หน้า 1 จากทั้งหมด 2

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 9:10 am
โดย triathlon
หลายๆท่านคงมีความรู้สึกนี้กันมาหลายรอบแล้วมั้ง
แต่เนื่องจากที่ผ่านมา แม้เล่นหุ้นมาหลายปี แต่ก็เป็นพวกแมงเม่า ไม่ได้ศึกษาข้อมูลทำการบ้านอะไรจริงจัง
สองปีมานี้ เริ่มแนวใหม่ ตั้งใจว่าจะลงทุนในหุ้นแนววีไอ คิดว่าแทนที่จะค้าขายเองซึ่งไม่ถนัดเลย ใช้วิธีมาลงทุนกับเจ้าของกิจการมืออาชีพผ่านตลาดหุ้นดีกว่า
เมื่อวานได้รับเช็คเงินปันผล เป็นเงินแสนนิดๆ หักภาษีไปเหลือเก้าหมื่นบาท

บอกตรงๆคะ ดีใจมากๆ เหมือนได้ใบแจ้งว่า เฮ้ย มาถูกทางแล้ว
แต่ก็รอมาสามปี กว่าจะมีวันนี้ ที่เพิ่งได้ผลตอบแทนแบบเจ๋งเป้ง :D

เลยตั้งมั่น ว่าจะยึดแนวทางนี้แหละ ค่อยๆหาความรู้ อดทนรอที่จะซื้อหุ้นที่เราคิดว่าดี
ว่าแต่ถามท่านกูรูทั้งหลายเลยว่า
เราควรเอาเงินนี้ซื้อหุ้นเดิมที่เราว่าดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว หรือซื้อกองทุนกินดอก รอดูจนกว่าจะมีหุ้นที่น่าซื้อตัวใหม่คะ

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 9:13 am
โดย CK
:cool:

Welcome to the club!

Re: แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 9:20 am
โดย สามัญชน
triathlon เขียน: ว่าแต่ถามท่านกูรูทั้งหลายเลยว่า
เราควรเอาเงินนี้ซื้อหุ้นเดิมที่เราว่าดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว หรือซื้อกองทุนกินดอก รอดูจนกว่าจะมีหุ้นที่น่าซื้อตัวใหม่คะ
ซื้อกองทุนผมว่าไม่ค่อยน่าสนใจครับ ฝีมือการบริหารกองทุนก็ไม่โดดเด่นอะไรนัก

ซื้อหุ้นเดิม(แฮ่ ๆ ไม่รู้ว่าตัวไหน) แต่ถ้าราคาขึ้นมาสูงแล้ว  ก็ไม่น่าสนใจเช่นกัน  เว้นเสียแต่ราคายังไม่ถึง fair price

ผมว่าระหว่างรอที่จะซื้อหุ้นตัวใหม่  ก็มองหาหุ้นดีๆไปก่อน(เก็บเงินสดไว้ไปพลางๆ) พอได้จังหวะก็ซัดไปเต็มๆ

อันนี้เป็นทฤษฎีที่ผมเองก็ไม่เคยทำได้ตามนั้น  และผมไม่เคยมีเงินสดเหลือเยอะๆเลย  ส่วนใหญ่มักจะใจร้อนมีเงินเมื่อไหร่ก็ซัดหมดแม็กเมื่อนั้น..... :roll:

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 9:26 am
โดย CK
ขอเสริมต่อจากคุณหมอสามัญชนนิดนึงครับ

การเอาเงินปันผลไปซื้อหุ้นเดิมนั้น คล้ายๆ กับ reinvested dividend
ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นตัวนั้นจะเท่ากับ
% Dividend Yield + % Growth

ถ้าหุ้นที่เราเลือกโตได้ 6% ต่อปี (ดีกว่า GDP หน่อยๆ)
และได้ dividend yield ซัก 8%

ผลตอบแทนรวมคือ 14% ซึ่งก็พอใช้ได้ ไม่ถึงกับดีมาก

ดังนั้น ถ้าหุ้นที่เราเลือกมี dividend yield สูงๆ
หรือ growth สูงๆ จะได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น

dividend yield จะสูงได้ ก็คือหุ้นนั้นต้องราคายังไม่แพงนัก
growth สูงๆ นี่ ก็ต้องใช้ตำรา VI เข้ามาช่วยเดาครับ :D

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 10:37 am
โดย โอ@
ผมเหมือนพี่ triathlon ตรงตอนแรกๆถือเงินสดไม่อยู่เลยครับ รู้สึกเงินสดมันเพิ่มค่าน้อย
ตอนนียอมถือจนกว่าจะเจอของดีจริงๆแล้วครับ :) เพิ่มค่าน้อยดีกว่าเสี่ยงให้มันลดลง

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 10:43 am
โดย ply33
สุดหยอด คับ  8)

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 11:23 am
โดย naris
ยินดีด้วยครับ  :cool:

ของผมก็เป็นอย่างนี้มา3ปีแล้วครับ ใจระทึกตอนเงินปันผลเข้าปอดนี่แหละครับ :D

ถ้าจะให้แนะนำอย่างถูกวิธีคือ รอตัวที่ดี ราคาลงมาในจุดที่น่าซื้อ แต่ความเป็นจริง สามปีที่ผ่านมาอยู่ได้ไม่เกินอาทิตย์ครับ แถมบางทีซื้อดักล่วงหน้า1-2วันก่อนเงินออกด้วยซ้ำไป :lol: (เพราะT+3)

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 11:26 am
โดย metro
ชอบกระทู้นี้จังครับ  :D

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 1:43 pm
โดย Golden Stock
ยินดีด้วยครับ  ที่ค้นพบเส้นทางสายที่คิดว่าใช่แล้ว   :D
triathlon เขียน:เราควรเอาเงินนี้ซื้อหุ้นเดิมที่เราว่าดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว หรือซื้อกองทุนกินดอก รอดูจนกว่าจะมีหุ้นที่น่าซื้อตัวใหม่คะ
ส่วนตัวผม

หากว่าราคาหุ้นตัวเดิมยังน่าสนใจลงทุนอยู่ก็เอาเงินปันผลไปซื้อเพิ่มครับ

หากไม่พบหุ้นน่าสนใจจริงๆ ผมเลือกฝากกินดอกเบี้ยออมทรัพย์ (0.75 %)  ไปพลางๆ ก่อนครับ  :lol:

เรื่องซื้อกองทุนนี่  ยังไงผมก็ไม่ซื้อครับ

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 2:05 pm
โดย woody
[quote="Golden Stock"]ยินดีด้วยครับ

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 2:23 pm
โดย MarginofSafety
woody เขียน: แล้วกองทุนแบบ Money Market ที่จะได้ดอกเบี้ยราว 4% ต่อปีในตอนนี้และไม่เสียภาษี 15% หล่ะครับ น่าสนใจหรือเปล่าเอ่ย อ้อ และเรื่องสำคัญธุรกรรมส่งมอบใช้เวลา T+1 เท่านั้นนะครับ สำหรับหลายๆ กองทุน
ผมเคยลองศึกษาดูรู้สึกว่ามันมีค่าธรรมเนียมในการขายหน่วยลงทุนคืนหรือเปล่าครับ
คุณ woody ช่วยแนะนำหน่อยครับ ของที่ไหนดี
triathlon เขียน:เราควรเอาเงินนี้ซื้อหุ้นเดิมที่เราว่าดี แต่ราคาขึ้นมาสูงแล้ว หรือซื้อกองทุนกินดอก รอดูจนกว่าจะมีหุ้นที่น่าซื้อตัวใหม่คะ
ผมใช้วิธีประเมินในลักษณะ
ณ เวลานี้ ในความคิดเรา หุ้นตัวไหนน่าซื้อลงทุนมากที่สุด
คำตอบ อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นตัวที่เราถืออยู่ก็ได้
แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นหุ้นตัวที่ถืออยู่

ถ้านึกอะไรไม่ออก หรือไม่แน่ใจ ไม่อยากลงทุนเพิ่ม
ผมเลือกที่จะเอาไปชำระเงินต้นค่ากู้บ้านกับแบงค์
ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ย 6 - 7 %
ทำให้ผมคิดว่า ผมไม่ควรถือเงินสดที่นอกเหนือจากการใช้จ่ายประจำวันเลย
โดยเฉพาะบัญชีออมทรัพย์ ดอกเบี้ย 0.75%
แค่ติดบัญชีไว้ใช้เดือนชนเดือนก็พอ

ทฤษฎีถือเงินสดคอยตีโฮมรัน ไม่ค่อยถูกกับจริตผมครับ

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 2:28 pm
โดย สามัญชน
เรื่องแบบนี้มักจะไม่ง่ายตรงไปตรงมา  โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ "พฤติกรรมมนุษย์" นั้นมักจะมีความสลับซับซ้อนอยู่เสมอๆ เพราะมนุษย์มี "อารมณ์" มาเกี่ยวข้องด้วยเสมอไม่ใช่มีแต่เหตผลตรรกกะอย่างเดียว  

นอกจากนี้ยังมี "ความเคยชิน" เป็นตัวบงการอยู่เงียบๆแต่ร้ายนัก ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน เจ้าความเคยชินนี้จะกินเนื้อที่ของพฤติกรรมเราเกือบ 80 % เลยทีเดียว

ถัดจากความเคยชินก็จะมีสิ่งลึกลับอย่างหนึ่ง ซึ่งหลายท่านจะให้เครดิตเจ้าตัวนี้สูงมาก  สิ่งลึกลับตัวนี้เรียกว่า  "สัญชาตญาณ" และหลายๆท่าน  ยกย่องสัญชาตญาณของตัวเองสูงถึงขั้นที่เรียกว่า "กึ๋น" ทีเดียว  และหลายๆท่านอาจจะไม่ชอบคำว่ากึ๋นเพราะเป็นภาษาไทยก็เลยหลีกเลี่ยงไปใช้คำว่า  "gut feeling" แทนจะดูโก้กว่า  แต่โดยความหมายก็คือตัวเดียวกัน

แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรและมีสิ่งดีๆแฝงอยู่เสมอถ้าเรารู้เท่าทันมัน  อันตรายมักจะเกิดในยามที่เราหลงลืมและตกเป็นเหยื่อมันโดยไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง  

สุดท้ายตัวที่เรามักจะมองข้ามก็คือ "ผลกระทบ"ในระยะยาวที่จะตามมาอย่างที่เราไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ง่ายๆ  เหมือนเราโยนก้อนหินลงน้ำ  ผลจากการนี้ก็จะเกิดเป็นคลื่น  และสุดท้ายเราก็จะโดนผลกระทบจากพฤติกรรมในอดีตของเรา  ที่พุทธศาสนาเรียกว่า "กรรมเก่า"

1. ถ้าเรามีหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ตลอดเวลา  ผลกระทบระยะยาวก็คือ  บางครั้งเมื่อราคาหุ้นลงไปมากๆ  เราก็ไม่มีเงินจะซื้อเพิ่ม  ได้แต่นั่งเสียดาย อิอิ

2. แต่ถ้าไม่ถือหุ้นตลอดเวลา  ผลกระทบระยะยาวก็คือ  เราก็จะมัวแต่รอราคาที่ต่ำที่สุด และเราจะมีประสบการณ์การ "ตกรถ" บ่อยกว่าคนในกลุ่มที่1. ทำไมถึงตกรถบ่อย  ก็เพราะว่าเบื้องหลังความคิดในเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง  คือคำว่า  "รอก่อน"

เป็นต้น

ปีเตอร์ ลินช์ เองก็บอกว่า  "เราไม่รู้หรอกว่า  หุ้นจะขึ้นวันไหน  หรือตลาดจะพลิกเป็นกระทิงเมื่อไหร่ ถ้ามัวรอตลาดกระทิง เขาจะซื้อแพงขึ้นมากเลยทีเดียวและกำไรก็คงไม่งดงามอย่างยาวนานเหมือนที่เขาทำได้ตลอด 13 ปี "  ที่สำคัญเขาทายดัชนีไม่เคยถูก  ดังนั้น เขาก็มักจะมีหุ้นตลอดเวลา

ดร.นิเวศน์ก็เป็นกลุ่มที่มีหุ้นตลอดเวลา

บัฟเฟตต์เองก็น่าจะอยู่ในกลุ่มหนึ่ง  แม้ดูเผินๆก็ดูเหมือนจะอยู่ในกลุ่มสอง  ที่จริงบัฟเฟตต์ก็เป็นคนที่รู้จักการ "รอ" เป็นอย่างดี  แต่สิ่งที่เขารอก็คือ เขารอให้มูลค่าสูงกว่าราคามากๆ  เขาไม่ได้รอว่าดัชนีจะเป็นกระทิงเมื่อไหร่ถึงค่อยซื้อ เหมือนที่กลุ่มสองเป็นกัน

และทั้งสามท่านนั้นชอบที่จะซื้อในช่วงที่เป็นตลาดหมีด้วยซ้ำ  ที่จริงไม่ค่อยสนใจดัชนีด้วยซ้ำไป

ส่วนเซียนที่รอจังหวะได้ถูกต้อง ขายในตอนต้นของหมี และซื้อช่วงต้นกระทิง  และทำสำเร็จบ่อยๆนั้นก็คงมีเยอะเหมือนกัน เพียงแต่ผมไม่รู้จักเท่านั้นเอง

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 2:29 pm
โดย woody
HVI เขียน: ผมเคยลองศึกษาดูรู้สึกว่ามันมีค่าธรรมเนียมในการขายหน่วยลงทุนคืนหรือเปล่าครับ
คุณ woody ช่วยแนะนำหน่อยครับ ของที่ไหนดี
ผมใช้วิธีประเมินในลักษณะ
ณ เวลานี้ ในความคิดเรา หุ้นตัวไหนน่าซื้อลงทุนมากที่สุด
คำตอบ อาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นหุ้นตัวที่เราถืออยู่ก็ได้
แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นหุ้นตัวที่ถืออยู่

ถ้านึกอะไรไม่ออก หรือไม่แน่ใจ ไม่อยากลงทุนเพิ่ม
ผมเลือกที่จะเอาไปชำระเงินต้นค่ากู้บ้านกับแบงค์
ซึ่งต้องเสียดอกเบี้ย 6 - 7 %
ทำให้ผมคิดว่า ผมไม่ควรถือเงินสดที่นอกเหนือจากการใช้จ่ายประจำวันเลย
โดยเฉพาะบัญชีออมทรัพย์ ดอกเบี้ย 0.75%
แค่ติดบัญชีไว้ใช้เดือนชนเดือนก็พอ

ทฤษฎีถือเงินสดคอยตีโฮมรัน ไม่ค่อยถูกกับจริตผมครับ
ครับ ปกติผมก็ไม่ถูกกับการถือเงินสดเหมือนกัน ปีที่แล้วก็ Full Port ตลอด แต่ปีนี้หลายตัวที่ดูๆ ไว้ผมคาดว่าจะมีเวลาที่ไม่ดีของเค้าจากปัจจัยหลายๆ อย่างที่เราก็ทราบกันอยู่ ดังนั้นผมจึงอยากจะขอรอซักหน่อย อยู่เมืองไทยมีเหตุการณ์แปลกๆ ให้เรามีโอกาสได้เยอะครับผมว่า ฮิฮิ...ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมนั้นจะประมาณ 0.0001 บาทครับ ถ้าเป็นของ SCBSFF นะครับ จาก NAV ตอนนี้ 17.2058 ราคาซื้อก็น่าจะเป็น 17.2057

อีกอย่างตอนนี้ผมไม่มีภาระต้องผ่อนบ้านดังนั้นวิธีการนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่ได้ประโยชน์กว่าการฝากออมทรัพย์ธรรมดาครับ

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 2:53 pm
โดย MarginofSafety
woody เขียน: ครับ ปกติผมก็ไม่ถูกกับการถือเงินสดเหมือนกัน ปีที่แล้วก็ Full Port ตลอด แต่ปีนี้หลายตัวที่ดูๆ ไว้ผมคาดว่าจะมีเวลาที่ไม่ดีของเค้าจากปัจจัยหลายๆ อย่างที่เราก็ทราบกันอยู่ ดังนั้นผมจึงอยากจะขอรอซักหน่อย อยู่เมืองไทยมีเหตุการณ์แปลกๆ ให้เรามีโอกาสได้เยอะครับผมว่า ฮิฮิ...ส่วนเรื่องค่าธรรมเนียมนั้นจะประมาณ 0.0001 บาทครับ ถ้าเป็นของ SCBSFF นะครับ จาก NAV ตอนนี้ 17.2058 ราคาซื้อก็น่าจะเป็น 17.2057
ถ้ามีค่าธรรมเนียมแค่นี้ก็น่าสนใจมากครับ
ตอนนั้นผมไปอ่านเงื่อนไขของที่ไหนจำไม่ได้แล้ว
ค่าธรรมเนียมในการขายคืนไม่ได้ต่ำแบบนี้ เค้าคิดเป็น %
ผมเลยไม่สนใจ

จากข้อมูลของคุณ woody
แทนที่จะพักไว้ในบัญชีออมทรัพย์
พักไว้ใน Money Market Fund ดีกว่าเยอะเลย
สภาพคล่องแทบจะไม่ต่างกันเลย
แต่ผลตอบแทนต่างกันมากพอสมควร

แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนเป็นหนี้ซักเท่าไหร่
หากคิดจะพักไว้ที่นี่ นานๆ
ยกเว้นคนที่ชอบ style ถือเงินสดไว้ตีโฮมรัน
พักเงินไว้ที่นี่ อาจจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุด

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 2:55 pm
โดย woody
woody เขียน: อีกอย่างตอนนี้ผมไม่มีภาระต้องผ่อนบ้านดังนั้นวิธีการนี้จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผมคิดว่าไม่ได้ประโยชน์กว่าการฝากออมทรัพย์ธรรมดาครับ
ได้มากกว่าสิ พิมพ์ผิด  :oops:

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:09 pm
โดย Golden Stock
woody เขียน:แล้วกองทุนแบบ Money Market ที่จะได้ดอกเบี้ยราว 4% ต่อปีในตอนนี้และไม่เสียภาษี 15% หล่ะครับ น่าสนใจหรือเปล่าเอ่ย อ้อ และเรื่องสำคัญธุรกรรมส่งมอบใช้เวลา T+1 เท่านั้นนะครับ สำหรับหลายๆ กองทุน
อันที่จริงผมไม่คิดมาก (หรือคิดเล็กคิดน้อย)  กับเรื่องดอกเบี้ย  ช่วงที่เอาเงินไปพักไว้ชั่วคราวหรอกครับ  

แต่ T+1 นี่น่าคิดนะครับ   :?

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:14 pm
โดย Golden Stock
ลืมไปอีกอย่าง  อนาคตอันใกล้  เห็นว่าการซื้อขายหุ้น  ก็จะเปลี่ยนมา T+1 เหมือนกัน  หากเป็นแบบนี้ก็ฝากกินดอกเบี้ยต่ำๆ ต่อไปครับ  :lol:

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:14 pm
โดย thawattt
คุณสามัญชน
ผลกระทบจากพฤติกรรมในอดีตของเรา  ที่พุทธศาสนาเรียกว่า "กรรมเก่า"

1. ถ้าเรามีหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ตลอดเวลา  ผลกระทบระยะยาวก็คือ  บางครั้งเมื่อราคาหุ้นลงไปมากๆ  เราก็ไม่มีเงินจะซื้อเพิ่ม  ได้แต่นั่งเสียดาย อิอิ

2. แต่ถ้าไม่ถือหุ้นตลอดเวลา  ผลกระทบระยะยาวก็คือ  เราก็จะมัวแต่รอราคาที่ต่ำที่สุด และเราจะมีประสบการณ์การ "ตกรถ" บ่อยกว่าคนในกลุ่มที่1. ทำไมถึงตกรถบ่อย  ก็เพราะว่าเบื้องหลังความคิดในเรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวกันนั่นเอง  คือคำว่า  "รอก่อน"
เห็นด้วยกับคุณสามัญชนนะครับ อย่างไรก็ตามผมคิดว่า ในแง่ของ Value Investor มีทางออกในเรื่องนี้อยู่เหมือนกันครับ สำหรับคนที่ถือหุ้น 100% ในหุ้นในระยะยาวครับ

1.  เนื่องจากหุ้นของ Value Investor ส่วนหนึ่งนั้น จะเป็นหุ้นที่มีเงินปันผล และมักจะมีปันผลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาวด้วย ดังนั้น การมีหุ้นร้อยเปอร์เซนต์อยู่ตลอดเวลานั้น ในระยะยาว เราก็มี Cash Flow ที่ได้จากเงินปันผลมาลงทุนในหุ้นในช่วงหุ้นขาลงได้เหมือนกันครับ เพียงแต่ เราต้องพยายามเลือกลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายปันผลหลายช่วงเวลาในรอบ 1 ปี

ซึ่งคุณครรชิต เคยนำ Port ของ ดร.นิเวศน์มีแสดง ก็พบว่า มีเงินปันผลโดยเฉลี่ยปีละกว่า 14-17 ล้านบาทครับ จาก Port ลงทุนประมาณ 300 กว่าล้านบาท เพราะอาจารย์ดร.นิเวศน์ก็คงเลือกลงทุน 100% เช่นกันครับ การได้รับ เงินปันผลต่อเนื่องทุกปีตรงนี้ ก็สามารถเป็นเงินที่เอาไว้ใช้ลงทุนในหุ้นที่บางปีอาจมีหุ้นที่น่าสนใจที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าในรอบ 1 ปีได้เหมือนกันครับ

เพียงแต่ในช่วงต้นของนักลงทุน Value Investor นั้น เงินปันผลส่วนนี้จะยังได้ไม่มากและอาจไม่เพียงพอกับการขยาย Port ลงทุนระยะสั้น  ดังนั้น เราอาจต้องอาศัย cash Flow จากเงินเก็บของงานประจำ หรือรายได้จากอาชีพของเราแล้วปันบางส่วนมาเพื่อการลงทุน ผสมกับเงินปันผลที่ได้รับมาแต่ละปี แล้วมาลงทุนทุก ๆ ปีไปสักระยะหนึ่ง ให้ผลประกอบการและผลตอบแทนจากการลงทุนขยาย Port ไปสักระยะหนึ่งให้มีเงินปันผลที่มากพอในแต่ละปี เมื่อถึงจุดนั้น เราก็จะมีเงินลงทุนเพื่อเพิ่ม Port และเพิ่มผลตอบแทนได้ตลอดต่อเนื่องทั้งปีเช่นเดียวกันครับ เพียงแต่ต้องอดทน รอคอย และมีระเบียบวินัยการลงทุน ห้ามใจร้อนครับ

2.  แต่ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้เงินสดค่อนข้างมาก เนื่องจากเห็นหุ้นบางตัวที่ตกต่ำกว่ามูลค่ามาก ๆ ทางออกนี้ บัฟเฟทเคยนำมาใช้ก็คือ อาจต้องตัดใจขายหุ้นบางตัวออกไป เพื่อนำเงินสดมาซื้อหุ้นใหม่ครับ ผมอ่านในหนังสือ ซีอีโอของ วอเร็น บัฟเฟตต์ จำได้ว่า ตอนที่บัฟเฟตต์จะซื้อหุ้น ประกันไจโก้ บริษัทประกันภัย  นั้น เดิมทีจะแลกหุ้นกับ เบิร์กไซร์ สุดท้ายผู้ถือหุ้นของ ไจโก้ เลือกที่จะขายเป็นเงินสด บัฟเฟทก็ต้องเลือกที่จะขายหุ้น แคปปิตอล ซิตี้ให้กับ บริษัทวอลท์ ดิสนีย์ และทำกำไรได้ประมาณ 2 พันล้านเหรียญด้วย แล้วนำเงินที่ขายไปซื้อหุ้นไจโก้ ด้วยเงินสดประมาณ 2.3 พันล้านเหรียญครับ แสดงให้เห็นว่า หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินสดจริง ๆ เราก็สามารถขายหุ้นบางส่วนออกไปเพื่อแลกกับหุ้นที่มีมูลค่าที่สูงกว่าดังที่บัฟเฟททำครับ

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:35 pm
โดย MarginofSafety
[quote="Golden Stock"]ลืมไปอีกอย่าง

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:39 pm
โดย 007-s
:D

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:43 pm
โดย beammy
รอจนกว่ามันจะมี margin of safety อีกครั้ง ครับพี่มนุษย์เหล็ก

หุ้นดีแค่ไหน ถ้าราคาแพงไป ก้อไม่สมควรซื้อ (ท่องจนขึ้นใจ)  :lol:

อ้อ แวะมาหวัดดีด้วยครับพี่  8)  ...

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:44 pm
โดย woody
จาก ประชาชาติธุรกิจครับ

ซื้อขายหุ้นหักผ่านแบงก์1เม.ย.ฉลุย ตลท.เดินเครื่องปูทางสู่T+2ภายใน3ปี

ตลาดหลักทรัพย์ฯมั่นใจ 1 เม.ย.นี้ โบรกเกอร์-ลูกค้าพร้อมใช้ระบบ ATS ไม่มีปัญหา หลังเตรียมความพร้อมมานาน ปูทางสู่การเตรียมพร้อมใช้ T+2 ใน 3 ป

นายสุภกิจ จิระประดิษฐกุล ผู้ช่วยผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 1 เมษายนนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯเริ่มให้บริษัทสมาชิก (โบรกเกอร์) ใช้การชำระราคาซื้อขายหลักทรัพย์โดยหักผ่านบัญชีเงินฝากธนาคารอัตโนมัติ (automated transfer system : ATS) ยกเว้นลูกค้าสถาบันและนิติบุคคล หลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการเตรียมความพร้อมกับบริษัทสมาชิก (โบรกเกอร์) มาโดยตลอด โดยกำหนดให้ลูกค้าใหม่ใช้ระบบ ATS มาตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 และลูกค้าเก่าเริ่มทยอยเข้าใช้ระบบไปพร้อมกัน

จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้น และได้ให้เวลาอีก 3 เดือนตั้งแต่ปลายปี 2549 ถึงปัจจุบัน ก่อนหน้าที่จะประกาศใช้ ทำให้มั่นใจว่าในวันที่ 1 เมษายน 2550 ทุกฝ่ายมีความพร้อม โดยพบว่าจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้ระบบ ATS มีกว่า 80% แล้ว

ทั้งนี้ ลูกค้าต้องตรวจสอบให้มียอดเงินคงเหลือในบัญชีให้เพียงพอ หรือนำเงินเข้าบัญชีให้ทันก่อนกำหนดเวลาหักบัญชีที่แต่ละธนาคารกำหนด ส่วนบัญชีร่วมไม่สามารถใช้หักได้

"การชำระราคาซื้อขายหลักทรัพย์ผ่านระบบ ATS เพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ได้สามารถหักเงินค่าซื้อและรับเงินค่าขายผ่านบัญชีได้เลย เหมือนกับเราให้หักค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ผ่านบัญชีแบงก์ โดยที่การใช้ ATS ลูกค้าไม่มีค่าใช้จ่าย ส่วนบริษัทสมาชิกก็จะลดภาระงานด้านโอเปอเรชั่นลง ซึ่งเป็นไปตามแนวทางเดียวกับทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก อีกทั้งยังมีประโยชน์ในการป้องกันปัญหาการซื้อขายหุ้นโดยที่ลูกค้าไม่รู้ จากการไว้ใจกันระหว่างลูกค้ากับมาร์เก็ตติ้ง ทำให้ลูกค้าปลอดภัยกับการซื้อขายหุ้นมากขึ้น"

นายสุภกิจกล่าวต่อว่า หลังจากใช้ระบบ ATS ไปแล้วประมาณ 6 เดือน จะมีการประเมินผล เพื่อจะรองรับนโยบายการลดระยะเวลาชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จาก T+3 เป็น T+2 ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เนื่องจากการใช้ T+2 ระบบต้องพร้อมทุกอย่าง โดยเฉพาะในส่วนการเคลียริ่งของลูกค้าต่างประเทศ ต้องพร้อมทั้งลูกค้าและคัสโตเดียน นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการเหลื่อมล้ำในเรื่องเวลา (ไทม์โซน) ซึ่งต้องมั่นใจว่าพร้อมกันทุกฝ่าย

อย่างไรก็ตาม คาดว่าตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะเตรียมความพร้อมใช้ T+2 ได้ทันภายในระยะเวลา 3 ปี หรือไม่เกินแผนงานตลาดหลักทรัพย์ฯ 3 ปี โดยแนวโน้มตลาดหุ้นจะมีการใช้ T+2 มากขึ้น ซึ่งตลาดหุ้นฮ่องกงและไต้หวันได้เริ่มใช้ระบบนี้แล้ว ส่วนเกาหลีใต้มีการใช้เฉพาะในตลาดทุน

หน้า 23

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 3:48 pm
โดย triathlon
ขอบคุณคำแนะนำทุกท่านคะ :lol:
แต่ความรู้ยังไม่ถึงที่จะถือหุ้นร้อยเปอร์เซนต์ทั้งพอร์ท แฮะๆ ยังต้องหาความรู้อีกเยอะ
อ่านหนังสือเฮียคลายเครียด แกบอกว่าถ้ารู้น้อยให้ควบคุมความโลภให้ดี เลยระวังตัวคะ
เดี๋ยวคงเอาเงินไปพักไว้ที่ ทหารไทยธนวัฒน์ ก่อน
แล้วรอ รอ และรอ กว่าจะเจอหุ้นดีๆ ถูกๆ (จะเจอมั้ยเนี่ย) :shock:

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 4:13 pm
โดย Golden Stock
พอดีเมื่อเดือนกุมภาพันธ์  อ่านจ.ม.จากโบรก ฯ แจ้งเรื่องให้ชำระค่าหุ้นด้วย ats  เพื่อรองรับ T+ อะไรเนี่ยแหละ  

เอาเป็นว่าผมจำผิดไปจริงๆ ด้วยแหละครับ  :mrgreen:

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 7:37 pm
โดย contrarian
ในเมื่อมาถูกทางแล้ว   ก็อย่าไปเสี่ยงที่จะตกข้างทาง หรือเข้าซอยตันอีกเลย

ทั้งหมดที่คุณต้องการก็เพียงแค่ การลงทุนเยี่ยมๆ 2 - 3 ครั้งในชีวิต


ถามตัวเอง เสมอๆ ว่าเราเหลือตั๋วลงทุนอีกกี่ใบ

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: อังคาร เม.ย. 03, 2007 8:12 pm
โดย thawattt
ในเมื่อมาถูกทางแล้ว   ก็อย่าไปเสี่ยงที่จะตกข้างทาง หรือเข้าซอยตันอีกเลย

ทั้งหมดที่คุณต้องการก็เพียงแค่ การลงทุนเยี่ยมๆ 2 - 3 ครั้งในชีวิต


ถามตัวเอง เสมอๆ ว่าเราเหลือตั๋วลงทุนอีกกี่ใบ
เห็นด้วยครับ การลงทุนเยี่ยม ๆ ในหุ้น Super Stock เพียงไม่กี่ครั้ง และถือให้ยาวตราบเท่าที่ผลงานยังสุดยอด แต่ขอให้ทำการบ้านอย่างจริงจัง อาจเปลี่ยนชีวิตของเราได้อย่างที่คาดไม่ถึงครับ

ตัวอย่างของหุ้น Superstock ในอดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น SCC PTTEP มาม่า ลองดูราคาในอดีตย้อนหลังสักหลายปี จนถึงปัจจุบัน ได้สะท้อนผลการดำเนินงาน และจ่ายปันผล แถมราคาก็ปรับตามผลงานไม่รู้กี่เท่าตัวแล้ว และยังมีอีกหลายตัว เพียงแต่วันนี้เรามองออกหรือไม่ หุ้นพวกนี้ถือแล้วเก็บเกี่ยวปันผลและส่วนต่างราคาให้นานที่สุด เท่าที่ปัจจัยพื้นฐานยังยอดเยี่ยมอยู่ครับ

เพียงปัญหาของการตีตั๋วให้ถูก คือเราจะเลือกหุ้นที่ถูกต้อง และเลือกจังหวะการลงทุนที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้าเลือกถูกต้องและเลือกจังหวะลงทุนที่ถูกต้องแล้ว ลงทุนตีตั๋วเที่ยวเดียวไปจนถึงจุดมุ่งหมายเลย ก็ประสบความสำเร็จได้ครับ  แบบอยู่นิ่ง ๆ ตามผลงาน ไม่ต้อง Trade มาก ไม่ต้องตกใจง่าย ลงทุนต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ ครับ พูดง่าย แต่ทำยากนะครับ เพราะต้องอดทนต่อปัจจัยภายในและภายนอกที่มากระทบกับจิตใจของเรา ทั้งกระแสความโลภ และความกลัว ตลอดการถือครองหุ้นดังกล่าวในระยะยาวครับ:lol:

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 04, 2007 8:32 am
โดย คลายเครียด
:cheers:  :cheers:  :cheers:  :cheers:  :cheers:  :cheers:

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 04, 2007 8:44 am
โดย artvr4
เมื่อก่อน ผม ซื้อๆขายๆ  ได้กำไรแค่พอกินก๋วยเตี๋ยว แต่ โบรกรวย :lol:

พอเริ่มมาศึกษาแนวทางนี้  แต่เน้นพวก หุ้น growth stock  มากกว่า devidend stock จากเมื่อก่อน กำไร  จากกำไรหลักหมื่น เดี๋ยวนี้

ต้องยอมรับว่า ถือ ยาวหน่อย รอผลประกอบการเป็นอย่างที่คาด  ได้กำไรเป็นแสน

จากเมื่อก่อน ให้เงินแม่ แค่ไม่กี่พันต่อเดือน เดี๋ยวนี้ ต้องปี ละ แสน ที่เหลือ ก็เอามาลงทุนเพิ่ม ตลอด   แม้ พอร์ดตัวเองจะไม่ใหญ่ แต่รู้สึกว่า มันโตขึ้นทุกวัน

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 04, 2007 2:52 pm
โดย moo
เก่ง มั๊ก มั๊ก

แค่อยากเล่าให้ฟัง

โพสต์แล้ว: พุธ เม.ย. 04, 2007 3:05 pm
โดย Kao
HVI เขียน: ถ้ามีค่าธรรมเนียมแค่นี้ก็น่าสนใจมากครับ
ตอนนั้นผมไปอ่านเงื่อนไขของที่ไหนจำไม่ได้แล้ว
ค่าธรรมเนียมในการขายคืนไม่ได้ต่ำแบบนี้ เค้าคิดเป็น %
ผมเลยไม่สนใจ

จากข้อมูลของคุณ woody
แทนที่จะพักไว้ในบัญชีออมทรัพย์
พักไว้ใน Money Market Fund ดีกว่าเยอะเลย
สภาพคล่องแทบจะไม่ต่างกันเลย
แต่ผลตอบแทนต่างกันมากพอสมควร
ใช่แล้วครับ

ผมลองพักเงินไว้ในกองทุนตราสารเงินแทนการถือเงินสดมาได้ประมาณ 6เดือนแล้วครับ ได้ผลตอบแทนเกือบ20,000บาท (ถ้าฝากออมทรัพย์จะได้ไม่เกิน3,500บาท)

ข้อดีของการพักเงินในกองทุนตราสารเงิน
1. ได้ดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากออมทรัพย์ โดยที่ความเสี่ยงใกล้เคียงกัน
2. ไม่เสียโอกาสในการลงทุน หากเจอหุ้นราคาถูก เช่น ซื้อหุ้นวันจันทร์ สามารถขายกองทุนได้ภายในวันพุธ เพื่อให้เงินเข้าบัญชีทันจ่ายค่าซื้อหุ้นในวันพฤหัส
3. ช่วยให้ถือเงินสด(กองทุนตราสารเงิน) ได้นานขึ้น สำหรับคนที่ถือเงินสดไม่อยู่อย่างผม เพราะได้ผลตอบแทน(ตอนนี้)ประมาณ4%ต่อปี ใกล้เคียงกับเงินปันผลโดยท่วไป
4. ฯลฯ