เปิดสูตรหุ้นเก็งกำไร 3-5-7 เผ่น
โพสต์แล้ว: จันทร์ ธ.ค. 24, 2007 1:06 am
เปิดสูตรหุ้นเก็งกำไร 3-5-7 เผ่น
กูรูชี้หลังเลือกตั้ง หุ้นไทยยังไม่ใส ชี้กว่าการเมืองจะลงตัวใช้เวลาอีกยาว งานนี้หุ้นเก็งกำไรถูกงัดขึ้นมาแก้คันมืออีกครั้ง พร้อมเปิดสูตร 3-5-7 ช่องเผ่นเอากำไรก่อนดีกว่า เพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะ PAE-IEC-SEAFCO ที่ขึ้นแบบไร้ปัจจัย เจนิเฟอร์ UOBKH ให้หุ้นเทคนิคเด็ด EMC-TKS ฟาก ปีเตอร์ แห่ง บีฟิท มอบหุ้น TYM-S2Y เป็นของขวัญคริสมาสต์
แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะได้ทราบกันอย่างไม่เป็นทางการในเร็วๆนี้ และตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณในทางบวก โดยปรับตัวขึ้นแรงและปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 831.60 จุด เพิ่มขึ้น 21.89 จุด หรือ % แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 13,098.81 ล้านบาท จุด และหากพิจารณาถึงนักลงทุนรายกลุ่มแล้ว ต่างชาติยังคงขายสุทธิอีกถึง 1,593.26 ล้านบาท ขณะที่สถาบันซื้อสุทธิ 1,256.95 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 336.31 ล้านบาท
ทั้งนี้หากนับรวมทั้งสัปดาห์ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 12,405.19 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. หลังจากศาลฯเริ่มนัดไต่สวนคดีแปรรูป ปตท. ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 18,137.13 ล้านบาท
ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า แรงดันหุ้นบิ๊กแคปเมื่อวันศุกร์ เป็นเพียงความหวังของนักลงทุนในประเทศทั้งรายย่อยและสถาบันเท่านั้น ด้วยหวังว่าหลังการเลือกตั้งเม็ดเงินต่างชาติน่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันยังมีอีกหลายกระแสเสียงที่ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. ผ่านพ้นไป การเมืองไทยอาจไม่สงบอย่างที่คิด เพราะต้องยอมรับว่าเมืองไทย ประเทศไทย ยังแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ระหว่าง ประชาธิปัตย์ กับ พลังประชาชน หรือ ไทยรักไทยเดิม ดังนั้นแม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านไป ในสายตาของต่างชาติแล้ว ภาพของการเมืองไทยก็ยังไม่ชัด เพราะกังวลถึงกระแสต่อต้านที่จะตามมา หากพรรคที่ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนน้อย แต่อาจได้เสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ยามนี้การเล่นหุ้นบิ๊กแคปจึงถือว่ายังมีความเสี่ยง และหุ้นเก็งกำไรอาจกลับมาครอบครองกระดานหุ้นอีกครั้ง
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส (SYRUS) ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนในประเทศเข้าซื้อหุ้นบิ๊กแคป ดักเม็ดเงินต่างชาติ ที่เชื่อว่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ก็ถือว่าประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เปิดเผยว่า แม้ว่าดัชนีฯในวันศุกร์จะปรับตัวขึ้นแรง แต่มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง และต่างชาติยังขายสุทธิ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนในประเทศเองที่เข้ามาซื้อหุ้นบิ๊กแคปดักเงินต่างชาติที่คาดว่าจะเข้ามาหลังการเลือกตั้ง อีกทั้งที่ผ่านมามีแรงขายหุ้นออกมามากจนดัชนีฯและหุ้นบิ๊กแคปหลายตัวปรับตัวลดลงแรงจนถึงระดับที่น่าสนใจ นักลงทุนบางส่วนจึงเข้ามาซื้อดัก เพื่อเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป กว่าการเมืองไทยจะลงตัวอาจต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน เนื่องจากการเมืองไทยยังแบ่งเป็นขั้ว ซึ่งหากขั้วใดขั้วหนึ่งได้ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อาจเกิดการต้อต้านจากอีกขั้วหนึ่ง
"คิดว่าถ้าประชาธิปัตย์มา การเมืองจะไม่วุ่นวายมาก และหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นแรง เพราะกระแสต้านจะน้อยกว่า แต่หากพลังประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่ามีฐานเสียงต่างจังหวัดมากได้เป็นแกนนำ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น เพราะการต่อต้าน และจะทำให้ภาพรวมตลาดฯผันผวนมาก"
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่จึงยังไม่น่าสนใจและยังมีความเสี่ยงในการลงทุน และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความนิยมีกครั้ง โดยในส่วนของหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคเป็นบวก และมีแนวโน้มว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อได้อีก ได้แก่ EMC และ TKS
โดยในส่วนของ EMC ก่อนหน้านี้เคยขึ้นทะลุ 4 บาท แล้วโดนทุบลงมาเหลือ 3 บาทกว่า หลังจากนั้นราคาก็เริ่มนิ่งเพื่อสร้างฐาน ซึ่งจากกราฟทางเทคนิค มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ แนวรับอยู่ที่ 3.30-3.20 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 4-4.50 บาท
TKS สัญญาณเทคนิค เริ่มเข้าสู่ภาวะกระทิง หลังจากผ่านแนวต้านที่ 3.60-3.70 บาทได้ โครงสร้างใหญ่ของกราฟมีโอกาสจะไปถึง 5-6 บาท
ส่วนหุ้นเก็งกำไรที่ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ ไม่ว่าจะเป็น PAE IEC และ SEAFCO เป็นหุ้นที่มีนักลงทุนไล่ราคาขึ้นมา ซึ่งอาจจะมีการล่วงรู้ข้อมูลภายใน หรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นการเก็งกำไรต้องเน้นเข้าเร็วออกเร็ว หรือขายหุ้นออกมาก่อนเมื่อมีกำไรเพื่อลดความเสี่ยงที่ราคาจะปรับตัวลดลง โดย PAE มีแนวรับที่ 1.30 บาท แนวต้าน 1.40 บาท IEC แนวรับ 1.20 บาท แนวต้าน 1.30 บาท SEAFCO แนวรับ 5.40 บาท ต้าน 5.80 บาท โดนมีแนวต้านใหญ่อยู่ที่ 6 บาท และเป็นหุ้นที่สามารถถือเล่นรอบได้
"เล่นหุ้นช่วงนี้อาจต้องเน้นเล่นสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีคนลากขึ้นมา เพราะเราไม่รู้ข้อมูลลึกๆ หากได้กำไรซัก 3-5-7 ช่องก็น่าจะขายทำกำไรก่อน แล้วค่อยกลับมารับเมื่อราคาอ่อนตัว"
นายอภิสิทธิ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ในส่วนของการเมืองยังไม่มีความแน่นอน ว่าจะออกหัวหรือก้อย ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาทำให้นักลงทุนผิดหวัง ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลดลงไปถึงระดับ 740 จุด แต่ถ้าผลออกมาเป็นบวก ดัชนีฯมีโอกาสดีดขึ้นแตะ 840-850 จุดได้ นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ด้วย ว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้มากแค่ไหน
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อาจยังไม่น่าสนใจที่จะเข้าซื้อลงทุน เพราะตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง โดยในส่วนของหุ้นที่แนะนำซื้อเก็งกำไรทางเทคนิค ได้แก่ TYM ให้แนวรับ 4.48 บาท แนวต้าน 4.66-5 บาท และ S2Y แนวรับ 1.76 บาท แนวต้าน 1.90 บาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัยพ์ฯช่วงนี้เบาบาง และดัชนีฯเคลื่อนไหวผันผวน นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีแรงซื้อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาหนาแน่นดันให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับความสนใจ น่าจะเป็นหุ้นที่มีแรงซื้อปิดงวดบัญชี (Window Dressing) รวมถึงแรงซื้อกลับในหุ้นที่มีการปรับลดลงมามากก่อนหน้านี้ อาทิ CWT, KSL, SIAM, AKR, RAIMON, ขณะเดียวกันหุ้นที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็น่าจะยังได้รับความสนใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็น MJD, BGT และ SIMAT
"จับตาหุ้นเล็กจะมาแรงช่วงนี้ เพราะหุ้นใหญ่แม้มีแรงซื้อดันราคาเพิ่ม แต่เชื่อว่านักลงทุนกังวลและอาจมีแรงขายออกมา จากเรื่องปตท.ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องค่าเช่าท่อก๊าซที่ต้องจ่ายให้กระทรวงคลัง โดยมองว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอย่างมาก"นายวีระชัย กล่าว " นายวีระชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กดังกล่าว นักลงทุนระยะสั้นที่สนใจสามารถเก็งกำไรได้ แต่ก็ให้ระมัดระวังในการลงทุน และเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น
**BLISS-IEC-LIVE ติดโผเทิร์นโอเวอร์ ลิสต์ ต้องรายงาน ก.ล.ต.
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผย Turnover List ของสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ธันวาคม 2550 มี 3 หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องยื่นรายงานต่อ ก.ล.ต. คือ BLISS, IEC และ LIVE เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่ติดใน Turnover List และ มีผลการดำเนินงานขาดทุน
อันดับ หุ้น %1W-Turnover P/E ratioหรือบริษัทที่มีผล Non-Compliance การดำเนินงานขาดทุน
1 BLISS 97.01 ขาดทุน
2 IEC 37.14 ขาดทุน
3 LIVE 35.50 ขาดทุน
กูรูชี้หลังเลือกตั้ง หุ้นไทยยังไม่ใส ชี้กว่าการเมืองจะลงตัวใช้เวลาอีกยาว งานนี้หุ้นเก็งกำไรถูกงัดขึ้นมาแก้คันมืออีกครั้ง พร้อมเปิดสูตร 3-5-7 ช่องเผ่นเอากำไรก่อนดีกว่า เพื่อลดความเสี่ยง โดยเฉพาะ PAE-IEC-SEAFCO ที่ขึ้นแบบไร้ปัจจัย เจนิเฟอร์ UOBKH ให้หุ้นเทคนิคเด็ด EMC-TKS ฟาก ปีเตอร์ แห่ง บีฟิท มอบหุ้น TYM-S2Y เป็นของขวัญคริสมาสต์
แม้ว่าผลการเลือกตั้งจะได้ทราบกันอย่างไม่เป็นทางการในเร็วๆนี้ และตลาดหุ้นเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ส่งสัญญาณในทางบวก โดยปรับตัวขึ้นแรงและปิดที่จุดสูงสุดของวันที่ 831.60 จุด เพิ่มขึ้น 21.89 จุด หรือ % แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง 13,098.81 ล้านบาท จุด และหากพิจารณาถึงนักลงทุนรายกลุ่มแล้ว ต่างชาติยังคงขายสุทธิอีกถึง 1,593.26 ล้านบาท ขณะที่สถาบันซื้อสุทธิ 1,256.95 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 336.31 ล้านบาท
ทั้งนี้หากนับรวมทั้งสัปดาห์ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 12,405.19 ล้านบาท และหากนับตั้งแต่ต้นเดือน ธ.ค. หลังจากศาลฯเริ่มนัดไต่สวนคดีแปรรูป ปตท. ต่างชาติขายสุทธิรวมทั้งสิ้น 18,137.13 ล้านบาท
ดังนั้นจึงแสดงให้เห็นว่า แรงดันหุ้นบิ๊กแคปเมื่อวันศุกร์ เป็นเพียงความหวังของนักลงทุนในประเทศทั้งรายย่อยและสถาบันเท่านั้น ด้วยหวังว่าหลังการเลือกตั้งเม็ดเงินต่างชาติน่าจะกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันยังมีอีกหลายกระแสเสียงที่ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. ผ่านพ้นไป การเมืองไทยอาจไม่สงบอย่างที่คิด เพราะต้องยอมรับว่าเมืองไทย ประเทศไทย ยังแบ่งขั้วกันอย่างชัดเจน ระหว่าง ประชาธิปัตย์ กับ พลังประชาชน หรือ ไทยรักไทยเดิม ดังนั้นแม้ว่าการเลือกตั้งจะผ่านไป ในสายตาของต่างชาติแล้ว ภาพของการเมืองไทยก็ยังไม่ชัด เพราะกังวลถึงกระแสต่อต้านที่จะตามมา หากพรรคที่ไม่เป็นที่ต้องการของคนส่วนน้อย แต่อาจได้เสียงส่วนใหญ่ในการเลือกตั้ง ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ยามนี้การเล่นหุ้นบิ๊กแคปจึงถือว่ายังมีความเสี่ยง และหุ้นเก็งกำไรอาจกลับมาครอบครองกระดานหุ้นอีกครั้ง
นายกัณฑรา ลดาวัลย์ ณ อยุธยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ไซรัส (SYRUS) ให้ความเห็นว่า สาเหตุที่ดัชนีฯปรับตัวเพิ่มขึ้นแรงในวันศุกร์ที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนในประเทศเข้าซื้อหุ้นบิ๊กแคป ดักเม็ดเงินต่างชาติ ที่เชื่อว่าจะเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น หลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล แต่ก็ถือว่าประเทศไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย
นายสิทธิพร เจนในเมือง ผู้อำนวยการฝ่ายที่ปรึกษาการลงทุน บล.ยูโอบี เคย์เฮียน เปิดเผยว่า แม้ว่าดัชนีฯในวันศุกร์จะปรับตัวขึ้นแรง แต่มูลค่าการซื้อขายยังเบาบาง และต่างชาติยังขายสุทธิ ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักลงทุนในประเทศเองที่เข้ามาซื้อหุ้นบิ๊กแคปดักเงินต่างชาติที่คาดว่าจะเข้ามาหลังการเลือกตั้ง อีกทั้งที่ผ่านมามีแรงขายหุ้นออกมามากจนดัชนีฯและหุ้นบิ๊กแคปหลายตัวปรับตัวลดลงแรงจนถึงระดับที่น่าสนใจ นักลงทุนบางส่วนจึงเข้ามาซื้อดัก เพื่อเก็งกำไรก่อนการเลือกตั้ง
ทั้งนี้ประเมินว่าหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไป กว่าการเมืองไทยจะลงตัวอาจต้องใช้เวลาอีกค่อนข้างนาน เนื่องจากการเมืองไทยยังแบ่งเป็นขั้ว ซึ่งหากขั้วใดขั้วหนึ่งได้ขึ้นเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล อาจเกิดการต้อต้านจากอีกขั้วหนึ่ง
"คิดว่าถ้าประชาธิปัตย์มา การเมืองจะไม่วุ่นวายมาก และหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นแรง เพราะกระแสต้านจะน้อยกว่า แต่หากพลังประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่ามีฐานเสียงต่างจังหวัดมากได้เป็นแกนนำ ความวุ่นวายจะเกิดขึ้น เพราะการต่อต้าน และจะทำให้ภาพรวมตลาดฯผันผวนมาก"
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่จึงยังไม่น่าสนใจและยังมีความเสี่ยงในการลงทุน และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความนิยมีกครั้ง โดยในส่วนของหุ้นที่มีสัญญาณทางเทคนิคเป็นบวก และมีแนวโน้มว่าราคาจะปรับตัวขึ้นต่อได้อีก ได้แก่ EMC และ TKS
โดยในส่วนของ EMC ก่อนหน้านี้เคยขึ้นทะลุ 4 บาท แล้วโดนทุบลงมาเหลือ 3 บาทกว่า หลังจากนั้นราคาก็เริ่มนิ่งเพื่อสร้างฐาน ซึ่งจากกราฟทางเทคนิค มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นได้ แนวรับอยู่ที่ 3.30-3.20 บาท ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 4-4.50 บาท
TKS สัญญาณเทคนิค เริ่มเข้าสู่ภาวะกระทิง หลังจากผ่านแนวต้านที่ 3.60-3.70 บาทได้ โครงสร้างใหญ่ของกราฟมีโอกาสจะไปถึง 5-6 บาท
ส่วนหุ้นเก็งกำไรที่ปรับตัวขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ ไม่ว่าจะเป็น PAE IEC และ SEAFCO เป็นหุ้นที่มีนักลงทุนไล่ราคาขึ้นมา ซึ่งอาจจะมีการล่วงรู้ข้อมูลภายใน หรือไม่มีก็ได้ ดังนั้นการเก็งกำไรต้องเน้นเข้าเร็วออกเร็ว หรือขายหุ้นออกมาก่อนเมื่อมีกำไรเพื่อลดความเสี่ยงที่ราคาจะปรับตัวลดลง โดย PAE มีแนวรับที่ 1.30 บาท แนวต้าน 1.40 บาท IEC แนวรับ 1.20 บาท แนวต้าน 1.30 บาท SEAFCO แนวรับ 5.40 บาท ต้าน 5.80 บาท โดนมีแนวต้านใหญ่อยู่ที่ 6 บาท และเป็นหุ้นที่สามารถถือเล่นรอบได้
"เล่นหุ้นช่วงนี้อาจต้องเน้นเล่นสั้น โดยเฉพาะหุ้นที่มีคนลากขึ้นมา เพราะเราไม่รู้ข้อมูลลึกๆ หากได้กำไรซัก 3-5-7 ช่องก็น่าจะขายทำกำไรก่อน แล้วค่อยกลับมารับเมื่อราคาอ่อนตัว"
นายอภิสิทธิ ลิมศุภนาค ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บล.บีฟิท กล่าวว่า ในส่วนของการเมืองยังไม่มีความแน่นอน ว่าจะออกหัวหรือก้อย ซึ่งหากผลการเลือกตั้งออกมาทำให้นักลงทุนผิดหวัง ดัชนีฯมีโอกาสปรับตัวลดลงไปถึงระดับ 740 จุด แต่ถ้าผลออกมาเป็นบวก ดัชนีฯมีโอกาสดีดขึ้นแตะ 840-850 จุดได้ นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ด้วย ว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนได้มากแค่ไหน
ดังนั้นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่อาจยังไม่น่าสนใจที่จะเข้าซื้อลงทุน เพราะตลาดยังมีความไม่แน่นอนสูง และหุ้นเก็งกำไรน่าจะกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้งหนึ่ง โดยในส่วนของหุ้นที่แนะนำซื้อเก็งกำไรทางเทคนิค ได้แก่ TYM ให้แนวรับ 4.48 บาท แนวต้าน 4.66-5 บาท และ S2Y แนวรับ 1.76 บาท แนวต้าน 1.90 บาท
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า ปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัยพ์ฯช่วงนี้เบาบาง และดัชนีฯเคลื่อนไหวผันผวน นักลงทุนส่วนใหญ่เริ่มหันมาสนใจหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กมากขึ้น โดยเชื่อว่าจะมีแรงซื้อหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเข้ามาหนาแน่นดันให้ราคาปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ หุ้นที่ได้รับความสนใจ น่าจะเป็นหุ้นที่มีแรงซื้อปิดงวดบัญชี (Window Dressing) รวมถึงแรงซื้อกลับในหุ้นที่มีการปรับลดลงมามากก่อนหน้านี้ อาทิ CWT, KSL, SIAM, AKR, RAIMON, ขณะเดียวกันหุ้นที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็น่าจะยังได้รับความสนใจอยู่ ไม่ว่าจะเป็น MJD, BGT และ SIMAT
"จับตาหุ้นเล็กจะมาแรงช่วงนี้ เพราะหุ้นใหญ่แม้มีแรงซื้อดันราคาเพิ่ม แต่เชื่อว่านักลงทุนกังวลและอาจมีแรงขายออกมา จากเรื่องปตท.ที่ยังไม่ชัดเจนเรื่องค่าเช่าท่อก๊าซที่ต้องจ่ายให้กระทรวงคลัง โดยมองว่าหุ้นขนาดกลางและเล็กอยู่ในความสนใจของนักลงทุนอย่างมาก"นายวีระชัย กล่าว " นายวีระชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กดังกล่าว นักลงทุนระยะสั้นที่สนใจสามารถเก็งกำไรได้ แต่ก็ให้ระมัดระวังในการลงทุน และเก็งกำไรระยะสั้นเท่านั้น
**BLISS-IEC-LIVE ติดโผเทิร์นโอเวอร์ ลิสต์ ต้องรายงาน ก.ล.ต.
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผย Turnover List ของสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 ธันวาคม 2550 มี 3 หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องยื่นรายงานต่อ ก.ล.ต. คือ BLISS, IEC และ LIVE เนื่องจากเป็นหลักทรัพย์ที่ติดใน Turnover List และ มีผลการดำเนินงานขาดทุน
อันดับ หุ้น %1W-Turnover P/E ratioหรือบริษัทที่มีผล Non-Compliance การดำเนินงานขาดทุน
1 BLISS 97.01 ขาดทุน
2 IEC 37.14 ขาดทุน
3 LIVE 35.50 ขาดทุน