อีกหนึ่งเหตุผลที่หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลจะเติบโต
โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 11, 2006 11:12 pm
ว่าที่จริงตอนนี้ผมว่าหุ้นกลุ่มนี้ก็โตมาเยอะ จนน่าจะเป็น Overvalued แล้ว แต่ว่าในอนาคตเหตุผลหนึ่งที่มันจะยังคงไปได้ไกลก็คือ
ในความเป็น Medical hub ที่จะมีคนต่างชาติเข้ามาใช้บริการ อันนี้เป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
แต่อีกหนึ่งเหตุผล ที่คิดไว้ก็คือ การฟ้องร้องหมอมากขึ้น ก็กลับจะทำให้กลุ่มแพทย์ใช้วิธีป้องกันตัว โดยบางคนก็ไปทำประกันในวิชาชีพ แต่วิธีหนึ่งที่แพทย์ทำ (ซึ่งถ้าเป็นผมก็คงต้องทำด้วยเช่นกัน) ก็คือ ในการสื่อสารกับคนไข้ คนไข้จะได้รับข้อมูลที่ Exagerate มากขึ้น ซึ่งมิได้เป็นความผิดของแพทย์ แต่เป็นความจำเป็นที่แพทย์จะต้องใช้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด นั่นก็คือ จะสื่อสารในเรื่องของ Complication ล่วงหน้าให้คนไข้ได้รับรู้ไว้ก่อนเสมอ ทั้งที่คนที่มีความรู้ในวิชาชีพแพทย์เองก็รู้อยู่แล้วว่าโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนนั้นอาจจะมีแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ แต่ก็ต้องบอกคนไข้ไว้เสมอ เช่นว่า "ตกลงว่าคุณเป็นลำไส้อักเสบนะ แต่ว่าตอนนี้คุณมีไข้สูงมาก แสดงว่ามันอาจจะมีการติดเชื้อเข้าไปในกระแสเลือด หมออยากให้คุณนอนโรงพยาบาล"
ซึ่งบางทีการรักษาท้องเสียเราอาจจะแค่กินยาก็หายได้ แต่ในอนาคต การเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆ พร้อมจะถูกมองว่าเป็นเรื่องรุนแรงได้หมด เพราะถ้าหมอไม่บอกว่ามันรุนแรง แต่พอมันเกิดผลแทรกซ้อนขึ้นมา แพทย์ก็โดนฟ้องอีกอยู่ดี
ในอนาคต คนไทยก็จะเป็นเหมือนอเมริกา นั่นก็คือ คนไม่ได้รู้เรื่องทางการแพทย์อย่างที่ควรจะเป็นเท่าไหร่เลย มีอะไรก็จะต้องกลัวไว้ก่อนเสมอ มีข่าวเรื่องไข้หวัดนกระบาด ก็ไปขวนขวายหายาวัคซีน หรือ ซื้อยาTamiflu มารอไว้ก่อนทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด หรือเอาง่ายๆ ลองดูนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เข้ามาในเมืองไทยดูสิ เกือบครึ่งที่จะต้องหายาป้องกันมาลาเรียมากิน ทั้งๆที่คนไทยไม่เคยมีใครต้องกินยาป้องกันดังกล่าวเลย ในทางการแพทย์เค้าก็รู้กันอยู่แล้วว่า เอาไว้เมือ่เป็นไข้หลังออกจากป่ามาค่อยสงสัย ค่อยเจาะเลือด ค่อยทำการรักษาดีกว่า
ก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร แต่ถือได้ว่าเป็น อีกหนึ่งกระแส หรือไม่ที่จะมีผลต่อระบบการแพทย์ของเมืองไทยเรา
(หมายเหตุ ผมมิได้มีหุ้นในกลุ่มนี้เพื่อปั่นหุ้นแต่อย่างใด แต่ก็มองๆไว้แหละ )
ในความเป็น Medical hub ที่จะมีคนต่างชาติเข้ามาใช้บริการ อันนี้เป็นที่รู้ๆกันอยู่แล้ว
แต่อีกหนึ่งเหตุผล ที่คิดไว้ก็คือ การฟ้องร้องหมอมากขึ้น ก็กลับจะทำให้กลุ่มแพทย์ใช้วิธีป้องกันตัว โดยบางคนก็ไปทำประกันในวิชาชีพ แต่วิธีหนึ่งที่แพทย์ทำ (ซึ่งถ้าเป็นผมก็คงต้องทำด้วยเช่นกัน) ก็คือ ในการสื่อสารกับคนไข้ คนไข้จะได้รับข้อมูลที่ Exagerate มากขึ้น ซึ่งมิได้เป็นความผิดของแพทย์ แต่เป็นความจำเป็นที่แพทย์จะต้องใช้เพื่อป้องกันมิให้เกิดความผิดพลาด นั่นก็คือ จะสื่อสารในเรื่องของ Complication ล่วงหน้าให้คนไข้ได้รับรู้ไว้ก่อนเสมอ ทั้งที่คนที่มีความรู้ในวิชาชีพแพทย์เองก็รู้อยู่แล้วว่าโอกาสเกิดผลแทรกซ้อนนั้นอาจจะมีแค่หนึ่งเปอร์เซนต์ แต่ก็ต้องบอกคนไข้ไว้เสมอ เช่นว่า "ตกลงว่าคุณเป็นลำไส้อักเสบนะ แต่ว่าตอนนี้คุณมีไข้สูงมาก แสดงว่ามันอาจจะมีการติดเชื้อเข้าไปในกระแสเลือด หมออยากให้คุณนอนโรงพยาบาล"
ซึ่งบางทีการรักษาท้องเสียเราอาจจะแค่กินยาก็หายได้ แต่ในอนาคต การเจ็บปวดเล็กๆน้อยๆ พร้อมจะถูกมองว่าเป็นเรื่องรุนแรงได้หมด เพราะถ้าหมอไม่บอกว่ามันรุนแรง แต่พอมันเกิดผลแทรกซ้อนขึ้นมา แพทย์ก็โดนฟ้องอีกอยู่ดี
ในอนาคต คนไทยก็จะเป็นเหมือนอเมริกา นั่นก็คือ คนไม่ได้รู้เรื่องทางการแพทย์อย่างที่ควรจะเป็นเท่าไหร่เลย มีอะไรก็จะต้องกลัวไว้ก่อนเสมอ มีข่าวเรื่องไข้หวัดนกระบาด ก็ไปขวนขวายหายาวัคซีน หรือ ซื้อยาTamiflu มารอไว้ก่อนทั้งๆที่ไม่มีความจำเป็นแต่อย่างใด หรือเอาง่ายๆ ลองดูนักท่องเที่ยวอเมริกันที่เข้ามาในเมืองไทยดูสิ เกือบครึ่งที่จะต้องหายาป้องกันมาลาเรียมากิน ทั้งๆที่คนไทยไม่เคยมีใครต้องกินยาป้องกันดังกล่าวเลย ในทางการแพทย์เค้าก็รู้กันอยู่แล้วว่า เอาไว้เมือ่เป็นไข้หลังออกจากป่ามาค่อยสงสัย ค่อยเจาะเลือด ค่อยทำการรักษาดีกว่า
ก็ไม่รู้ว่าจะโทษใคร แต่ถือได้ว่าเป็น อีกหนึ่งกระแส หรือไม่ที่จะมีผลต่อระบบการแพทย์ของเมืองไทยเรา
(หมายเหตุ ผมมิได้มีหุ้นในกลุ่มนี้เพื่อปั่นหุ้นแต่อย่างใด แต่ก็มองๆไว้แหละ )