Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

ผมมีญาติผู้ใหญ่ที่เกษียณอายุแล้ว (อายุ 60 ปี ) และมีเงินเย็นที่กำลังจะได้คืนจากพันธบัตรรัฐบาลประมาณ 2ล้าน5แสนบาท

เค้ามาขอคำแนะนำว่า อยากนำเงินที่จะได้คืนมาส่วนนี้ลงทุนที่ได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยจากการฝากประจำ ซึ่งตอนนี้ 2% กว่าๆ และก็มากกว่าซื้อพันธบัตร หรือ กองทุนตราสารหนี้

(เค้าอยากได้ เกิน 7%และกำลังคิดว่าจะลงทุนในหุ้นเพราะได้ปันผลพอๆผลตอบแทนที่ต้องการ แต่กลัวหุ้น เพราะไม่รู้ และไม่เคย กลัวเจ๊ง)

เพื่อนช่วยแนะนำจัดพอร์ตให้หน่อยครับ โดยมี เงื่อนไขว่า

1. ชั่วชีวิตนี้จะไม่ขายหุ้นเลย ไม่จำเป็นต้องมีสภาพคล่อง จะเอาเงินปันผลใช้เลี้ยงชีวิต ประมาณ 15000 บาทต่อเดือน เครดิตภาษี ถือเป็นโบนัสเอาไว้ไปเที่ยว

2. มี margin of safety พอสมควร หลังจากซื้อแล้ว มูลค่าพอร์ตไม่ลดลงเกิน 5%  ของเงินต้น บริษัทไม่เจ๊ง  แต่ไม่จำเป็นต้องโตหวือหวา เน้นแค่ว่า (เงินต้นไม่ลดลงพอ)

รบกวนเพื่อนๆด้วยครับ

ขอบคุณครับ

ปล.ช่วย weight เป็น%ของมูลค่าพอร์ตให้ด้วยครับ

1. ชั่วชีวิตนี้จะไม่ขายหุ้นเลย

เสียวแทนครับ  เงื่อนไขข้อนี้  เกิดพื้นฐานเปลี่ยน  เลวร้ายลงมากๆ ...........  

ความย่อยยับจะมาเยือน .............


อย่ายึดมั่น   ถือมั่น !!!!!


2.มูลค่าพอร์ตไม่ลดลงเกิน 5%  ของเงินต้น

ใครจะกล้าการันตีครับ ...............

ptt scc egco ratch ครับ
ภายใต้เงื่อนใข

1.ควรติดตามความก้าวหน้ากิจการบ้าง
2.รับประกันได้ว่าถึงขาดทุนก็เหลือเงินไม่ต่ำกว่า 5% ของเงินต้นครับ :lol:  :lol:

เกรงว่าอาจจะมีใครแอบมาเชียร์หุ้นตัวเองน่ะสิครับ :lol: โพสกันโต้งๆ มันเจี๋ยวนะครับ :lol:

อายุ 60 แล้วไม่ควรเล่นหุ้นนะในความเห็นส่วนตัว ยกเว้นจะมีเงินเยอะมากจนใช้ไม่มีวันหมด

ถ้าอยากได้ yield สูงขึ้น ต้องอย่าลืมด้วยกว่าโอกาสขาดทุนจะเพิ่มขึ้นไปด้วยเป็นเงาตามตัว

น่าจะลงทุนใน asset class ที่เงินต้นยังอยู่ แต่ให้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากธนาคารเท่านั้น

ซื้อพวกหุ้นกู้ระยะยาว investment grade ที่ให้ดอกเบี้ยสูงหน่อยก็พอไหว

TFUND ฟันธง ...  :lol:

ผมแนะนำไปทาง ตราสารหนี้มากกว่าครับ ความเสี่ยงก็น้อยกว่าตลาดทุนเลย ดอกเบี้ยผมว่าก็พอใช้ได้นะ พวกหุ้นกู้ของบริษัท เรท  a อะครับ

แนะนำให้ญาติท่านนั้นไปอ่านหนังสือของ อ.เทพ รุ่งธนาภิรมย์ (กลยุทธ์หุ้นห่านทองคำ หรือ หุ้นปันผล) ชัก 3 รอบ ก่อนครับ น่าจะพอดีที่ได้เงินมาจากพันธบัตรรัฐบาล ตอนนั้นค่อยให้ท่านตัดสินใจเอาว่า ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

[quote="LOSO"]1. ชั่วชีวิตนี้จะไม่ขายหุ้นเลย

เสียวแทนครับ

ถ้าเป็นหุ้น น่าจะเป็หุ้นที่บ.เอากำไรเกือบทั้งหมดมาจ่ายปันผล ขยายงานได้โดยใช้เงินลงทุนไม่มาก ผู้บริหารมีธรรมาภิบาล se-ed น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีครับ

ผมไม่ได้ถือนะครับ

ผมว่าซื้อหุ้น คงไม่ค่อยเหมาะมั้งครับ เพราะหุ้นมันก็เสี่ยงสูงนะครับ ผมว่ากรณีนี้ ถ้าเกษียณแล้ว และไม่คิดจะขายในเวลาอันใกล้ แล้วอยากได้ดอกผมเอามาใช้จ่ายประจำละก็
ผมว่ากองทุนอสังหาริมทรัพย์ น่าจะเหมาะกว่า ครับ
เพราะ
  1) ดอกผมที่เค้าจะจ่ายประจำปีน่าจะประมาณ 7-10 %
  2) จ่ายปันผลเป็นรายไตรมาส ส่วนหุ้น ส่วนใหญ่จะจ่ายปีละครั้ง ไม่ก็ปีละ 2 ครั้ง กว่าจะได้เงินก็ค่อนข้างนาน

ดังนั้น แม้ส่วนใหญ่จะเป้นกองทุน แบบ LEASE ก้ไม่น่าจะมีปัญหานะครับ เพราะเราก็จะมีดอกผลไว้กินระยะยาว

แต่ว่าก็ลงไว้หลายๆกองละกันครับ แล้วก็ศึกษาดีดี นะครับ

                                                                      ขอให้โชคดีครับ

ผมว่าท่านกลับไปซื้อพันธบัตรชุดใหม่น่าจะง่ายกว่านะครับ ด้วยเหตุผลง่าย ๆ

1. ความเสี่ยงต่ำ
2. ไม่มีหุ้นใหนที่จ่าย 7% โดยห้ามเสี่ยงมากกว่า 5%
3. ท่านนั้นไม่มีความรู้เรื่องหุ้น

ความเสี่ยงก็คือ

เศรษฐกิจบ้านเรามันเป็นวัฏจักร เกิดอีก 5 ปี เศรษฐกิจล่ม หุ้นตกหนัก ด้วยวัย 65 ท่านจะทำอะไรกิน เอาเงินที่ไหนมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่ารักษาพยาบาล ผมเชื่อว่า ถ้าท่านอยู่ได้ถึงอย่างน้อย 80 จะต้องเจอ 2 สิ่ง คือ 1. ค่าใช้จ่ายโรงพยาบาล 2. เศรษฐกิจขาลง

สำหรับกรณีนี้ ผมก็คิดถึง se-ed กับ tfund เหมือนกัน

แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีหุ้นทั้ง2ตัวเหมือนกันครับ....ไม่การันตีด้วยนะครับ... 8)

ความเห็นผมนะ หุ้นไม่ได้เสี่ยงไปมากกว่าการลงทุนอย่างอื่น โดยเฉพาะถ้าถือยาวขึ้นเรื่อย ๆ กับบริษัทดี ๆ ความเสี่ยงจะต่ำมาก

แต่คนมักรวม "ความผันผวนของราคาหุ้น (ไม่ใช่มูลค่าหุ้น)" ไปกับความเสี่ยงด้วย

ถ้าจะลงทุนตามเงื่อนไขแบบนี้คือ ต้องสร้างรายได้ปีละ 180,000 บาทจากเงินต้นสองล้านห้า

คือต้องมี yield 7.2%

ผมแนะนำว่า

1. มองหาบริษัทที่มั่นคง จ่ายปันผลแน่นอนและมี yield สูงขนาดนี้ ผมดูแล้วอาจจะเหลือแค่ไม่กี่บริษัท SE-ED ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่ดีมาก
2. ปรับเกณฑ์ให้ยอมรับความผันผวนให้มากกว่า 5% ได้หรือไม่ (เช่น 20%) ถ้ายอมรับได้ ก็น่าซื้อ
3. ถ้ายอมรับไม่ได้ หรือได้ยาก ก็ต้องเฝ้ารอจนกว่าจะเกิดสถานการณ์พิเศษให้เกิด margin of safety สูงมาก กรณีนี้ต้องเอาเงินไปดองไว้ที่กองทุนตราสารหนี้ก่อน แล้วรออย่างเดียว อย่างไรก็ดี ไม่มีใครรับรองได้ว่าสถานการณ์มันจะมาเมื่อไหร่ และราคาตอนนี้มันจะยังรอเราอยู่หรือไม่

ความเห็นผม
วัยหลังเกษียณไม่ควรนำมาลงทุนในหุ้นทั้งหมดครับ
ถึงตลาดจะไม่ผันผวน แต่สุขภาพมันทรุดโทรมตามเวลานะครับ
เผื่อเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา แล้วหุ้นที่ถือมีแต่แบบไม่มีสภาพคล่องจะแย่เอา
ลงหุ้นบ้าง พันธบัตรบ้าง กองทุนบ้าง กระจายความเสี่ยงจะดีกว่าไหมครับ
ส่วนชื่อหุ้นตามเงื่อนไข ผมขอ scc ตัวนึงล่ะ ไม่เจ๊งแน่ๆ ปันผลสม่ำเสมอ แต่ดูจังหวะซื้อด้วยนะครับ

อตร.อย่างมากๆ
เพราะ
1. บุคคลนี้ไม่มีความรู้เรื่องการลงทุน นอกเหนือจากการฝากประจำ ทำให้ต้องสะสมเวลาอีกหลายปี
2. บุคคลนี้ อายุมาก ทำให้การรับรู้อาจจะต่ำมาก (ไม่ยอมรับรู้อะไรใหม่) จุดนี้แก้ไขได้ คือ ยิงเรื่อง สติอย่างเดียว โฟกัสในสิ่งที่ต้องการ
3. บุคคลนี้ ณ ตอนนี้ ต้องการผลตอบแทนสูง แต่ไม่ยอมรับความเสี่ยงสูงไปด้วย อย่างนี้ต้องบอกว่า โอกาสที่ได้น้อยมากๆ
จบความ

บอกญาติว่าเติมรสชาดให้ชีวิต ใส่ซอสภูเขา...

นึกถึง itv ตอนรุ่งๆ ที่ 30 บาท มีแต่ข่าวดี น่าถือจังเลยนิ

ผมส่ง SAUCE เข้าประกวด
ผมไม่มีนะครับเจ้า SAUCE นี่ ขอออกตัวครับ
แต่จริงๆแล้วอายุเยอะไม่ควรหาเรื่องเครียดจากหุ้นครับ

ถ้าจะเกษียณ แต่เป็นคนที่ยังดูแข็งแรงอยู่

แนะนำให้สอนให้เล่นเน็ตเป็น แล้วเข้ามาอ่านในเว็บนี้ครับ

ไม่ก็เอาหนังสือเกี่ยวกับแนว vi ให้อ่านไปครับ ไม่งั้นเละแน่ๆ

แต่ถ้าซื้อแบบไม่หวังขายจริงๆ ผมว่า ptt กับ scc เพราะเป็นบริษัทรายใหญ่สัมพันธ์ระดับเศรษฐกิจของชาติ ไม่น่าพังง่ายๆ อย่างดีก็เจอยุคขาลงบ้าง

BHT เขียน: แต่ถ้าซื้อแบบไม่หวังขายจริงๆ ผมว่า ptt กับ scc เพราะเป็นบริษัทรายใหญ่สัมพันธ์ระดับเศรษฐกิจของชาติ ไม่น่าพังง่ายๆ อย่างดีก็เจอยุคขาลงบ้าง

8) เห็นด้วยกับ ptt ตัวเดียวครับ
    ปูนใหญ่เหลือแต่อดูดเอ๊ยอดีตแล้วครับ

ฟันธง TFUND ด้วยคน ถ้าไม่ติดว่าจะมีการเพิ่มทุน ซื้อตอนนี้ได้ปันผล ~8% แถมเป็น Freehold เก็บกินค่าเช่าไปเลย

มันขึ้นอยู่กับว่าต้องการรายได้เท่าไหร่ นี่ครับเพื่อเพียงพอค่าใช้จ่าย แล้วค่อยลองหาผลตอบแทนที่ต้องการดู

5%
10%
15%
20%

มี Products ที่ให้ผลตอบแทนต่างๆกันอยู่แล้วครับ

อันนี้รอข้อมูลเพิ่มเติม

ขอบคุณทุกๆท่านครับ สำหรับคำแนะนำ

ได้ข้อสรุปดังนี้

1.อย่ายึดมั่นถือมั่น ... สรรพเพ ธัมมา นารัง อภินิเวสายะ(สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น)

2.หันไปดู การลงทุนอื่นที่ปลอดภัยกว่าหุ้น

3. ถ้าสรุปแล้วยังเป็นหุ้นก็ ไปดูและศึกษา TFUND SAUCE SE-ED รอเวลาที่ margin of safety เยอะหน่อย

4. ให้ญาติผู้ใหญ่ศึกษาเรื่องหุ้นก่อน (อันนี้คงจะยากอ่ะครับ คือ คนแก่มีหลายจำพวก บางคนก็ชอบหาอะไรใหม่ บางคนก็ไม่อยากคิดอะไรมากแล้ว และเค้าแค่ต้องการ ให้เงินไปซื้อให้เค้า แบบว่าเชื่อใจเรามากๆ)

จริงๆ ญาติคนนี้ มีเงินเย็น ประมาณ สิบล้าน อ่ะครับ แต่อยู่ในกองตราสารหนี้ พันธบัตร แล้ว แต่เค้าอยากได้ผลตอบแทนดีกว่า จากเงินที่คืนจากพันธบัตร 2ล้าน5แสนบาท แล้วเงิน จำนวนนี้ ก็ต้องการผลตอบแทนแบบที่ผมบอก อ่ะครับ ผมว่าเอาเงินมาลงหุ้น เพียง 1/4 ก็ถือว่า ไม่เสี่ยงมากไปสำหรับวัยเกษียณ นะครับ แล้วหุ้นที่เลือกก็เอาแบบเหมาะกับวัยเกษียณสุดๆไปเลย มันก็คงไม่ถึงกับละลายไปหมดมั้งครับ  :lol:

ขอบคุณพี่ๆอีกครั้งครับ  :D

ถ้าเงินลงทุนนี่เป็นแค่ 25% ของเงินทั้งหมด

ผมว่าซื้อกองทุนดีๆ สักกอง
หรือหาคนแถวๆ นี้มาบริหารเงินให้น่าจะโอเคนะครับ

แต่ต้องรับความเสี่ยงของเงินต้นได้มากกว่านี้ จาก 5% เป็น 50% ได้ไหมล่ะ
:lol:  :lol:  :lol:

จากข้อมูลที่ให้มา
พอที่จะสรุปได้ว่า ญาติผู้ใหญ่ท่านนี้
1. จะไม่มีรายได้เเล้ว และในทางตรงกันข้ามจะมีเเต่รายจ่าย
2. ไม่มีความรู้กี่ยวกับหุ้น(เลย)
3. กลัวขาดทุนสุดๆ เเบบว่าเจ็งไม่ได้(อาจนอนไม่หลับ หรือเป็นโรคเครียดได้เมื่อเงินเงินต้นบางส่วนหายไป)
ในความห็นผม ควรจะมีหลักการลงทุน  คือ
1. เจ๊งไม่ได้ (แม้ว่าประทศไทยจะเกิดสงครามกลางมือง)
2. มีรายได้จากการลงทุนระดับหนึ่ง
3. ผลตอบแทนจากกางลงทุนที่หนีเงินเฟ้อได้
4. การลงทุนไม่ควรทำให้เกิดความไม่สบายใจ เครียด
แบบนอนหลับอย่างสบายใจได้

ขอเเนะนำจากผู้มีประสบการณ์น้อยๆอย่างผมนะครับ
คือ
ควรลงทุนในเชิงฝาก เช่น เงินฝากในธนาคารระยะยาว  ตราสารหนี้ พันธบัตร ในระยะยาวระดับหนึ่ง (อาจ 3 หรือ 5 ปี หรือมากกว่านั้น) เพื่อจะได้มีผลตอบแทนที่มากขึ้น
เเละควรหลีกเลี่ยงหุ้นครับ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่ให้ปันผลดี หรือ blue chip หรือ อื่น  เพราะเราซื้อหุ้นผ่านราคา ไม่รู้ว่าราคาจะเป็นอย่างไรบ้างในอนาคต จะมีการเปลี่ยนแปลงในเชิงลบจนผลตอบเเทนจากเงินปันผลดูไม่คุ้ม (เอาซะเลย) ก็ได้



เเละสุดท้าย
ทีสำคัญ ควรลงทุนในสุขภาพให้มากครับ

ลืมบอกไป ... TFUND ไม่ใช่หุ้นนะครับ เป็นกองทุนอสังหา ความเสี่ยงจะน้อยกว่าหุ้นหน่อยครับ แต่ผลตอบแทนก็คงไม่สูงมาก ปันผลประมาณปีละ 8%