอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่ที่ผ่านมาก็เป็นไปได้ด้วยดี
ปฏิพร แนวทางที่ดำเนินมาก็เห็นแล้วว่าเป็นประโยชน์ เราคงสานต่อนโยบายตรงนี้ออกไปทั้งในส่วนของลูกค้าและส่วนของ Supplier ด้วยเช่นกัน
สุพจน์ ขอเรียนเพิ่มนิดหนึ่ง ในส่วนของลูกค้าเองเราก็พยายามขยายออกไปในกลุ่มที่ไม่ใช่ทางด้านของ Fixed Line Operator ไปในส่วนที่เป็น Utility Company เช่นการไฟฟ้า ต่าง ๆ ก็มีการขยายโครงการออกไป เพียงแต่ว่าทางหน่วยงานเหล่านี้อาจติดปัญหาในเรื่องของกฎระเบียบหรือกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งปัจจุบันก็ได้มีความชัดเจนมากขึ้น คือสามารถขยับต่อหรือเดินหน้าต่อได้ ตรงนี้ก็จะเป็นตลาดหนึ่งที่เปิดให้กับ System Integrator ที่เข้าไป และเราเองก็สนใจและพร้อมที่จะเข้าไปร่วมในตลาดเหล่านี้ด้วย
ปฏิพร โดยการอาศัยที่เราอยู่ธุรกิจนี้มาอย่างยาวนาน ปัจจุบันนี้เรากำลังทำโครงการอะไรอยู่บ้างที่มีนัยสำคัยต่อภาพรวมของธุรกิจ
สุพจน์ ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เราได้งานจาก TTT Broadband มูลค่างานประมาณ 1.6 พันล้านบาท ซึ่งงานตัวนี้ค่อนข้างดำเนินการได้เร็ว ปัจจุบันนี้เราดำเนินการไปได้เกินกว่าครึ่งแล้ว และทาง TTT Broadband ก็มีลูกค้าเข้ามาค่อนข้างรวดเร็ว เดือนหนึ่งประมาณ 3 หมื่นราย ปัจจุบันนี้น่าจะมี Subscriber ไม่ต่ำกว่า 1.8 แสนคนแล้ว ซึ่งเกินกว่าที่เราคาดหวังไว้ ตรงนี้เองคิดว่า อาจทำให้ TTT Broadband มีการขยายอีกในปีหน้า ขยายตัวโครงข่ายเพิ่มขึ้นไปอีก
ปฏิพร และโครงการในอนาคตนอกเหนือจาก TTT Broadband นี้
สุพจน์ ตัว TTT Broadband เอง จะมีเรื่องการขยายโครงข่ายที่เรียนให้ทราบ นอกจากนี้เอง จะมีตัว Application on Top เป็นตัว Hi-speed Internet หรือ IPTV ซึ่งเป็น Solution ที่สามารถส่งข้อมูล เสียงและภาพบนโครงข่ายเดียวกัน ลูกค้าสามารถเลือกดู Content ได้ในสิ่งที่เขาต้องการในเวลาที่เขาต้องการ สามารถเก็บข้อมูลต่าง ๆ ไว้ได้ใน Network สามารถ Upload ข้อมูลตัวเองมี Web Blog อยู่ใน TV ซึ่งก็เป็น Application บน Video ที่น่าสนใจ ซึ่งการที่มี Broadband Network ก็สามารถทำให้เขาได้บริการในสิ่งที่เดิมไม่สามารถให้ได้ ตรงนี้ในต่างประเทศก็เป็นเทรนด์ที่มาค่อนข้างแรง ก็คิดว่าจะเป็นตัวหนึ่งซึ่งน่าจะสร้างรายได้ให้เราและทางลูกค้าคือ TTT Broadband ในอนาคตระยะกลางและระยะยาว
ในส่วนของกสท. มีการขยายโครงข่ายตัวทางด้านของ Fiber Optic และตัวระบบสื่อสัญญาณ ปัจจุบันก็มีเม็ดเงินประมาณ 2-3 พันล้านบาทที่อยู่ระหว่างการประมูล เริ่มออกมาแล้ว และนอกจากนี้เอง ก็ยังมีการขยายตัวทางด้ายโครงข่ายทางด้านข้อมูล อีกประมาณ 3 พันล้านบาท ส่วนอื่นอีก 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นตัวโครงข่ายประมาณ 8 พันล้านบาทและมีทางด้านของ IT ซึ่งเราก็สนใจ Global System รวม ๆ ก็เกิน 1 หมื่นล้านบาทที่เขาต้องพยายามผลักดันให้เกิดในไตรมาส 4/49+หรือไตรมาส 1/50
ในส่วนของ CAT เองก็คล้าย ๆ กัน จะมีโครงการขนาดใหญ่อยู่ 2-3 โครงการ เป็นการขยายตัว Network ของ Broadband ซึ่งเดิมมีการขยายไปแล้ว 2 แสนพอร์ต Huawei เป็นผู้ชนะงานไป จะมีการขยายเพิ่มเติมอีก 1.6 แสนพอร์ต นอกจากนี้ก็มีงานที่แบ่งเป็นย่อย ๆ ขยายตามโครงข่ายทางนครหลวง อันนี้มีมูลค่าโครงงานอีก 1 พันว่าล้านบาท ปัจจุบันก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว
ปฏิพร ก็แปลว่าธุรกิจบรอดแบนด์ก็เติบโตต่อเนื่อง
สุพจน์ อย่าง Fix Line ธุรกิจ Broadband เป็นตัวหนึ่งที่ผลักดันให้เกิดการลงทุนจำนวนมากในช่วงระยะเวลาอันสั้น ทั้งในส่วนที่เป็นโครงข่ายถึงลูกค้า และโครงข่ายหลักที่เป็น Fiber Optic รวมถึงโครงข่ายข้อมูล ปัจจุบันนี้ยังเป็นการสร้างโครงข่ายพื้นฐานอยู่ เพราะงานปัจจุบันจากการประมาณการณ์ของผู้เชี่ยวชาญในหลายค่าย ๆ เราควรจะมีตัว Broadband น่าจะประมาณ 2-3 ล้านเลขหมาย ขณะที่ปัจจุบันยังไม่ถึง 1 ล้านเลขหมาย เรายังมีโอกาสเติบโตได้อีก รายได้จากฐานลูกค้า 1-2 ล้านราย ก็ใหญ่พอที่เราจะสร้าง Application บนนั้น ซึ่งตรงนั้นจะมีมูลค่ามหาศาล และการลงทุนเยอะกว่านี้อีกหลายเท่าตัว
ปฏิพร เขามีเป้าไหมคะที่จะให้ได้ 2-3 ล้านเลขหมายนี้ภายในกี่ปี
สุพจน์ ประมาณ 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปีนี้
ปฏิพร ซึ่งก็เป็นการต่อยอดให้กับธุรกิจเราต่อไปได้
สุพจน์ ในส่วนที่เป็น Fixed Line Operator จะเป็นแหล่งรายได้ตัวหนึ่ง
ปฏิพร ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ IT ระบบต่าง ๆ โลก IT ในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก หรือแม้แต่ระบบต่าง ๆ ที่เราวางเอาไว้ เรามีการวางแผนในการพัฒนาเรื่องการวิจัย หรือเรื่องการเปลี่ยนแปลงให้รับมือกับเทคโนโลยีทีเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอย่างไร
สุพจน์ ในส่วนที่เป็นทางด้านของโทรคมนาคมซึ่งตรงนี้คงต้องใช้เงินลงทุนใน R&D วิจัยพื้นฐานค่อนข้างมาก แต่เราคงไม่ได้มีนโยบายที่จะพัฒนาองค์ความรู้พื้นฐานขึ้นมา จะเป็น Technology Transfer จากทางด้านของ Supplier ที่เป็น Partners กับเรา อันนี้เป็นหลัก
ขณะที่จะ Apply Technology ให้เหมาะสมกับความต้องการลูกค้า ในส่วนของ IT เรามีความรู้ในการพัฒนา Customization ให้เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า ให้ตรงกับกฎหมายของเมืองไทย ซึ่งวันนี้ในส่วน IT เรามีทีม Software ค่อนข้างเยอะ เรามีการจ้าง Expert จากเมืองนอกมาช่วยกันพัฒนาหลายอย่าง ทำให้เรามีขีดความสามารถที่จะ Support ระบบขนาดใหญ่ให้กับลูกค้าได้ ซึ่งรวมถึงระบบที่ทำระบบ IT ให้กับ Operator ที่มีความซักซ้อน มีฐานลูกค้าเป็นล้านราย เราก็มีขีดความสามารถที่จะทำได้
ปฏิพร เป็นหลายเรื่องที่วางเอาไว้สำหรับในอนาคต
สุพจน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการผสมรวมระหว่างเทคโนโลยีโทรคมนาคมกับ IT ซึ่งตรงนี้เกี่ยวกับ Middleware เป็นตัวเชื่อมต่อระหว่างโทรคมนาคมเข้ามาหาตัว Content ซึ่งตรงนี้จำเป็นต้องใช้องค์ความรู้หลายเรื่อง ทั้งทางด้านโทคมนาคม และด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตรงนี้เองเราก็เป็นจุดที่เราจะเสนอตัวเข้าไปให้บริการในอนาคต
ปฏิพร Middleware นี้จะไปอยู่ตรงส่วนไหน
สุพจน์ ยกตัวอย่างใน IPTV พวก Content ก็คือทางด้านผลิตโปรแกรม ส่วนลูกค้าก็คือทางด้าน Hi-speed Internet เราก็สร้าง Platform ที่จะนำ Content ตัวนี้ไปถึงผู้ใช้ในทุกเวลาที่ต้องการ เฉพาะ Content ที่เขาต้องการ ซึ่งตรงนี้เป็นส่วนที่ต้องเชื่อม 2 โลก คือส่วน Information Technology และ Telecom เข้าด้วยกัน
ปฏิพร เป็นเรื่องของเทคโนโลยีในอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
สุพจน์ เรากำลังทำ Trial ในส่วนภูมิภาค น่าจะภายในสิ้นปีนี้หรือต้นปีหน้าก็ลองติดตามดู
ปฏิพร ซึ่งปีหน้านี้ก็จะได้เห็น และวางโครงการสำหรับอนาคตอย่างไรบ้าง ปัจจุบันเราก็มีจุดแข็งอยู่แล้วในการเป็นผู้นำในธุรกิจนี้มานาน โครงการในอนาคตที่มองภาพเอาไว้มีโอกาสไหมที่จะรุกไปในธุรกิจอื่น ๆ เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน
สุพจน์ ในส่วนนี้เรายังมองว่าตลาด ICT ขยายปีละ 20% อีก 3 ปีข้างหน้า 7 แสนล้านบาท ซึ่งมาเทียบกับตัวรายได้ของเรายังมีโอกาสที่ยังโตได้อีกเยอะในตัวของ ICT เพียงแต่ว่าเราต้องพยายาม Focus หาจุดตำแหน่งใน Value Chain ที่เราสามารถขยายได้ เราคงยังไม่ออกไปนอกอุตสาหกรรมนี้ทันที เพราะอุตสาหกรรมนี้ยังมีโอกาสให้เราโตได้อีกมาก เราก็มีการมองว่านอกเหนือจากธุรกิจทางด้าน System Integrator เราก็กำลังมองธุรกิจอื่น ๆ ที่สร้างรายได้ที่ต่อเนื่องและมีกำไรขั้นต้นมากกว่า Project Sale ซึ่งตรงนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณา คิดว่าภายในสิ้นปีนี้เราน่าจะมีความชัดเจนและสามารถนำเสนอทางผู้เกี่ยวข้องได้รับทราบ
ปฏิพร น่าจะเป็น Project แบบไหน
สุพจน์ คงเป็นเรื่องคล้าย ๆ กับ IPTV นะครับ แต่ว่าเป็น Scale ที่ค่อนข้างกว้างกว่า และสามารถครอบคลุมได้หลาย Platform หลายโครงข่ายได้มากกว่า
ปฏิพร ก็เป็นเรื่องของธุรกิจในอนาคต ฟังดูธุรกิจก็ราบรื่นเรามีเม็ดงานในมือหรือมีโอกาสที่จะขยายงานต่อไปในอนาคต ถามถึงปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจบ้างว่าสำหรับมุมมองของผู้ลงทุนที่จะต้องพิจารณา ปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจคืออะไร บางบริษัทมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมือง ของบริษัทเรามีความเสี่ยงเรื่องนั้นด้วยไหม
สุพจน์ มีบ้างแต่ไม่มาก เนื่องจากลูกค้าของเราประมาณครึ่งหนึ่งของ Project Sale ก็เป็นส่วนหนึ่งของทางภาครัฐ ซึ่งจะมีการชะงักบ้างนิดหน่อยในช่วงรอยต่อสั้น ๆ ประมาณ 1-2 เดือน ในการสร้างความชัดเจน ความโปร่งใสให้เกิดขึ้น แต่คิดว่าในระยะกลาง 1-2 ปี ยังไม่เห็นความเสี่ยงในเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง เพราะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจเอง ก็มีอิสระพอสมควรในการพิจารณาแผนธุรกิจและการลงทุนในแต่ละบริษัทเอง และฐานะทางกาเงินของแต่ละหน่วยงานก็เข้มแข็งมากในขณะนี้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงในเรื่องการแข่งขัน ปัจจุบันนี้ก็ไม่สูงมาก เนื่องจากว่าจำนวนผู้เล่นก็เหลือน้อยลง
ในส่วนของ Supplier ก็ได้มีการควบรวมกันมากขึ้น และก็ปัจจุบันการลงทุนในปีนี้ ในส่วนที่เป็น Fix Network ก็มีเม็ดเงินที่สูงขึ้นพอสมควรเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา ทำให้การแข่งขันด้านการตัดราคาก็มีความรุนแรงน้อยลง แต่ตัวนี้ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงตัวหนึ่ง ในเรื่องการตัดราคากัน ภายในระหว่างผู้เข้าประมูลด้วยกัน
ปฏิพร นโยบายการประมูลของเราเป็นอย่างไรคะ
สุพจน์ เราก็พยายามเน้นในตัวโครงข่ายพื้นฐานขนาดใหญ่ ซึ่งมีโอกาสขยายตัวในอนาคตได้ และพยายามเป็นพันธมิตรกับลูกค้าที่เป็น Operator การที่เราสามารถเสนอ Solution ให้เขาได้ครบวงจร เขาก็สามารถเติบโตและเราก็เติบโตไปพร้อมกับเขา นี่เป็นสิ่งที่เราต้องการวางให้เกิดขึ้นในระยะยาว จะมีผู้เล่นค่อย ๆ น้อยลงเรื่อย ๆ
ปฏิพร ถ้าดูใน Consensus อีกประเด็นหนึ่งที่นักลงทุนน่าจะสนใจนอกเหนือจากคำแนะนำของแต่ละโบรกเกอร์แล้ว คืออัตราการจ่ายเงินปันผล ซึ่งประมาณการณ์เอาไว้ถึงกว่า 6.85% นโยบายการจ่ายเงินปันผลของ JTS วางเอาไว้อย่างไร
สุพจน์ ที่เรายื่นต่อกลต. เราจะมีนโยบายไม่น้อยกว่า 40% โดยเฉพาะในปีนี้อาจจะพิเศษนิดหน่อยคือ มีกลางปี ขณะเดียวกันปลายปีก็จะยื่นต่อบอร์ดและผู้ถือหุ้นในการจ่ายเงินปันผล ด้วย แต่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ถือหุ้น ในครึ่งปีแรกเราจ่ายได้สูงกว่าที่เราประกาศไว้ในหนังสือชี้ชวน ประมาณ 60%
ปฏิพร เราให้พิเศษเพราะว่าอะไร
สุพจน์ จริง ๆ เรามีนโยบายจะจ่ายก่อนหน้านี้แล้ว บังเอิญว่าเรามีการเลื่อนเข้าตลาด เราจึงมี Cash ที่เหลือที่ควรจะคืนให้กับผู้ถือหุ้น เราก็เลยมีการจ่ายในอัตราที่สูงกว่า
ปฏิพร ส่วนหลังจากนี้ไปก็ไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ นอกเหนือจากนี้ก็ยังมีประเด็นที่หลายคนสนใจกันอยู่ เพราะถ้าดูประมาณการณ์ของปีหน้าบางเจ้า บอกว่าปีหน้ามีลดลงไปในแง่ของ Net Profitเรียนถามว่าปัจจัยอะไรที่นักวิเคราะห์ Concern กับเรื่องทิศทางของปีหน้า
สุพจน์ คิดว่าทางนักวิเคราะห์อาจจะกังวลใน TTT Broadband ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่มี Gross Margin ต่ำกว่าโดยเฉลี่ยของบริษัท แต่ขณะเดียวกันที่เรียนให้ทราบคือ งานขยายซึ่งจะเกิดต่อเนื่อง และราคาอุปกรณ์ซึ่งก็ลดลงอยู่แล้ว ก็จะสามารถที่จะทำให้เรามีอัตรากำไรที่ดีขึ้น กว่าปีนี้ ในส่วนโครงการขนาดใหญ่ในปีหน้า ในส่วน TTT Broadband นี้คงจะเป็นการขยาย ยกเว้นอาจจะมีเรื่อง IPTV ซึ่งขึ้นอยู่กับผลตอบรับของทางด้านผู้ใช้บริการเป็นหลัก ในส่วนทาง TOT และทาง กสท. นี้ เชื่อว่าน่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเพราะขนาดของโครงการที่ออกมาเยอะ พร้อมกันทีเดียวทำให้การแข่งขันด้านการตัดราคาไม่สูงมาก
ปฏิพร เกี่ยวกับกองทุน Knight Thai Technology Fund ซึ่งก็ไม่ได้ติด Silence Period แต่อยู่ใน Custodian จนถึง 17 ธันวาคม อันนี้จะเป็นปัจจัยที่จะเข้ามา จะมีการเสี่ยงไหม มีการพูดคุยกันไหมคะว่า เขาจะมีการทยอยขายหุ้นเราออกมาไหม
สุพจน์ ทาง Knight Thai Technology Fund เอง ก็เป็นห่วงเหมือนกันก่อนเข้า IPO เนื่องจากผู้ค้ารายย่อยมีความกังวลว่าทางนี้ทาง Knight Thai Technology Fund จะมีการปล่อยหุ้นหลังจากเข้าตลาด แต่ก็มีให้ Commitment แก่ทางกลต.ว่าจะไม่ปล่อย 3 เดือน ขณะเดียวกัน การที่เขาจะปล่อยหุ้นมาขาย เชื่อว่าเขาจะดูราคา ไม่ให้กระทบกับราคาของตลาดซึ่งถ้าการปล่อยและกระทบราคาตลาดแล้ว คิดว่าเขาคงไม่ทำ เพราะมีการคุยกันมาพอสมควร ส่วนที่เหลือ ก็ยังมีการติด Silent Period นอกจากส่วนนี้
ปฏิพร คิดว่าจะพยายามไม่ทำให้เกิดราคาผันผวนในท้องตลาดด้วยเช่นกัน
สุพจน์ ครับ อันนี้สำคัญมากครับ
Posted on Tuesday, October 31, 2006 (Archive on Thursday, November 30, 2006)
Posted by suchitra Contributed by wasittee
http://www.moneychannel.co.th/Menu6/Cli ... fault.aspx