ปัจจัยภายใน - ปัจจัยภายนอก by Invisible hand
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 24, 2008 7:35 pm
http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... r=numtopic
ผมเองให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศเรา ได้แก่ เสถียรภาพการเมือง ความเชื่อมั่นกำลังซื้อของผู้บริโภค มากกว่าปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจต่างประเทศมากกว่า เพราะสิ่งที่เกิดจากต่างประเทศแล้วมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศเราจะกระทบตลาดการเงินมากกว่าที่จะกระทบกำลังซื้อหรือความมั่นใจของผู้บริโภค ดังนั้นสิ่งที่กระทบก็จะเป็น p/e ของหุ้นที่ลดต่ำลงมากกว่ากระทบต่อ EPS ของหุ้น ความตกต่ำของอสังหาฯ และภาคการเงินของสหรัฐอันเนื่องจาก subprime นั้นผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของคนไทยส่วนใหญ่ ผมคิดว่าปีนี้ปัจจัยที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคบ้านเราน่าจะเป็นปัจจัยด้านการเมืองและราคาน้ำมัน ในกรณีที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวนั้นก็น่าจะทำให้ราคาน้ำมันและ commodity ต่างๆ จะไม่ขึ้นสูงมากเกินไปซึ่งก็มีผลดีต่อการบริโภคเช่นกัน
การที่ตลาดหุ้นลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วนั้น ผมคิดว่าในรอบนี้เราอาจจะต้องระวังหุ้นส่งออกเพราะอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจสหรัฐ และหุ้น commodity ซึ่งได้แก่ เรือ ปิโตรเคมี ฯลฯ ซึ่งผลกำไรจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ในขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะหากการเมืองในบ้านเราเริ่มมีความแน่นอนและเสถียรภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคก็น่าจะเป็นการบริโภคขั้นพื้นฐานที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงแน่นอน
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้หากดูราคาหุ้นรายตัวหลายๆ ตัวก็อาจจะยังไม่ถึงกับถูกมากนัก แม้หุ้นจะลงมามากอาจจะมีบางตัวยังแพงอยู่หน่อย หลายๆ ตัวเริ่มน่าสนใจ ดังนั้นคงจะต้องเลือกซื้อเป็นตัวๆ ไปครับ หุ้นที่มีปันผลมากกว่า 4% ต่อปีผมคิดว่าน่าสนใจเพราะยังมากกว่าเงินฝากธนาคารอยู่พอสมควรครับ
ปกติวันที่หุ้นลงมากๆ ผมจะชอบดูตาราง top loser แล้วดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่เราเคยอยากซื้อแต่รู้สึกว่ายังแพง แต่ตอนนี้ลงมามากๆ หรือเปล่า อย่างตอนที่เขียนกระทู้นี้หุ้นลง 29 จุด ผมก็เห็นหุ้นพื้นฐานบางตัวราคาลดลงถึง 6-8% นับว่าเริ่มน่าสนใจอยู่เหมือนกันครับ
ผมคิดว่าถ้าหุ้นลงวันละ 25 จุดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะลงได้ถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ ดังนั้นหุ้นลงยังไงถ้าเศรษฐกิจไม่เป็นเหมือนปี 40 ซึ่งในปี 51 นี้ไม่มีความเสี่ยงอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจจะไปเป็นเหมือนปี 40 ครับ
ผมเองให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในประเทศเรา ได้แก่ เสถียรภาพการเมือง ความเชื่อมั่นกำลังซื้อของผู้บริโภค มากกว่าปัจจัยภายนอก คือ เศรษฐกิจต่างประเทศมากกว่า เพราะสิ่งที่เกิดจากต่างประเทศแล้วมีผลต่อเศรษฐกิจประเทศเราจะกระทบตลาดการเงินมากกว่าที่จะกระทบกำลังซื้อหรือความมั่นใจของผู้บริโภค ดังนั้นสิ่งที่กระทบก็จะเป็น p/e ของหุ้นที่ลดต่ำลงมากกว่ากระทบต่อ EPS ของหุ้น ความตกต่ำของอสังหาฯ และภาคการเงินของสหรัฐอันเนื่องจาก subprime นั้นผมเชื่อว่าไม่ค่อยมีผลต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของคนไทยส่วนใหญ่ ผมคิดว่าปีนี้ปัจจัยที่จะมีผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อผู้บริโภคบ้านเราน่าจะเป็นปัจจัยด้านการเมืองและราคาน้ำมัน ในกรณีที่มีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวนั้นก็น่าจะทำให้ราคาน้ำมันและ commodity ต่างๆ จะไม่ขึ้นสูงมากเกินไปซึ่งก็มีผลดีต่อการบริโภคเช่นกัน
การที่ตลาดหุ้นลงมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วนั้น ผมคิดว่าในรอบนี้เราอาจจะต้องระวังหุ้นส่งออกเพราะอาจจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากเศรษฐกิจสหรัฐ และหุ้น commodity ซึ่งได้แก่ เรือ ปิโตรเคมี ฯลฯ ซึ่งผลกำไรจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง ในขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศนั้นมีความน่าสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะหากการเมืองในบ้านเราเริ่มมีความแน่นอนและเสถียรภาพมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคก็น่าจะเป็นการบริโภคขั้นพื้นฐานที่มีรายได้ค่อนข้างมั่นคงแน่นอน
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้หากดูราคาหุ้นรายตัวหลายๆ ตัวก็อาจจะยังไม่ถึงกับถูกมากนัก แม้หุ้นจะลงมามากอาจจะมีบางตัวยังแพงอยู่หน่อย หลายๆ ตัวเริ่มน่าสนใจ ดังนั้นคงจะต้องเลือกซื้อเป็นตัวๆ ไปครับ หุ้นที่มีปันผลมากกว่า 4% ต่อปีผมคิดว่าน่าสนใจเพราะยังมากกว่าเงินฝากธนาคารอยู่พอสมควรครับ
ปกติวันที่หุ้นลงมากๆ ผมจะชอบดูตาราง top loser แล้วดูว่ามีหุ้นตัวไหนที่เราเคยอยากซื้อแต่รู้สึกว่ายังแพง แต่ตอนนี้ลงมามากๆ หรือเปล่า อย่างตอนที่เขียนกระทู้นี้หุ้นลง 29 จุด ผมก็เห็นหุ้นพื้นฐานบางตัวราคาลดลงถึง 6-8% นับว่าเริ่มน่าสนใจอยู่เหมือนกันครับ
ผมคิดว่าถ้าหุ้นลงวันละ 25 จุดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จะลงได้ถึงประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ครับ ดังนั้นหุ้นลงยังไงถ้าเศรษฐกิจไม่เป็นเหมือนปี 40 ซึ่งในปี 51 นี้ไม่มีความเสี่ยงอะไรที่จะทำให้เศรษฐกิจจะไปเป็นเหมือนปี 40 ครับ