หน้า 1 จากทั้งหมด 1
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 4:40 pm
โดย Mr.Freeze
ผมถือหุ้นสองตัวนี้มาปีกว่าที่ต้นทุนดังข้างล่าง
SCC@ 228
[email protected]
ตอนนี้ราคาในตลาดมันต่ำกว่าที่ผมซื้อมาแล้วครับ เมื่อกลางปีเคยคิดจะขาย KTB ที่เกือบๆ 12 บาทและ SCC แถวๆ 260 แล้วจะมารับ KTBที่ต่ำกว่า 11จะรับ SCC แถวๆ 250และ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขายเพราะคิดว่าต้นทุนเราต่ำกว่าคนอื่นเยอะ และลองเดินมาทางแนว VI แล้วไม่ควรขายเพื่อเล่นรอบ
ผมคิดอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือแค่ผมถือผิดตัว ทั้งสองตัวที่ราคาที่ผมซื้อยังไม่ใช่ราคาที่ VI จะเข้าไปซื้อลงทุนเพื่อถือยาว
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 5:10 pm
โดย Jeng
ssc กำไร ไม่โตขึ้น ส่วน ktb กำไรลดลง
ก็ไม่เห็นว่าราคาหุ้นที่ขึ้นแล้ว จะไม่ลงได้อย่างไร
x
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 5:20 pm
โดย kit556
scc ใช่ไหมครับ
ผมถือมานานพอๆกับคุณเลยครับ ต้นทุนสูงกว่าอีก
มันเป็นหุ้นวัฐจักรน่ะครับผมก็อ่านเจอตั้งแต่2-3เดือนที่แล้วว่าวัฐจักร ปิโตรเคมี ปูน มันหมดรอบมาพักหนึ่งแล้ว แต่ CEO ก็ยังทำผลงานดีราคาเลยไม่ไหลลง แต่สุดท้ายเจอ subprime เต็มๆ แบบนี้ก็บอกยากแล้วครับว่าราคามันจะลงไปถึงไหน เพราะยังปีหน้าอีกเต็มๆทั้งปีที่ subprime จะแผลงฤทธิ์
สรุปราคาทุนผมเทียบกับปันผลแล้ว ผมคงไม่หนีออกทีี่ราคานี้แล้วครับ ก็รอให้มันผ่านไปแย่สุดๆอาจต้องรอนาน2-3ปี
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 5:20 pm
โดย doodeemak
ขออนุญาตตอบตามบทความล่าสุดเรื่องแก่นของ VI นะครับ :D
1) เวลาลงทุนซื้อหุ้น ให้คิดเหมือนกับว่าเรากำลังจะเป็นเจ้าของธุรกิจ ต้องคิดว่า เรากำลังเข้าเป็นหุ้นส่วนกับเขา เมื่อเราคิดแบบนี้ เราก็จะต้องวิเคราะห์ว่าธุรกิจของเขาทำอะไร สินค้าเป็นอย่างไร ยอดขายเป็นอย่างไร มีกำไรดีไหม ฐานะการเงินเป็นอย่างไร มีหนี้มากน้อยแค่ไหน ธุรกิจมีความสม่ำเสมอไหม ธุรกิจมีการเติบโตหรือไม่และจะเติบโตต่อไปหรือเปล่าและจะเติบโตต่อไปอีกนานเท่าไร ที่สำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้บริหารมีความน่าเชื่อถือหรือเปล่า ซึ่งทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับราคาหุ้นที่ขึ้นลงหวือหวาที่นักเล่นหุ้นมักจะดูก่อนที่จะเข้ามาซื้อขายหุ้นเลย พูดง่าย ๆ ถ้าเป็น Value Investment ธุรกิจต้องมาก่อน
ถ้ามีการวิเคราะห์ธุรกิจก่อนเข้าซื้อเป็นอย่างดี แสดงว่าไม่ผิดครับ
2) หา มูลค่าที่แท้จริง ของธุรกิจหรือหุ้นที่เราวิเคราะห์ มูลค่าที่แท้จริงหรือ Intrinsic Value นั้น หาได้จากการคิดส่วนลดเงินสดที่เราจะได้รับในอนาคต นี่ก็คือการหามูลค่าทางทฤษฎีซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมากสำหรับนักลงทุนทั่ว ๆ ไป แต่ในทางปฏิบัติเราก็มักจะใช้ค่า PE หรือราคาต่อกำไรต่อหุ้น หรือ ค่า PB หรือ กำไรต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี มาเป็นตัววัดว่าหุ้นมีราคาแพงหรือถูกหรือหุ้นควรมีราคาที่เหมาะสมเท่าไร
ถ้ามีการประเมินราคาที่เหมาะสมก่อนซื้อแสดงว่าไม่ผิดครับ
3) ซื้อหรือขายหุ้นต่อเมื่อมีส่วนต่างระหว่างมูลค่าที่แท้จริงกับราคาหุ้นในตลาด เพราะในที่สุดแล้ว ราคาหุ้นในตลาดจะวิ่งไปที่มูลค่าที่แท้จริง พูดให้เฉพาะขึ้นก็คือ ถ้าราคาหุ้นในตลาดต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก โอกาสที่เราจะกำไรก็จะสูงและโอกาสที่จะขาดทุนก็จะน้อย หรือเรียกว่าเรามีการ เผื่อความปลอดภัย สูง ในภาษาของ Value Investor ก็คือ เรามี Margin Of Safety สูง
ถ้ามีการประเมินราคาที่เหมาะสมของ SCC และ KTB ไว้สูงกว่า 260, 12 และประเมินราคาตอนซื้อว่ามี MOS เพียงพอ ณ ราคา 228, 9.75 ก็ไม่ผิดครับ
4) ตลาดหุ้นนั้น เป็นที่ที่จะรับใช้เราไม่ใช่คนที่จะมาสั่งว่าเราจะต้องทำอะไร โดยส่วนใหญ่แล้ว ตลาดหุ้นสามารถกำหนดราคาธุรกิจหรือหุ้นต่าง ๆ ในตลาดได้อย่างถูกต้อง อย่างไรก็ตาม มีช่วงเวลาที่ตลาดให้ราคาหุ้นสูงหรือต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมาก หน้าที่ของนักลงทุนก็คือ ค้นหาหุ้นที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่ามาก ๆ ซื้อแล้วเก็บไว้รอจนราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงจึงขายออกไป และนี่คือแนวความคิดว่าตลาดหุ้นเป็น ผู้รับใช้ ส่วนแนวความคิดว่าตลาดเป็น ผู้สั่ง เรานั้น หมายความว่า เราตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้นโดยดูจากการขึ้นลงของราคาหุ้นโดยที่เราไม่ได้คำนึงถึงพื้นฐานหรือมูลค่าที่แท้จริงของธุรกิจเลย
ข้อนี้อาจจะผิดครับ สังเกตจากคำถามบนกระทู้ :? ส่วนตัวผมคิดว่า
1. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ยังมีมูลค่าสูงกว่าราคา ณ ปัจจุบันมากๆ -- ซื้อเพิ่ม
2. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ใกล้เคียงราคา ณ ปัจจุบัน -- ถือ หรือ ขายเพื่อหาตัวอื่นที่ดีกว่า
3. ถ้าราคาที่เราประเมินได้ต่ำราคา ณ ปัจจุบันมากๆ -- ขายโลดดดด
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 5:21 pm
โดย nanchan
หุ้นที่under value ปีนี้ ไม่ใช่ว่าปีหน้าจะUnder valueไม่ได้
หุ้นที่Under valueปีหน้า ก็ใช่ว่าปีถัดไปจะUnder value ไม่ได้
หุ้นที่ Under value ปีถัดไป ก็ใช่ว่าจะ under value ในปีถัดๆไปไม่ได้อีก
งง เปล่า
ครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 6:40 pm
โดย SEHJU
งงครับพี่..............
แล้วเมื่อไหร่จะหายอันเดอร์แวยู่ซักที่ล่ะครับ
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 6:44 pm
โดย tum_H
ผมว่าทั้ง 2 ตัวก็ปัจจัยพื้นฐานดีนะ เพียงแต่ว่า
1.เป็นหุ้นที่ขึ้นลงตามภาวะตลาดและเศรษฐกิจ อัตราการเจริญเติบโตขึ้น
อยู่กับการบริโภคและใช้จ่ายของภาคประชาชน ตอนนี้เท่าๆที่ทราบกันอยู่
ว่าภาวะเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อเป็นยังไง
2.หากถือเพื่อรอปันผล ผมว่าอย่าง SCC ก็น่าจะได้มา 5-6% แล้ว ปีหน้าเดือน
เมษา ก็รับเพิ่มอีก ดีกว่าอัตราเงินฝาก ต้นทุนก็ลดลงเรื่อยๆ ส่วน KTB ช่วง
นี้ก็เหมือนกับฤดูมรสุม เจอทั้ง การกันสำรองหนี้เสีย การลงทุนซับไฟม์ แต่
ผมมองว่าปีหน้าเรื่องต่างๆเหล่านี้ก็จะจบไป ลองไปศึกษาอัตราการเจริญเติบ
โตดูนะครับ(เว้นแต่ว่ามีปัญหาเพิ่ม ก็อาจต้องปรับพอร์ตหรือถือลงทุนนานขึ้น)
ตอนนี้ก็ต้องศึกษาหุ้นที่เราลงทุน ว่าเราซื้อเพราะอะไร หากไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ต้องลดการลงทุน ลงทุนต้อง
ทำใจให้สบายครับ จะได้มีความสุขกับการลงทุน
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 6:52 pm
โดย แผ่วเบา
หลักการ "ซื้อหุ้นที่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน และถือมันไว้นานเท่านาน" นั้น
เป็นสไตล์การลงทุนของ วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์
ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆสไตล์ของวีไอ
วีไอนั้นมีหลายสไตล์ตามที่ปีเตอร์ ลินช์พูดไว้
เช่นหุ้นเติบโต
หุ้นวัฏจักร
หุ้นสินทรัพย์มาก
หุ้นฟื้นตัว
หุ้นแข็งแกร่ง เป็นต้น
สไตล์ของบัฟเฟตต์นั้นไม่น่าจะเข้ากลุ่มใดของลินช์แบบเป๊ะๆ
แต่ถ้าจะจัดเข้ากลุ่มให้จงได้
น่าจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหุ้นเติบโต(ที่มีปราการแข็งแกร่ง)
หลักการถือต่อเนื่องอย่างยาวนานจึงจะใช้ได้ผล
กรณี SCC นี้ จัดอยู่ในกลุ่มวัฏจักรทั้งเรื่องปิโตรเคมี(commodity cycle)
และปูน(economical cycle) ตามที่คุณ kit556 พูดไว้ครับ
หุ้นวัฏจักรนั้น ปีเตอร์ ลินช์ นำไปเปรียบเทียบกับการเล่นโป๊กเกอร์
กล่าวคือ
เมื่อได้กำไรจนถึงพีคแล้ว ต้องหยุดเล่น
ถ้านั่งเล่นต่อทั้งคืน
กำไรที่ได้มาอาจจะหายไปหมด
ส่วน KTB ก็ไม่น่าจะเข้าสเป็คของบัฟเฟตต์
เพราะไม่มีความได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืนแต่ประการใด
จึงสรุปได้ว่าคุณ Freeze
เลือกวิธีถือนานของบัฟเฟตต์
แต่ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟตต์นั่นเอง
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 7:31 pm
โดย oonngg51
พี่แผ่วเบาลึกซึ้งจริงๆครับ
ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟต แต่คิดถือยาวแบบบัฟเฟต >> ชอบจริงๆ
ทำให้ผมได้นึกทบทวนการขายหุ้นกลุ่มประกันภัยที่ผมถือด้วย ตอนเข้าซื้อ..ผมเข้าซื้อตอนตลาดกระทิงเต็มตัว set เพิ่งบวกจาก 600 มาเป็น 700-800
แต่หุ้นประกันภัยกลับราคาไม่ขึ้นเลย ทั้งที่พอร์ตของบางบ.ประกันภัย เป็นหุ้นไทยเกือบครึ่ง เลยเก็บไว้
แต่ว่า...ตอนนี้ราคาหุ้นประกันภัยเกือบทุกตัวก็ขึ้นมาเยอะพอควร ถ้าพิจารณาจากเหตุผลการเข้าซื้อของผม ก็สมควรขาย / ถ้าไม่ขาย ก็ต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องความสามารถในการทำกำไรของ บ.ประกัน และการแข่งขัน
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 8:07 pm
โดย Mr.Freeze
ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟต แต่คิดถือยาวแบบบัฟเฟต >> ชอบจริงๆ
จริงๆแล้วผมก็ไม่ได้ยึดแนวของบัฟเฟตนะครับ ผมเอาจากหลายๆตำราครับ
ปูนใหญ่นี่ซื้อเพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ เกือบเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด ราคานะตอนนั้นมี MOS ค่อนข้างสูง
ส่วนกรุงไทยนี่ผมซื้อเพราะเป็นธนาคารที่มีค่า P/E ต่ำกว่าตัวอื่นในธุรกิจเดียวกัน อีกทั้งข้าราชการทั่วประเทศ ธุรกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ ก็ทำธุรกรรมผ่านแบงค์กรุงไทย
และทั้งสองตัวณ ตอนที่ซื้อ ใน SAS ของ Settrade ไม่มีสำนักไหนให้ต่ำกว่าราคาตลาดตอนนั้นเลย แม้กระทั่งตอนนี้ใน SAS ก็มีแค่ TSC ที่ให้ราคาเป้าหมายของ SCC ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ส่วนของค่ายอื่น ล้วนให้ทั้ง KTB&SCC ราคาสูงกว่าต้นทุนผมทั้งนั้น หลังจากอ่านความเห็นเพื่อนๆดู ก็มาลองคิดดู ผมว่า ผมพลาดที่ไม่ได้ประเมินพื้นฐานของทั้งสองตัวใหม่ และไม่ได้ค่อยติดตามทิศทางของตลาดเพราะกะว่าซื้อแล้วกะถือยาวเลยครับ
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 8:08 pm
โดย nanchan
แผ่วเบา เขียน:
เลือกวิธีถือนานของบัฟเฟตต์
แต่ไม่ได้เลือกหุ้นแบบบัฟเฟตต์นั่นเอง
ผมว่าก็น่าจะตามนี้มั้งครับ แต่เห็นบัฟเฟต์มองหุ้นระยะยาวมาก
มองไป10ปี หุ้นที่Mr.Freezeถืออาจจะยังไม่ตอบสนองก็ได้นะครับ
ผมก็ไม่แน่ใจว่าMr.Freezeมองอนาคตอีก10ปีออกรึเปล่า
Re: ครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 8:28 pm
โดย nanchan
SEHJU เขียน:งงครับพี่..............
แล้วเมื่อไหร่จะหายอันเดอร์แวยู่ซักที่ล่ะครับ
ผมว่าหุ้นที่จะตอบสนองราคาให้Fully Value ได้
หุ้นมันต้องแสดงศักยภาพของตัวมันเองให้ได้ซะก่อน
แวลูของหุ้นขึ้นกับตลาด และคนในตลาดมอง
ถ้าปีหน้าหุ้นสองตัวนี้ยังไม่แสดงศักยภาพของบริษัทได้ดีพอ
ปีต่อไปก็น่าจะมีราคาUnder valueต่อไป เพราะราคาวันนี้อาจจะเป็นราคาFully แล้วก็ได้
อย่างTTAบางโบรกตอนนี้ ประเมินแถว60-70
ทำไมราคาตอนนี้แค่49หละครับ?
ง่ายๆก็คือคนเล่นหุ้นไม่สนใจการประเมินราคาของนักวิเคราะห์ไง
ผมก็งงเหมือนกันนะว่าหุ้นวัฐจักรนี่เอามาประเมินValuationได้ด้วยเหรอ
อนาคตครับ อนาคตจริงๆ ถ้าหุ้นตัวนั้นๆ แสดงศักยแสนยานุภาพได้ว่ามีอนาคต ผมรับรองว่าตลาดจะให้ราคาหุ้นมากกว่านี้
สรุปอีกที ก็คือ ถ้ายังมองว่าไม่มีอนาคตหรือการเติบโตได้ยังไง
ปีนี้ก็ยังUndervalue ปีหน้าก็เหมือนเดิม ปีต่อไปก็คงเหมือนเดิม
ที่ผ่านมาราคาขึ้นไปยังไม่ใช่ของจริงครับ
ผมว่าMr.Freeze ต้องทำความเข้าใจกับหุ้นตัวเองให้ดีก่อน
Time Frameในการลงทุนด้วยนะครับ มองออกแค่ไหนก็คิดแค่นั้น
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 8:29 pm
โดย miracle
SCC ตอนนี้โครงสร้างบริษัทเปลี่ยนแปลงแล้วไม่ใช่หรือ
รายได้มากจาปิโตรเคมีมากกว่าปูนแล้ว
ถ้าวิเคราะห์แต่ปูนไม่ได้น่าครับ
ส่วน ktb ต้องรอครับ เพราะไม่มีความชัดเจน ในการบริหารงาน
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 8:50 pm
โดย bankniti
Mr.Freeze เขียน:
และทั้งสองตัวณ ตอนที่ซื้อ ใน SAS ของ Settrade ไม่มีสำนักไหนให้ต่ำกว่าราคาตลาดตอนนั้นเลย แม้กระทั่งตอนนี้ใน SAS ก็มีแค่ TSC ที่ให้ราคาเป้าหมายของ SCC ต่ำกว่าราคาปัจจุบัน ส่วนของค่ายอื่น ล้วนให้ทั้ง KTB&SCC ราคาสูงกว่าต้นทุนผมทั้งนั้น
รู้แล้วว่าเหตุใด เหมือนผมตอนเริ่มลงทุนใหม่ๆ เลย ยังวิเคราะห์อะไรไม่ค่อยเป็น อ่านใน settrade นี้เหมือนกัน ทุกสำนักฟันธงหุ้นตัวที่ผมจะซื้อมีอัพไซด์ 20-30% ยังไม่ร่วมปันผมอีก 5-7% ก็เลยซื้อไปเลยกะว่าอย่างน้อย 20% น่าจะได้ ที่ไหนได้ หุ้นตัวนี้เป็นหุ้นที่รองานประมูลโดยเฉพาะจากภาครัฐ เมื่อภาครัฐชะลอการลงทุนที่ไม่จำเป็น งานใหม่ก็ไม่ค่อยมีเข้ามา ผ่านไป 6 เดือน ทุกสำนักที่ฟันธงซื้อ เปลี่ยนไปฟันธง ขาย อย่างเดียวเลย สรุปขาดทุนไป 23% แต่ถ้ายังถืออยู่ตอนนี้ก็คงขาดทุนไป 50% แล้ว
เลยได้ข้อคิดว่า อย่าเชื่อนักวิเคราะห์มากนัก บทวิเคราะห์นั้นอ่านได้ แต่ให้รู้จักคิดกับวิเคราะห์ข้อด้อยหรือความเสี่ยงของหุ้นที่นักวิเคราะห์ไม่ได้กล่าวถึงด้วย
ยกตัวอย่างเลย หุ้น CPN ช่วงนี้หลายสำนักก็เชียร์ให้ซื้อ เป้าหมาย 30 บาทขึ้นไป แต่เท่าที่ตามอ่านหลายๆ สำนัก ไม่เห็นมีใครพูดถึงเรื่องที่ดินที่ลาดพร้าวเลย ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เอามาวิเคราะห์ความเสี่ยงด้วยว่าถ้าไม่ได้ต่อสัญญา ราคาหุ้นควรจะลดหายไปเท่าไร หรือว่ารู้กันวงในว่าจะได้ต่อสัญญาแน่นอน
Re: ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พุธ ธ.ค. 12, 2007 9:58 pm
โดย Rocker
Mr.Freeze เขียน:ผมถือหุ้นสองตัวนี้มาปีกว่าที่ต้นทุนดังข้างล่าง
SCC@ 228
[email protected]
ตอนนี้ราคาในตลาดมันต่ำกว่าที่ผมซื้อมาแล้วครับ เมื่อกลางปีเคยคิดจะขาย KTB ที่เกือบๆ 12 บาทและ SCC แถวๆ 260 แล้วจะมารับ KTBที่ต่ำกว่า 11จะรับ SCC แถวๆ 250และ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ขายเพราะคิดว่าต้นทุนเราต่ำกว่าคนอื่นเยอะ และลองเดินมาทางแนว VI แล้วไม่ควรขายเพื่อเล่นรอบ
ผมคิดอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือแค่ผมถือผิดตัว ทั้งสองตัวที่ราคาที่ผมซื้อยังไม่ใช่ราคาที่ VI จะเข้าไปซื้อลงทุนเพื่อถือยาว
KTB ถ้าซื้อเพราะเหตุผลรอ fund flowจะฟังขึ้นมากกว่าเพราะ
ที่ผ่าน ขนาดQ2 ตั้งค่าเผื่อพอมีfund flowมายังขึ้นเลย
แต่Q4นี้สํารองCDOครับ ซึ่งหากไม่มีขาดทุนก็จะ บันทึกกลับรายการค่าเผื่อ
สรุปแล้วหากไม่ตั้งสํารองเพิ่มปีหน้าๆ กําไรจะโตมากๆครับ KTB
รอดูหลังเลือกตั้ง ช่วง มกราก็ยังไม่สายนะไม่แน่อาจมีsurpriseให้ขายได้ดีๆก็ได้
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 13, 2007 1:20 am
โดย crazyrisk
เอ ราคาปูน มันเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ นะคับ
เห็นมีคนบอกว่าราคามันเพิ่มสูงขึ้นมาก
แล้ว มาร์จิ้น มันลดหรือป่าว...
ใครมีกราฟของ ราคาปูน(จริงๆ) บ้างคับ
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ธ.ค. 13, 2007 12:56 pm
โดย Wang yun fat
ผมว่าเลือกลงทุนผิดตัวนะครับ
ktb เครื่องมือหลักของรัถบาลในการกระตุ้น economy
บางครวไม่ maximize กำไรผู้ถือหุ้น
Scc หุ้นขึ้นกับวัถจักร แต่ยังไม่ weight เรื่อง petro ก็ไม่ทราบเหมือนกัน
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ธ.ค. 14, 2007 8:23 am
โดย picatos
Mr.Freeze เขียน:...
ปูนใหญ่นี่ซื้อเพราะเป็นเบอร์หนึ่งในธุรกิจ เกือบเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจกึ่งผูกขาด ราคานะตอนนั้นมี MOS ค่อนข้างสูง
ส่วนกรุงไทยนี่ผมซื้อเพราะเป็นธนาคารที่มีค่า P/E ต่ำกว่าตัวอื่นในธุรกิจเดียวกัน ...
MOS ค่อนข้างสูง... หมายถึง ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้มาก
สำหรับผม MOS สูงนี่ต้องต่ำกว่ามูลค่าที่ประเมินได้สัก 60% ขึ้น
แต่คำถามที่สำคัญก็คือ มูลค่าที่แท้จริงของ 2 ธุรกิจนี้อยู่ที่ไหน ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่ทราบ และคำนวนไม่ออกจริงๆ เพราะงบของบริษัททั้ง 2 นี้อ่านแล้่วมึนตึบ SCC โครงสร้างธุรกิจใหญ่มาก ทำธุรกิจธุรกิจเยอะเกิน เวลาจะประเมินมูลค่าบริษัทที เหมือนต้องมานั่งประเมินบริษัท 10 บริษัท แถมงบที่มีให้ก็เป็นงบหลังจากที่ผ่านการยำใหญ่มาเสร็จแล้ว อ่านไม่รู้เรื่องจริงๆ
ส่วนงบแบงค์นี่ ผมขอผ่านเลย เอาไว้ Basel II ใช้เป็นที่เรียบร้อยก่อนดีกว่า ค่อยมานั่งอ่านงบอีกทีจะดีกว่า เหตุผลก็คล้ายๆ กับ SCC ที่งบปัจจุบันผ่านการยำใหญ่มาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ของแบงค์จะแบ่งเป็น business unit ซึ่งแต่ละอันใหญ่ๆ กันเหลือเกิน เลยทำให้เราไม่สามารถประเมินได้ว่ากำไรของแต่ละ business unit มันเป็นยังไง ก็คงมีแต่ผู้บริหารระดับสูงล่ะครับที่สามารถรู้ได้ว่ากำไรของแต่ละ business unit นั้นเป็นอย่างไร (คือมันต้อง transfer pricing กันยุ่งยากเต็มไปหมด กว่าจะออกมาเป็นผลประกอบการของแต่ละ business unit)
สรุป... ถ้า Mr. Freeze สามารถประเมินมูลค่าออกมาแล้วเชื่อว่าหุ้นสองตัวนี้มี MOS ที่มากเพียงพอในระยะยาวแล้วละก็ ลุยต่อเลยครับ ซื้อเพิ่มอีกถ้ามันลง ในระยะยาวแล้วผมเชื่อว่าราคาน่าจะสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท
แต่สำหรับผม... ผมขอบายครับ อยู่นอก circle of competence จริงๆ
ผมทำอะไรผิดไปหรือเปล่าครับ
โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 17, 2007 8:43 am
โดย sawarut
ผมก็อ่านบทวิเคราะห์ของ กิมเฮง ปีหน้าราคาปูนต่อ1ตัน จะปรับราคาขึ้น ตามต้นทุน ยังไงทนทนหน่อยนะคับ ผมก็เชียร์ scc อยู่ลึกลึก ทั้งที่ไม่มีเลยยยย
:P :P :P