IFEC กำไรดี PE ต่ำ ถ้าปีหน้าปันผลได้ละก้อ....
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 01, 2007 5:47 pm
หลังจากโดนพิษค่าเงินบาท จนต้องซมซานผ่านกระบรนการฟื้นฟู และได้กลับเข้ามาใหม่ เมื่อ 31 มค.06 ด้วยราคาเข้า trade ที่ 24.8
จากนั้นราคาร่วงเหมือนนกปีกหัก จนต่ำสุดที่ 4 บาท :shock:
ส่วนแนวโน้มการทำกำไร กลับไม่เหมือนราคาหุ้น สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง
q1-q2-q3-q4 2006 = 9.68-10.5-11-55.6 รวม 86.88 ลบ คิดเป็น 2.13 บาท/หุ้น
แต่q4 06 มีกำไรจากรายการพิเศษ จากการประเมินสินทรัพย์ใหม่ 44.3 ลบ
ดังนั้นปี 2006 มีกำไรจากการดำเนินงานรวม 42.58 ลบ คิดเป็น 1.04 บาท/หุ้น
กำไรใน q1 2007 เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด เป็น 15.2 ลบ.( EPS 0.37) โดยบริษัทชี้แจงผลการดำเนินงานว่า
บริษัทฯ ขอนำส่งงบการเงิน ไตรมาส 1 ปี 2550 ที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชี
และขอเรียนชี้แจงผลการดำเนินงาน ดังนี้
ในงวดไตรมาส 1 ปี 2550 บริษัท ฯมีกำไรสุทธิ 15.23ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งมีกำไรสุทธิ 9.68ล้านบาท บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 57.38% ทั้งนี้เนื่องจาก
1. บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 49.81% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจาก การขายเครื่องถ่ายเอกสารเป็นกรณีพิเศษให้กับโครงการหนึ่ง
2. รายได้อื่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับดอกเบี้ย สำหรับการจ่ายเงินคืนภาษีอากร ปี 2545-6
ล่าช้า จากกรมสรรพากร และจากการโอนกลับค่าเผื่อการไม่ได้รับคืนภาษีนิติบุคคล จำนวน6.23
ล้านบาท
3. กำไรขั้นต้นจากการขายลดลง 6.89%
4. ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีการจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะและ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับการขอคืนภาษีอากร ปี 2548 จำนวน 6.12 ล้านบาท
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด(มหาชน)
ส่วนแนวโน้ม q2 ที่กำไรจะประกาศนี้
IFEC ยืนกรานไม่ปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ เชื่อทำได้ขยายตัวที่ 20%
แต่จะต้องเร่งยอดขายเครื่องถ่ายเอกสารสี ส่วนหนึ่งรับอานิสงส์บาทแข็งทำให้ต้นทุน
ลด ลั่นปีนี้ต้องมีมาร์เก็ตแชร์เครื่องสี 20% พร้อมเดินหน้าขยายช่องทางจำหน่ายสินค้า
ผ่านแบงก์
นายดำริห์ เอมมาโนชญ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ปฏิบัติการ บมจ.
อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC เปิดเผยกับ
eFinanceThai.com ว่า หลังจากบริษัทได้มีการทบทวนเป้าหมายครั้งล่าสุด
เนื่องจากพบว่าในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มรุนแรงมาก
ขึ้น แต่ล่าสุดยืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดเป้าหมายลง เพราะการเมืองเริ่มนิ่งแล้ว
โดยปีนี้จะพยายามทำให้รายได้ขยายตัว20% จากปีก่อนหน้า ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกราย
ได้ของบริษัทมีอัตราการเติบโตกว่า 10% แล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บริษัทมีความกังวลในขณะนี้คือสถานการณ์ค่าเงินบาท
ที่แข็งค่าขึ้น จนหลายฝ่ายมองว่าจะรุนแรงถึงขั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ แม้ว่า
บาทแข็งจะส่งผลดีต่อการนำเข้าสินค้าของบริษัททำให้มีต้นทุนลดลง แต่โดย
ภาพรวมหากค่าเงินบาทแข็งมากจนกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม ผลกระทบทางอ้อม
ต่อบริษัทก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน
สำหรับไตรมาส 2 คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการน่าจะดีกว่าไตรมาสแรก
เพราะต้นทุนนำเข้าในไตรมาส 2 ถูกกว่าไตรมาสแรกตามการแข็งค่าของเงินบาทที่
เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถบอกตัวเลขต่างๆ
ได้ โดยบริษัทจะแจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ประมาณสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า
ดังนั้น กลยุทธ์หลักในปีนี้ บริษัทจะเน้นการขายเครื่องถ่ายเอกสารสี และ
เครื่องถ่ายเอกสารขนาดใหญ่ที่มีความเร็วสูง เพราะราคาขายต่อเครื่องอยู่ที่ 1-2 ล้าน
บาท โดยตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดเครื่องถ่ายเอกสารสี 20% ของ
มูลค่าตลาดรวมที่มีการนำเข้า 2 พันกว่าเครื่อง ซึ่งหมายความว่าบริษัทจะต้องทำยอด
ขายให้ได้ 400 กว่าเครื่องในปีนี้ หรือเฉลี่ยเดือนละ 40 เครื่อง ซึ่งหากทำได้ตามเป้า
หมายจะส่งผลดีต่อรายได้ในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ
' เครื่องถ่ายเอกสารสีอย่างน้อยเราต้องขายให้ได้เดือนละ 40 เครื่อง ส่วน
เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องใหญ่หรือที่มีความเร็วสูง ต้องได้ 4-5 เครื่องต่อเดือน เพื่อที่
จะหนุนรายได้บริษัทให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งฝ่ายการตลาดก็ทำงานอย่างเต็มที่ในการ
ขยายตลาด จากเดิมที่สินค้าหลักของบริษัทเป็นเครื่องถ่ายเอกสารขาวดำ ' นายดำริ
ห์ กล่าว
ในส่วนของช่องทางการขาย ล่าสุด บริษัทได้ข้อสรุปการเจรจากับธนาคาร
พาณิชย์เรียบร้อยแล้วในการนำสินค้าของบริษัทไปขายผ่านบริษัทลีสซิ่งในเครือ
แบงก์ เพื่อกระจายช่องทางขายสินค้าให้มากขึ้นจากเดิมที่มีเพียงช่องทางเดียวคือ
ขายผ่านตัวแทนของบริษัท
จากนั้นราคาร่วงเหมือนนกปีกหัก จนต่ำสุดที่ 4 บาท :shock:
ส่วนแนวโน้มการทำกำไร กลับไม่เหมือนราคาหุ้น สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่อง
q1-q2-q3-q4 2006 = 9.68-10.5-11-55.6 รวม 86.88 ลบ คิดเป็น 2.13 บาท/หุ้น
แต่q4 06 มีกำไรจากรายการพิเศษ จากการประเมินสินทรัพย์ใหม่ 44.3 ลบ
ดังนั้นปี 2006 มีกำไรจากการดำเนินงานรวม 42.58 ลบ คิดเป็น 1.04 บาท/หุ้น
กำไรใน q1 2007 เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด เป็น 15.2 ลบ.( EPS 0.37) โดยบริษัทชี้แจงผลการดำเนินงานว่า
บริษัทฯ ขอนำส่งงบการเงิน ไตรมาส 1 ปี 2550 ที่ผ่านการสอบทานจากผู้สอบบัญชี
และขอเรียนชี้แจงผลการดำเนินงาน ดังนี้
ในงวดไตรมาส 1 ปี 2550 บริษัท ฯมีกำไรสุทธิ 15.23ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ซึ่งมีกำไรสุทธิ 9.68ล้านบาท บริษัทฯ มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.55 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 57.38% ทั้งนี้เนื่องจาก
1. บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้น 49.81% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
เนื่องจาก การขายเครื่องถ่ายเอกสารเป็นกรณีพิเศษให้กับโครงการหนึ่ง
2. รายได้อื่นเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับดอกเบี้ย สำหรับการจ่ายเงินคืนภาษีอากร ปี 2545-6
ล่าช้า จากกรมสรรพากร และจากการโอนกลับค่าเผื่อการไม่ได้รับคืนภาษีนิติบุคคล จำนวน6.23
ล้านบาท
3. กำไรขั้นต้นจากการขายลดลง 6.89%
4. ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ มีการจ่ายภาษีธุรกิจเฉพาะและ
ภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับการขอคืนภาษีอากร ปี 2548 จำนวน 6.12 ล้านบาท
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
บริษัท อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด(มหาชน)
ส่วนแนวโน้ม q2 ที่กำไรจะประกาศนี้
IFEC ยืนกรานไม่ปรับลดเป้าหมายรายได้ปีนี้ เชื่อทำได้ขยายตัวที่ 20%
แต่จะต้องเร่งยอดขายเครื่องถ่ายเอกสารสี ส่วนหนึ่งรับอานิสงส์บาทแข็งทำให้ต้นทุน
ลด ลั่นปีนี้ต้องมีมาร์เก็ตแชร์เครื่องสี 20% พร้อมเดินหน้าขยายช่องทางจำหน่ายสินค้า
ผ่านแบงก์
นายดำริห์ เอมมาโนชญ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร-ปฏิบัติการ บมจ.
อินเตอร์ ฟาร์อีสท์ วิศวการ จำกัด (มหาชน) หรือ IFEC เปิดเผยกับ
eFinanceThai.com ว่า หลังจากบริษัทได้มีการทบทวนเป้าหมายครั้งล่าสุด
เนื่องจากพบว่าในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มรุนแรงมาก
ขึ้น แต่ล่าสุดยืนยันว่าจะไม่มีการปรับลดเป้าหมายลง เพราะการเมืองเริ่มนิ่งแล้ว
โดยปีนี้จะพยายามทำให้รายได้ขยายตัว20% จากปีก่อนหน้า ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกราย
ได้ของบริษัทมีอัตราการเติบโตกว่า 10% แล้ว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บริษัทมีความกังวลในขณะนี้คือสถานการณ์ค่าเงินบาท
ที่แข็งค่าขึ้น จนหลายฝ่ายมองว่าจะรุนแรงถึงขั้นเกิดวิกฤติเศรษฐกิจหรือไม่ แม้ว่า
บาทแข็งจะส่งผลดีต่อการนำเข้าสินค้าของบริษัททำให้มีต้นทุนลดลง แต่โดย
ภาพรวมหากค่าเงินบาทแข็งมากจนกระทบกับเศรษฐกิจโดยรวม ผลกระทบทางอ้อม
ต่อบริษัทก็จะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกัน
สำหรับไตรมาส 2 คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการน่าจะดีกว่าไตรมาสแรก
เพราะต้นทุนนำเข้าในไตรมาส 2 ถูกกว่าไตรมาสแรกตามการแข็งค่าของเงินบาทที่
เพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นดีขึ้น แต่ยังไม่สามารถบอกตัวเลขต่างๆ
ได้ โดยบริษัทจะแจ้งผลประกอบการไตรมาส 2 ประมาณสิ้นเดือนนี้หรือต้นเดือนหน้า
ดังนั้น กลยุทธ์หลักในปีนี้ บริษัทจะเน้นการขายเครื่องถ่ายเอกสารสี และ
เครื่องถ่ายเอกสารขนาดใหญ่ที่มีความเร็วสูง เพราะราคาขายต่อเครื่องอยู่ที่ 1-2 ล้าน
บาท โดยตั้งเป้าหมายจะมีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดเครื่องถ่ายเอกสารสี 20% ของ
มูลค่าตลาดรวมที่มีการนำเข้า 2 พันกว่าเครื่อง ซึ่งหมายความว่าบริษัทจะต้องทำยอด
ขายให้ได้ 400 กว่าเครื่องในปีนี้ หรือเฉลี่ยเดือนละ 40 เครื่อง ซึ่งหากทำได้ตามเป้า
หมายจะส่งผลดีต่อรายได้ในปีนี้อย่างมีนัยสำคัญ
' เครื่องถ่ายเอกสารสีอย่างน้อยเราต้องขายให้ได้เดือนละ 40 เครื่อง ส่วน
เครื่องถ่ายเอกสารเครื่องใหญ่หรือที่มีความเร็วสูง ต้องได้ 4-5 เครื่องต่อเดือน เพื่อที่
จะหนุนรายได้บริษัทให้ได้ตามเป้าหมาย ซึ่งฝ่ายการตลาดก็ทำงานอย่างเต็มที่ในการ
ขยายตลาด จากเดิมที่สินค้าหลักของบริษัทเป็นเครื่องถ่ายเอกสารขาวดำ ' นายดำริ
ห์ กล่าว
ในส่วนของช่องทางการขาย ล่าสุด บริษัทได้ข้อสรุปการเจรจากับธนาคาร
พาณิชย์เรียบร้อยแล้วในการนำสินค้าของบริษัทไปขายผ่านบริษัทลีสซิ่งในเครือ
แบงก์ เพื่อกระจายช่องทางขายสินค้าให้มากขึ้นจากเดิมที่มีเพียงช่องทางเดียวคือ
ขายผ่านตัวแทนของบริษัท