ถ้าเครียดกลัวหุ้นจะตกลองอ่านอันนี้ดูครับ ดีมากเลย
โพสต์แล้ว: พุธ ก.พ. 28, 2007 1:16 pm
แล้วมันก็ผ่านไป
Value Way
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ในบทที่ 20 ของหนังสือนักลงทุนผู้ชาญฉลาด (The Intelligent Investor) เบนจามิน เกรแฮมได้เขียนสรุปประโยคหนึ่งไว้ว่า "ในตำนานเก่าแก่ ชายผู้เฉลียวฉลาดได้กลั่นประวัติศาสตร์เรื่องราวทางโลกออกมาเป็นวลีเพียงวลีเดียวคือ "แล้วมันก็ผ่านไป" (This too will pass)" ถ้าพิจารณาดูดีๆจะพบว่าวลีดังกล่าวนอกเหนือจากใช้ได้จริงกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติแล้วยังเหมาะสมกับ"ตลาดหุ้น"เป็นอย่างมาก ไม่ว่าตลาดหุ้นใดๆในโลก
ถ้ายังจำกันได้ในเดือนกันยายน 2001 ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินโดยสารชนตึกเวิร์ดเทรดเซนเตอร์ในนิวยอร์คถล่ม ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ตลาดหุ้นตกใจ นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันทั่วโลก ราคาหุ้นลดลงเป็นอย่างมาก ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ดัชนีหุ้นไทยร่วงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก จวบจนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ดัชนีหุ้นกลับมายืนเหนือจุดเดิมได้อีกครั้ง เรื่องราวของตึกเวิร์ดเทรดเซนเตอร์ก็"ผ่านไป"
2002 เกิดสงครามระหว่างอิรักและอเมริกา โดยอเมริกาส่งเครื่องบินและทหารเข้าไปในอิรักเพื่อทำการปลดซัดดัม ฮุสเซนออกจากอำนาจ สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ทหารอมริกาจะมีชัยชนะเหนืออิรัก ในช่วงแรกตลาดหุ้นตอบรับกับข่าวสงครามในทางลบ ดัชนีหุ้นลดลงเป็นเวลานาน เนื่องจากนักลงทุนต่างเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง แต่เมื่อวันที่อเมริกาส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อิรักจริงๆ ตลาดหุ้นกลับปรับต้วเพิ่มขึ้น นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง สันนิษฐานว่าตลาดหุ้นนั้นไม่ชอบความอึมครึม เมื่อมีการตัดสินใจบุกอิรักทำให้มีความชัดเจนเกิดขึ้น รวมทั้งนักวิเคาระห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าสงครามครั้งนี้อเมริกาจะเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ แล้วสงครามอิรักอเมริกาก็"ผ่านไป"อีกครั้งหนึ่ง
ในปี 2003 เกิดวิกฤตการณ์โรคซาร์ในประเทศจีน นักลงทุนในตลาดหุ้นจีนต่างขายหุ้นออกมาจำนวนมาก ดัชนีหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าโรคซาร์จะแพร่กระจายขยายวงกว้างออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่มียารักษาให้หายขาด ในช่วงนั้นเองวอร์เรน บัฟเฟตกลับเข้าซื้อหุ้นปิโตรไชน่าอย่างเงียบๆเป็นจำนวนเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท หลังจากนั้นเพียงไม่นาน นักลงทุนต่างลืมเรื่องของโรคซาร์ ดัชนีหุ้นจีนกลับปรับตัวเพิ่มขึ้น หุ้นปิโตรไชน่าที่วอร์เรน บัฟเฟตซื้อไว้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว วิกฤตการณ์โรคซาร์จึง"ผ่านไป"เช่นเดียวกันเหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้น
2006 ประเทศไทยเกิดปฏิวัติรัฐประหารในเดือนกันยายน เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ดัชนีหุ้นลดลงเล็กน้อย จากนั้นไม่นานก็ปรับตัวกลับไปที่เดิมได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่ได้ออกกฏการควบคุมเงินลงทุนจากต่างประเทศให้มีการสำรอง 30% ในเดือนธันวาคม ดัชนีหุ้นลดลงกว่า 100 จุดภายในวันเดียวจนตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้มาตราปิดตลาดชั่วคราว (Circuit Brekaer) มาใช้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี นักลงทุนต่างประเทศต่างเทขายหุ้นไทยออกมาเป็นจำนวนมาก จนแบงค์ชาติต้องออกมาประกาศ"ยกเลิก"มาตราการดังกล่าวในวันถัดมา ต่อมารัฐบาลยังเห็นชอบต่อกฏหมาย"นอมินี"ซึ่งมีผลต่อบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งความไม่ชัดเจนของนโยบายทำให้ตลาดหุ้นไทยประสบกับภาวะตกต่ำในช่วงสองสามเือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงจาก 760 จุดเหลือประมาณ 680 จุด
นักลงทุนไทยอาจคิดว่านี่คงถึงจุดสิ้นสุดของตลาดหุ้นไทยเสียแล้วหรือ
แต่จากประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นที่ผ่านมาจะพบว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมักถูกนักลงทุนลืมเลือนไปเสมอเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงของรัฐบาลปัจจุบัน ก็คงจะไม่มีผลมากสำหรับตลาดหุ้นไทยในระยะยาว ดัชนีหุ้นคงกลับไปที่จุดเดิมได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับวลีที่ว่า"แล้วมันก็ผ่านไป"ตามที่อาจารย์เกรแฮมเขียนไว้
Value Way
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
ในบทที่ 20 ของหนังสือนักลงทุนผู้ชาญฉลาด (The Intelligent Investor) เบนจามิน เกรแฮมได้เขียนสรุปประโยคหนึ่งไว้ว่า "ในตำนานเก่าแก่ ชายผู้เฉลียวฉลาดได้กลั่นประวัติศาสตร์เรื่องราวทางโลกออกมาเป็นวลีเพียงวลีเดียวคือ "แล้วมันก็ผ่านไป" (This too will pass)" ถ้าพิจารณาดูดีๆจะพบว่าวลีดังกล่าวนอกเหนือจากใช้ได้จริงกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติแล้วยังเหมาะสมกับ"ตลาดหุ้น"เป็นอย่างมาก ไม่ว่าตลาดหุ้นใดๆในโลก
ถ้ายังจำกันได้ในเดือนกันยายน 2001 ผู้ก่อการร้ายขับเครื่องบินโดยสารชนตึกเวิร์ดเทรดเซนเตอร์ในนิวยอร์คถล่ม ผู้คนเสียชีวิตจำนวนมาก ตลาดหุ้นตกใจ นักลงทุนต่างเทขายหุ้นกันทั่วโลก ราคาหุ้นลดลงเป็นอย่างมาก ตลาดหุ้นไทยได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ดัชนีหุ้นไทยร่วงในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นทั่วโลก จวบจนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งเดือน ดัชนีหุ้นกลับมายืนเหนือจุดเดิมได้อีกครั้ง เรื่องราวของตึกเวิร์ดเทรดเซนเตอร์ก็"ผ่านไป"
2002 เกิดสงครามระหว่างอิรักและอเมริกา โดยอเมริกาส่งเครื่องบินและทหารเข้าไปในอิรักเพื่อทำการปลดซัดดัม ฮุสเซนออกจากอำนาจ สงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ทหารอมริกาจะมีชัยชนะเหนืออิรัก ในช่วงแรกตลาดหุ้นตอบรับกับข่าวสงครามในทางลบ ดัชนีหุ้นลดลงเป็นเวลานาน เนื่องจากนักลงทุนต่างเทขายหุ้นออกมาเพื่อลดความเสี่ยง แต่เมื่อวันที่อเมริกาส่งทหารเข้าไปในพื้นที่อิรักจริงๆ ตลาดหุ้นกลับปรับต้วเพิ่มขึ้น นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกแต่จริง สันนิษฐานว่าตลาดหุ้นนั้นไม่ชอบความอึมครึม เมื่อมีการตัดสินใจบุกอิรักทำให้มีความชัดเจนเกิดขึ้น รวมทั้งนักวิเคาระห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าสงครามครั้งนี้อเมริกาจะเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นได้ แล้วสงครามอิรักอเมริกาก็"ผ่านไป"อีกครั้งหนึ่ง
ในปี 2003 เกิดวิกฤตการณ์โรคซาร์ในประเทศจีน นักลงทุนในตลาดหุ้นจีนต่างขายหุ้นออกมาจำนวนมาก ดัชนีหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากนักลงทุนคาดว่าโรคซาร์จะแพร่กระจายขยายวงกว้างออกไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่มียารักษาให้หายขาด ในช่วงนั้นเองวอร์เรน บัฟเฟตกลับเข้าซื้อหุ้นปิโตรไชน่าอย่างเงียบๆเป็นจำนวนเงินกว่า 2 หมื่นล้านบาท หลังจากนั้นเพียงไม่นาน นักลงทุนต่างลืมเรื่องของโรคซาร์ ดัชนีหุ้นจีนกลับปรับตัวเพิ่มขึ้น หุ้นปิโตรไชน่าที่วอร์เรน บัฟเฟตซื้อไว้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว วิกฤตการณ์โรคซาร์จึง"ผ่านไป"เช่นเดียวกันเหตุการณ์อื่นๆที่เกิดขึ้น
2006 ประเทศไทยเกิดปฏิวัติรัฐประหารในเดือนกันยายน เป็นเหตุการณ์ที่ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ดัชนีหุ้นลดลงเล็กน้อย จากนั้นไม่นานก็ปรับตัวกลับไปที่เดิมได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลใหม่ได้ออกกฏการควบคุมเงินลงทุนจากต่างประเทศให้มีการสำรอง 30% ในเดือนธันวาคม ดัชนีหุ้นลดลงกว่า 100 จุดภายในวันเดียวจนตลาดหลักทรัพย์ต้องใช้มาตราปิดตลาดชั่วคราว (Circuit Brekaer) มาใช้เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 30 ปี นักลงทุนต่างประเทศต่างเทขายหุ้นไทยออกมาเป็นจำนวนมาก จนแบงค์ชาติต้องออกมาประกาศ"ยกเลิก"มาตราการดังกล่าวในวันถัดมา ต่อมารัฐบาลยังเห็นชอบต่อกฏหมาย"นอมินี"ซึ่งมีผลต่อบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งความไม่ชัดเจนของนโยบายทำให้ตลาดหุ้นไทยประสบกับภาวะตกต่ำในช่วงสองสามเือนที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยลดลงจาก 760 จุดเหลือประมาณ 680 จุด
นักลงทุนไทยอาจคิดว่านี่คงถึงจุดสิ้นสุดของตลาดหุ้นไทยเสียแล้วหรือ
แต่จากประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นที่ผ่านมาจะพบว่า เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมักถูกนักลงทุนลืมเลือนไปเสมอเมื่อเวลาผ่านไป ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงของรัฐบาลปัจจุบัน ก็คงจะไม่มีผลมากสำหรับตลาดหุ้นไทยในระยะยาว ดัชนีหุ้นคงกลับไปที่จุดเดิมได้อีกครั้ง เช่นเดียวกับวลีที่ว่า"แล้วมันก็ผ่านไป"ตามที่อาจารย์เกรแฮมเขียนไว้