Thai Value Investor การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ลงทุน VI หุ้นวีไอ Webboard

มีบริษัทที่เกี่ยวข้องคือ

LST ซึ่งทำธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม โรงหีบน้ำมันปาล์มดิบ ผักผลไม้กระป๋องufc และถือหุ้นใน UPOIC 70%

UPOIC ทำธุรกิจปลูกสวนปาล์ม มีโรงหีบน้ำมันปาล์มดิบ มีพื้นที่ปลูกประมาณ 40,000 ไร่ ครึ่งนึงเป็นพื้นที่สัมปทาน

เมื่อเร็วๆนี้ LST แจ้งว่าได้ทำเรื่องขายส่วนธุรกิจโรงหีบให้กับ UPOIC ในราคา 166 ล้าน โดย UPOIC ต้องขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น 3 ใน 4 โดยที่ lst ต้องงดออกเสียง เพราะเป็นรายการที่เกี่ยวโยงกัน

ประโยชน์ที่ผู้ถือหุ้น UPOIC จะได้รับที่แจ้งตลาดค่อนข้างคลุมเคลือประมาณว่าทำให้ธุรกิจชัดเจนใช้ทรัพยากรบางส่วนร่วมกัน สต็อคอะไหล่ร่วม แต่ที่ไม่แจ้งทั้งที่ควรจะแจ้งคือ ธุรกิจที่รับซื้อมาจากบริษัทแม่ทำกำไรหรือเปล่า ไม่ได้แจ้ง ดังนั้นหากมีการประชุมเพื่อขออนุมัติรายการนี้ ผู้ถือหุ้น upoic น่าจะถามสักหน่อยว่าโรงงานนี้มีกำไรหรือไม่ (สมมุติว่าบริษัทตอบความจริง)

1.ถ้าไม่มีกำไร เท่ากับว่าจ่ายเงิน 166 ล.ให้ lst ฟรีๆ แถมเสียประโยชน์จากการนำเงิน 166 ล.ไปหาผลตอบแทน นอกจากนั้นยังทำให้กำไรลดลงด้วย

2.ถ้าธุรกิจไม่ขาดทุนไม่กำไร หรือนิดหน่อย เท่ากับว่า upoic ให้เงิน lst ฟรีๆ เสียโอกาสได้ดอกเบี้ย ดีหน่อยที่ไม่มาเพิ่มขาดทุน

3.ถ้ากำไร ก็คงเป็นรายการที่สมเหตุสมผล และควรจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 10% ของเงินลงทุนคือประมาณ 16-17 ล.ต่อปี



เท่าที่ผมดูจากข้อมูลและจากที่ติดตามประวัติของ lst อย่างที่หลายท่านทราบคือเป็นสีเทา (เรื่องค่าตอบแทนกรรมการตัวแทนผู้ถือหุ้นใหญ่จำนวนมาก) ผลประโยชน์ใดๆที่เป็นของ lst ผู้ถือหุ้นใหญ่ล่ำสูงจะได้ประโยชน์ตามสัดส่วนถือหุ้นคือประมาณ 80% แต่ผลประโยชน์ใดๆของ upoic ผู้ถือหุ้นใหญ่กลุ่มนี้จะได้รับประโยชน์แค่(0.8*0.7)= 56% เท่านั้น  ดังนั้นแรงจูงใจที่จะรักษาประโยชน์ของ lst ย่อมสูงกว่า


โรงงานที่ซื้อมานี้อยู่ที่จังหวัดตรัง มีกำลังการผลิตแค่ 30% และ 18% ของกำลังการผลิตผลปาล์มและเมล็ดในปาล์มเท่านั้น และยังต้องซื้อผลปาล์มจากชาวสวนทั้งสิ้น ตามความเห็นส่วนตัวโรงงานนี้ไม่น่าจะกำไรหรือกำไรไม่มาก เพราะ

ราคาผลปาล์มน้ำมันวันนี้ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
Source - กรมประชาสัมพันธ์
Tuesday, 02 October 2007 16:07

นายอรุณ ไม้ทิพย์ การค้าภายในจังหวัดสุราษฎร์ธานี รายงานราคาซื้อ-ขาย สินค้าปาล์มน้ำมันในวันนี้ ( 2 ต.ค.50) ดังนี้  ผลปาล์มทะลายคละ ราคากิโลกรัมละ 4.50 4.60  บาท  ราคาเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนกิโลกรัมละ 10 15  สตางค์  ผลปาล์มร่วง ราคากิโลกรัมละ  5.50 5.90 บาท ราคาเพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนกิโลกรัมละ 10 สตางค์      
         ทางด้านราคาน้ำมันปาล์มดิบ เกรด เอ ราคากิโลกรัมละ 24.00 25.50 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง และน้ำมันปาล์มดิบ เกรด บี ราคากิโลกรัมละ 24.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน
         สรุปภาวะการค้าปาล์มน้ำมันในวันนี้( 2 ต.ค.50) ผลปาล์มน้ำมัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามภาวะความต้องการของตลาด   ส่วนราคาน้ำมันปาล์มดิบทรงตัว

ราคารับซื้อผลปาล์ม 5 กก.เพื่อผลิตน้ำมันปาล์มดิบ 1 กก.ต้นทุนกับราคาก็พอๆกันแล้ว แล้วจะกำไรได้อย่างไร  กรณี uvan ใช้กำลังการผลิตเกิน 100% ก็ยังเหนื่อยครับ ต้องหากำไรจากการขายไฟฟ้าเอา และที่ uvan และ upoic ยังทำกำไรได้ น่าจะเป็นเพราะมีสวนปาล์มเอง ซึ่งต้นทุนต่อกก.ประมาณ 1.8 บาท เปรียบเทียบกับที่ซื้อจากชาวสวน 4-5 บ./กก.

งบดุลของ upoic แข็งแกร่งมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ lst อาจจะเป็นสมมุติฐานได้ไหมว่าแม่ต้องการถ่ายเทเงินจากลูก หลังจากได้ถ่ายเทเงินจากแม่ไปยังผู้ถือหุ้นใหญ่ ผ่านค่าตอบแทนกรรมการไปแล้ว


ผมยอมรับว่าอาจจะมีอคติต่อ lst นะครับ เพราะมีประวัติมาก่อน ส่วนผู้ถือหุ้นที่เหลือของ upoic ทั้งรายเล็ก รายใหญ่ ก่อนโหวตก็ลองพิจารณา ความสมเหตุสมผล และรักษาผลประโยชน์ของตัวท่านด้วยนะครับ...

1 บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  22,671,511 69.96

2 บริษัท วัฒนโชติ จำกัด  2,407,217 7.43

3 บรรษัทเงินทุนระหว่างประเทศ  740,500 2.29

4 นายสมเกียรติ พีตกานนท์  662,800 2.05

5 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน)  602,774 1.86

6 นายธรรมนูญ สหดิษฐดำรงค์  400,000 1.23

7 บริษัท วัฒนโสภณพนิช จำกัด  362,100 1.12

8 บริษัท กรีนสปอต จำกัด  247,200 0.76

9 นายชวลิต เชาว์  230,000 0.71

10 นายบุญเสริม คุ้มพวงเพชร  217,000 0.67

11 นายดุษฎี ธนิสสรานนท์  213,700 0.66

ผมเสียดาย UPOIC ก็ตรงนี้แหละครับพี่ลูกอิสาน

ขอเอาความเห็นของคุณ vi หลงทาง มาโพสครับ

รายการนี้เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ค่อยพอใจกับการตัดสินใจของผู้บริหาร เนื่องจากเป็นรายการที่ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ UPOIC ตามเหตุผลดังนี้

ปี 2549 โรงสกัดของ UPOIC มี capacity 55 Ton/hour และเริ่มขยาย capacity เป็น 75 Ton/hour ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณสิ้นปี 2550
ในช่วงระหว่างการขยายกําลังการผลิดตั้งแต่ต้นปี 2550 มีผลทําให้กําลังการผลิตลดลงจาก 55 เหลือเพียง 40 Ton/hour ซึ่งก็ยังคงสามารถรองรับผลปาล์มของสวนทั้งหมดใน Q1 และ Q2 ซึ่งเป็นช่วง peak ของปีนี้ได้อย่างสบาย

แม้ว่าปีนี้ผลผลิตปาล์มจากสวนอาจจะตํ่ากว่าปีที่ผลผลิตเคยสูงสุดถึง 30% แต่ผมเชื่อมั่น 100% ว่าโรงสกัดที่ขยายในครั้งนี้สามารถรองรับ ผลปาล์มจากสวนของ UPOIC เองได้อย่างสบาย

บางคนอาจแย้งผมว่า แล้ว capacity ส่วนที่จะรองรับผลปาล์มที่ซื้อจากสวนภายนอกอาจไม่เพียงพอ  ผมตอบตรงนี้ได้เลยครับว่า ตราบได้ที่ราคาปาล์มดิบราคายังคงทรงตัวในระดับสูง การรับซื้อผลปาล์มภายนอกแทบจะไม่มี margin เลย ดูง่ายๆจาก UVAN หรือ CPI ที่ขยายกําลังการผลิตไปแต่ผลประกอบการไม่ได้สะท้อนให้เห็นเนื่องจากราคาปาล์มดิบที่สูง และไม่มีแนวโน้มที่จะลงตํ่ากลับไปเหมือนแต่ก่อนได้  แถมยังมีปัจจัยที่จะทําให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นได้อีก หาก EU ออกกฎหมายบังคับใช้ biodiesel เพื่อลด sulfur ในอากาศ

ดังนั้นผมมองว่ากําลังการสกัดของ UPOIC ที่เพิ่งขยายไปยังสามารถรองรับผลปาล์มได้อีกไม่น้อยกว่า 5 ปีประกอบกับสัมปทานของสวนประมาณครึ่งหนึ่งจะหมดลงในอีก 7 ปีข้างหน้า ผมจึงมองไม่เห็นความจําเป็นในการซื้อโรงสกัดจาก LST แต่อย่างใด

ผมยิ่งรู้สึกผิดหวังกับการขายของ LST มากขึ้นเมื่อเข้าไปอ่านใน 56-1 ของ LST แล้วพบว่า LST ใช้กําลังการผลิตของโรงสกัดที่มีอยู่เพียง 32% และเมื่อเข้าไปดูราคาโรงงานดังกล่าวตอนสร้างลงทุนเพียง 94 ล้าน ที่ดินไม่น่าเกิน 20 ล้าน แต่มาขาย UPOIC ในราคา 155 ล้าน

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นทําให้ผมไม่ค่อยเห็นด้วย(อย่างมาก)กับรายการดังกล่าวของผู้บริหาร LST

[quote="bremner"]ผมเสียดาย UPOIC ก็ตรงนี้แหละครับพี่ลูกอิสาน

ขอเอาความเห็นของคุณ vi หลงทาง มาโพสครับ

[quote]รายการนี้เป็นอีกครั้งที่ผมไม่ค่อยพอใจกับการตัดสินใจของผู้บริหาร เนื่องจากเป็นรายการที่ไม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ UPOIC ตามเหตุผลดังนี้

ปี 2549 โรงสกัดของ UPOIC มี capacity 55 Ton/hour และเริ่มขยาย capacity เป็น 75 Ton/hour ซึ่งจะแล้วเสร็จประมาณสิ้นปี 2550
ในช่วงระหว่างการขยายกําลังการผลิดตั้งแต่ต้นปี 2550 มีผลทําให้กําลังการผลิตลดลงจาก 55 เหลือเพียง 40 Ton/hour ซึ่งก็ยังคงสามารถรองรับผลปาล์มของสวนทั้งหมดใน Q1 และ Q2 ซึ่งเป็นช่วง peak ของปีนี้ได้อย่างสบาย

แม้ว่าปีนี้ผลผลิตปาล์มจากสวนอาจจะตํ่ากว่าปีที่ผลผลิตเคยสูงสุดถึง 30% แต่ผมเชื่อมั่น 100% ว่าโรงสกัดที่ขยายในครั้งนี้สามารถรองรับ ผลปาล์มจากสวนของ UPOIC เองได้อย่างสบาย

บางคนอาจแย้งผมว่า แล้ว capacity ส่วนที่จะรองรับผลปาล์มที่ซื้อจากสวนภายนอกอาจไม่เพียงพอ

พี่ลูกอีสานและคุณ Bremmer ครับ ผมนะถือหุ้น upoic อยู่ก็ไม่น้อย เสียดายโอกาสดีๆที่กําลังมาถึง Environmental ที่เป็น big change ของกลุ่มสวนปาล์มครับ ไม่ได้เป็นผลดีกับผู้สกัด และผู้กลั่นปาล์มครับ

จริงๆแล้วรายการนี้มันผิดตั้งแต่ตอนเลือกประเภทธุรกิจที่จะเข้าลงทุนแล้ว
แค่วิเคราะห์ Five Force Model เสร็จผมก็ไม่เห็นข้อดีของโรงสกัดมากนัก ทําไมไม่ไปซื้อสวนปาล์มเพิ่มนะ หรือถ้าเงินเหลือมากไม่รู้ว่าจะลงทุนอะไรดีก็ปันผลมาให้ผู้ถือหุ้นไปลงทุนเองก็น่าจะดีกว่า

วันนี้ได้รับหนังสือเชิญประชุม พร้อมกับความเห็นสนับสนุนการทํารายการดังกล่าวของ IFA  ไม่รู้ว่าผมอ่านไม่ละเอียดหรือเปล่า ไม่อยากเชื่อเลยครับว่าในรายละเอียดไม่กล่าวถึง IRR เลยแม้แต่น้อย ไม่พูดถึง utilization rate หรือผลประกอบการของโรงสกัดดังกล่าว ไม่ทราบว่ากรณีแบบนี้ ผมพอจะร้องขอข้อมูลเพิ่มเติมจาก IFA หรือ SEC ได้ไหมครับ

Assumption หลายอย่างของ IFA ดูจะไม่สมกับสถานการณ์ปัจจุบันมากนัก เช่น ผลปาล์มดิบประมาณราคาไว้ที่ 3.5 Baht/Kg  ราคาปัจจุบันวันนี้อยู่ที่ 4.7 Baht /kg  

IFA คิดแค่ DCF กับ ต้นทุนการก่อสร้างโรงงานซึ่งถูกกว่าการสร้างโรงงานใหม่ ไม่เห็นพูดถึงผลตอบแทนจากการลงทุนในรายการนี้เลย

เศร้าจริงๆครับ

วันประชุมใครว่างผมเชิญด้วยนะครับ ไปช่วยกันแสดงพลังรายย่อยครับ

"คนคำนวณหรือจะสู้เจ้าของลิขิต"

อย่างไรก็ตามผมขอเอาใจช่วยคุณ vi หลงทาง
ให้ประสบความสำเร็จในการโหวตด้วยนะครับ

http://www.set.or.th/set/newsdetails.do ... anguage=th

ความเห็นของที่ปรึกษาการเงินอิสระเกี่ยวกับรายการที่เกี่ยวโยงกันของบริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด  (มหาชน)

เสียดายหุ้น 2 ตัวนี้เหมือนกันครับ มันน่าจะเป็นหุ้นที่ดีทีเดียวถ้าไม่ติดปัญหาพวกนี้
ระวังขายโรงกลั่นได้แล้ว จะขาย UFC ให้ต่อนะ โดยให้เหตุผลว่าสภาพคล่อง UPOIC เหลือเยอะ
สมควรขยากกิจการออกไปในประเภทอื่นบ้าง

FA ก็รับเงินจากบริษัท อย่างนี้หวังพึ่งอะไรคงไม่ได้แน่
ที่จริงผู้บริหารต้องรู้ว่าโรงหีบนี้กำไรหรือเปล่า ไม่พูดถึง

ผลประโยชน์ที่ upoic แจ้งตลาดช่างคลุมเคลือ ไม่รู้จะ synergy กันอย่างไร โรงงานก็อยู่กันคนละที่ และมักจะอ้างว่าลงทุนต่ำกว่าสร้างโรงงานใหม่ ช่างเหมือนกรณี ใครสักคนไปซื้อโรงงานสิ่งทอจากบริษัททินไสอันโด่งดัง ทั้งที่โรงงานขาดทุนทุกปี แล้วบอกว่าที่ซื้อเพราะสามารถซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่าการสร้างใหม่

วันนี้โทรไปคุยกับ SET มาครับว่า IFA ให้ข้อมูลสนับสนุนไม่สมเเหตุสมผล อย่างที่พี่ลูกอีสาน comment นะครับ บอกว่าซื้อได้ถูกกว่าสร้างเอง แต่ที่ซื้อมาไม่บอกเลยว่ากําไรหรือขาดทุนอยู่

ส่วนอีกวิธีใช้ DCF ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาเป็น assumption ในการกําหนดค่าต่างๆในสมการ

รู้ไหมครับว่า SET ตอบผมว่ายังไง
ก่อนหน้านี้ IFA ส่งข้อมูลมาน้อยกว่านี้มาก ตีกลับไปแล้วรอบหนึ่่ง ทําให้การประชุมต้องเลื่อนไปแล้วครั้งหนึ่ง ขอให้เปิดเผยข้อมูลเพิ่ม ก็ได้มาเท่านี้

ผมถามว่าให้เพิ่มมามันก็ยังไม่พอสนับสนุนให้นักลงทุนตัดสินใจได้ถูกต้อง

SET ตอบว่า ผู้ถือหุ้นเหลือทางออกสุดท้ายคือไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมในวันประชุมผู้ถือหุ้น แล้ว Vote ค้าน ทําได้แค่นั้นจริงๆ

ผมไม่รู้ว่า SEC ไม่มีมาตรการใดเลยหรือครับที่จะจัดการกับ IFA ที่ทํางานในลักษณะไม่รับผิดชอบต่อ paper ที่่เขียนตามผู้ว่าจ้างที่มีผลเสียต่อนักลงทุนทําให้ตัดสินใจผิดพลาดภายใต้การไม่เปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

อยากให้ SET และ SEC เข้ามาดูแลมากขึ้นครับ

รบกวนท่านผู้ถือหุ้นที่ว่างไปแสดงความคิดเห็นกับรายการซื้อขายที่ไม่มีความชัดเจนดังกล่าวด้วยนะครับ แม้ว่าจะโหวตแพ้ เเต่ก็เป็นการแสดงให้ทราบว่า มีคนที่ตรวจสอบการทํางานของผู้บริหารอยู่นะครับ

vi หลงทาง เขียน:รบกวนท่านผู้ถือหุ้นที่ว่างไปแสดงความคิดเห็นกับรายการซื้อขายที่ไม่มีความชัดเจนดังกล่าวด้วยนะครับ แม้ว่าจะโหวตแพ้ เเต่ก็เป็นการแสดงให้ทราบว่า มีคนที่ตรวจสอบการทํางานของผู้บริหารอยู่นะครับ

คนที่เค้ามีอำนาจตรวจสอบ ยังทำอะไรไม่ได้ แล้วคนที่ไม่มีอำนาจ ตรวจสอบไปจะได้อะไรครับ? ได้รู้ว่าคนพวกนี้โกง ไม่ดีหรือ? แล้วจะทำอะไรได้ครับ? สิ่งที่ควรทำที่สุดคือ คนละทางดีกว่าครับ

ไม่ทราบว่าผลการประชุมเป็นอย่างไรบ้างครับ

ไม่ซื้อครับ

bremner เขียน:"คนคำนวณหรือจะสู้เจ้าของลิขิต"

ยินดีกับคุณ vi หลงทางด้วยครับ

วันที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2550

เรื่อง แจ้งมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2550
เรียน กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

       ตามที่บริษัทฯ ได้จัดให้มีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2550 เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2550 เวลา 10.00 น. ณ
ห้องประชุมชั้น 2 สำนักงานใหญ่ เลขที่ 947/155 หมู่ 12 ถนนบางนา-ตราด แขวงบางนา เขตบางนากรุงเทพมหานคร โดยที่
ประชุมมีมติดังนี้

       1. ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์รับรองรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2550 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 23
          สิงหาคม 2550

       2. ที่ประชุมมีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากของผู้มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง ไม่อนุมัติให้เข้าซื้อโรงงานสกัดน้ำมัน
          ปาล์ม จังหวัดตรัง จาก บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) (LST) โดยมีคะแนนเสียงดังต่อไปนี้
                   - อนุมัติ            1,549,805        คะแนน
                   -ไม่อนุมัติ           3,741,091        คะแนน
                   -งดออกเสียง            2,500        คะแนน
                   -บัตรเสีย                   1        ใบ
          ทั้งนี้ในการออกเสียงลงคะแนนดังกล่าว ไม่นับคะแนนเสียงของ บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
          ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ และนายสมชัย จงสวัสดิ์ชัย ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทฯ และ LST

       3. เรื่องอื่นๆ ไม่มี

          จึงเรียนมาเพื่อทราบ

 :cheers:  :cheers:  :cheers:  :cheers:

ทั้งนี้ในการออกเสียงลงคะแนนดังกล่าว ไม่นับคะแนนเสียงของ บริษัท ล่ำสูง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
นานๆทีหรือเปล่าครับที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะทำแบบนี้อย่างนี้เรียกว่ามีธรรมภิบาลหรือเปล่า

เออ...อยากผู้ที่เข้าประชุมว่าทำไมถึงไม่นับคะแนนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ครับ???

icque เขียน:เออ...อยากผู้ที่เข้าประชุมว่าทำไมถึงไม่นับคะแนนผู้ถือหุ้นรายใหญ่ครับ???

เป้นวาระที่เค้ามีส่วนได้ส่วนเสียครับ เลยออกเสียงไม่ได้

ขอบคุณ คุณ bremmer ครับ