18 ธันวาคม 2549 16:55 น.
(Update) ธปท.ออกมาตรการเก็งกำไรค่าเงินบาท สั่งธนาคารพาณิชย์หักสำรอง 30% ของเงินทุนไหลเข้าระยะสั้น ที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี และมูลค่าเกิน 20,000 ดอลลาร์ต่อรายการ มีผลพรุ่งนี้ ค่าบาททรุดทันทีหลังประกาศมาตรการ
ดร.ธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แถลงมาตรการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาท เมื่อ 16.30 น.วันนี้ว่า สั่งให้ธนาคารพาณิชย์กันเงินไว้ 30%ของเงินทุนนำเข้าที่มีอายุต่ำกว่า 1ปี โดยหากต่างประเทศมีการนำเงินทุนเข้ามา ให้ธนาคารพาณิชย์ดึงเงินทุนดังกล่าว 30%สำรองไว้ทันที แต่หาก เม็ดเงินดังกล่าว มีอายุเกิน 1ปี ธนาคารพาณิชย์ จะคืนเงิน 30%ให้กับนักลงทุนต่างประเทศดังกล่าว โดยจะบังคับใช้สำรองเงินนำเข้าที่เกินกว่า 20,000 ดอลลาร์ต่อรายการ ไม่รวมกลุ่มผู้ส่งออก
"ทั้งนี้มาตรการดังกล่าว เพื่อลดการเก็งกำไรระยะสั้น และลดความผันผวนของตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเนื่องจากในช่วงเดือนธันวาคม มีเงินระยะสั้นสัปดาห์ละ 950 ล้านดอลลาร์ จากพฤศจิกายน ที่เฉลี่ยสัปดาห์ละ 300 ล้านดอลลาร์ "ดร.ธาริษา กล่าว
เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น ซึ่งเป็นการปรับตัวแข็งค่าขึ้นถึง 16% เมื่อเทียบกับช่วงต้นปีที่ผ่านมา และเป็นการปรับแข็งค่ามากสุดในรอบ 9 ปี จากเงินทุนต่างประเทศที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท เพราะมีการขายเงินดอลลาร์สหรัฐในตลาดเพื่อแลกเป็นเงินบาทจำนวนมาก ทำให้ ธปท.จำเป็นต้องประกาศมาตรการเพิ่มเติมในการดูแลค่าเงินบาทเพื่อลดการเก็งกำไรในช่วงเย็นวันนี้ (18 ธ.ค.)
โดยค่าเงินบาทเช้าวันนี้ เปิดตลาดที่ 35.11-35.16 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นจากอัตราปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ 35.24-35.26 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางการซื้อขายที่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง และเคลื่อนไหวแข็งสุดที่ระดับ 35.06 บาทต่อดอลลาร์ เมื่อเวลา 10.00 น.
อย่างไรก็ตามหลังมีข่าวว่า ธปท.จะแถลงมาตรการ ส่งผลให้ค่าเงินบาท อ่อนค่าลงก่อนที่จะปิดตลาดที่ 35.34 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับมาตรการของธปท. มีรายละเอียดดังนี้ :
ในช่วงที่ผ่านมา พบว่ายังคงมีเงินทุนนำเข้าระยะสั้นเพื่อเก็งกำไรในค่าเงินบาทในรูปแบบต่าง ๆ ทำให้ค่าเงินบาทยังคงผันผวนและแข็งค่าขึ้นเกินกว่าพื้นฐานเศรษฐกิจของประเทศ จึงเห็นควรมีมาตรการ เพิ่มเติมโดยกำหนดให้สถาบันการเงินที่รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศเป็นเงินบาท ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ของเงินตราต่างประเทศดังกล่าว ส่วนที่เหลือร้อยละ 70 ให้รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทให้แก่ลูกค้า ยกเว้นเงินตราต่างประเทศที่รับซื้อ หรือแลกเปลี่ยนเป็น เงินบาทที่ได้รับจากค่าสินค้า บริการ หรือเงินที่บุคคลหรือนิติบุคคลไทยได้รับคืนจากการลงทุนในต่างประเทศ ไม่ต้องกันเงินไว้ตามมาตรการนี้ โดยมีรายละเอียดและวิธีปฏิบัติดังนี้
1. ลูกค้าที่สถาบันการเงินกันเงินไว้จะขอคืนเงินได้ เมื่อครบกำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ถูกกันเงิน โดยลูกค้าต้องแสดงเอกสารหลักฐานให้ชัดเจนว่าเงินที่ตนนำเข้ามาลงทุนนั้นอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 1 ปี
2. เมื่อสถาบันการเงินพิสูจน์และรับรองแล้วว่าลูกค้ารายนั้นมีการนำเข้าเงินทุนและอยู่ในประเทศไม่น้อยกว่า 1 ปีแล้ว ให้แจ้ง ธปท. เพื่อดำเนินการส่งเงินให้สถาบันการเงินคืนแก่ลูกค้าต่อไป
3. ลูกค้ารายใดนำเงินลงทุนกลับคืนก่อนครบระยะเวลา 1 ปี จะได้รับเงินคืนเพียง 2 ใน 3 ของเงินที่กันไว้
4. ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่สถาบันการเงินต้องปฏิบัติตามสัญญาการรับซื้อหรือ แลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทที่ได้ตกลงก่อนวันที่ 19 ธันวาคม 2549 ให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องกันเงินตราต่างประเทศดังกล่าว
5. สำหรับธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เป็นการลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment) ที่เป็นส่วนของทุน หรือเงินโอน ให้ลูกค้าผู้ถูกกันเงินยื่นคำร้องผ่านสถาบันการเงินพร้อมเอกสารหลักฐาน เมื่อสถาบันการเงินพิสูจน์และรับรองความถูกต้อง และ ธปท. เห็นสมควร จะคืนเงินดังกล่าวแก่ลูกค้าโดยเร็ว
6. เมื่อสถาบันการเงินกันเงินดังกล่าวแล้ว ให้นำส่งแก่ ธปท. ทุกวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
7. ผลประโยชน์ที่ ธปท. ได้จากมาตรการนี้จะดูแลเพื่อใช้เป็นประโยชน์ของรัฐและสาธารณชนต่อไป
มาตรการที่กำหนดให้ต้องดำรงเงินสำรองเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศ ที่ออกเพิ่มเติมในวันนี้ เคยใช้มาแล้วในหลายประเทศในภาวะที่จำเป็น เพื่อควบคุมการนำเข้าเงินทุนระยะสั้น และ ธปท. เห็นว่า เป็นมาตรการที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ธปท. จะได้ติดตาม และประเมินผลของมาตรการอย่างใกล้ชิดต่อไป
จากกรุงเทพธุรกิจ
http://www.bangkokbiznews.com/viewNews. ... sid=140709