หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ส่องทิศ ตรวจอาการดัชนี

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 5:51 pm
โดย templeton
ซิตี้คอร์ป ชี้ราคาน้ำมันปัจจัยหลักผลักดันดัชนีหุ้นไทย มองเป้ากลางปีหน้า 970 จุด เลือกให้ ปตท เป็นหุ้นเด่นเป้าใหม่ที่ราคา 431 บาท ด้านฟินันซ่า มองหุ้นปีหน้ายังอยู่ในขาขึ้นแต่จะผันผวนมากกว่าปีนี้ แนะจับตาซับไพรม์ยังอาจตามมาป่วนได้อีก
     
       ภายใต้สถานการณ์ที่ผันผวนของดัชนีตลาดหลักทรัยย์ไทยในช่วง 2สัปดาห์ที่ผ่านมาซึ่งมีการปรับขึ้นไปแตะที่ระดับ 900 จุด ถือเป็นสถิติใหม่ในรอบ 11 ปี แต่ทว่าดัชนีกลับมีปรับตัวลงในเวลาต่อมา ทำให้เหล่าบรรดานักลงทุนพากันสงสัยว่ามันจะเอายังไงของมัน? ทิศทางต่อไปจากนี้ของดัชนีจะมีแนวโน้มเป็นเช่นไร? อะไรคือแรงส่ง? อะไรคือแรงผลัก? และภาพรวมในปีหน้าจะผันผวนหนักกว่านี้หรือไม่?
     
       นิธิ วณิคพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ซิตี้คอร์ป(ประเทศไทย) ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงกลางปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 970 จุด โดยปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยสามารถไปได้ถึงระดับดังกล่าว มาจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่มีมูลค่าการตลาด(Market Capital)ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ30-35% เป็นตัวนำขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆจะมีโอกาสช่วยผลักดันดัชนียาก
     
       "เราเชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยในปีหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 970 จุด โดยมีกลุ่มพลังงานเป็นตัวนำของตลาด เพราะมีมาร์เก็ตแคปใหญ่ถึง 30-35% ส่วนจะถึง 1พันจุดหรือไม่นั้นก็คงต้องรอให้ผ่านจุดนี้ไปก่อน"
     
       จากการศึกษาย้อนหลัง 6 ปีตั้งแต่มีหุ้น ปตท. เข้าจดทะเบียนพบว่าราคาน้ำมันกับตลาดหุ้นไทยมีค่าความสัมพันธ์(Core Relation)กันประมาณ 80% แสดงให้เห็นว่าหากราคาน้ำมันเป็นไปในทิศทางใด ตลาดหุ้นไทยก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
     
       ส่วนปีนี้คาดว่าราคาน้ำมันจะเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ระดับ 67.4 ดอลล่าร์สหรัฐต่อบาร์เรล และยังคงจะยืนอยู่ในระดับสูงได้ตลอด 2-3 ปีข้างหน้าด้วยทั้งนี้เพราะ ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐที่มีแนวโน้มอ่อนตัว, ค่าการกลั่นที่ตึงตัวขึ้นจะเป็นตัวชี้นำราคาน้ำมันให้สูงขึ้นตาม และ ต้นทุนการผลิตของกลุ่ม Non-OPEC โดยเฉพาะแคนนาดาที่สูงกว่าในตะวันออกกลางราว 5 เท่า
     
       ฝ่ายวิจัยฯจึงได้เลือกหุ้นของ บมจ.ปตท (PTT) เป็น Top pick เนื่องจากราคาปัจจุบันยังถูกอยู่ คิดเป็น P/E เพียงแค่ 10.5 เท่าเท่านั้น ขณะที่ บมจ.ปตท. สำรวจและผลิต(PTTEP) มี P/E ถึง 14 เท่า เทียบกับหุ้นพลังงานตัวอื่นๆในภูมิภาคที่ P/E 15 เท่าแล้ว PTT ยังมีอัพไซด์อีกค่อนข้างมาก จึงให้ราคาเป้าหมายใหม่เป็น 431บาท ซึ่งถือเป็นราคาสูงสุดของการประเมินโดยนักวิเคราะห์ของโบรกเกอร์ต่างๆ
     
       ขณะที่จากสถิติพบว่าทุก 1 บาทที่ราคาน้ำมันมีการปรับจะส่งผลต่อก๊าซแค่ 1 ใน 3 เท่านั้น ประกอบกับราคาใกล้ราคาเป้าหมายมากแล้วจึงได้ดาวน์เกรด PTTEP ลง
     
       ด้านกลุ่มธนาคารพาณิชย์นั้นแนะนำหุ้นของ ธนาคารกรุงเทพ(BBL)และ ธนาคารกรุงไทย โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 140 บาท และ 14 บาทตามลำดับ
     
       ด้าน มนต์ชัย จาตุรันต์ภิญโญ หัวหน้าฝ่ายการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) ฟินันซ่า มองว่า ปัจจัยบวกที่จะมีผลต่อการลงทุนในตลาดหุ้นคือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในปีหน้าคาดว่าจะเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น โดยประเมินกำไรของ บจ.จะเติบโตประมาณ 20% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประมาณการของโบรกเกอร์
     
       ขณะเดียวกันสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนน่าจะฟื้นความเชื่อมั่นของผู้บริโภคให้กลับมาได้ ซึ่งเชื่อว่าหลังการเลือกตั้ง รัฐบาลชุดใหม่น่าจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ และทำให้มีการลงทุนภายในประเทศเกิดขึ้น ซึ่งน่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนในตลาดหุ้น ขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่คาดว่าจะอยู่ในระดับต่ำน่าจะเป็นตัวช่วยให้การลงทุนมีต้นทุนที่ต่ำได้ และในอนาคตอัตราการจ้างงานน่าจะมีมากขึ้นในบางกลุ่ม
     
       นอกจากนี้ยังคาดว่าอัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) จะอยู่ที่ระดับ 13.5 เท่า ถือได้ว่าอยู่ในระดับที่น่าสนใจและต่ำกว่า P/E ของตลาดประเทศสิงคโปร์และฮ่องกงที่มี P/E อยู่ที่ 19 เท่า ขณะที่ดัชนีตลาดตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 35%
     
       สำหรับกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในการเข้าไปลงทุน เน้นกลุ่มที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีผลประกอบการเติบโตไปในทิศทางเดียวกัน อาทิ กลุ่มพลังงาน,โรงพยาบาล, ธนาคารพาณิชย์, อสังหาริมทรัพย์, วัสดุก่อสร้าง, ค้าปลีก, ส่งออก, ท่องเที่ยวและธุรกิจบันเทิง ส่วนหุ้นที่เหมาะแก่การลงทุนในระยะยาวประเมินว่าเป็นกลุ่มปิโตรเคมี-พลังงาน, เดินเรือและกลุ่มทรัพยากร เนื่องจากความต้องการใช้สินค้าประเภทดังกล่าวยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี รวมทั้งการแข่งขันยังไม่รุนแรงมากนัก
     
       สำหรับในช่วงก่อนเลือกตั้งแบบนี้หุ้นไทยน่าจะมีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ จากสถิติในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาก่อนที่จะมีการเลือกตั้งดัชนีตลาด จะขยายตัว 8% และหลังจากการเลือกตั้งปรับตัวลดลง 7% ซึ่งถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ
     
       ส่วนในปี 2551 นักลงทุนต้องเตรียมตัวตั้งรับกับภาวะตลาดหุ้นไทยที่จะมีความผันผวนสูงกว่าในปีนี้ แต่โดยภาพรวมยังคงอยู่ในลักษณะปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง(Up Trend) ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ เรื่องความกังวลของนักลงทุนที่มีมุมมองว่า ดัชนีตลาดหุ้นเอเชีย ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทำลายสถิติสูงสุด (นิวไฮด์) มาหลายครั้งแล้ว จนอาจจะเป็นเรื่องยากที่ดัชนีจะสามารถปรับตัวขึ้นได้อีกจากฐานเดิม รวมถึงปัญหาการปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง (ซับไพรม์)ให้แก่ ภาคอสังหาริมทรัพย์ในอเมริกาที่ยังไม่มีข้อสรุปง่ายๆ และปัญหาการเมืองภายในประเทศไทย เอง
     
      "ปีหน้าต้องเตรียมตัวตั้งรับไว้เลยว่า ตลาดหุ้นไทยจะต้องผันผวนมากกว่าในปีนี้ โดยปัจจัยเสี่ยงที่สร้างความกังวลก็เป็นเรื่องของการทำนิวไฮด์ต่อเนื่องของตลาดหุ้นแถบเอเชีย ปัญหาซับไพรม์ และการเมืองในประเทศของเราเอง อย่างไรก็ตามอยากให้นักลงทุนมองการลงทุนในระยะยาวมากกว่า เพราะปัจจัยที่เข้ามาจะประทบในระยะสั้นเท่านั้น"

ส่องทิศ ตรวจอาการดัชนี

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 28, 2007 7:43 pm
โดย Jeng

โค้ด: เลือกทั้งหมด

   นิธิ วณิคพันธุ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.)ซิตี้คอร์ป(ประเทศไทย) ประเมินดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงกลางปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 970 จุด โดยปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยสามารถไปได้ถึงระดับดังกล่าว มาจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ที่มีมูลค่าการตลาด(Market Capital)ใหญ่ที่สุดในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ30-35% เป็นตัวนำขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆจะมีโอกาสช่วยผลักดันดัชนียาก 
คนไทยหรือเปล่า คนนี้

ไม่ทราบว่า ตอน pttep ราคา 88 ptt ราคา 204 ในวันที่ 21/03/2550

คุณคนนี้ ทำนาย ดัชนีว่าจะไปเท่าไร

อยากรู้เหมือนกัน