จะมีวิกฤตมั้ย?
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ม.ค. 31, 2008 2:38 pm
พอดีไปค้นหาอ่านงานเขียนเก่าที่เก็บใว้ ไปเจอของพี่ สุมาอี้ ที่เขียนใว้ปีที่แล้ว อ่านอีกครับแล้ว ผมคิดว่าเหมาะกับช่วงนี้ดีจัง ลองอ่านดูนะครับ
0019: จะมีวิกฤตมั้ย?
(1) »
ช่วงนี้มีท่านนักลงทุนถามผมว่าจะมีวิกฤตมั้ย?
เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบคำตอบเหมือนกันครับ แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตดังนี้
วิกฤตเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ผมว่าภาพของวิกฤตปี 2540 ยังคงติดตาคนไทยอยู่ก็เลยทำให้เมื่อเกิดอะไรนิดอะไรหน่อยกับระบบเศรษฐกิจเราก็คิดว่าจะเกิดวิกฤตไปหมด ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อปีที่แล้วได้แสดงให้เห็นในระดับหนึ่งแล้วว่าเศรษฐกิจนั้นสามารถทนแรงกระแทกได้ด้วยตัวของมันเองมากกว่าที่คนส่วนใหญ่คิดเอาไว้มาก ในความเห็นของผมนั้น ก่อนปี 2540 คนไทยกลัวกันน้อยเกินไป แต่หลังปี 2540 นั้น คนไทยดูเหมือนจะกลัวกันมากเกินไปหน่อยเท่านั้น
ช่วงนี้การค้าภายในประเทศก็ดูจะซบเซาเอามากๆ ก็เลยเกิดความกลัวกันขึ้นมาอีกว่าเรากำลังจะเกิดวิกฤตหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าคุณมาถามผม เผอิญว่าผมเป็นผู้ที่มีความคิดแบบ Monetarist พวก Monetarist เชื่อว่าเศรษฐกิจขาลงเฉยๆ นั้นจะไม่มีทางกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจได้ วิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งมีสาเหตุมาจากนโยบายการเงินที่ผิดพลาดเท่านั้นกล่าวคือมีการปล่อยให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลงอย่างเฉียบพลัน ซึ่งตอนนี้ไม่มีและดูแล้วในอนาคตก็ไม่น่าจะมี ที่สุดแล้วเศรษฐกิจขาลงจะต้องกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งเมื่อมันลงจนถึงระดับหนึ่งที่ทำให้อุปทานเริ่มน้อยกว่าอุปสงค์ วัฏจักรเป็นเรื่องปกติของระบบเศรษฐกิจ วัฏจักรไม่ใช่ปัญหาแต่วัฏจักรคือสิ่งที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืนได้ในระยะยาว ส่วนรอบนี้จะลงไปลึกมากแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ารอบที่ผ่านมามันถูกอัดฉีดให้อุปสงค์ขึ้นไปมากจนเกินตัวไปขนาดไหน แต่รับรองว่าการที่เศรษฐกิจเป็นขาลงนั้นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน
คำว่าเศรษฐกิจขาลงนั้นที่จริงก็ยังมีการเติบโตอยู่ เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยนั้นในภาวะปกติควรมีการเติบโตประมาณร้อยละ 5 ต่อปี แต่ถ้าช่วงไหนเศรษฐกิจเป็นขาลงก็อาจจะเติบโตเหลือเพียงร้อยละ 3-4 ต่อปี เท่านั้น แต่ยังไงเสียก็ยังเป็นการเติบโตอยู่ ไม่เหมือนกับวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเป็นการเติบโตแบบติดลบ
ส่วนเรื่องเงินดอลล่าร์อ่อนนั้น ผมคิดว่าคงทำให้กำลังซื้อของชาวอเมริกันในอนาคตลดลง ซึ่งไทยคงได้รับกระทบบ้างแต่คงไม่ถึงขั้นวิกฤตเพราะแม้ว่าไทยจะเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก แต่ทุกวันนี้ เราส่งออกไปสหรัฐน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก เดี๋ยวนี้เราส่งออกไปอาเซียนและจีนมากกว่า ดังนั้นผลกระทบคงเป็นทางอ้อมมากกว่าทางตรงและการที่เงินไทยแข็งค่าขึ้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือแม้ว่าเราจะส่งออกได้น้อยลงแต่เราก็นำเข้าได้ถูกลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันซึ่งเรานำเข้าปีละมากๆ และน้ำมันก็มีราคาแพง การนำเข้าเครื่องจักรที่ถูกลงยังจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการที่ดอลล่าร์อ่อนลงน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศของเราได้ด้วยเหมือนกัน
ที่จริงแล้วหากมองไปข้างหน้า ผมกลับคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีเสถียรภาพที่ดีพอสมควร แม้จีดีพีจะโตน้อยแต่ก็ยังโตอยู่ เงินเฟ้อน่าจะต่ำ ดอกเบี้ยก็น่าจะต่ำ อัตราการว่างงานอาจจะสูงขึ้นได้บ้างแต่ประเทศไทยมีอัตราการว่างงานที่ต่ำมาโดยตลอดเพราะเราเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานจึงไม่น่าจะส่งผลเสียมากนัก การเมืองในอนาคตนั้นแม้ว่าอาจจะมีเสถียรภาพน้อยลงแต่นั้นก็อาจจะไม่ใช่ข้อเสียก็ได้ รวมๆ แล้ว แม้จะไม่ถึงกับสวยหรูแต่โดยมาตรฐานของผมแล้วถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะโอเคทีเดียว ลงทุนในหุ้นได้ครับ
ยามที่ความมั่นใจในตลาดหุ้นยังกลับมาไม่เต็มร้อยเป็นช่วงเวลาที่ดีเสมอสำหรับนักลงทุน คนที่จะขาดทุนในภาวะแบบนี้มักได้แก่คนที่เก็งกำไร ตลาดหุ้นอันตรายเมื่อทุกอย่างดูดีไปเสียหมด เหมือนอย่างที่ เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน กล่าวไว้ว่า "ตลาดกระทิงเริ่มต้นจากการมองโลกในแง่ร้าย เติบโตด้วยความลังเลสงสัย อิ่มตัวเพราะการมองโลกในแง่ดี และจบลงเพราะคำเยินยอ"
0019: จะมีวิกฤตมั้ย?
(1) »
ช่วงนี้มีท่านนักลงทุนถามผมว่าจะมีวิกฤตมั้ย?
เรื่องนี้ผมก็ไม่ทราบคำตอบเหมือนกันครับ แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตดังนี้
วิกฤตเศรษฐกิจนั้นไม่ใช่สิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ผมว่าภาพของวิกฤตปี 2540 ยังคงติดตาคนไทยอยู่ก็เลยทำให้เมื่อเกิดอะไรนิดอะไรหน่อยกับระบบเศรษฐกิจเราก็คิดว่าจะเกิดวิกฤตไปหมด ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อปีที่แล้วได้แสดงให้เห็นในระดับหนึ่งแล้วว่าเศรษฐกิจนั้นสามารถทนแรงกระแทกได้ด้วยตัวของมันเองมากกว่าที่คนส่วนใหญ่คิดเอาไว้มาก ในความเห็นของผมนั้น ก่อนปี 2540 คนไทยกลัวกันน้อยเกินไป แต่หลังปี 2540 นั้น คนไทยดูเหมือนจะกลัวกันมากเกินไปหน่อยเท่านั้น
ช่วงนี้การค้าภายในประเทศก็ดูจะซบเซาเอามากๆ ก็เลยเกิดความกลัวกันขึ้นมาอีกว่าเรากำลังจะเกิดวิกฤตหรือไม่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าคุณมาถามผม เผอิญว่าผมเป็นผู้ที่มีความคิดแบบ Monetarist พวก Monetarist เชื่อว่าเศรษฐกิจขาลงเฉยๆ นั้นจะไม่มีทางกลายเป็นวิกฤตเศรษฐกิจได้ วิกฤตเศรษฐกิจทุกครั้งมีสาเหตุมาจากนโยบายการเงินที่ผิดพลาดเท่านั้นกล่าวคือมีการปล่อยให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจลดลงอย่างเฉียบพลัน ซึ่งตอนนี้ไม่มีและดูแล้วในอนาคตก็ไม่น่าจะมี ที่สุดแล้วเศรษฐกิจขาลงจะต้องกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งเมื่อมันลงจนถึงระดับหนึ่งที่ทำให้อุปทานเริ่มน้อยกว่าอุปสงค์ วัฏจักรเป็นเรื่องปกติของระบบเศรษฐกิจ วัฏจักรไม่ใช่ปัญหาแต่วัฏจักรคือสิ่งที่ช่วยทำให้เศรษฐกิจเติบโตแบบยั่งยืนได้ในระยะยาว ส่วนรอบนี้จะลงไปลึกมากแค่ไหนนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่ารอบที่ผ่านมามันถูกอัดฉีดให้อุปสงค์ขึ้นไปมากจนเกินตัวไปขนาดไหน แต่รับรองว่าการที่เศรษฐกิจเป็นขาลงนั้นไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจได้อย่างแน่นอน
คำว่าเศรษฐกิจขาลงนั้นที่จริงก็ยังมีการเติบโตอยู่ เศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนาอย่างไทยนั้นในภาวะปกติควรมีการเติบโตประมาณร้อยละ 5 ต่อปี แต่ถ้าช่วงไหนเศรษฐกิจเป็นขาลงก็อาจจะเติบโตเหลือเพียงร้อยละ 3-4 ต่อปี เท่านั้น แต่ยังไงเสียก็ยังเป็นการเติบโตอยู่ ไม่เหมือนกับวิกฤตเศรษฐกิจซึ่งเป็นการเติบโตแบบติดลบ
ส่วนเรื่องเงินดอลล่าร์อ่อนนั้น ผมคิดว่าคงทำให้กำลังซื้อของชาวอเมริกันในอนาคตลดลง ซึ่งไทยคงได้รับกระทบบ้างแต่คงไม่ถึงขั้นวิกฤตเพราะแม้ว่าไทยจะเป็นประเทศที่พึ่งพาการส่งออกเป็นอย่างมาก แต่ทุกวันนี้ เราส่งออกไปสหรัฐน้อยลงกว่าแต่ก่อนมาก เดี๋ยวนี้เราส่งออกไปอาเซียนและจีนมากกว่า ดังนั้นผลกระทบคงเป็นทางอ้อมมากกว่าทางตรงและการที่เงินไทยแข็งค่าขึ้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย คือแม้ว่าเราจะส่งออกได้น้อยลงแต่เราก็นำเข้าได้ถูกลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันซึ่งเรานำเข้าปีละมากๆ และน้ำมันก็มีราคาแพง การนำเข้าเครื่องจักรที่ถูกลงยังจูงใจให้เกิดการลงทุนในประเทศมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้นการที่ดอลล่าร์อ่อนลงน่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจภายในประเทศของเราได้ด้วยเหมือนกัน
ที่จริงแล้วหากมองไปข้างหน้า ผมกลับคิดว่าเศรษฐกิจไทยจะมีเสถียรภาพที่ดีพอสมควร แม้จีดีพีจะโตน้อยแต่ก็ยังโตอยู่ เงินเฟ้อน่าจะต่ำ ดอกเบี้ยก็น่าจะต่ำ อัตราการว่างงานอาจจะสูงขึ้นได้บ้างแต่ประเทศไทยมีอัตราการว่างงานที่ต่ำมาโดยตลอดเพราะเราเป็นประเทศที่ขาดแคลนแรงงานจึงไม่น่าจะส่งผลเสียมากนัก การเมืองในอนาคตนั้นแม้ว่าอาจจะมีเสถียรภาพน้อยลงแต่นั้นก็อาจจะไม่ใช่ข้อเสียก็ได้ รวมๆ แล้ว แม้จะไม่ถึงกับสวยหรูแต่โดยมาตรฐานของผมแล้วถือได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะโอเคทีเดียว ลงทุนในหุ้นได้ครับ
ยามที่ความมั่นใจในตลาดหุ้นยังกลับมาไม่เต็มร้อยเป็นช่วงเวลาที่ดีเสมอสำหรับนักลงทุน คนที่จะขาดทุนในภาวะแบบนี้มักได้แก่คนที่เก็งกำไร ตลาดหุ้นอันตรายเมื่อทุกอย่างดูดีไปเสียหมด เหมือนอย่างที่ เซอร์ จอห์น เทมเปิลตัน กล่าวไว้ว่า "ตลาดกระทิงเริ่มต้นจากการมองโลกในแง่ร้าย เติบโตด้วยความลังเลสงสัย อิ่มตัวเพราะการมองโลกในแง่ดี และจบลงเพราะคำเยินยอ"