หน้า 1 จากทั้งหมด 1

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ มิ.ย. 10, 2007 11:57 pm
โดย Newbee
หลังจากกลับจากงาน Meeting ก็พอจะรู้วิธีหาปลา รู้วิธีการ เมื่อหุ้นขึ้นไปแล้ว และ ถือไว้ให้ VI รุ่นหลังๆ แล้ว (ถือหุ้นมานานพอควร และ ราคาก็ขึ้นไปมากแล้ว) ผมลืมถามว่าเมื่อไหร่ควรขายหุ้นดี ...

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 11, 2007 12:01 am
โดย nearly_vi
เมื่อพื้นฐานที่คิดไว้ ไม่เป็นไปตามที่คิด (แย่กว่าที่คิด) และ ไม่น่าจะดีขึ้น อาจเพราะคิดผิด หรือ trend เปลี่ยน

เมื่อราคามากเกินมูลค่าพื้นฐานที่คิดไว้มากๆ

เท่าที่รู้และ ปฏิบัติก็มีแค่นี้อ่ะครับ  :oops:

ที่เหลือ รอคนอื่นเสริม

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 11, 2007 12:09 am
โดย Newbee
บางครั้ง... ในฐานะ VI ฝึกหัด ก็ยังคาดการณ์เกี่ยวกับ Trend ประเมินมูลค่ายังไม่เก่งนัก สรุปคือ ขายหมูบ่อยๆๆ  :lol:  
อยากทราบประเด็นเพิ่ม ตรงที่ พื้นฐานเปลี่ยนวิเคราะห์ด้านใดบ้างครับ...

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 11, 2007 3:02 pm
โดย chatchai
[quote="nearly_vi"]เมื่อพื้นฐานที่คิดไว้ ไม่เป็นไปตามที่คิด (แย่กว่าที่คิด) และ ไม่น่าจะดีขึ้น อาจเพราะคิดผิด หรือ trend เปลี่ยน

เมื่อราคามากเกินมูลค่าพื้นฐานที่คิดไว้มากๆ

เท่าที่รู้และ ปฏิบัติก็มีแค่นี้อ่ะครับ

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 11, 2007 4:08 pm
โดย nearly_vi
[quote="Newbee"]บางครั้ง... ในฐานะ VI ฝึกหัด ก็ยังคาดการณ์เกี่ยวกับ Trend ประเมินมูลค่ายังไม่เก่งนัก สรุปคือ ขายหมูบ่อยๆๆ

เมื่อไหร่จะขายหุ้น

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 3:15 pm
โดย chartchai madman
แล้วจะขายเมื่อไหร่ดี
 เป็นคำถามที่สั้น กระชับ และดูเหมือนง่ายสำหรับนักลงทุนที่ชำนาญแล้ว แต่สำหรับนักลงทุนมือใหม่แล้ว ปัญหานี้ทำให้มึนตึ๊บเลยทีเดียวครับ ผมเองเคยประสบปัญหาที่ว่านี้เหมือนกันเมื่อครั้งเริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ  หรือแม้แต่ทุกวันนี้จะพอมีประสบการณ์บ้างแล้ว แต่บ่อยครั้งที่ผมต้องหยิบตำราของปราชญ์ด้านการลงทุนขึ้นมาอ่านทบทวนอยู่บ่อยๆเพื่อตอกย้ำความเข้าใจหลักการในเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะทุกครั้งที่มีความรู้สึกแวบเข้ามาว่าอยากขายหุ้น วันก่อนได้พบกระทู้นี้จึงเข้าใจความรู้สึกนี้ได้ดี  ผมลองเรียบเรียงหลักการของปราชญ์ด้านการลงทุนที่กล่าวถึงหลักการขายหุ้น มาเล่าให้ฟังนะครับ
  PHILIP A. FISHER
(COMMON STOCK AND UNCOMMON PROFITS)
  วัตถุประสงค์ของการขายหุ้นเพียงประการเดียว ที่มีแรงจูงใจในการขายหุ้นก็คือขายอย่างไรให้ทำกำไรสูงที่สุดจากเม็ดเงินที่นักลงทุนได้ลงทุนไป
  โดยปราชญ์ท่านนี้กล่าวว่ามีเหตุผล3ข้อของการขายหุ้น
  1)เมื่อตรวจพบอย่างชัดเจนว่าเกิดการซื้อที่ผิดพลาด และมีหลักฐานชัดเจนขึ้นเรื่อยๆว่าข้อมูลพื้นฐานที่แท้จริงของบริษัทนั้นแย่กว่าที่คิดไว้ในตอนแรก ไม่ว่าจะได้กำไรหรือขาดทุนก็ตามต้องตัดใจขาย กล้าที่จะ cut loss ทันที อย่ารอโดยหวังว่าราคาที่มันลงไปจะกลับคืนมาเท่าทุนที่ซื้อ นักลงทุนต้องซื่อสัตย์ต่อตนเอง ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับความผิดพลาดของการตัดสินใจของตนเอง และรอไปเรื่อยๆไม่กล้าที่จะขาย จนในที่สุด ความเสียหายอย่างหนักก็เกิดขึ้น  จงขายแล้ว เก็บความผิดพลาดไว้เป็นบทเรียน
  2)ขายเมื่อบริษัทเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เข้ากฎเกณฑ์ที่เขาตั้งไว้ 15ข้อ  คือ  
  2.1)บริษัทไม่มีสินค้าหรือบริการที่มีศักยภาพของตลาดเพียงพอที่จะทำให้มีการเพิ่มขึ้นของยอดขายเป็นเวลาอย่างน้อยหลายๆปี
  2.2)ฝ่ายจัดการหมดความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าหรือกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ที่จะยังคงสามารถเพิ่มยอดขายรวมในอนาคต เมื่อโอกาสการเติบโตของสินค้าที่น่าสนใจในปัจจุบันใกล้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว
  2.3)ประสิทธิภาพของงานวิจัยและพัฒนาของบริษัทด้อยลงอย่างชัดเจนเมื่อเทียบกับขนาดของบริษัทและบริษัทของคู่แข่ง หรือบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกัน
 2.4)บริษัทมีศักยภาพของหน่วยงานขายที่ย่ำแย่ลงกว่าค่าเฉลี่ย และไม่โดดเด่นเหนือคู่แข่ง
 2.5)บริษัทมีกำไรต่อยอดขายไม่คุ้มค่าและด้อยลงกว่าบริษัทอื่นๆในอุตสาหกรรมเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทคู่แข่ง
 2.6)บริษัทไม่ทำอะไร หรือไม่มีแผนการจะทำอะไรเพื่อรักษาหรือทำให้กำไรต่อยอดขายสูงขึ้น
 2.7)บริษัทมีแรงงานสัมพันธ์ที่ไม่โดดเด่น หรือสภาพแรงงานสัมพันธ์แย่ลง ก่อให้เกิดการหยุดงาน หรือประท้วง
 2.8)บริษัทที่ความสัมพันธ์ของผู้บริหารในองค์กรดูเสื่อมทรามลง หรือมีความขัดแย้งในบริษัท
 2.9)บริษัทมีฝ่ายบริหารไม่เพียงพอ หรือไม่มีการพัฒนาผู้บริหารอย่างต่อเนื่อง
 2.10)ระบบการวิเคราะห์ต้นทุนและการควบคุมทางบัญชีของบริษัทไม่ดีและส่อไปในทางแย่ลง
 2.11)บริษัทสูญเสียความโดดเด่นในคุณลักษณะที่เป็นลักษณะเฉพาะของอุตสาหกรรม เช่น
      -กิจกรรมที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับการค้าปลีกคือระดับของทักษะที่บริษัทมีในการจัดการเรื่องของอสังหาริมทรัพย์ และการจัดการและควบคุมการหมุนเวียนของสต๊อกสินค้า
     -การวิเคราะห์กิจการและการติดตามเร่งรัดหนี้สิน เป็นคุณสมบัติเด่นของกลุ่มธนาคาร เป็นต้น
 2.12)บริษัทมีภาพระยะสั้นและระยะยาวเกี่ยวกับกำไรของบริษัทที่ไม่ชัดเจน
 2.13)การเจริญเติบโตของบริษัทต้องการเงินจากผู้ถือหุ้นหรือไม่ หากต้องเพิ่มทุนจะไปมีผล dilution effect มากน้อยอย่างไร
 2.14)เมื่อพบว่าผู้บริหารเปิดเผยเมื่อกิจการดีแต่หมกเม็ดเมื่อกิจการมีปัญหา
 2.15)บริษัทมีฝ่ายจัดการที่ไม่โปร่งใส
 3)ขายเมื่อพบการลงทุนในบริษัทอื่นน่าสนใจกว่า,มีอนาคตกว่าและมั่นใจว่าให้ผลตอบแทนดีกว่าอย่างมีนัยสำคัญ  
ประโยคสำคัญ FISHER กล่าวว่า*****ถ้าคุณทำหน้าที่ของคุณอย่างดีตอนที่คุณซื้อหุ้น เวลาที่จะขายก็คือ เกือบจะไม่มีวันขาย*****

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 4:47 pm
โดย javoel
ขอบคุณครับ สำหรับบทความเเละข้อคิดเห็นดีๆ

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 7:10 pm
โดย สามัญชน
ชาติชาย  มาดแมน   :cool:  :cool:  :cool:

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 7:56 pm
โดย por_jai
[quote="สามัญชน"]ชาติชาย

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 8:07 pm
โดย yoyo
[quote="por_jai"][quote="สามัญชน"]ชาติชาย

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 8:18 pm
โดย akkhapon
8)  เข้ามาดู...

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 14, 2007 11:36 pm
โดย Newbee
ขอบคุณพี่ๆ ที่แนะนำครับ คราวนี้คงได้ขายของแพงบ้างแล้ว :lol:  :lol:  :lol:

Peter Lynch

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 1:45 pm
โดย chartchai madman
PETER LYNCH
ONE UP ON WALL STREET
  Peter Lynch เป็นนักลงทุนที่มีแนวคิดในการลงทุนคือ ท่านจะจำแนกหุ้นออกเป็นกลุ่มก่อน โดยเหตุผลก็คือหุ้นแต่ละกลุ่มจะมีอัตราการเจริญเติบโตและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันไป(ซึ่งวิธีการแบ่ง จะยังไม่กล่าวถึงในที่นี้) ดังนั้นหุ้นแต่ละกลุ่มจะใช้กลยุทธ์การจัดการต่างกันไป ไม่ว่าการเข้าซื้อ การติดตาม ระยะเวลาการถือครอง ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได และการกำหนดกลยุทธ์การขายก็แตกต่างกันไปด้วย
ลินช์ แบ่งหุ้นออกเป็นกลุ่มๆดังนี้
  1)หุ้นโตช้า
  2)หุ้นแข็งแกร่ง
  3)หุ้นวัฏจักร
 4)หุ้นโตเร็ว
  5)หุ้นฟื้นตัว
  6)หุ้นทรัพย์สินมาก
 ปราชญ์ ลินช์ ท่านมีแนวความคิดในเรื่องการขายในหุ้นแต่ละกลุ่มว่า
1)หุ้นโตช้า  
ขายเมื่อ
  ***ราคาขึ้นไป30-50 % หรือ
  ***พื้นฐานของบริษัทนั้นเสื่อมทรามลง หรือ
 ***มีสัญญาณบางอย่างเช่น
     1.1)บริษัทสูญเสีย market share 2ปีติดต่อกัน และกำลังจ้างบริษัทโฆษณาแห่งใหม่
    1.2)หากินกับบุญเก่า ไม่มีการพัฒนาสินค้าหรือบริการใหม่ๆ และงบ r&d ก็ถูกตัดทอนลง
    1.3)ซื้อกิจการใหม่เพิ่มสองแห่งโดยที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจเดิม (diworsification,กระจายความเสียหาย)
   1.4)บริษัทได้จ่ายเงินมากมายเพื่อซื้อกิจการ ทำให้งบดุลเสื่อมทรามลง จากเคยมีเงินสดเหลือมาก กลายเป็นว่ามีหนี้เพิ่มจำนวนมาก และไม่มีเงินสดเหลือที่จะซื้อหุ้นคืนแม้ว่าราคาหุ้นของตัวเองตกลงอย่างหนัก
  1.5)แม้ราคาหุ้นจะต่ำลงแต่ dividend yield ก็ยังไม่สูงพอที่จะดึงดูดใจนักลงทุน
 
2)หุ้นแข็งแกร่ง
 ***หลักการคืออย่าถือเพื่อคาดหวังผลตอบแทน10เด้งจากหุ้นกลุ่มนี้  
 ***หากราคาวิ่งเหนือเส้นกำไรพอสมควรก็ขาย  หรือ
 ***ค่าp/e วิ่งฉีกห่างจากช่วงปกติมากๆ ก็ขาย  หรือ
 ***มีสัญญาณ ดังต่อไปนี้
  2.1)ออก new product  มาแล้ว2ปีแล้วยังไม่ work และสินค้าหรือบริการตัวอื่นยังอยู่ในช่วงทดสอบคงใช้เวลาอีกนานเป็นปีจึงจะเห็นผล แบบนี้ก็ขาย หรือ
  2.2)หุ้นราคาขึ้นไปถึง p/e 15เท่า ในขณะที่หุ้นในกลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงหรืออยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันมีค่า p/e แค่11-12เท่า  แบบนี้ก็ขายซะ
  2.3)ไม่มีพนักงานหรือกรรมการ หรือผู้บริหารซื้อหุ้นเลยในปีที่แล้ว  หรือ
 2.4)business unit ที่สร้างกำไรหลัก25 % กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยง หรือแนวโน้มถดถอย
 2.5)แม้ว่าจะลดต้นทุนแล้วแต่ growth rate ยังชะลอตัวลง และยังมองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นได้อย่างไร

  3)หุ้นกลุ่มวัฏจักร
 ***หลักการคือขายให้ใกล้เคียงจุดสูงสุดของวัฏจักร
 ***พวกกองหน้าที่รู้ดีเริ่มขาย สังเกตจากราคาของหุ้นเริ่มตกต่ำแบบไม่ค่อยมีเหตุผล p/e ratio อยู่ในระดับต่ำ
 ***เริ่มมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มแย่ลงเช่น ต้นทุนการผลิตเริ่มเพิ่มขึ้น กำลังการผลิตเริ่มเต็ม และบริษัทต้องใช้เงินในการขยายกำลังการผลิต
 ***สินค้าคงคลังเริ่มเพิ่มขึ้น  ราคาสินค้าเริ่มต่ำลง และกำไรเริ่มลดลง
 ***สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์ เช่นเหล็กและน้ำมัน   ราคาในตลาดล่วงหน้าจะเริ่มต่ำกว่าราคาปัจจุบัน และราคา spot
 ***เริ่มมี สงครามราคา ออกกลยุทธ์ทางการตลาดลดแลกแจกแถมให้เห็น
  ***ความต้องการสินค้าปลายทางสำหรับสินค้าเริ่มชะลอตัวลง
 ***บริษัทเพิ่มงบลงทุนเป็นสองเท่าสร้างโรงงานใหญ่หรูหรา แทนที่จะปรับปรุงโรงงานเก่าด้วยต้นทุนต่ำ
 ***บริษัทพยายามลดต้นทุนลงแล้วแต่ยังสู้คู่แข่งไม่ได้

4)หุ้นโตเร็ว
 ***เคล็ดลับการขายคือพยายามไม่พลาดโอกาส10เด้ง และขายให้ใกล้จุดสิ้นสุดของช่วงที่สองของการเจริญเติบโต( s -curve)
 ***อย่าบริษัทพลาดและกำไรหด ค่า p/e ที่นักลงทุนไล่ราคาขึ้นไป จะกลายเป็น2เด้งที่ราคาแพงสำหรับนักลงทุนที่จงรักภักดีต่อบริษัทที่ถือ
 ***นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่แนะนำให้ซื้อในระดับสูงสุด
 ***60%ของหุ้นถูกถือโดยนักลงทุนสถาบัน
***magazine ที่มีชื่อเสียงระดับชาติต่างพร้อมใจออกมาชื่นชม ซีอีโอของบริษัท ว่าเจ๋ง
*** ค่า p/e สูงขึ้นจนดูน่าขันและไม่มีเหตุผล
***ยอดขายร้านเดิมลดลง3%ในไตรมาสสุดท้าย
***ยอดขายร้านใหม่ก็น่าผิดหวัง
***ผู้บริหารสูงสุด2คน และพนักงานหลายคนย้ายไปทำงานให้กับบริษัทคู่แข่ง
***หุ้นมีการซื้อขายกันที่ p/e30เท่า ขณะที่การประมาณการที่ดีที่สุดบริษัทจะกำไรโตได้15-20เท่าในช่วง2ปีข้างหน้า

5)หุ้นฟื้นตัว
***ขาย ณ.จุดที่มันฟื้นตัวสมบูรณ์แล้ว คือผ่านปัญหาทุกอย่างแล้ว ทุกคนในตลาดรับรู้ว่ามันฟื้นตัวสำเร็จแล้ว และมันกลับมาเป็นบริษัทที่มันเคยเป็นแล้ว
***หลังจากฟื้นตัวแล้ว ก็จัดกลุ่มใหม่
***หนี้สินที่ได้ลดลงติดต่อกัน5ไตรมาส เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาสล่าสุด
***อัตราการเพิ่มขึ้นของสินค้าคงคลังเป็น2เท่าของการเติบโตของยอดขาย
***ค่า p/e สูงเกินไปเมื่อเทียบกับการคาดการของกำไร
***ลูกค้าของบริษัทรายใหญ่กำลังประสบปัญหายอดขายตกต่ำ

6)หุ้นสินทรัพย์มาก
***ถือรอน่าล่ากิจการ
***ผู้บริหารประกาศว่าจะเพิ่มทุน เพื่อเอาเงินไปซื้อกิจการอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยง
***ขายแผนกงานสำคัญของบริษัทขายได้ราคาต่ำกว่าที่ควร
***นักลงทุนสถาบันถือหุ้นเพิ่มขึ้นจาก25%เป็น60 %

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 8:50 pm
โดย Newbee
พี่ chartchai madman ขอบคุณมากๆ ครับ
เยี่ยมจริงๆ ครับ

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 9:09 pm
โดย woody
ขอขอบคุณคุณ chartchai มากเลยครับ  :P

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 11:01 pm
โดย Unexpected
อีกข้อนึง.. ขายเมื่อจำเป็นต้องใช้เงินครับ  :oops:

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: จันทร์ มิ.ย. 18, 2007 11:10 pm
โดย Linzhi
อ่านบทสรุปของคุณชาติชายหลายอันแล้ว
ต้องบอกว่าเยี่ยมทุกอันครับ  :cool:  :cool:
ขอบคุณมากครับ

กลยุทธ์การขายวอร์เรน บัฟเฟต์

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 1:44 pm
โดย chartchai madman
วอร์เรน บัฟเฟตต์

***ปรัชญาการลงทุนของปราชญ์ท่านนี้คือลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน(durable competitive adventage)แล้วถือไว้เป็นระยะเวลานานๆ
***ขายที่จุดสูงสุดของตลาดและตลาดให้ราคาที่สูงมากพอ เช่น
  กรณีตัวอย่างที่1 ช่วงตลาดฟองสบู่สุดๆในปี1969 หุ้นท่าถือ p/e ขึ้นไป 50เท่า ขายล้างพอร์ต แล้วออกจากตลาดและบอกหุ้นส่วนของเขาว่าไม่สามารถจะหาซื้อหุ้นที่มีคุณค่าน่าซื้อได้อีกต่อไป
 กรณีตัวอย่างที่2 เกิดขึ้นในปี1998 ช่วงนั้นหุ้นหลายๆตัวในพอร์ตเบิร์กไซร์ มีค่า p/e ขึ้นไป50เท่า หรือมากกว่า ท่านเลยขายหุ้นโดยวิธีการพิเศษคือเอาไปแลกกับบริษัทประกันภัยซึ่งขนาดใหญ่ที่มีเงินสดจำนวนมาก โดยการขายครั้งนี้ทำให้ขายหุ้นได้ราคาเพิ่มขึ้นจากพอร์ตธรรมดาและไม่ต้องเสียภาษีอีกต่างหาก
 ***เอาคาดการณ์ผลตอบแทนผลกำไรใน10ปีข้างหน้าของบริษัทรวมกันมาเปรียบเทียบกับผลตอบแทนของหุ้นกู้ หรือผลตอบแทนของพันธบัตร หากสูงกว่าถือต่อ หากต่ำกว่าขายซะ
***มีโอกาสซื้อที่น่าสนใจกว่า แต่จงจำไว้ว่า อย่าขายดอกไม้แล้วไปซื้อวัชพืช
***ขายเมื่อธุรกิจหรือสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
***ขายเมื่อราคาหุ้นปรับสูงขึ้นจนถึงราคาเป้าหมาย

แล้วจะขายตอนไหนดี++++

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มิ.ย. 21, 2007 8:36 pm
โดย Newbee
:roll: สุดยอดเลยครับ ได้ข้อสรุปของกูรู หลายๆท่าน