หน้า 1 จากทั้งหมด 2

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 9:48 am
โดย สุมาอี้
หุ้นไทยอาจทะลุ1,000จุดกลางปีหน้า ถ้าไม่เลื่อนเลือกตั้ง

30 มิถุนายน พ.ศ. 2550 16:45:00


ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีสิทธิ์ทะลุ 1,000 จุด หากรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติ และมีการเลือกตั้งได้ตามกำหนดเวลาที่วางไว้

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดร.ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยอยู่ในช่วงจุดหักเหที่สำคัญ ซึ่งหากร่างธรรมนูญได้รับการลงประชามติ มีการเลือกตั้งตามกำหนดเวลาที่วางไว้ และมีรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตย เศรษฐิจไทยก็จะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ถ้าหากเกิดการสะดุดระหว่างทาง เศรษฐกิจก็มีโอกาสที่จะชะลอตัวลงต่อ เพราะขณะนี้การใช้จ่ายในประเทศยังชะลอตัว เพื่อรอการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ หากมีการเลือกตั้งภายในปีนี้ ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสที่จะทะลุถึง 900 จุด และถึง 1,000 จุด ในกลางปี 2551 เนื่องจากยังมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติอีกไม่ต่ำกว่า 100,000 ล้านบาท ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย เพราะราคาหุ้นไทยยังถูก และราคาหุ้นเกี่ยวกับโภคภัณฑ์ยังต่ำ ดังนั้น นักลงทุนต่างชาติจึงยังมองเห็นโอกาสที่จะเข้าลงทุน

ดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสปรับขึ้นได้อีกถึงระดับ 1,350 จุด หากเทียบเคียงกับดัชนีหุ้นในตลาดหุ้นย่านเอเชียที่ทำสถิติสูงสุด หรือหากเทียบกับตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสปรับขึ้นไป 1,050 จุด หากรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติ และมีการเลือกตั้งได้ตามกำหนดเวลาที่วางไว้ เพราะมีเพียงประเด็นทางการเมืองที่นักลงทุนยังรอความชัดเจนดร.ก้องเกียรติ กล่าว

ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวอีกว่า แม้ว่าการส่งออกในครึ่งปีแรกจะขยายตัวได้ดี แต่ก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะยอดการส่งออกส่วนใหญ่เป็นของบริษัทข้ามชาติในอุตสาหกรรมรถยนต์ ฮาร์ดดิสก์ และอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่เอกชนไทยประสบปัญหาขายสินค้าในประเทศไม่ได้ จึงต้องเร่งส่งออกทดแทน ดังนั้น เอกชนไทยจะต้องปรับตัว สร้างสินค้าส่งออกที่มูลค่าเพิ่ม และไม่อยากให้พึ่งพิงการอ่อนค่าของเงินบาท เพราะคงเป็นไปได้ยากที่เงินบาทจะอ่อนค่ามาถึงระดับ 38-39 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ เหมือนในอดีตที่ผ่านมา
เอาไงดีครับ ควรล้างพอร์ตหรือเปล่า

Re: สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 9:58 am
โดย dino
สุมาอี้ เขียน: เอาไงดีครับ ควรล้างพอร์ตหรือเปล่า




:lovl:  :lovl:  :lovl:  :lovl:  :lovl:

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 10:18 am
โดย thawattt
คุณสุมาอี้
เอาไงดีครับ ควรล้างพอร์ตหรือเปล่า
จะล้างพอร์ตแล้วหรือครับ แล้วจะเอาเงินไปทำอะไรดีหละครับ  อิ อิ   :lol:


แล้วความเห็นเรื่องหุ้นกับแมลงวันนี่

แม้จะเห็นกันชัดขนาดนี้ว่าควรออมเงินระยะยาวของเราไว้ในหุ้น แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไม่กล้าออมเงินไว้ในหุ้นอยู่ดี ด้วยเหตุผลข้อเดียวก็คือ เรารู้สึกกลัวความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้น ทั้งที่รู้ว่าในระยะยาวแล้วมันจะให้ผลตอบแทนสูงกว่าวิธีอื่นอย่างมากก็ตาม  เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน กล่าวว่า "เมื่อร้อยปีก่อนดาวโจนส์อยู่ที่ 100 จุด ตอนนี้อยู่ที่ 10000 จุด และอีกหนึ่งร้อยปีข้างหน้ามันจะต้องอยู่ที่ 1 ล้านจุดอย่างแน่นอน มันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้าคุณเป็นคนมีเหตุผลคุณควรเก็บเงินเกษียณของคุณไว้ในหุ้นตลอดเวลา"
ความเห็นนี้ยังใช้ได้รึเปล่าครับ  แหะ แหะ อ่านบทความของคุณสุมาอี้ กำลังนำไปใช้ลงทุนกับหุ้นบางตัวอยู่เลยครับ อ่านคำแนะนำตามข่าวนี้ เลยรุ้สึกหวั่นไหว อะ :lol:

พูดเล่นนะครับ  :rofl:

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 10:25 am
โดย javidol
:rofl:  :rofl:  :rofl:

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 11:45 am
โดย naris
ที่คุณสุมาอี้กลัวกับผมกลัวไม่รู้ตรงกันหรือเปล่า

ผมกลัวว่าหุ้นมีโอกาสไปจริงๆ จากการมองโลกในแง่ดีมากๆจาก
-รัฐธรรมนูญผ่าน
-มีการเลือกตั้ง
-มีรัฐบาลใหม่
-มีเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ
-ดอกเบี้ยถึงจุดต่ำสุด
-ดัชนีความเชื่อมั่นปลายปีฟื้น
-ภาคใต้เริ่มสงบ
(ถ้าไม่มีระเบิดอีกรอบนะครับ)

แต่ที่ผมห่วงคือ SETวิ่งเป็นกระทิง แต่ตัวที่ผมถือลงทุนมันจะไม่ไปนี่แหละครับ :lol: ตั้งแต่ผมลงทุนมายังไม่เจอสภาวะนี้เลย ยังไม่รู้ใจตนเองจะทนความรบเร้าได้เท่าไหร่

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 12:39 pm
โดย สุมาอี้
อันที่จริงผมก็เชื่อว่าหุ้นไทยน่าจะมีโอกาสวิ่งมากๆ ได้

บางทีเราแปลกใจว่าทำไมรัฐประหารแล้วหุ้นลงน้อย แต่ที่จริงแล้ว ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดหุ้นไม่ได้มีแค่การเมืองอย่างเดียว การที่หุ้นลงมาแค่ 630 อาจเป็นเพราะปัจจัยอย่างอื่นได้เปลี่ยนแปลงไปในช่วงที่ผ่านมาด้วย ทำให้ที่จริงหุ้นจะต้องไปอยู่ที่ 900 จุดแล้วถ้าไม่มีรัฐประหาร แต่มีรัฐประหารก็เลยแค่ไม่ไปไหนเท่านั้น ไม่ได้ลดลงมาก ถ้าเราใช้วิธีเทียบกับอดีตในการตัดสินว่าหุ้นถูกหรือแพงเราจะงงว่าทำไมหุ้นจึงไม่ค่อยลงเมื่อเกิดรัฐประหาร จริงๆ แล้วปัจจัยอื่นๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ การทำนายดัชนีจึงเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 3:23 pm
โดย miracle
มีสองทางครับตอนนี้
1. รธน ผ่าน
2. รธน ไม่ผ่าน

ถ้าผ่านเกิดเหตุการณ์ต่อไปคือ
1. กฏหมายลูกต้องทำเสร็จภายในสามเดือน
2. พรรคต้องเปิดหาเสียง
3. วันเลือกตั้งช่วงเดือน พย. 2550 เป็นไปได้ยาก เพราะสองข้อข้างบน ถ้าเป็นเดือน ธันวาคม 2550 เป็นไปได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับ พรรคการเมืองว่าพร้อมหรือเปล่า และที่สำคัญคือ คณะกรรมการเลือกตั้งพร้อมหรือเปล่า
วันนี้เห็นข่าวจาก Bangkoko Post ขึ้นหน้าหนึ่ง อาจจะมีเลื่อนไปเป็น มค 2551 ก็ได้น่าครับ

ถ้า ไม่ผ่าน
1. เอากฏหมาย รธน ฉบับเก่ามาแก้ไข ภายใน 30-60 วัน(จำตัวเนื้อหา รธน ฉบับ 2549 ไม่ได้ชัดเจน)
2. ออกกฏหมายลูก อีก 90 วัน
ถ้าเป็นแนวทางนี้ อาจจะเลยไป ไม่ใช่ปลายปี 2550 หรือเดือน มค 2551
แล้ว

ทุกอย่างที่พิมพ์ข้างบนคือ ความคิดเห็นส่วนตัว ที่ประมวลจากหนังสือพิมพ์ที่ให้ข่าวน่าครับ

และกรุณาวิจารณ์อย่างเป็นกลางด้วย

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 4:34 pm
โดย phobenius
อย่าประมาทครับ เดาสิบครับ ถ้าผิดสิบครั้ง ก็เก่งเกินไปแล้วละครับ

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 4:57 pm
โดย teetotal
เดือน ธค จะมีงานฉลองใหญ่นะครับ
ปลาย พย และ ต้น ธค จะเตรียมความพร้อมได้หรือเปล่าครับ
ผมคิดว่า อาจเลือกตั้งปีหน้ามากกว่านะครับ

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 7:43 pm
โดย CEO
2000 จุดครับ ไม่ใช่ 1000 ดร ก้องคงเมาตอนพูด

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 8:37 pm
โดย Mon money
อย่าลืมว่าpostของASPใหญ่ไม่น้อยนะครับ

Re: สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 01, 2007 8:55 pm
โดย leksmile
สุมาอี้ เขียน: เอาไงดีครับ ควรล้างพอร์ตหรือเปล่า
เรื่องนี้ถือเป็นโจ๊กในตลาดหุ้นมานานแล้ว และถือเป็นตำนานขอตลาดหุ้นไทยด้วย เมื่อตอน set ขึ้นในครั้งอดีต ท่าน ดร. คนนี้ออกมาพูดว่าจะไปอีกไกลแสนไกลหบังจากนั้น set ก็หัวปักดิน

หลังจากนั้นก็เห็นแบบนี้บ่อยๆกับ ดร. คนนี้ ในหุ้นรายตัวหลายตัว

ถ้าผมจำได้ว่าเขาถูกแบบได้เนื้อได้หนังจะมีอยู่ตัวเดียวมั้ง delta

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:23 am
โดย Ryuga
อ่าน แล้วงงงง :lol: มันน่ากลัวตรงไหนเหรอครับ หลายคนก็ออกจะชอบ :D

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:38 am
โดย metro
หมอยง เคยพูดไว้ว่า "ให้ซื้อหุ้นเมื่อ ... (ผมจำไม่ได้ครับ) และให้ขายตอน ดร ก้องเกียรติ ออกมาพูดว่า SET จะไป xxx จุด" จังหวะขายคงมาถึงแล้วครับ

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:40 am
โดย คนเรือ VI
อืมม ออกมาปั่นอารมณ์ให้เทรดเยอะๆหรือเปล่า

สงสัยกลัวงบจะออกมาไม่ค่อยดี มาช่วยกันเทรดหน่อยเร็ว

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 3:37 am
โดย X-Cannon
มันจะเป็นเพราะเค้ามีข้อมูลว่าตลาดกำลังจะแย่
เหมือนให้กำลังใจกลายๆ หลอกให้นักลงทุนสบายใจ

เพราะก่อนหน้านี้ตามเรื่องทอง
นายกสมาคมค้าทองออกมาบอกราคาทองจะวิ่งขึ้นไปสุดกู่
ก็หัวทิ่มทุกทีเหมือนกันจนเป็นสัญญาณเตือนภัยไปแล้ว

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 9:17 am
โดย ต.หยวนเปียว
5555555 ผมก็อ่านเจอเซียนก้องออกมาแว้ววว

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 9:42 am
โดย triathlon
teetotal เขียน:เดือน ธค จะมีงานฉลองใหญ่นะครับ
ปลาย พย และ ต้น ธค จะเตรียมความพร้อมได้หรือเปล่าครับ
ผมคิดว่า อาจเลือกตั้งปีหน้ามากกว่านะครับ
อืม แล้วทำไมคนอังกฤษเขารู้ตัวัต้งหลายเดือนว่ากรกฏานี้จะได้นายกใหม่ อเมริกาเลือกตั้งประธานาธิบดีเดือนพย แต่สาบานตนเดือนมกรา :?:
แค่ปูนซิเมนตืไทย ประกาศตั้ง กจกคนใหม่ล่วงหน้าได้ตั้งนาน
งานวันสำคัญขนาดนั้น นายกใหม่ก็นายกใหม่เถอะ กล้าเปลี่ยนแปลง กล้าทำอะไรที่มันเสื่อมเสียถึงพระราชพิธีหรือ
เลือกตั้งแล้ว รอโปรดเกล้าหลังพระราชพิธีก็ไม่มีปัญหา
ข้ออ้างที่ยิ่งกว่าฟังไม่ขึ้น

อิอิอิ ลงขันกันดีกว่า ปีนี้ไม่มีเลือกตั้งหรอก ใครลงขันบ้างถ้ามีภายในปีนี้ ใครอยู่ฝั่งพี่เลี้ยงฟูจิ แต่ถ้าไม่มี อีกฝั่งเลี้ยงกลับ
แฮะๆๆๆ แต่ถ้าอยู่ฝั่งตรงข้ามเยอะๆนี่ ขอคิดก่อนตามหลักกระจายความเสี่ยง :wink:

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 10:18 am
โดย Blueblood
:lol:  :lol:  :lol:  :lol:  :lol:

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 10:33 am
โดย nanchan
พูดผิดมาหลายครั้ง อาจจะถูกซักครั้งก็ได้  :lol:

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 11:34 am
โดย tummeng
งวดนี้อยากให้ ดร.ทายถูกจัง

อยากเห็นตลาดหุ้นหลักพันอีกสักครั้ง

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:09 pm
โดย tae_2323
เห็นหมอดูที่ทำนายว่าทักษิณจะไม่มีแผ่นดินอยู่
ฟันธงว่าจะไม่มีเลือกตั้งปีนี้ครับ
ดูกันเองละกันว่าเเม่นไหม

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:11 pm
โดย CK
ท่านแม่ทัพไม่ต้องตื่นตระหนกไปครับ

ดร.แกพูดว่า "อาจจะ" เฉยๆ ครับ

ไว้แกพูดว่า "SET จะไป x,xxx ภายใน xxx แน่ๆ"
ก็สมควร take action ครับ

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:55 pm
โดย ลูกอิสาน

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 12:56 pm
โดย ลูกอิสาน


           เกาะติด Modernized "Dealmaker" ก้องเกียรติ โอภาสวงการ กับกระแสร้อนๆ
           "เอ็ม & เอ"

           สัมภาษณ์

           ชื่อ "ก้องเกียรติ โอภาสวงการ" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชียพลัส
           จำกัด (มหาชน) เคยถูกตั้งฉายาเป็น "มิสเตอร์ K" ในตลาดหุ้น วันนี้ชื่อ
           "ก้องเกียรติ" ยังเป็นที่จับตาของทั้งขาใหญ่ขาเล็ก และดีลหลายๆ
           ดีลโดยเฉพาะการเทกโอเวอร์
           การควบรวมกิจการที่เกิดขึ้นมักจะมีชื่อนี้เข้าไปเกี่ยวข้อง
           บางดีลเข้าไปทำจริงแต่บางดีลก็เป็นกระแสข่าวลือว่าเป็นผู้อยู่หลังฉาก
           ซึ่ง ดร.ก้องเกียรติให้นิยามอาชีพและบทบาทของตัวเองกับ
           "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า "ผมเป็นดีลเมกเกอร์"

           "จากประสบการณ์ของผมบอกได้เลย จังหวะที่ดีๆ
           มันเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในชีวิต จังหวะดีๆ ที่คุณขายของขายได้แพงๆ
           มันไม่มีโอกาสหวนกลับมาเป็นครั้งที่ 2
           หากคุณทิ้งมันไปคุณจะไม่ได้เห็นมันอีกในชีวิต"

           - ทำไมระยะนี้มีการซื้อขายกิจการกันเยอะแยะ

           ปี 2548 มี M & A ทั่วโลก 25,000 ดีล (นี่ยังไม่ครบปีนะ) คิดเป็นมูลค่า
           80 ล้านล้านบาท เทียบกับปี 2547 ประมาณ 21,000 ดีลทั่วโลก มูลค่า 68
           ล้านล้านบาท แต่ถ้าเป็นในเอเชีย-แปซิฟิก ปี 2548
           เป็นปีที่กระโดดสูงสุดมูลค่าการควบรวม 15 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39%
           มีจำนวน 7,000 รายการ เพิ่มขึ้น 50% สูงสุดในประวัติศาสตร์
           โดยที่ญี่ปุ่นมี M & A โตเร็วที่สุดในโลก มูลค่าดีลสูงขึ้น 87%
           จำนวนรายการเพิ่มขึ้น 58% เทียบกับปี 2547 ถือว่ากระโดดมาก
           กลายเป็นการทำ M & A อันดับ 3 ของโลกรองจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ
           ที่น่าสังเกตคือในญี่ปุ่นมีการควบรวมแบบไม่เป็นมิตรด้วย
           เป็นที่นิยมมากตอนนี้ คิดดูคนเอเชียที่มักจะหน้าบาง เกรงอกเกรงใจ
           แต่ญี่ปุ่นไม่แล้ว

           ข้อดีของการเทกโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตรคืออะไร...จะไม่มีหุ้นพี/อีต่ำเหลืออยู่เลย
           ฉะนั้นที่พูดว่าพี/อีเมืองไทยทำไมต่ำ
           ส่วนหนึ่งต้องส่งเสริมให้มีการควบรวมแบบไม่เป็นมิตร
           เพื่อให้เจ้าของกิจการต้องทำการบ้านให้หนักไม่ใช่หลับๆ ตื่นๆ
           คุณต้องดูแลกิจการของคุณไม่ให้หุ้นถูกเกินไป
           ต้องมีการประชาสัมพันธ์ให้นักลงทุนเข้าใจกิจการของคุณ
           เพื่อให้ราคาสมบูรณ์
           พี/อีถึงเหมาะสมกับเซ็กเตอร์ของเขาไม่ใช่ปล่อยให้หุ้นแห้งตายคากระดาน

           - ทำไมญี่ปุ่นเปลี่ยนทัศนคติ

           การเทกโอเวอร์มีทั้งคนญี่ปุ่นด้วยกันเองหรือเป็นต่างประเทศเข้ามา
           เพราะตลาดเขาเปิดเสรีอยู่แล้ว
           คุณคงทำเแบบไม่เข้าข่ายมาตรฐานสากลในโลกนี้ไม่ได้
           ถ้าราคาโรงงานของคุณถูกเกินไป คนจะมาซื้อ
           เพราะมันเหมือนราคาคอมมอดิตี้อย่างหนึ่ง หรือโรงงานอื่นๆ
           ทั่วโลกมีอยู่แล้ว คนเปรียบเทียบได้ มันมีราคาอ้างอิง
           ทุกอย่างมีราคามาตรฐานอยู่แล้ว

           ผมว่าหลายบริษัทของไทยต้องทำการบ้านหนัก โดยเฉพาะบริษัทใหญ่ใน set 100
           หุ้นใหญ่ๆ ในบ้านเราในระดับต้นๆ พี/อีไม่ถึง 10 เลย
           ทำไมปล่อยให้เป็นอย่างนั้น ไม่งั้นพี/อีเฉลี่ยทั้งตลาดคงไม่อยู่ที่ 9
           เท่าหรอกเพราะหุ้นใหญ่ๆ ฉุดลง ขณะที่หุ้นซิ่งพี/อีเป็น 100 เท่า
           เพราะฉะนั้นถ้าจะพัฒนาตลาดทุนต้องฉุดพี/อีหุ้นใหญ่ให้ขึ้นไป
           อย่างน้อยเทียบเท่าพี/อีของบริษัทเดียวกันในภูมิภาคนี้เพื่อให้เปรียบเทียบได้
           ทำไมบริษัทไทยระดมทุนถูกกว่าประเทศอื่น ไม่ยุติธรรมเลย
           ทำไมนักลงทุนหุ้นในประเทศไทยได้รับผลตอบ
           แทนต่ำกว่านักลงทุนในประเทศอื่น

           - ที่บริษัทจดทะเบียนไม่สนใจเพราะอะไร

           ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไปโรดโชว์เมืองนอกมากไปโดยให้ความสนใจนักลงทุนไทยน้อยไป
           เรายังมีพวกกองทุนและนักลงทุนไทยก็อยากรู้รายละเอียด
           ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนต้องพบปะหารือนักวิเคราะห์อย่างสม่ำเสมอ
           ไม่งั้นราคาก็ไม่ไปไหน เพราะคนไม่เข้าใจธุรกิจของคุณ คนไม่กล้าลงทุน
           นอกจากนี้ก็เพิ่มฟรีโฟลต

           - สาเหตุที่ไทยมี M & A เยอะขึ้น

           ที่ผ่านมานักธุรกิจหลายคนเห็นถึงความสำคัญว่าทำอย่างไรให้ธุรกิจใหญ่เมื่อเทียบกับบริษัทข้ามชาติ
           คำว่าใหญ่ อาจจะเทียบกันยาก แต่ต้องใหญ่กว่าทุกวันนี้
           ถามว่าทำไมเราต้องเล็กกว่าประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกงทั้งๆ
           ที่เศรษฐกิจเราใหญ่กว่าเขา เป็นคำถามที่ต้องถามกลับไป
           ทางหนึ่งคือเพิ่มพี/อี แต่ถ้าหากทำยากก็ต้องสร้างเอง ซึ่งต้องใช้เวลา
           หรือไปซื้อสำเร็จรูป นักธุรกิจต้องเลือก
           การซื้อสำเร็จรูปมันเห็นของอยู่แล้ว

           การควบรวมคือการซื้อสำเร็จรูป เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่
           ประเทศที่พัฒนาก็จะทำให้ตัวเองโตไปเรื่อยๆ หาพันธมิตรทางธุรกิจ
           แต่เราเป็นประเทศกำลังพัฒนา หากจะนั่งเฉยๆ ไม่ตามเขาไป
           ในที่สุดช่องว่างระหว่างเรากับเขาก็จะกว้างขึ้นไปอีก
           จากที่กว้างอยู่แล้ว นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องควบรวม เพราะ
           1.ลดต้นทุนการผลิต 2.ขยายตลาดใหม่ที่ยังไปไม่ถึง
           3.หาคนที่เราไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่เก่ง เข้ามาเสริม

           การซื้อกิจการหากวิเคราะห์แล้วถูกกว่าสร้างใหม่
           และไม่มีคู่แข่งเพราะซื้อคู่แข่งมา เพราะฉะนั้น M & A
           เป็นอะไรสารพัดนึก มีเคสคลาสสิกหลาย
           เคสที่ไปซื้อของคู่แข่งมาแล้วฆ่าแบรนด์ทิ้ง อาทิ
           โฟร์โมสต์ที่ถูกวอลล์ซื้อมาแล้วฆ่าแบรนด์ทิ้ง
           ส่วนการเทกโอเวอร์แบบไม่เป็นมิตรบ้านเราไม่ค่อยนิยม

           - จริงๆ แล้วมันกำลังเป็นที่นิยมหรือ

           ผมว่ามันหนีไม่พ้น ช้า เร็ว เป็นมิตรบางทีก็คุยกันไม่รู้เรื่อง

           - ยิ่งไม่เป็นมิตรยิ่งไม่รู้เรื่อง

           ก็ไม่แน่ ถ้ามีผู้ถือหุ้นรายย่อยสนับสนุน
           หรือผู้ถือหุ้นสถาบันสนับสนุนอาจจะเวิร์กก็ได้
           เพราะทุกอย่างมันมีราคาคือบางทีการเป็นนักธุรกิจมันต้องมองถึงมูลค่ากิจการ
           อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าคุณขายคุณได้เงิน
           ได้ทรัพย์สินไปแล้วคุณไปทำอย่างอื่นที่มีผลตอบแทนที่ดีกว่าที่คุณทำเองก็ได้
           การยึดติดมันเริ่มค่อยๆ หมดไปกับคนรุ่นใหม่
           คือคนรุ่นเก่าอาจจะรู้สึกว่าหน้าบาง
           ยังมีความแคร์เรื่องหน้าตาว่าปั้นมากับมือทำไมปล่อยให้คนซื้อไป
           แต่รุ่นลูกคงไม่คิดอย่างนั้น หากธุรกิจมีมูลค่า 100 ล้าน
           แต่มีคนมาขอซื้อ 150 ล้านบาท ถามว่าคุณไม่ขายหรือ คุณเอาเงิน 150
           ไปทำอย่างอื่น บางทีตัวเลขทางการเงินไม่ใช่หน้าตา

           - เหมือนที่มีคน exit อย่างดีแทค

           หลายๆ ครั้งมีเหตุผล ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ หากมองไปข้างหน้าว่า
           ถ้าทำต่อไปอย่างธุรกิจมือถือ ต้องลงทุนในเครือข่าย ต้องเพิ่มทุนอีก
           ซึ่งธุรกิจมือถือต้องลงทุนมหาศาล เป็นเกมของบริษัทระดับโลก
           ไม่ใช่บริษัทระดับประเทศ ระดับภูมิภาคยังไม่ใช่เลย
           มันต้องเป็นเกมของบริษัทระดับโลก ต้องลงทุนเป็นล้านๆ
           มันไม่ใช่ตัวเลขเล่นๆ แล้วตระกูลไหนที่มีเงินขนาดนั้น
           หากมีเงินขนาดนั้นก็คงไม่ฉลาด สู้ไปทำอย่างอื่นดีกว่า ไม่เหนื่อยด้วย
           ธุรกิจทุกอย่างมันขายได้อยู่แล้ว

           ธุรกิจมือถือมันชัดเจน ดูตัวเองเทียบกับยักษ์ใหญ่ของโลกตัวเล็กนิดเดียว
           อย่างดีแทคเมื่อเทียบกับบริษัทระดับโลก ขายดีกว่า

           - จากนี้ไปบรรษัทข้ามชาติจะรุกเข้ามาหมด

           ก็เฉพาะบางเซ็กเตอร์ที่บริษัทข้ามชาติเข้ามาแล้วเสริมต่อยอดธุรกิจของเขาได้
           ไม่เฉพาะต่อยอดในเมืองไทย เขาต่อทั้งโลก หลายครั้งที่เขาซื้อ
           พนักงานคนไทยยังอยู่ส่วนใหญ่ อาจจะเปลี่ยนบอร์ดบางคน
           เราเองก็ต้องพัฒนาบุคลากร ของเรายังขาดเยอะในทุกๆ เรื่อง

           - เทรนด์การควบรวมจะไปอยู่ในเซ็กเตอร์ไหน

           มีทุกเซ็กเตอร์ ยังนึกไม่ออกว่าเซ็กเตอร์ไหนไม่มี
           อะไรที่มีโอกาสมีการควบรวมเสมอ ไทยกับไทย ไทยกับต่างประเทศ
           ก็มีการควบรวมกันได้

           - กรณีโออิชิสะท้อนอะไรไหม

           สะท้อนว่าผู้ประกอบการอย่าไปยึดติดกับธุรกิจที่ตัวเองสร้างมา
           เพราะทุกอย่างมันมีราคา ทุกอย่างมีการมองไปข้างหน้าว่าพอไม่พอ
           หากไม่พอต้องขยายธุรกิจ ปั๊มยอดขาย ต้องเพิ่มทุน ต้องขยายตลาด
           ถ้าคุณบอกว่าจุดนี้พอแล้วก็คล้ายๆ ดีแทค
           ถ้าแฮปปี้กับเงินก้อนนี้ก็ขายไปเลย exit ไปเลย

           - มีการตั้งข้อสังเกตว่าทำไมโออิชิขายถูกกว่ารายแรกที่เสนอซื้อ

           เข้าใจตัวเลขผิด 3,000 ล้านบาท เฉพาะหุ้นที่เขาถือ (ตัน ภาสกรนที) ส่วน
           5,000 ล้านบาทที่บอกว่ามีคนให้ราคาตอนแรกนั้นคือหุ้นทั้งหมดของบริษัท
           เพราะฉะนั้นหากทอนมาเป็นหุ้นที่คุณตันถือ 100% คือ 5,000 ล้านบาท
           แต่คุณตันขาย 55% ที่ราคา 3,000 ล้านบาท หากคิดว่า 55% ของ 5,000
           ล้านบาท ก็เท่ากับ 2,600 ล้านบาท และที่ขาย 3,300 ก็เหมาะสมแล้ว
           เขาไม่ได้ขาย 100% ทุกอย่างมีราคา

           - ทำไมคนซื้อไม่เปิดตัว

           ไปถามคุณตันดีกว่า

           - คุณตันบอกว่าไปถาม ดร.ก้องเกียรติ

           ไม่ค่อยรู้...(หัวเราะ) รับเงินไปดีกว่า ไปทำอะไรมันๆ ดีกว่า

           คนอย่างคุณตัน เป็นอย่างที่แกพูดเป๊ะเลยนะ เป็นได้ทั้งลูกจ้างมืออาชีพ
           และเป็นได้ทั้งเถ้าแก่

           - อะไรทำให้คุณตันขายนอกจากราคาที่มีอยู่ในใจ

           มันเปลี่ยนชีวิตคุณนะ

           - เปลี่ยนอย่างไร

           ถามว่าอยู่ๆ มีเงิน 3,000 ล้านบาทในบัญชี
           แล้วคุณยังทำธุรกิจอยู่เหมือนเดิม
           กับทำแต่ธุรกิจแต่ไม่รู้ว่ามีเงินเท่าไรอยู่ในแบงก์และรอแต่เงินปันผล
           น่าคิดนะ สมมติว่ามีเงิน 3,000 ล้านบาทไปฝากแบงก์ ได้ดอกเบี้ยปีละ 5%
           ปีหนึ่งได้ 150 ล้านบาท หักภาษีเหลือ 120 ล้านบาท
           ปีหนึ่งคุณมีเงินใช้เดือนละ 10 ล้านบาท กลับการทำธุรกิจเหนื่อยแทบแย่
           ยังไงเดือนหนึ่งได้ไม่ถึง 10 ล้านบาทแน่ๆ นี่คือของตาย กำเงินสด
           ถึงจุดหนึ่งต้องคิด

           อย่าลืมว่าคุณตันเคยเป็นหนี้ มีหนี้มากกว่าทุน
           คนที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความลำบากมาจะรู้ว่าเวลาลำบากคืออะไร
           มีประสบการณ์มาแล้วว่าเจ็บ เจ็บอย่างไร
           พอคิดย้อนหลังกลับไปก็อาจจะคิดว่าน่าจะตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง
           ไม่ต่างกับคนที่เป็นเศรษฐีหุ้นหลายคนที่ผมรู้จักก่อนวิกฤต
           ที่มีมูลค่าหุ้นหลายหมื่นล้านบาทนะ แล้วกลายเป็นศูนย์
           หลายคนมาบ่นว่ารู้งี้ขายทิ้งก็ดี ผมเคยไปยุหลายคน
           บางคนก็เจียดขายไปได้สักพันล้าน แทนที่จะได้ 3-4 หมื่นล้านบาท
           เอามาต่อยอดทำธุรกิจอื่นๆ ในช่วงที่วิกฤต

           เพราะฉะนั้น การมีเงินในมือคือลาภอันประเสริฐ
           อย่าไปดูถูกเงินแม้ดอกเบี้ยจะต่ำใน บางครั้ง

           - คนซื้อโออิชิมีเหตุผลอะไร

           อันที่ 1 หุ้นอาหารเป็นหุ้นที่เข้าใจง่าย เพราะโตตามจีดีพี อันที่ 2
           ชาเขียวมันโตเร็ว นอกจากนี้อยากได้ 1.แบรนด์ 2.คนซื้ออยากซื้อ
           ผู้นำตลาด ต้องซื้อเบอร์ 1 เบอร์ 2 ปั้นให้มันใหญ่ได้ ซื้อ

           แล้วได้ตลาด ได้ทีม ได้โรงงาน ได้สายส่ง สำเร็จรูปเลย ยิ่งซื้อเบอร์ 1
           ก็ไม่มีคู่แข่ง ซื้อคู่แข่งเลย

           - คนซื้อเขาจะทำธุรกิจนี้ต่อไป

           ใช่ๆ แน่นอน ไม่มีคู่แข่ง ธุรกิจนี้กำไรมหาศาล กระแสเงินสดปีละ 1,000
           ล้านบาท และเป็นบริษัทที่ไม่มีหนี้สิน

           - ช่วงนี้มีดีล M & A เยอะไหม

           ก็มีเยอะ ตอนนี้มี 2-3 ดีล ยังเจรจาอยู่ ติดพันอยู่
           อาจจะต้องข้ามปีใหม่ไปแล้ว บางดีลใช้เวลานาน
           บางดีลเจรจาก็ล่มไปเองเพราะเงื่อนไข ตกลงกันไม่ได้ มีหลายสาเหตุ
           เรื่องราคา เรื่องวิธีจ่ายเงิน เวลาการจ่าย
           ดีลดิลิเจนต์ไม่ตรงกับที่บุ๊ก เช่น เครื่องจักรเก่ากว่าที่คิด มีสารพัด
           กว่าจะจบดีลไม่หมูนะ

           - เอเซีย พลัสรุกการทำดีลเทกโอเวอร์เยอะ

           ผมว่าหากดูดีลที่เราทำย้อนหลังสร้างประโยชน์ให้กับเศรษฐกิจประเทศ

           - คนเห็นชื่อ ดร.ก้องเกียรติก็กลัวแล้ว

           บางดีลผมไม่เกี่ยว ก็จับผมไปเกี่ยว

           - คนห่วงทุนนิยมเข้ามาและทำให้จริยธรรม คุณธรรมการทำธุรกิจหายไป

           ไม่จริง ถามว่าธุรกิจที่ทำกันนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่จ่ายภาษี
           ถามว่ามีจริยธรรมหรือ ขณะที่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ 400 กว่าบริษัท
           จ่ายภาษีพอๆ กับอีก 4 แสนบริษัทที่เหลือในประเทศไทย
           ถามว่าจริยธรรมอยู่ตรงไหน

           - แนวคิดของ ดร.ก้องเกียรติไปด้วยกันกับ modernize Thailand

           คงเป็นส่วนหนึ่งมากกว่า คือประเทศไทยต้องทำให้ธุรกิจไทยแข็งแกร่ง
           ในเมื่อโลกตะวันตก เขาทำตัวเขาให้แข็งแกร่ง
           หากไม่ทำตัวเราให้แข็งแกร่งก็จะทำให้ช่องว่างของเรากับเขาจะกว้างขึ้นเรื่อยๆ
           และผมเชื่อว่านักธุรกิจไทยเป็นห่วง ว่าจะสู้ต่างประเทศไม่ได้
           นี่คือสิ่งสำคัญ

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 1:36 pm
โดย lekmak333
เดาเอา ไม่เกินสัปดาห์นี้หุ้นร่วงแหลกลาน ครับ  :lol:

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 2:00 pm
โดย สุมาอี้
ผมว่าแกเป็น investment banker ที่เก่งมากที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย แต่ในขณะเดียวกันแกก็เป็น นักการตลาด ที่เก่งมากด้วย

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 2:04 pm
โดย nanchan
ผมว่าการเลือกตั้งนะ เป็นแค่ข้ออ้างในการเข้ามาลงทุนเท่านั้นเอง  :lol:

ถ้าพย.ไม่ได้เลือกตั้ง หุ้นก็อาจจะร่วงมาก่อน
แต่เดี่ยวก็จะมีการคาดอีกว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน กพ.51(สมมุติฐาน)
หุ้นก็ขยับขึ้นไปรอข่าวอีก พอดีเกือบๆพันจุด 555

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 3:06 pm
โดย david
It depends what u have.Like today,I still can find the undemanding stocks,while I try 2 unload what I think that r too demanding ones

สิ่งที่พวกเรากลัวกันมาแล้วครับ

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 02, 2007 5:11 pm
โดย chatchai
ทำไมถ้ามีการเลือกตั้ง  แล้วหุ้นถึงขึ้นครับ