+ถ้าฟองสบู่อเมริกาแตก ดาวโจนส์ต้องร่วงอย่างน้อย 4,200 จุด+
โพสต์แล้ว: อังคาร ม.ค. 22, 2008 6:55 pm
เห็นว่าน่าสนใจ เลยเอามาลงให้ดูกันครับ 8)
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ บิสวีค ...ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เคยเขียนบทความลงตีพิมพ์ในนสพ.กรุงเทพธุรกิจ หลายปีก่อนว่า
ข้อสังเกตเกี่ยวกับภาวะฟองสบู่ไม่ว่าจะเกิดในประเทศไหนก็ตาม จะมีลักษณะบางอย่างร่วมกันดังนี้
หนึ่ง โดยปกติของวัฏจักรราคาสินทรัพย์แล้ว ถ้าอยู่ในช่วงขาขึ้นมักจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่หากต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ราคาในช่วงขาลงมักจะลดลงรวดเร็วและรุนแรง
สอง มีโอกาสราว 25-30% ที่การเพิ่มขึ้นต่อเนื่องของดัชนีราคาหุ้น จะตามมาด้วยการลดลงรุนแรง ขณะที่ราคาอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสถึง 40-50% ที่การปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจะตามมาด้วยการปรับตัวอย่างรุนแรง
สาม ในกรณีที่ราคาสินทรัพย์มีการปรับตัวรุนแรง ดัชนีราคาหุ้นจะลดลง 45-50% โดยเฉลี่ย ส่วนราคาอสังหาริมทรัพย์ อัตราการปรับลดลงจะอยู่ที่ 25-30% โดยเฉลี่ย
ภาพดัชนีดาวโจนส์ระยะ 10 ปี (1998-2007)
ถ้าเกิดวันนี้เศรษฐกิจของสหรัฐมาถึงจุดเปราะบาง และฟองสบู่จะต้องแตกลง (ข่าวล่าสุดแจ้งว่า นายอลัน กรีนสแปน อดีตประธานเฟด ออกมายอมรับว่าสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว) จุดสูงสุดที่ดัชนีดาวโจนส์ได้ทำไว้คือราว 14,200 จุด หากดัชนีต้องลดลงถึง 50% คือต้องร่วงลงมาถึง 7,000 จุด ลงไปอยู่บริเวณ 7,200 จุด แต่ผมเองเชื่อว่าน่าจะร่วงลงสัก 30% เป็นอย่างน้อย หรือลงมาประมาณ 4,200 จุด มาอยู่แถวๆ 10,000 จุด ถึงแนวรับพอดี ที่ซึ่งดัชนีเคยย่ำอยู่ 2 ปีในช่วงปี 2004-2005
ถ้าเป็นอย่างที่คาด ดัชนีหุ้นไทยจะลงไปถึงไหน (ปัจจุบันดัชนีดาวโจนส์อยู่ที่ 12,606 จุด ส่วนดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ 796 จุด ข้อมูล ณ วันที่ 13 ม.ค.2551)
ภาพดัชนีหุ้นไทยระยะ 2 ปี (2006-ปัจจุบัน)
จากภาพ SET จะสังเกตว่าดัชนีได้หลุดเส้นแนวรับ ทำให้ SET มีโอกาสลงไปถึง 750 จุดได้อย่างสบายๆ แต่ถ้าดัชนีดาวโจนส์เกิดดิ่งอย่างรุนแรง แสดงภาวะฟองสบู่แตกอย่างชัดเจน ดึงให้ดัชนีหุ้นทั่วโลกควงสว่านลงมาด้วย อาจได้เห็นดัชนีหุ้นไทยลงมาแถว 625-650 จุด (แนวรับช่วงปฏิบัติการโหด มาตรการสำรอง 30% ของธปท.)
เพราะฉะนั้นใครที่คิดว่าจะซื้อหุ้นเพราะเห็นว่าหุ้นไทยลงมามากแล้ว ก็ขอให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี
อย่าลืมว่าเวลากองทุนต่างประเทศจะซื้อหุ้น เม็ดเงินของเขาเยอะมาก เช่นเขาอาจจะแบ่งเงินมาลงทุนในไทยสัก 300 ล้านดอลลาร์ ฟังดูแล้วนิดเดียว แต่แปลงเป็นเงินไทยได้ถึง 10,000 ล้านบาท
กว่าจะค่อยๆ ซื้อจนหมดอาจต้องใช้เวลา 20-30 วัน เขาอาจจะไล่ซื้อตั้งแต่ดัชนี 600-700 จุด และเริ่มขายที่ดัชนี 900 จุด ขายวันละ 500-1,000 ล้านบาท ค่อยๆ เทขาย เพราะถ้าขายให้หมดในวันเดียว หุ้นนั้นๆ อาจจะร่วงติดฟลอร์เลยก็ได้ เนื่องจากขนาดตลาดหุ้นของไทยเราเล็กมาก
เขาจะเทขายไปเรื่อยๆ แม้บางครั้งดูเหมือนว่าราคาลงมามากแล้ว แต่เขาใช้หลักราคาเฉลี่ย ถ้าเขาพิจารณาแล้วว่าหมดช่วงขาขึ้น ทิศทางกำลังปรับทิศเป็นขาลงในระยะยาวแล้ว จำเป็นต้องล้างพอร์ต เศษหุ้นที่เหลือแม้ขาดทุนก็ขาย
กว่าจะขายหมด ดัชนีหุ้นอาจลงมาที่ 750 จุด ซึ่งถ้าเขาใช้ต้นทุนเฉลี่ยมาคิด ซื้อที่แถวๆ 650 จุด แต่ขายเฉลี่ยแถวๆ 820 จุด คิดเป็นกำไรประมาณ 20 กว่าเปอร์เซ็นต์ นับว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
โปรดสังเกตว่าเวลาฝรั่งซื้อขายหุ้นจะให้ความสำคัญกับดัชนีดาวโจนส์มากกว่าการขึ้นลงของราคาน้ำมัน เราอาจคิดว่าหุ้นกลุ่มที่ผลประกอบการขึ้นกับราคาน้ำมัน มีส่วนแบ่งตลาดถึง 40% ของมูลค่ารวมของหลักทรัพย์ทั้งหมด ถ้าน้ำมันราคาพุ่งขึ้น SET ต้องวิ่งตาม แต่สถิติที่ผ่านมาพบว่าฝรั่งจะซื้อขายตามดัชนีต่างประเทศมากกว่า แสดงว่าเขาใช้วิธีซื้อขายตามสัดส่วนของพอร์ต
เช่น อาจจะตั้งสัดส่วนไว้ว่าจะซื้อหุ้นไทย 1% ของพอร์ตรวม ถ้ามูลค่าพอร์ตรวมเพิ่มขึ้นจากการที่หุ้นในตลาดวอลล์สตรีทและตลาดต่างประเทศขึ้น เขาก็จะซื้อในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นด้วย แต่ถ้าตลาดหุ้นรวมลง เขาก็จะขายออกเพื่อเอาเงินไปชดเชยตลาดหุ้นที่อื่นที่ผู้ถือหน่วยลงทุนของเขาอาจจะมาไถ่ถอนเงินออก
ถ้าเราจับทางผิด อาจจะติดยอดดอยในหุ้นกลุ่มน้ำมันที่ซึ่งในที่สุดแล้ว ราคาน้ำมันควรจะลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก จากการที่แหล่งทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลกทรุดตัวลง
เว้นแต่ว่า ท่านจะเห็นว่ามีหุ้นบางตัวที่ราคาลดลงมามากแล้ว จนมี margin of safety มากจนน่าจะถือยาวได้ (สำนวนของวอร์เรน บัฟเฟตต์ หมายถึง ราคาหุ้นถูกกว่าปัจจัยพื้นฐานมากจนมีความเสี่ยงต่ำ) ประเภทเป็นม้านอกสายตา มีโอกาสเติบโตระยะยาว ท่านซื้อเก็บไว้ นั่นเป็นเรื่องที่น่าสนับสนุน
สาเหตุที่ย้ำเตือนมา ก็เพื่อคนที่ชอบเล่นหุ้นตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่ฝรั่งชอบเล่นกัน เดี๋ยวจะว่ายทวนกระแสเงินไหลออกไม่ทัน ทิ้งท่านให้ติดปลายกิ่งไม้
ขอให้ชั่งใจไว้ให้ดี คิดให้รอบคอบก่อนจะซื้อหุ้นรอบนี้
แต่ถ้าท่านคิดว่า ท่านชอบโต้คลื่น หรือเป็นนักวินเซิร์ฟ ก็ตามอัธยาศัยครับ